xs
xsm
sm
md
lg

Exclusive ผ่าใจ!ไฮโซสุดฉาว "ฟ้า-จิลมิกา" ทุกข์ขั้นสุด “ธรรมะ” ดึงสติให้สตรอง! (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เรียกว่าเป็นสาวไฮโซท่ายาก ที่ฮอตเปรี้ยงปรอทแตกเป็นที่ฮือฮามากในช่วงเวลาไม่นานมานี้ เหตุจากกระแส "คลิปหลุด" สุดฉาว ที่ผู้หญิงในคลิปนั้นใบหน้าละม้ายคล้ายเธอมาก หลายคนเรียกร้องอยากรู้จักว่าเธอคือใคร

เธอคือ ฟ้า - จิลมิกา เฉลิมสุข กรรมการผู้จัดการบริษัททูเดอะนายน์ นักธุรกิจสาวผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์บิวตี้พรีเมียมจากญี่ปุ่น ทีมผู้จัดการ Lite จึงขอบุกมาสัมภาษณ์พิเศษ เปิดใจถึงเรื่องส่วนตัว งาน และความรัก โดยขอยิงคำถามแรกเลยว่า กระแสคลิปหลุดนี้ เกิดผลกระทบกับชีวิตเธอ และงาน มากน้อยแค่ไหน

“ทุกคนในออฟฟิศฟ้าจะปกติค่ะ แยกเรื่องงานและส่วนตัว เพราะเราอยู่กันแบบครอบครัว คุยกันได้ทุกเรื่อง บอกว่า ฟ้าสู้ๆนะ คือ ทุกคนจะบอกว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว ตอนแรกก็คิดว่า ทุกคนในออฟฟิศจะคิดอะไรหรือเปล่า แต่ปรากฏว่า ทุกคน Respect(นับถือ) ฟ้า ตรงที่เราตั้งใจทำงาน เพราะฟ้าปั้นทุกอย่างมากับมือเอง ที่เอฟเฟ็กต์หนักอาจจะเป็นคุณแม่ และครอบครัว”

ส่วนเรื่องความเป็นมาหรือรายละเอียดเรื่องคลิปหลุดนั้น เธอไม่ขอเอ่ยถึง...เพียงแค่บอกว่า เวลารักใครเธอยอมทำให้เขาได้ทุกอย่าง หากสิ่งนั้นเขาชอบ และต้องการ....

เด็กเรียน ขี้อาย "ไร้เพื่อน"

เมื่อเล่าย้อนชีวิตวัยเด็ก เธอย้ำว่า โลกของเธอมีแต่การเรียน และกิจกรรม เป็นคนขี้อายมาก ขนาดที่ว่า ไม่กล้าสั่งอาหารกิน เพราะกลัวแม่ค้า!

“ตอนเด็กๆ ฟ้าไม่สวยเลยนะ แต่งตัวเฉิ่มๆ เป็นเด็กเรียน การเรียนดีมาตลอด ท็อปของห้อง ฟ้าไม่มีเพื่อนเลย เริ่มมีเพื่อนตอนอยู่เตรียมอุดมฯ จึงจะเริ่มมีสังคม เริ่มมีเพื่อน เพราะตอนเด็กๆฟ้าโตมากับคนรถ และพี่เลี้ยง ตอนเช้าคนรถก็มาส่ง พอเลิกเรียนก็มารับ พี่เลี้ยงก็มาส่งฟ้าเหมือนกัน นั่งป้อนข้าว ผูกเปียในรถ

ฟ้าจะนั่งหน้าห้องตลอด ตั้งใจเรียนมาก และมีนิสัยขี้อายตั้งแต่เด็ก ขนาดที่ว่าไม่กล้าคุยกับเพื่อน ฟ้าอายขนาดที่ว่าจะไม่ซื้อของเอง โชคดีตอนประถมทางโรงเรียนจะจัดเตรียมข้าวกลางวันให้ กระทั่งเข้า ม.1 อยู่อัสสัมชัญคอนแวนต์ก็ต้องไปซื้อข้าวกินเอง ฟ้าไม่ซื้อเลย ซื้อไม่เป็น ไม่กล้าสั่ง ไม่กล้าซื้อของเอง กลัวแม่ค้าว่า ไม่รู้จะสั่งอะไรดี เพราะปกติตอนเราอยู่กับพ่อแม่ พี่เลี้ยง ทุกคนจะสั่งให้กิน ดังนั้นจึงไม่มีเพื่อนที่จะเป็นกลุ่ม จะไปกินข้าวด้วยกัน พอเพื่อนชวนเราก็บอกไม่หิว ยังไม่อยากกิน ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าไม่กล้าสั่งอาหาร จนตอนนั้นผอมตัวเหลืองมาก จนคุณครูคิดว่าเป็นธาลัสซีเมีย”

