หล่อ สปอร์ต ใจดี ชลบุรี เชื่อว่ามีอยู่หลายคน แต่สำหรับเขาคนนี้ นอกจากหล่อ สปอร์ต ใจดี ชลบุรีแล้ว ยังมี "โรงทาน" ที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ผู้ยากไร้ คนพิการ และคนตกงานโดยไม่หวังอะไรนอกจากให้พวกเขาได้กินอิ่ม และมีรอยยิ้มกลับไป
เรากำลังพูดถึง "วรเชษฐ์ เอมเปีย" หรือ "เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล" มือกลองอัลเทอร์เนทีฟอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งไม่มีนักฟังเพลงคนไหนในยุค 90’s ไม่รู้จักเขา ปัจจุบันใช้ชีวิตในวัย 45 ปีอยู่กับวิถีธรรมชาติบนความพอเพียง พร้อมๆ กับเป็นผู้ให้ในเวลาเดียวกัน
"เชษฐ์" สุภาพบุรุษหัวใจหล่อ
ทันทีที่ทีมงาน M-Lite ขับรถส่วนตัวจากกรุงเทพฯ มาถึง "โรงทาน เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล" ณ บ้านหนองขยาด อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี "พี่เชษฐ์" ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และดูตื่นเต้นไม่น้อยถูกเมื่อมีแขกจากต่างถิ่นมาเยี่ยมเยียน
"ขอบคุณมากๆ นะครับที่ขับรถมาหาผมถึงที่เลย" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และถามด้วยความเป็นห่วงว่า "ทานอะไรกันมาหรือยังครับ เอ้อ ลืมเลยๆ เดี๋ยวผมไปหาน้ำเย็นๆ มาให้ดื่ม" จากนั้นก็พาไปนั่งคุยถึงที่มาของ "โรงทาน" แห่งนี้ ท่ามกลางแดดอ่อนๆ ใต้ฟ้าครึ้มอึมครึม และกลิ่นฝนตกไกลๆ โชยอยู่ในสายลมปนมากับกลิ่นของไอดิน
"ตอนแรกผมก็ทำแบบง่ายๆ นะ" เขาเริ่มต้นเล่า "ลงทุนน้อยๆ เพื่อเก็บเงินไว้เป็นค่าอาหาร หรือพวกอุปกรณ์ เช่น ซื้อถ้วยชาม หม้อไฟฟ้า ผมก็เลยทำแบบประหยัด ใช้มุมสแลน ทำด้วยไม้ยูคา แต่พอมีพายุเข้ามา เท่านั้นแหละ พังลงมาหมด (หัวเราะ) ช่วงนั้นเด็กๆ จึงต้องกินข้าวข้างนอกไปก่อน กินกันกลางแจ้งเลย (หัวเราะ) แต่ไม่ร้อนครับ ลมพัดเย็น
ไม่นาน 'เจ๊เล็ก' เจ้าของหมู่บ้านกานต์สินี แลนด์ หลังเห็นที่ผมโพสต์บนเฟซบุ๊กก็ยื่นมือเข้ามาช่วยจนกลายเป็นโรงทานที่ได้มาตรฐานแบบนี้ (ชี้ให้ดูสภาพรอบๆ) ทำโครงเหล็กนี่เขาลงทุนไปหลายตังค์มาก ซึ่งผมก็รวบรวมช่วยเขาด้วยนะ แต่เขาจะเป็นหลักใหญ่ ส่วนตัวผมดีใจมากที่หลายคนเห็นความตั้งใจในสิ่งที่ผมทำ ทุกวันนี้มีหลายคนยื่นมือเข้ามาช่วยเยอะมาก" พูดจบก็ยกมือไหว้ขอบคุณผู้มีอุปการคุณทุกๆ ท่านที่ช่วยเหลือทั้งปัจจัย อาหาร ตลอดจนสิ่งของต่างๆ
