สภาพอนาถ..ไม่รู้ผ่านสายพานหรือสนามรบมากันแน่!!? กระเป๋าเดินทางถูกห่อด้วยเทปกาวหลายทบ เพื่อประสานแผลฉีกขาดจากการกดทับและเสียดสีอย่างแรงจนหลุดออกเป็นเสี่ยงๆ ข้าวของภายในแทบไม่เหลือสภาพเดิม เสื้อผ้าขาดวิ่น แม็คบุ๊กงอหงิก ที่หนีบผมหักพัง เครื่องสำอางเละครบเซต ฯลฯ สายการบินปัด ปลอบขวัญได้แค่ 2,000
ผู้เคราะห์ร้ายทนไม่ไหว โพสต์แฉจนกลายเป็นประเด็นร้อน คู่กรณีจึงยอมควักเพิ่ม สังคมตราหน้า นี่แหละตัวอย่างความสะเพร่าจากระบบขนส่งผ่านสายพานแห่งประเทศไทย!!
ห่อซากด้วยเทปกาว แล้วปลอบขวัญแค่ 2,000...
[แพ็กเกจใหม่ หลังกระเป๋าถูกฆาตกรรม]
รอแล้วรอเล่า... กระเป๋าบนสายพานที่เป็นของเราก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมา เจ้าของกระเป๋าเคราะห์ร้ายจึงตรงดิ่งไปสอบถามพนักงาน “Thai smile” เพื่อขอคำอธิบายว่ากระเป๋าเดินทางของเธอที่มากับเที่ยวบิน WE8672 ภูเก็ต-กรุงเทพฯ หายไปไหน?
“เช็คในระบบแล้ว ไม่มี tracking กระเป๋าของผู้โดยสารเลยค่ะ ตามปกติ เมื่อผู้โดยสารโหลดกระเป๋าแล้ว พนักงานจะต้องนำส่วนต่อของ tag กระเป๋ามาติดลงกระดาษด้วยมืออีกทีเพื่อเป็นหลักฐาน แต่เช็คในใบนั้นแล้ว ก็ไม่มี tag กระเป๋าของผู้โดยสารเหมือนกัน”
หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อได้รับคำตอบจากพนักงานสายการบินรอยยิ้มคู่ฟ้า ในเวลาเกือบเที่ยงคืนของวันที่ 5 พ.ค. ผู้โดยสารเคราะห์ร้ายรายนี้จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านอย่างไร้สัมภาระไปก่อน ได้แต่นอนไม่หลับทั้งคืนเพื่อรอผลการตรวจเช็คว่า กระเป๋าที่ไร้ tag และหลุดออกจากระบบใบนั้น จะถูกนำไปเก็บไว้ที่ห้องกระเป๋ามีปัญหา (Problem Bag) แล้วหรือไม่
กระทั่งเมื่อช่วงเที่ยงของเช้าวันถัดมา จึงได้คำตอบจากปลายสายติดต่อกลับมาว่า เจอกระเป๋าที่มีลักษณะคล้ายกับกระเป๋าของผู้โดยสารแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของกระเป๋าจะได้แสดงความดีใจกับข่าวดีเมื่อสักครู่ ก็กลับมีข่าวร้ายเพิ่มเข้ามาใหม่ว่า กระเป๋าของเธอได้รับความเสียหาย สิ่งของบางส่วนหลุดออกมานอกกระเป๋า แต่ทางสายการบินได้เก็บและแพ็กรวมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว และจะจัดการส่งให้ถึงบ้านอย่างเร็วที่สุด
กลิ่นทะแม่งๆ ของข่าวร้ายดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของกระเป๋าผู้เคราะห์ร้ายจึงตัดสินใจเดินทางไปรับกระเป๋าด้วยตัวเอง ก่อนพบสภาพที่เห็นแล้วต้องตะลึง! เพราะมันเยินยิ่งกว่าเยิน ยิ่งกว่าที่ใครจะเตรียมใจคาดคิดไว้แน่ๆ
[สภาพของภายใน แทบไม่เหลือเค้าเดิม]
“เราเห็นสภาพของเราแล้ว รับไม่ได้เลยค่ะ เสื้อผ้า ของของเราไม่ครบนะคะ ในรูปคือสิ่งของที่เหลือกลับมา ได้กลับมาก็พัง เยิน แบบไม่สามารถใช้งานต่อได้แล้ว ยังไม่รวมที่หายไป หายเยอะเหมือนกันค่ะ... พนักงานแจ้งว่า จากสภาพกระเป๋าแล้ว น่าจะโดนรถทับแล้วลากค่ะ แต่ไม่รู้ลากแบบไหน บอกว่ามันตอนกลางคืนแล้ว อาจจะหล่นไปอยู่ตรงไหนแล้วไม่มีใครเห็น เหอะๆ"
[แม็คบุ๊ก งอหงิก]
[เสื้อผ้าทุกตัวขาดลุ่ย ส่วนตัวนี้เห็นได้ชัดว่า มีเขม่าจากประกายไฟ ผลจากการลากอย่างแรง]
[ทุกอย่างในนั้นหักหมด]
[แม้แต่เครื่องสำอางก็ไม่เหลือชิ้นดี]
เมื่อทวงถามความรับผิดชอบจากเจ้าพนักงาน ผ่านน้ำเสียงจุกจนเกือบจะพูดไม่ออก ก็มีเพียงการตอบสนองจากอีกฝั่งที่บอกเอาไว้ว่า...