เนื่องจากเป็นคนที่มีกิจกรรมเยอะมาก แม้ไม่มีเพื่อนจึงไม่ค่อยรู้สึกเหงา หลังเลิกเรียนก็เรียนพิเศษกับคุณครูฝรั่ง เล่นเปียโน เทนนิส เต้นแจ๊ส บัลเล่ต์ ไอซ์สเก็ต เธอจึงชอบคุยกับคุณครู มากกว่าเพื่อน กระทั่งเริ่มเข้า ม.ปลาย ชีวิตจึงเริ่มขึ้น!

“จากนั้นพอ ม.4 เริ่มมีกลุ่มเพื่อน พึ่งมาสังเกตว่า หลังเลิกเรียนเพื่อนๆเขาไปห้างกันนะ เริ่มตื่นเต้น ไปสยาม แต่ก็ยังให้คนรถมาส่ง ซึ่งเราจะเรียกคนรถว่า "คุณน้า" เราจะไม่เคยนึกว่าเขาเป็นคนรถเลย เขาจะคอยดูแลเรา ราวกับเป็นลูกเป็นหลานเลยจริงๆ

เรารู้สึกว่า ชีวิตเราเริ่มต้นตรง ม.ปลาย เริ่มมีเพื่อน สามารถสั่งอะไรเองได้แล้ว ก็อยากเริ่มโดดเรียน แต่พอโดดเรียนปุ๊บ คุณแม่ กับคุณน้า ก็ไปรออยู่ที่สยามทันที เราก็โอเค กลับมาเป็นเด็กเรียนเหมือนเดิม โดดเรียนของเราคือ แค่ 1 ครั้ง แค่ออกจากห้องเร็วขึ้น ไม่ใช่โดดไม่ทั้งคาบ แค่อารมณ์อยากลองโดดเรียนว่าเป็นแค่การลองเท่านั้น อีกอย่างเราไม่ได้ชอบการโดดเรียน เพราะเรามีความสุขกับการเรียน

เราไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตอยู่ในกรอบเลยนะ เราคิดอยู่เสมอว่า ทุกอย่างมันง่าย สบาย เราก็ไม่รู้ว่าลำบากคืออะไร ตื่นเช้านี่คือลำบากหนักมากแล้วสำหรับเรา เวลาตื่นมาก็จะดื้อมาก ทำไมเราต้องตื่นเช้า ไม่ยอมอาบน้ำแต่งตัว งอแง

จากนั้นไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ออสเตรเลีย และปริญญาโทที่อังกฤษ ไปแชร์บ้านกับคนฝรั่งเศส ตุรกี เพื่อนผู้หญิงหมดเลย แม้ตอนแรกจะอึดอัด เพราะตอนแรกเขาถามว่า ทำไมยูทำอะไรไม่เป็นเลย เราก็บอกนี่ก็ทำเป็นแล้วนะ เขาก็บอกว่า ยูต้องไปทำนู่นทำที่เองนะ ต้องทำกับข้าว ขัดห้อง ซึ่งปกติเรา ไม่เคยทำเลย คือปกติตอนอยู่ออสเตรเลีย เราก็จะจ้างคนมาทำความสะอาดให้ พอเราแชร์กันอยู่ 3 คน มันต้อง take turns แล้ว

เราก็เพิ่งเคยรู้ตอนอยู่อังกฤษว่า สระผมแล้วผมร่วง เราต้องเอาเส้นผมออกจากรูระบายน้ำด้วยเหรอ เราไม่เคยทำ สุดท้ายเราก็ต้องทำ รู้สึกว่าเป็น 1 ปีที่ต้องปรับตัวอย่างมาก”

รักแล้วทุ่มสุดใจ ! ผู้ชายอายุมาก อบอุ่น สเป็กใช่เลย!

มาถึงเรื่องราวความรัก เธอเปิดใจว่า เริ่มมีแฟนคนแรกตอนเรียนที่ออสเตรเลีย ย้ำ รักใครทุ่มเต็มร้อย ให้หมดทั้งหัวใจ ไม่สกรีนประวัติ !