อีกส่วนที่เป็นแรงผลักดันจริงๆ ก็คือการได้เห็นสัจธรรมของชีวิต (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) เมื่อครั้งไปเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาล
"ผมเคยมีชื่อเสียงโด่งดัง เคยมีเงินเยอะแยะ เคยขึ้น เคยลง โชคดีที่ผมยังมีสติ และเก็บเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ซึ่งนอกจากกลับบ้านมาปลูกข้าว อยู่กับธรรมชาติแล้ว มันถึงจุดหนึ่งที่ผมก็คิดนะ ตายไปผมจะเอาอะไรไปล่ะ มันมีบุญกับบาปที่เราจะเลือกได้ ส่วนทรัพย์สินเงินทอง หรือต้นไม้ที่เราปลูกเป็นป่าไปแล้วมันเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
วันนี้ผมพอแล้ว ผมจึงแบ่งปันให้แก่ชาวบ้านผู้ยากไร้ เด็กนักเรียนซึ่งเขาเป็นลูกคนจนเยอะ ไม่ใช่แค่ตามโรงทานที่นี่ที่เดียว แต่จะเป็นจุดศูนย์กลางว่าสิ่งใดที่เรามี เราจะส่งไปตามส่วนต่างๆ ที่ขาดแคลน หรือยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์ รวมไปถึงสัตว์ร่วมโลกอย่างสุนัขจรจัด ผมก็ส่งของ ส่งอาหาร หรือส่งเงินไปช่วยตามกำลังที่ผมมี"
ไม่ลืมบุญคุณประชาชน
นอกจากนั้น เขายังคิดอยู่เสมอว่า การที่เขาเป็น "เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล" ในวันนี้ก็เพราะมีประชาชนที่คอยสนับสนุน และอุ้มชูเขา
"เมื่อก่อนรายได้วันละ 70,000 บาทอย่างต่ำ วันไหนมีหลายงานก็ได้เยอะหน่อย แต่ไม่ต่ำกว่า 70,000 แน่นอน ซึ่งพอผ่านอะไรต่างๆ มา ผมก็คิดได้ว่า ผมได้จากประชาชนก็ต้องคืนสู่กลับคืนประชาชน เขาเรียกว่าเป็นการคืนสู่ประชาชนที่มีประโยชน์ให้แก่ประชาชนที่เขาไม่มี ดังนั้น ที่ทำโรงทานขึ้นมา สมัยก่อนผมเกิด ผมมีที่อยู่ ผมเป็นเชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโลก็เพราะมีประชาชนอุ้มชูเรา
แม้ตอนนั้นเราจะเอาฝีไม้ลายมือไปแลกให้เป็นความสุขของเขาเพื่อให้เขาอุ้มชูเรา แต่ตอนนี้ผมอยู่ได้แล้ว ผมแข็งแรงแล้ว ผมต้องคืนให้พวกเขาบ้าง ที่บอกว่าอยู่ได้ เพราะผมรู้จักกิน รู้จักใช้ เดี๋ยวนี้ไม่เที่ยวเลยนะ (หัวเราะ) ถ้าไม่ได้ไปเล่นคอนเสิร์ต ใครเอาช้างมาลากก็ไม่ไปไหน อยู่บ้านอย่างเดียว เพราะมีความสุขอยู่กับต้นไม้ อยู่กับเสียงนก เอาเปลมาผูกนั่งเพลินๆ เดี๋ยวบ่ายๆ ก็เตรียมทำกับข้าว เย็นๆ ถ้าฟ้าเป็นใจก็ออกไปเล่นฟุตบอล"
"ลุงเชษฐ์" ขวัญใจเด็กๆ บ้านหนองขยาด
ปัจจุบัน โรงทานแห่งนี้เปิดมาได้ 1 เดือนแล้ว ใช้ทั้งเงินส่วนตัวที่หามาได้จากการเล่นดนตรี และสายบุญที่หยิบยื่นน้ำใจเข้ามาช่วยเหลือ