“ขออภัยผู้โดยสารด้วยนะคะ ทางเราเสียใจด้วยจริงๆ แต่ต้องกราบเรียนผู้โดยสารว่า กรณีกระเป๋าได้รับความเสียหาย ทางสายการบินจะเสนอเป็นค่าชดเชย 2,000 บาท หรือให้เลือกเป็นกระเป๋าใบใหม่จากร้านขายกระเป๋าเดินทางที่สายการบินมี connection อย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ ส่วนทรัพย์สินในกระเป๋าของผู้โดยสาร ทางสายการบินไม่มีนโยบายรับผิดชอบในส่วนนี้”
“ถ้าคุณเป็นผู้เสียหาย กระเป๋าคุณหายไปไหนไม่รู้ พอคุณได้คืนมาอีกที กระเป๋าคุณก็อยู่ในสภาพนี้ แล้วสายการบินบอกไม่รับผิดชอบ คุณจะรู้สึกยังไงคะ?”
เจ้าของกระเป๋าเดือดหนัก!! ต้องการการแสดงความรับผิดชอบที่สมเหตุสมผลกว่านี้ “เราขอคุยกับคนที่คุยได้รู้เรื่องกว่านี้ หรือคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่านี้ แต่ไม่มีใครว่างเลยค่ะ ไม่มีคนมาดูแลเราเลย ทุกคนอยู่ประจำจุดของตัวเอง บางคนอยู่คนเดียว ไม่สามารถทิ้งงานปลีกตัวมาคุยเรื่องค่าเสียหายกับเราได้ คนที่มาคุยกับเรานี่ก็พูดปัดความรับผิดอย่างเดียว”
ส่วนพนักงานคนที่อยู่ตรงหน้า ก็ให้คำตอบได้เพียงแค่ว่า ทางพนักงานไม่มีสิทธิตัดสินใจในเรื่องนี้ หากต้องการร้องเรียน ต้องส่งอีเมลไปยังฝ่าย Customer Service ของสายการบิน Thai Smile เพื่อนำเรื่องขึ้นบอร์ดประชุมเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนเป็นกรณีไป ทางผู้เสียหายจึงทำตามขั้นตอนนั้น ก่อนตัดสินใจโพสต์ระบายความจริงทั้งหมดนี้ลงในกระทู้พันทิปที่ใช้ชื่อว่า “สายการบินยิ้มยิ้ม กระเป๋าพังเละเทะ ยิ้มไม่ออกแล้วค่ะ”
แบบนี้ต้องฟ้อง!! ผู้คนบนโลกออนไลน์คิดเห็นตรงกัน และช่วยออกแรงโหวตจนกระทู้ดังกล่าวขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ แชร์กันจนกลายเป็นประเด็นเดือดบนโลกออนไลน์ และนี่คือความคิดเห็นส่วนหนึ่งที่ได้ฝากเอาไว้ เพื่อสะท้อนภาพการทำงานของสายการบินผ่านสายตาผู้ใช้บริการ
“ประเด็นเรื่องการชดใช้ค่าเสียหาย 2,000 นี่มันน้อยไปหน่อยนะ ถึงแม้ว่ามันจะมีเงื่อนไขอยู่ก็เถอะ”
"เป็นราคาชดเชยที่...มากๆ เหมือนชดเชยแบบขอไปที ไม่แหกตาดูความเสียหายแล้วประเมินค่าของทรัพย์สินเลย"
"จริงๆ นะหลายๆ ครั้ง สายการบินมัดมือชกมากๆ มีสิทธิเปิดได้ทุกใบ อ้างเพื่อความปลอดภัย นั่นก็ยังพอทน... ชดเชย 2,000 เหตุสุดวิสัย เช่น ขนส่งแล้วเกิดอุบัติเหตุ ก็ยังพอทน… แต่พังเละแบบนี้!! ปล่อยให้ตกไปอยู่ในใบพัดเครื่องบินหรืออย่างไร!!?