“ตอนที่ฟ้าใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลียประมาณ 2 ปีกว่า ตอนนั้นก็เริ่มมีแฟน เป็นคนเวียดนามแต่ไปเกิดที่ออสเตรเลีย เขาดูแลเราดีชีวิตสุขสบาย เรียกได้ว่าเป็นแฟนคนแรกของเรา คบกันประมาณ 2 ปี แล้วก็เลิกกัน ที่เลิกกันไปนั้น เหมือนกับเข้ากันไม่ได้มากกว่า เพราะเราเป็นคนชอบเที่ยว ชอบเดินทาง เปิดหูเปิดตาดูอะไรใหม่ๆ พอรู้สึกว่าคบกับคนนี้เรารู้สึกอึดอัดมาก เพราะเขาไม่ให้ไปไหน เขาไม่ชอบเดินทาง พอไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกันก็เลยเข้ากันไม่ได้ พอมาเจอแฟนคนที่สอง ไลฟ์สไตล์ตรงกัน ชอบเดินทางเหมือน” เธอเริ่มเล่าถึงแฟนคนที่รัก และหลงมาก

“พอเลิกกับแฟนคนแรกเราก็มาเจอคนไทย เจอที่ออสเตรเลีย เรารักมากๆ เรียกว่าหลงได้เลย เวลาฟ้ารักใคร ฟ้ายอมทำทุกอย่าง ยอมตายถวายชีวิต คือเราไม่ได้จะรักใครบ่อยๆ เหมือนเราอยู่แต่ในบ้าน เวลาเรารักใคร เลยรักมาก พอเขาจะกลับมาเมืองไทย เราเลยรู้สึกว่า เขากลับไป เราต้องตายแน่ๆเลย เราจึงทำเรื่องทรานเฟอร์มาเมืองไทย โดยที่ไม่ได้บอกคุณแม่ ด้วยความที่ว่า เวลาเรามีแฟน เราหลง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับแฟน แต่ตอนนั้นก็เรียนดีอยู่ จบมาก็ได้ hornor นะ แล้วตอนที่โดนทิ้ง เสียใจมากแต่ก็ ไม่ได้เรียนตกลงเลย อาจารย์ยังรักอยู่เหมือนเดิม คือเราแยกได้ ระหว่างเรียนกับความรัก เราเป็นคนเน้นที่ความรับผิดชอบเป็นเรื่องๆไป ไม่มาปนกัน เรื่องส่วนตัวกับเรื่องเรียน”

ทว่า เวลารักใครเธอมักจะทุ่มสุดใจ รักมาก ยอมให้ได้ทุกอย่าง

"เวลารักก็รักมาก ทำให้เขาได้ทุกอย่าง เพราะสเป็กฟ้าคือ ชอบผู้ชายอายุมากกว่า อบอุ่น มีความเป็นผู้นำ ด้วยความที่เราชอบผู้ชายอบอุ่น จึงดูว่าเขามีความเป็นผู้นำกับเรา เมื่อพอเราเห็นว่าเขาเป็นผู้นำ เราก็รู้สึกว่า ไม่อยากเลิกกับเขา เลยตามเขากลับมาเมืองไทย เราก็กลับมาเรียนที่เมืองไทย ส่วนแฟนก็ทำงานแล้ว แต่พอกลับมาก็เลิกกัน ด้วยความที่ว่า เราก็งี่เง่า เอาแต่ใจ เขาจึงเลิกกับเราเอง เราโดนทิ้ง

คือเราโดนตามใจมาตั้งแต่เด็ก และเรารู้สึกว่า เราให้ความรักเขาเยอะมาก เราก็ต้องการความรักกลับมาเยอะเช่นเดียวกัน ช่วงอกหักตอนนั้นก็น้ำหนักลดเหลือประมาณ 30 กิโลฯ กว่าๆ เลย แต่การเรียนไม่ได้เสียเลย เพราะยิ่งเรามีปัญหาทางด้านจิตใจ เราก็จะทุ่มให้ เนื่องจากเราเป็นคนที่ทุ่มให้ทุกอย่าง 100% ตอนนั้นเกรดตอนที่เรียนมหิดลอินเตอร์ก็ A หมดเลย ฟ้าได้อันดับ 1 ของคลาสตลอด เมื่อเราเสียใจกับความรักก็เลยทุ่มให้กับการเรียน

เรียนไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย เรารู้สึกว่าถ้าไม่ได้ concentrate ไม่ได้โฟกัส เราก็ยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่ โอเค ถึงแม้จะร้องไห้เราก็ร้องไห้ในห้องเรียน ก็เรียนได้ ไปได้เรื่อยๆ เรียกได้ว่า เป็นการเสียใจรุนแรงเป็นครั้งแรกกับความรัก ทำใจนานมากเสียใจอยู่เป็นปี

คือข้อเสียของฟ้า จะไม่ดูคนที่หน้าตา และฐานะ ไม่ดูอะไรสักอย่างเลย เราขอแค่อบอุ่น อายุมากเท่านั้น พอเริ่มตามใจเรา เราก็จะเริ่มหลง เราไม่เคยสกรีนใครอย่างจริงจัง”