"โรงทานที่นี่ใจสปอร์ตที่สุดแล้วครับ (หัวเราะ) ผมให้เอากลับไปกินที่บ้านได้เลย เพราะบางคนมีผู้สูงอายุรออยู่ที่บ้าน ซึ่งเขาเดินทางมาไม่สะดวก เราก็ให้ญาติเอากลับไปฝาก บางคนต้องไปทำงานหรือไปเก็บผัก เขาก็แวะมาเอาอาหารที่นี่ไป
ทุกวันนี้ผมมีเจ้าภาพมาร่วมด้วยเยอะ บางวันเยอะมากจนผมต้องเอาแบ่งปันไปให้คนพม่า คนลาวที่เป็นจับกังเขาได้กินด้วย ซึ่งเขาก็ดีอกดีใจกันใหญ่ (ยิ้มปลื้ม) ถึงวันนี้ผ่านมาหนึ่งเดือน และเข้าสู่เดือนใหม่แล้ว ก็ยังไม่มีปัญหาอะไรครับ คือเงินที่ผมเก็บสำรองไว้ก็มีอยู่ ซึ่งผมสะสมจากการไปเล่นดนตรีหรือไปเล่นคอนเสิร์ต แต่ทุกวันนี้มีเจ้าภาพเยอะครับ (หัวเราะ)
บางคนก็ช่วยเป็นปัจจัย ถ้าวันไหนไม่มีเจ้าภาพก็เอาเงินตรงนี้ผสมกับเงินของตัวเองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อของที่ตลาด ซึ่งผมจะจ้างเขาทำอยู่ 2 เจ้า มีทำเองบ้าง ส่วนน้ำนี่ไม่ขาดเลยครับ เพราะมาจากน้ำใจของแต่ละคน" เขาเล่าไปยิ้มไป
ไม่แปลกที่ "เชษฐ์" จะกลาย "พี่เชษฐ์" "ลุงเชษฐ์" หรือ "คุณเชษฐ์" ของใครหลายคน
"ผมเป็นขวัญใจคนยากจนแถวนี้ไปแล้ว (ยิ้ม) เด็กๆ ที่มากินข้าวก่อนไปโรงเรียนก็จะยกมือไว้ สวัสดีลุงเชษฐ์ สบายดีไหมพี่เชษฐ์ ซึ่งมันคือความสุขที่ผมสัมผัสได้ มันสุขจริงๆ นะ สุขที่เห็นเขากินอิ่ม สุขที่เขามีรอยยิ้มกลับไป ล่าสุดมีเด็กคนหนึ่งน่าสงสารมาก เดินผอมแห้งมากับพ่อแม่ที่ผอมแห้งไม่ต่างกัน เราก็ถาม เพิ่งมาใหม่เหรอครับ เขาก็พยักหน้า
ผมก็บอกเขาว่า ต่อไปมาทุกวันเลยนะ แล้วก็มีคนมากระซิบบอกผมว่า บ้านนี้ไม่มีตังค์ ยากจนมาก ผมก็ย้ำกับเขาไปอีกว่า มาทุกวันนะ หนูต้องมาทุกวัน กินข้าวเยอะๆ จะได้โตทันเพื่อนๆ แล้วผมก็ตักกับข้าว ตักไข่ให้เขากิน จากนั้นก็ตักใส่ถุงไปให้เขากินที่บ้านด้วย" เขาเล่าด้วยสีหน้าแววตาแห่งความสุข
"ผมมีความสุขทุกวันเลย ผมไม่เคยเหนื่อยล้าเลย ซึ่งผมปฏิญาณตนไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะทำไปตลอด ผมสละตนทั้งชีวิต ผมจะทำตรงนี้ไปจนตาย ไม่มีการล้มเลิก ผมสาบานเลย เพราะชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ เราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นธรรมชาติ ดังนั้นอย่าประมาท ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด
ทุกวันนี้ ถ้าวันไหนต้องทำกับข้าวด้วย ผมจะตื่นตี 3 นอกจากนั้นยังมีหน้าที่หุงข้าว ล้างชามด้วย หรือวันไหนเล่นคอนเสิร์ตกลับมาดึกๆ ผมก็จะจ้างไปเลยแล้วตื่น 4 แต่หน้าที่หุงข้าวก็ยังเป็นหน้าที่หลักอยู่นะ หรือบางทีก็ช่วยทอดไข่เจียวบ้าง"
พัก "นา" ไว้ชั่วคราว
หากใครได้ติดตามข่าว คงจะทราบกันดีว่าก่อนที่จะมาเปิดโรงทานนั้น "เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล" ผันตัวเองไปเป็นชาวนาปลูกข้าว และใช้ 3 หลักในการดำเนินชีวิต ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา แต่ปีนี้เจอปัญหาภัยแล้ง เขาจึงพัก "นา" เอาไว้ก่อน
"ปีนี้ผมเจอปัญหาภัยแล้ง เมื่อก่อนผมทำข้าวไรซ์เบอรี่ ตอนนี้ก็พักดินไว้ก่อน เปลี่ยนสายพันธุ์อื่นบ้างสลับกันไป ปีนี้ก็ไถกลบไปแล้วครับ แต่ยังไม่ได้ทำอะไร อีกอย่างคือ มีเวลาน้อยด้วยครับ ทำหลายอย่างมากตอนนี้ (หัวเราะ) มีทั้งโรงทาน มีงานคอนเสิร์ต ซึ่งยังไม่ได้ทิ้งวงการไปไหนนะครับ" เขาเน้นย้ำ และเผยให้ฟังถึงช่วงหนึ่งที่งานหายไปเยอะมาก
"ช่วงหันไปปลูกข้าว ทำสวน สื่อพาดหัวว่า ทิ้งไม้กลองมาจับจอบจับเสียม งานก็หายไปเยอะครับ มีคนโทร.มาถามว่าไม่รับงานแล้วเหรอ ผมก็บอกว่า ยังทำอยู่ครับ ตอนนั้นผมนี่เซ็งเลยนะ หลังจากโพสต์ในเฟซบุ๊กชี้แจงใหม่ คนก็เข้าใจมากขึ้น อย่างปีนี้ผมมีงานยาวข้ามปีกันเลยทีเดียว ปัจจุบันผมร้องเพลงเป็นหลัก ตีกลองเฉพาะตอนโชว์ เพราะแฟนเพลงเรียกร้อง
ส่วนค่าตัวผมก็ใช้ได้อยู่นะ (ยิ้ม) ประกอบกับฐานแฟนเพลงที่เขาโตมาด้วยกันกับผม ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานกันหมดแล้ว เวลามีคอนเสิร์ตก็มีกำลังที่จะซื้อบัตร พอได้เงินมาผมก็เอาไปใช้สำหรับโรงทาน อีกช่องทางหนึ่งก็คือ ผมจะมีสโมสรควายยิ้ม เขาจะมีกลุ่มให้ทีมผมไปเตะบอล รายได้ตรงนั้นก็จะเอามาทำบุญกับเรา ส่วนผมก็เอาไปแจกจ่ายทำบุญในที่อื่นๆ อีกที เช่น ไปช่วยเหลือสุนัขจรจัด ไปร่วมสร้างอนามัย บูรณะวัดทุรกันดาร หรือไม่ก็สนับสนุนโรงทานที่นี่"
สำหรับผู้ใจบุญที่อยากช่วยเหลือ สนับสนุน "โรงทานเชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล" สามารถติดต่อได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ "เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล..Chate Smile Buffalo" แต่ถ้าใครจะขอยืมเงินไปใช้หนี้ส่วนตัว โปรดเข้าใจตรงกันตามนี้