แถมห่อซากศพด้วยเทปกาวกลับมาแบบนี้ อ้างว่าแค่ 2,000 มันไม่ใช่นะ เหมือนฉันควักเงินให้เธอ 2,000 แล้วจะทำอะไรก็ได้ ฆ่าข่มขืนกระเป๋าได้เต็มที่… แถมบางครั้ง จับมือใครดมไม่ได้ สายการบินหรือการท่าก็พร้อมกันโบ้ย ทำให้นึกถึงอาชีพที่ขโมยของด้วยเงิน 2,000"
“ฟ้องสู้เลยครับ ประกัน 2,000 มันเป็นความเสี่ยงความเสียหายจากการขนส่ง แต่นี้น่าจะเข้าข่ายความสะเพร่า มากกว่า แบบนี้ต้องฟ้องครับ!!”
ปิดเคสพิเศษ ควักให้มาก-จ่ายให้ไว!!
[กระทู้จากเจ้าทุกข์ ที่กลายเป็นประเด็นเดือด จนคู่กรณียอมเพิ่มระดับค่าชดเชย]
ท้ายที่สุด ยังไม่ทันได้ตัดสินใจดำเนินการทางกฎหมายอะไร ก็มีความรับผิดชอบออกมาจากคู่กรณีออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว และนี่คือข้อความที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ได้ชี้แจงเอาไว้ หลังเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อน
“ทางเรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกราบขออภัยอย่างสูงในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสัมภาระของผู้โดยสาร ถึงแม้ความผิดพลาดจะเกิดจากผู้ให้บริการลากจูงกระเป๋าในลานจอด แต่สายการบินฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยินดีรับผิดชอบอย่างเต็มที่
ในเบื้องต้นทางสายการบินฯ ได้มีการชดเชยกระเป๋าใบใหม่ให้แก่ผู้โดยสารแล้ว พร้อมทั้งยืนยันที่จะดูแลความเสียหายของลูกค้าตามมาตรฐานของสายการบินชั้นนำในอุตสาหกรรมการบิน ทั้งในรูปแบบการซ่อมแซมความเสียหาย หรือชำระค่าเสียหายสัมภาระตามการตกลงร่วมกัน
[ยังดี ยังหลงเหลือข้อเสนอที่จำเป็น ณ วินาทีนั้นให้ คือการชดเชยด้วยกระเป๋าใหม่อีกใบในท่าอากาศยาน]
อย่างไรก็ตาม สายการบินไทยสมายล์ ได้นัดพบและพูดคุยกับผู้โดยสารเพื่อตรวจสอบสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้ขอหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเจ้าของสัมภาระที่สูญหาย และสิ่งของที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาชดเชยความเสียหายอื่นๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ สายการบินฯ จะรีบสรุปผลของการพิจารณาการชดเชยความเสียหายอีกครั้ง และจะแจ้งผลให้ลูกค้าทราบในวันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 ตามที่ได้แจ้งลูกค้าไปก่อนหน้า สายการบินไทยสมายล์ ขออภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และยินดีรับฟังทุกข้อเสนอแนะ เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการของเราต่อไป”
[สภาพกระเป๋าที่ใครเจอก็ต้องอึ้ง!!]