ชีวิตผู้บริหาร ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

งานแรกของเธอเริ่มที่บริษัท ใหญ่แห่งหนึ่งจากอเมริกา ทำได้ไม่นานนักจึงเปิดบริษัทของตัวเองเพราะ Passion ในความงามล้วนๆ

“เราคิดว่าเราเก่งแล้ว เรา Rotate ไปทั่วทุกดีพาร์ทเมนต์แล้ว จึงเริ่มอยากทำของตัวเอง เราเรียนรู้เร็วเห็นทุกอย่างแล้ว แต่พอมาทำเองจริงๆแล้ว "อ๊วกแตก"

เธอเริ่มเปิดบริษัทของตัวเองในช่วงวัย 26 ปีชื่อว่า ทู เดอะ นายน์ จำกัด นำเข้าและจัดจำหน่ายคอสเมติก และสกินแคร์ระดับพรีเมียมจากญี่ปุ่นตัวดัง เช่น Fairy Drops แบรนด์ที่ได้รับรางวัล marie Claire best mascara มา 3 ปีซ้อน , avance แบรนด์ที่ได้อันดับ 1 จากญี่ปุ่นเรื่องเซรั่มให้ขนตายาวมากกว่า 10ปี , White Ichigo organic skincare ที่ดังจาก vogue ของญี่ปุ่นเรื่องความอ่อนโยนและกระจ่างใส

"คือคุณแม่จะเป็น Top Management เป็นผู้หญิงทำงาน ใครๆก็ respect เขาในวงการตลาดหุ้น ส่วนพี่สาวเหมือนเป็นอัจฉริยะ เรียนเก่ง ได้อันดับ 1 ตลอด สอบอะไรก็จะติดอันดับ 1 ทุกครั้ง ขนาดเรียน MBA ที่ Columbia , NY ยังได้อันดับ 1 ของคลาส คุณแม่และพี่พี่สาวอยู่ในวงการไฟแนนซ์ ส่วนเราเหรอบวกเลขยังผิดๆถูกๆเลย เราจึงชอบมาร์เก็ตติ้ง ชอบของสวยงาม เราได้เงินมาก้อนใหญ่มากจากการที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ ตอนนั้นขอคุณแม่ไปเยอะมาก แต่ค่าใช้จ่ายเราน้อยเพราะเราแชร์บ้านกับเพื่อน เงินเหลือมาจากคุณแม่ให้ จึงมาเปิดบริษัท

คือเราเรียนมาร์เก็ตติ้งมาก็จริง แต่เราไม่ได้เรียนเรื่องการทำธุรกิจมา เราก็เลยเอาเงินมาลง ซื้อของ จะจ้างพนักงานเอง ไม่มีเงิน คิดว่าซื้อมาขายไป คิดว่าจะได้เงินเลย ของเราดี ห้างชอบ แต่มันต้องเครดิต 60 วัน แปลว่าอีก 60 วัน ฟ้าถึงจะได้เงินคืนมา เพิ่งเข้าใจคอนเซ็ปต์ตอนนั้น คือเรามีเงินก้อนก็ซื้อของ ทำมาร์เก็ตติ้งไป เงินหมด เลยต้องมานั่งทำทุกอย่างเองหมดเลย เพราะตอนนั้นจะจ้างพนักงาน เราก็ไม่ได้จ้าง เพราะไม่มีเงินหมุน"

เธอนำเข้าผลิตภัณฑ์บิวตี้พรีเมียม "แพงไม่แคร์" เพราะเน้นคุณภาพ และต้องใช้ดีจริง เพราะผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่นำเข้ามาจะผ่านใบหน้าเธอก่อนทุกตัว

“เริ่มต้นจากการนำเข้ามาสคาร่าชื่อ Fairydrops ของญี่ปุ่น ตอนแรกเพื่อนให้ลองใช้ มันดีมาก ปกติไม่เคยมีมาสคาร่าตัวไหนที่ทำให้ขนตาฟ้างอนขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่เลอะ เด้งงอนตลอดวันเลย ฟ้าเลยคิดว่า ทำไมไม่มีขายในเมืองไทย เป็นมาสคาร่าที่เหมาะกับขนตาของคนเอเชียขนาดนี้ น่าจะมีได้แล้ว