"ผมจะให้เบอร์โทร.ไว้ในเฟซบุ๊ก และจะระบุช่วงเวลาที่สะดวกรับสายเอาไว้ ส่วนใหญ่จะโทร.มาติดต่อเรื่องทำบุญ หรือไม่ก็เล่นคอนเสิร์ต โทรเล่นๆ ไม่มีครับ แต่แบบ..พี่เชษฐ์ขอยืมเงินหน่อย อันนี้มีครับ (หัวเราะ) แต่ผมก็บอกไปว่าไม่ได้หรอก คุณไปสร้างอะไรไว้ คุณก็ต้องรับสิ่งนั้นเอง เงินของผมเอาไว้ใช้ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมเท่านั้นครับ"
อดีตมันสอน อย่าทำอะไรเกินตัว
สำหรับอนาคตต่อไปจากนี้ คิดว่าจะมีโปรเจกต์หรือโครงการอื่นๆ อีกหรือไม่ เขาบอกว่าอาจจะมี แต่คงไม่ทำอะไรเกินตัวอีกแล้ว
"ผมเคยล้มเหลวมาเยอะแล้วไง ถ้าผมจะทำอะไรผมจะทำอย่างเรียบง่าย เกิดปัญหาอะไรมันจะได้แก้ง่ายๆ ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นแบบผมเมื่อก่อน ผมผ่านมันมา ผมรู้ดี ตอนนั้นมีชื่อเสียง แถมมีเงินเยอะด้วย มันก็เลยเหลิง ทระนงตนว่าเก่ง ว่าเจ๋ง เวลาลงทุนทำอะไรก็ใหญ่โต เกินตัว ยิ่งไม่รู้เรื่องธุรกิจอีก มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ สิ่งนี้เขาเรียกว่าประมาทต่อตนเอง
ถึงวันนี้ผมรู้แล้วว่า ถ้าเชื่อในหลวงตั้งแต่แรก อยู่แบบพอเพียง ชีวิตมันดีอย่างนี้นี่เอง ปัจจุบันผมอยู่แบบเรียบง่าย สบายๆ มีศีลธรรม มีธรรมะเข้ามาควบคู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นคนธรรมะ ธัมโมอะไรนะ (หัวเราะ) แค่เอาธรรมะมาสอนตัวเองให้รู้ว่า เราทำอะไรอยู่ มีสติอยู่หรือเปล่า นาฬิกาเรือนละแสน หรือกระเป๋าตังค์ราคาแพงๆ ไม่จำเป็นสำหรับผมแล้ว ยึดเพียงแค่ถูกกาลเทศะเท่านั้นพอ ไปงาน ไปเล่นดนตรีก็ต้องแต่งตัวให้เกียรติสถานที่ ให้เกียรติเจ้าของงาน"
สุขปลอม VS สุขจริง
"ตอนดังใหม่ๆ มันสุขนะ แต่สุขบนความประมาท สุขโดยความขาดสติ ซึ่งมันอยู่ในช่วงของกิเลส เห็นอะไรก็อยากซื้อ อยากได้เพื่อสนองความต้องการของตัวเองไปหมด แถมตอนนั้นยังไม่มีธรรมะมาควบคุมด้วย มันก็เลยสุขเตลิดไปกันใหญ่ แต่สุขในวันนี้คือสุขจริง เขาเรียกสุขบริสุทธิ์ สุขแบบขาวสะอาด เราได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ได้เห็นเด็กมีความสุขกับการกินอิ่มจนเริ่มเป็นเด็กที่น่ารักเหมือนเด็กในเมือง นี่แหละสุดยอดสำหรับผมแล้ว มันมีความสุขที่สุดแล้วครับ"
ได้ฟังคำพูดของอดีตมือกลองอัลเทอร์เนทีฟอันดับ 1 ของประเทศแล้ว ก็ชวนให้นึกถึงคำกล่าวของนักบวชชาวอังกฤษ "เจมส์ ชาร์ป" ที่เคยบอกเอาไว้ว่า "คนจำนวนมากวิ่งตามหาความสุข เหมือนกับคนใจลอยที่เที่ยวตามหาหมวกของเขา ขณะที่หมวกใบนั้นอยู่ในมือ หรืออยู่บนหัวเขาเอง" เหมือนกันกับเขาที่ครั้งหนึ่งเคยตามหาความสุขจนลืมถามตัวเองไปว่าความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่