นอกจากนี้ ทางรองประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์และการบริการลูกค้า บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ยังได้ติดต่อกับผู้เสียหายโดยตรง และรับปากไว้ว่าจะจ่ายค่าเสียหายเต็มจำนวน ให้สมกับที่เสียทั้งทรัพย์สินและความรู้สึกไปด้วย
“คุณรองประธานแจ้งว่า จะนำเงินส่วนตัวสำรองออกมาจ่ายค่าเสียหายให้เราก่อน และจะรับช่วงต่อไปเรียกค่าเสียหายจาก out source ขนส่ง และเรียกเคลมประกันที่ทางบริษัทได้ทำไว้ อันนี้เราเห็นสมควรว่า สายการบินควรจะทำแบบนี้ตั้งแต่เกิดเรื่องแล้วนะคะ บริษัทควรจะรับผิดชอบเราก่อน แล้วไปไล่เบี้ยเอากับคนอื่นๆ เอง เพราะพิจารณาจากสภาพเคสเราแล้ว มันน่าจะเป็นเคสพิเศษ
คุณรองประธานออกปากขอโทษเรา และคุยเรื่องค่าเสียหายกัน คุยกันนานอยู่เหมือนกันค่ะ เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายของเรา และทางสายการบินเองก็อยากรีบปิดเคสนี้ให้ได้เร็วที่สุด สรุปคือเราจะได้รับเป็นเงินเต็มจำนวนตามรายการที่ทำไปให้สายการบิน ถึงแม้มันจะเทียบไม่ได้กับสิ่งของต่างๆ ที่เราเสียไป ทั้งที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้และไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้
เช่น รูปของเรากับเพื่อนๆ และรูปรับปริญญาของเรา 2 ปีที่ไปเรียนต่างประเทศ และไฟล์เอกสารสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่าง รวมถึงเวลาที่เราเสียไปเพื่อใช้ในการตามเรื่อง ตามใบเสร็จสินค้า (เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานในการเรียกค่าเสียหาย ตามราคาสินค้าตามจริงในวันที่ซื้อ) ต้องไปนั่งหาซื้อของใหม่ แต่อย่างน้อย เราก็ได้รับค่าเสียหายเป็นพี่พอใจเราประมาณนึงแล้วค่ะ
พร้อมกันนี้ ทางเราก็ขอขอบคุณสิ่งที่ทาง Thai Smile ที่ชดเชยความรู้สึกที่เสียไป ด้วยตั๋วเครื่องบินแบบเปิด (ไป-กลับ) จำนวน 10 เที่ยว ด้วยนะคะ นี่เป็นสิ่งที่เขารับปากมา เมื่อเราเห็นว่าทางผู้ใหญ่เขาแสดงสปิริตและออกมารับผิดชอบแล้ว เราก็จะรวบรวมใบเสร็จส่งให้ทางสายการบิน เพื่อให้ความช่วยเหลือในการนำไปเคลมกับ out source และบริษัทประกันต่อไป”
เกี่ยวกับกรณีนี้ ยังมีดรามาอีกประเด็นในหมู่ผู้ติดตามว่า สิ่งที่ผู้เสียหายทำผิดพลาดไปคือ การตัดสินใจโหลดคอมพิวเตอร์หรือแม็คบุ๊กลงไปในกระเป๋าเดินทาง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อเกิดประกายไฟจนก่อให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ แต่เมื่อลงไปดูรายละเอียดกันดีๆ แล้ว จะพบว่าสายการบินไม่ได้ห้ามการโหลดเครื่องคอมพ์ลงไปใต้ท้องเครื่อง มีเพียง power bank หรือแบตเตอรี่เสริมแบบพกพาเท่านั้นที่ถูกห้ามไว้
[ด้านหลังแม็คบุ๊ก เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่ความผิดเรื่องการโหลดโน้ตบุ๊กลงเครื่อง เนื่องจากเขม่าที่เห็น ไม่ได้เกิดจากการระเบิดแต่อย่างใด]
และที่สำคัญ กรณีนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการโหลดสิ่งของลงเครื่องของเจ้าทุกข์ด้วยซ้ำ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ได้อยู่ระหว่างที่กระเป๋าเจ้ากรรมอยู่ใต้ท้องเครื่องแล้ว แต่เกิดจากความสะเพร่าในระบบขนส่งไปยังสายพานของสายการบิน จนเป็นเหตุให้กระเป๋าสภาพดีๆ ต้องถูก “ฆาตกรรม” จนกลายเป็น “ซาก” แบบนี้...
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
รายละเอียดเพิ่มเติม: pantip.com/topic/35205725
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- แจงเหตุ “กระเป๋ากลายเป็นซาก” ไทยสมายล์ชี้ “ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754