เป็นจุดเริ่มต้นที่อยากเอามาสคาร่าตัวนี้มาขายในไทย คิดว่าทุกคนต้องชอบแน่เลย จึงเข้าไปคุยกับทางแบรนด์นี้ที่ญี่ปุ่น แต่เราก็กลัวว่าจะไม่ได้สิทธิ์มาขายในไทย เพราะประสบการณ์ทางด้านเครื่องสำอางก็ไม่มี บริษัทยังไม่ได้ตั้งเลย จึงเกิดบริษัท ทู เดอะ นายน์ ขึ้นในข้ามคืน โลโก้บริษัทวาดเอง ทำตรายางเอง ทำทุกอย่างภายใน 1 วัน แต่ในที่สุดก็ได้สิทธิ์มา หลังจากที่โดนปฦเสธมาหลายทีก็ไม่ยอมแพ้ และพยายามมานานถึง 8 เดือน เขาบอกที่ให้สิทธิ์เราเพราะเรามี passion ในสินค้าเขา

คือสู้มากค่ะ ตั้งแต่เริ่ม ทำเองทุกอย่าง ปกติเขาจะต้องมีเด็กพีซี จัดวางของ เราต้องไปตอนเช้าก่อนห้างเปิด จากที่ไม่เคยทำอะไร ต้องมานั่งจัดวางสินค้าที่ห้างเอง เวลาไปส่งของก็ต้องไปส่งตรงถังขยะ กลิ่นเหม็นมาก เราก็ไปส่ง ตัวเหม็นมาก เพราะตอนนั้นยังไม่มีเงินจ้างพนักงาน พอขายได้ก็เริ่มมีเงินหมุน ทีมงานเพิ่มมากขึ้น แต่ก็เจอปัญหาเรื่องต่างๆที่ทำให้ท้อหลายทีมาเยอะมากมายจนกระทั่ง ปัจจุบันนี้มีพนักงานในออฟฟิศฟ้ามีประมาณ 20 กว่าคน”

สปอร์ตเกิร์ลตัวแม่ ออกกำลังกายท่ายาก งานถนัด

เธอเล่าว่าชอบออกกำลังกายมาก แต่ละอย่างจะผาดโผนท้าทายทั้งนั้น เช่น Aerial Silk (กายกรรมบนผืนผ้า), Pole fitness (ระบำรูดเสา) อีกทั้งเคยเป็นนักกีฬาไอซ์สเก็ตเป็นตัวแทนไทยไปแข่งต่างประเทศตั้งแต่เด็ก


“ด้วยความที่คนออกกำลังกายหนักจะมีเหงื่อออกมากกว่าคนปกติ อย่างฟ้าส่วนใหญ่จะออกกำลังกายเป็นยิมโอเพ่น และด้วยความที่เราไม่ชอบความเหนอะหนะ และ concern เรื่อง beauty & hygiene ล่าสุด จึงนำเข้าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลเฉพาะจุด เช่น รักแร้ ขน และกลิ่นตัว ตอนแรกไปเจอความเด่นของสินค้าที่เกาหลีก่อน เพราะไปเดินในเมียงดง เห็นร้านโอลีฟยัง คนก็ไปมุงซื้อเยอะมาก เราก็ไปดู และซื้อตามมาลอง มันจะเป็น Packaging สีชมพูชื่อ shro waki hime ทารักแร้ ขาวขึ้นภายใน 30 วินาที แล้วสามารถทำความสะอาดรักแร้ด้วย เหงื่อออกน้อยลง ไม่ชื้น ก็เลยชอบมากอยากนำเข้า ตอนแรกก็คิดว่าเป็นของเกาหลี แต่ไม่ใช่ของญี่ปุ่น ฟ้าก็บินไปญี่ปุ่นไปตามหาตัวนี้เต็มที่เลย เพราะใช้แล้วชอบมาก เวลาฟ้าออกกำลังกายจะใส่เสื้อแขนกุดไงวงแขนจึงต้องขาว

หลังจากนั้นก็ไปเจออีกสินค้าที่ขายอยู่ข้างๆเค้าที่ Loft ญี่ปุ่น ยี่ห้อ QB เป็นครีม Deoderant แล้วก็หลงรัก คือไม่ใช่ดีโอเดอแรนท์ธรรมดาเพราะ ไม่ใช่การใช้กลิ่นกลบกลิ่น แต่อันนี้คือทำให้ไม่มีกลิ่น การทาครีมเข้าไปแล้วฆ่าแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเลย มันสามารถความคุมกลิ่นอยู่ได้ถึง 7 วัน จากการทาครั้งเดียวที่ ใต้รักแร้ ง่ามเท้า หรือหลังหู มันจะทำให้ไม่ให้มีกลิ่นเลย คือเหมือนครีมอยู่ใต้ผิวหนังเรา อาบน้ำก็ไม่หลุด จะฆ่าแบคทีเรียที่อยู่ใต้ผิว เพราะแบคทีเรียทำให้เกิดกลิ่น ใช้บริเวณเท้าได้ด้วย เพราะคนญี่ปุ่นจะแคร์เรื่องกลิ่นมาก ตอนครั้งแรกฟ้าลองใช้กับเท้าเวลากลิ่นหายเลย