"เมื่อก่อนมีบ้านหลายหลัง มีรถหลายคัน มีเงินให้ใช้วันละหลายๆ หมื่น แถมยังมีสาวๆ เข้ามาหาอีกมาก ซึ่งมันก็สุขนะ แต่มันแค่แป๊บเดียว เพราะมัวแต่เอาเงินไปซื้อความสุข ใช้ไวมันก็หมดไว จริงๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้พอใช้เงินเป็น เมื่อเงินเข้ามาเยอะ เราก็แบ่งปันให้คนอื่น ซึ่งมันทำให้ผมมีความสุขยืนยาวกว่าแต่ก่อนมาก อิ่มเอมใจกว่าแต่ก่อนมาก ยั่งยืนกว่าแต่ก่อนมาก
ความรักก็เช่นกัน ที่ผ่านมาความรักสอนว่าอย่าไปเที่ยวรักกัน หลงกัน เราต้องรักให้รู้คำว่าจาก ผมเคยผ่านมากี่แฟนกี่แฟนก็คือเลิกกันหมดเพราะว่าไปรักแบบลุ่มหลงจนเกิดความหึงหวง แต่ทุกวันนี้ รักคือการให้ เป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ ชีวิตไม่ต้องมัวแต่มาคิดว่าจะมีเมีย มีผัวไหม ซึ่งมันไร้สาระมากๆ เราเอาเวลาไปทำในแต่ละวันให้มันดีที่สุดดีกว่า ถามตัวเองว่าวันนี้เราเลี้ยงดูพ่อแม่ดีหรือยัง เราได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นหรือยัง ถ้าทำอย่างเต็มที่ ชีวิตก็ไม่เสียชาติเกิดแล้วครับ"
ได้ดี มีสติ เพราะครอบครัว
"พ่อแม่ผมเลี้ยงแบบดีมากๆ เลี้ยงลูกให้เข้าวัดเข้าวาตลอด เวลาอาๆ เฮียๆ บวชเขาก็ให้ไปถือปิ่นโตทุกวัน ก่อนที่ผมจะผลาญเงินตอนที่เป็นเชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล ผมไถ่รถให้พ่อ พ่อจะซื้อรถผมก็ซื้อรถให้ ผมรักษาตาแม่เท่าไหร่เท่ากัน กี่หมื่นกี่แสนผมทุ่มเลย พี่สาวผมแต่ละคนมีหนี้สินอยู่ผมปลดหนี้ให้หมด น้องชายจะซื้อรถหรือคอนโดฯ ผมซื้อให้หมด
หลังจากช่วยที่บ้านให้สบายกันหมดแล้ว ผมก็ใช้เงินของผมซื้อในสิ่งที่ผมต้องการจนหลงระเริงอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นที่มันหลงระเริง ทุกคนประเคนให้เราหมด โชคดีที่ผมมีต้นทุนความรักจากครอบครัว ใกล้ชิดพระ ใกล้ชิดธรรมะทำให้ผมฉุกคิด และดึงสติกลับมาได้ทัน ซึ่งสถาบันแรกคือครอบครัวจริงๆ นะ ของผมนี่ยังไม่สาย" เขาทิ้งท้ายถึงสายใยครอบครัวที่ช่วยดึงสติให้กลับมามีชีวิตที่ดีในวันนี้
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : ขอคุณภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล..Chate Smile Buffalo, นิตยสาร Mars
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754