เวิร์คสุดๆ คือเป็นเทคโนโลยีที่เป็นบริษัทนี้เจ้าเดียวที่ทำได้ QB ดังและฮือฮามากที่ไต้หวันดาราไต้หวันดังออกมาแนะนำเองเลย ใช้ได้ทั้งหญิงและชายค่ะ เพราะคนญี่ปุ่นเค้าจะเน้นเรื่องมีคุณภาพ
 ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดประเภทรักแร้ shro waki hime ,QB 7 Days long-lasting Deoderant ,Slinky Touch
ที่ญี่ปุ่น Category นี้โตเร็วมาก ฟ้ามาศึกษาในประเทศไทยกำลังโต ประมาณ 5% ฟ้าคิดว่ามันเป็นของทีคนที่มีปัญหาอย่างเรา หรือผู้หญิง ใครๆก็อยากรักแร้ขาว ไม่อยากมีขน ไม่อยากมีกลิ่น แล้วอีกตัวที่ชอบมากก็เป็นครีมกำจัดขน จากแบรนด์ Slinky touch ค่ะ ของญี่ปุ่นเหมือนกัน เพื่อนเกย์ต่างชาติแนะนำตัวนี้มาบอกให้ลองดู มันดีมาก เพราะใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงค่ะ มันเป็นครีมที่ทาแล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที ใช้ทิชชู่เช็ดเบาๆ ขนหลุดออกมากับรากเลย ไม่อันตรายไม่ต้องใช้ไม้พายทา สามารถใช้มือทาไปเลย เพราะมันอ่อนโยนมาก เหมือนทาครีมธรรมดา แล้วขนก้อหลุด ไม่เจ็บเลย เหมือนแค่ทาครีมแล้วเช็ดครีมออก แต่พอเช็ดขนหลุดออกมาทั้งรากเหมือนขี้ไคล และผลลัพธ์คือ ผิวฟ้าหลังใช้ นุ่มเนียนมาก ไม่ระคายเคืองเลย ไม่แสบ ผิวจะขาวกว่าเดิมด้วย ขนขึ้นใหม่ก็ขึ้นช้ากว่าเดิมมากและบางลง

ฟ้าโพสลงไปใน Facebook ส่วนตัวเพื่อนถามใหญ่เลย (หัวเราะ) คือเราอยากให้คนไทยใช้ของดีมีคุณภาพ จะวางขายเดือนหน้าสิงหาคมนี้ค่ะ แต่เพื่อนๆสั่งซื้อกันทางไลน์ฟ้าหมดละ (หัวเราะ)” เธอเปิดเผยถึงผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดที่นำเข้ามาภายใต้ Jillmika และจะวางขายเร็วๆนี้ในไทย

ทุกข์หนัก "ใครเป็นฟ้า...ก็รับไม่ได้หรอก!"

แม้ชีวิตจะสุดแสนเพอร์เฟ็กต์สุขสบาย จนหลายคนอิจฉา ทว่า ล่าสุด เธอตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ที่ “หนักมาก” ที่พึ่งทางใจคือ “พระพุทธศาสนา” เธอย้ำการ “ปล่อยวาง” และเรียนรู้ความจริงจากการปฎิบัติวิปัสสนา คือทางออกปลดทุกข์ได้ดีที่สุด

“ช่วงทุกข์หนัก เราเริ่มรู้สึกได้เลยว่า ปฏิบัติวิปัสสนาด้วยสติปัฏฐาน 4 เพราะอะไร เพราะทำให้เราอยู่กับปัจจุบันได้ มองความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและยอมรับได้ แก้ปัญหาไปตามเรื่อง ทำให้เรามีสติ มองทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, ลาภ ยศ ชื่อเสียง ทั้งหมด มีอยู่มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอเราไม่มีอะไรแล้ว นั่นคือธรรมจริงๆ มันคือตัวทุกข์ที่ทำให้เราเห็นธรรม อยากพ้นทุกข์ เราเจริญสติปัฎฐาน 4 เพื่อให้มีสติพิจารณาว่าทุกข์คืออะไร อยู่ที่เราเองนี่ เพราะฉะนั้นทำให้อยู่อย่างทุกข์น้อยที่สุดได้อย่างไร ให้อยู่กับทุกอย่างที่เราเจอได้อย่างไรโดยไม่ทุกข์และไม่ต้องหนีไปเรื่อยๆ ทุกอย่างไม่เที่ยง ดูว่าแต่ก่อนเป็นนักเรียนดีเด่นเป็นตัวอย่าง แต่เราตกมาได้ ทุกอย่างไม่จีรัง ถาวร นี่คือธรรมเลย แต่เมื่อเราปฎิบัติดี อยู่กับปัจจุบัน ทำหน้าที่เราให้ดีที่สุดทุกวัน รู้ทันจิตตัวเอง ก็ไม่ทุกข์แล้ว

แต่ก่อนพอไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้วเราเจอทุกข์กะทันหันเนี่ย มันช็อกไปเลยนะ ตั้งสติไม่ได้ ตอนไม่ได้ทุกข์เคยลองไปปฏิบัติธรรมก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่รู้สึก และคิดว่าเราก็มีสติอยู่แล้วนี่ เพราะไม่ได้เข้าใจตัวทุกข์ที่เกิดจากใจจริงๆ และไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่พอเราเจอทุกข์ที่มันหนักจริงๆ เราก็รู้แล้วว่า โอเค เราต้องมีสติเพื่อให้รู้ว่าเมื่อต้องเจอทุกข์หนักมันอยู่ได้ ทำให้ไม่เอาตัวเราไปยึดติดกับสิ่งอื่นๆ อยู่กับตัวเราจริงๆ ยอมรับในทุกอย่าง เพราะว่าทุกอย่างมีขึ้นมีลง มีลงก็มีขึ้น มีมาแล้วมันก็หายไป สติมันช่วยตรงนี้ ทำให้อยู่กับทุกอย่างมาได้ พร้อมจะเจอได้ทุกอย่าง

ฟ้าปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ ดีมากเลย กับพระอาจารย์ชู ท่านเป็นพระธรรมทูตค่ะสอนวิปัสสนาสติปัฎฐาน 4 และ เทศน์ธรรมะเก่งมาก สามารถทำให้เรื่องที่เข้าใจยากเป็นเข้าใจง่าย เมตตาสูงมาก ลูกศิษย์หลวงปู่ทอง จากวัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่ คือตอนแรกที่ทุกข์หนัก คนไปบอกให้ไปบวช ฟ้าก็แบบทำแล้วได้อะไรขึ้นมาเหรอ เราทุกข์หนักจะตายแล้ว ใครมาเป็นฟ้าก็รับไม่ได้หรอก ไม่เอาแล้วไม่อยู่ดีกว่า ไปอยู่ที่วัดบวชชี นุ่งขาวห่มขาว เรารู้สึกว่า ยังไงทุกข์มันก็ยังอยู่ๆดี แต่พอมาเจอพระอาจารย์ชู ท่านเทศน์ว่า ทุกข์ที่เราเจอคืออะไร แล้วสิ่งนี้คืออะไร เขาก็สอนว่าการปล่อยวางคืออะไร เพราะหลายคนบอกให้ปล่อยวาง ฟังดูง่ายนะ แต่เอาเข้าจริงยากมาก

พระอาจารย์เทศน์เก่งมาก เข้าใจง่ายมากแค่ 30 นาที เราปล่อยวางได้ คิดได้ มองออกแล้ว เพราะตอนแรกเราเห็นทุกข์หนัก เห็นทุกข์เต็มๆ ชีวิตเราไม่เห็นอะไรแล้ว จบแล้ว เห็นแต่ทุกข์ เขาบอกว่ายิ่งเราเห็นทุกข์ก็แปลว่าเราเห็นธรรมแล้ว เพราะถ้าฟ้าอยู่ในชีวิตสบายมาเรื่อยๆ ไม่มีอะไรเลย เราก็ไม่ได้อยากจะออกจากทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ให้เห็น แต่จริงๆแล้วทุกอย่างรอบตัวเราคือทุกข์ เพราะเรามาปฏิบัติธรรมเราเห็นในความเป็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดมาเพราะอะไร และสิ่งที่ทำให้ฟ้าคิดได้คือ ศาสนาพุทธสอนดีมาก คือให้มองปัจจุบันจริงๆ ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ศาสนาพุทธตอบได้หมด เพราะเขามองจากปัจจุบัน

ตอนเกิดเรื่องเราก็คิดว่าทุกอย่างแย่ละ รอบด้านเลย ปัญหาที่บริษัท ครอบครัว สังคม สุขภาพเสีย ความรักพัง แถมยังกระดูกมาหักอีก มันคือจุดจบแล้วใช่มั้ย อยู่ไม่ได้แล้วแหละ คิดได้แค่นี้เอง มืดไปหมด แต่พอเรามามองตรงนี้ โอเค ปัจจุบันเราเป็นอย่างนี้นะ อดีตคืออดีต ค่อยๆแก้ แล้วเราก็ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำจิตเราให้แข้มแข็ง เราก็อยู่ได้ ทุกอย่างทำให้เรามีสติ เด้งขึ้นมาเลย เบาสบายใจขึ้นมาเลย


แต่ก่อนเราไม่เคยคิดหรอกว่าศาสนาช่วยได้คนที่เลิกกับแฟนก็ไปนั่งสมาธินุ่งขาวห่มขาว นั่งๆนอนๆ ก็ไม่เห็นว่ามันจะดีขึ้นเลย คนที่เครียดไปนุ่งขาวห่มขาวก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นเลย กลับมาก็ยังเห็นเค้าทุกข์อยู่ แต่พอเราเห็นทุกข์จริงๆ แล้วเรารู้ว่าเราปฏิบัติและเรียนรู้ธรรมไปเพื่ออะไร สติมีความสำคัญยังไง มันทำให้เราอยู่ได้ในโลกยังไง มันเปลี่ยนทุกอย่างไปเลย ไม่ใช่แค่ไปวัดเฉยๆ ธรรมะและการฎิบัติให้ตัวเองมีสติ สำคัญกว่าการไปวัดเพื่อเราคิดไปเอาบุญโดยไม่ได้คิดจะ ให้ตัวเองโดยการทำให้เราเข้าใจหลักธรรม คำสั่งสอน มีสติที่เข้มแข็งเตรียมพร้อมกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น เพราะทุกอย่างไม่แน่นอนจริงๆ

ความทุกข์ครั้งนี้สอนอะไรเราได้หลายอย่างเลย สอนให้รู้ว่า เพื่อนแท้คืออะไร คือแต่ก่อนเราทำงานมาทุกคนก็ซับพอร์ตเรา ทุกคนดีกับเรา แต่พอมีปัญหาขึ้นมา เราจะเห็นเลยว่า คนไหนตั้งใจจะถีบเราลง เหยียบเราให้จม ความทุกข์ทำให้เห็นหลายๆอย่างได้ชัดขึ้น แต่ที่ดีที่สุดคือ ทำให้เราได้เห็นธรรม เกิดมาถือว่าขอบคุณทุกข์ที่ทำให้เห็นสิ่งที่ดีในชีวิต คุ้มค่าที่เกิดมา

เรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรม ไม่มีสติ เราคงตายไปแล้วจริงๆ เพราะทุกอย่างเข้าประเดประดังมาเต็มไปหมด ทุกอย่างอนิจจัง อนัตตา ตอนนี้ปล่อยวาง เข้มแข็งได้เยอะมาก ฟ้าโชคดีที่มีกัลยาณมิตรนะ โชคดีมาก เราควรคบกับคนที่เป็นบัณฑิต นำพาเราไปทางที่ดี เพราะ ความทุกข์สอนเรา เปิดทางให้เรา แต่เราควรมีสติ เลือกทางที่ถูก ทุกข์ก็รู้ รู้ที่ใจเราก็พอ รู้ที่จิต ทุกข์ก็จะบางลง เราอย่าไปจมกับปัญหาตรงนั้น ศาสนาพุทธสอนให้เรารู้ว่า เวลาเรามีทุกข์เราจะเดินต่อไปยังไง แก้ปัญหายังไง อยู่กับมันอย่างไร ศาสนาพุทธและธรรมะช่วยเราไว้จริงๆค่ะ ตอนนี้ฟ้าก็ตั้งใจปฎิบัติสติปัฎฐาน 4 ทุกวัน เพราะมันคือการฝึกให้จิตเราแข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆค่ะ อย่าทิ้ง” พร้อมทั้งกล่าวทิ้งท้ายอย่างปล่อยวาง และไม่ยึดติด

ทุกข์มันเกิดขึ้นที่ใจเรา…ถ้าเราไปอุ้มขึ้นมาอีก “มันก็ทุกข์”
->ชมคลิปออกกำลังกายสุดสตรอง












ประวัติ

ชื่อ-นามสกุล : จิลมิกา เฉลิมสุข

ชื่อเล่น :ฟ้า

ตำแหน่ง : กรรมการผู้จัดการบริษัททูเดอะนายน์ จำกัด

เกิด : 13 เมษายน 2528

อายุ : 31 ปี

ความสามารถพิเศษ : Ice Figure Skating ,Aerial Silk ,เล่นเปียโน

การศึกษา ระดับประถม โรงเรียนราชินีบน , อัสสัมชัญคอนแวนต์
             ระดับมัธยม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
             ระดับปริญญาตรี Mahidol University International College
             ระดับปริญญาโท Durham University
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite

เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร

ภาพ : พลภัทร วรรณดี และขอบคุณภาพและคลิปจาก อินสตราแกรม @fah_jilamiga



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น