xs
xsm
sm
md
lg

ฝรั่งหล่อหัวใจธรรมะ "คาเมรอน" ติวเตอร์สู่ "พระสตีฟ" ขวัญใจคนดู

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คาเมรอน แนนซ์ (Cameron Nance) ชื่อนี้หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าคัดลอกไปให้ Google ช่วยหาให้ สิ่งแรกที่ขึ้นมาก็คือ ชื่อ และ "ไอจี camnance11" หากเข้าไปดูจึงพบว่า เขาเป็นนักแสดง และนายแบบที่พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้ อีกทั้งยังเคยเป็นติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษให้กับพระนักคิด นักเทศน์ชื่อดัง "ว.วชิรเมธี" ก่อนจะมารับบทเป็น "พระสตีฟ" ใน "ส้มตำแฮมเบอร์เกอร์" ซีรีส์จากปลายปากกาท่าน ว.วชิรเมธี ซึ่งออกอากาศทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24

เส้นทางชีวิตในเมืองไทย

ฝรั่งนายแบบวัย 27 ปี เล่าย้อนกลับไปถึงการมาเยือนไทยครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 19 ปี เขาบอกว่า มาอยู่ไทย 2 ปีในฐานะผู้สอนศาสนาคริสต์ ได้เรียนรู้การพูดภาษาไทยจากการต้องสอนศาสนาเป็นภาษาไทย แม้จะอยู่ได้ไม่นานแต่ก็หลงรัก และดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของไทย

"ผมรู้สึกรักเมืองไทยมากๆ อยากให้เมืองไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตตลอดไป นอกจากเข้ามาสอนศาสนาแล้ว ตอนนั้นผมก็เริ่มคิดตั้งบริษัทอะไรสักอย่างเพื่อให้ผมได้มาอยู่เมืองไทยบ่อยๆ แต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เพราะต้องบินกลับไปเรียนต่อที่อเมริกา" เขาบอก

หลังจากนั้นเขากลับมาเมืองไทยอีกครั้งในฐานะนักท่องเที่ยว "ผมอยู่ได้ 2-3 อาทิตย์ ก็เริ่มหาอะไรทำ" ฝรั่งหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ด้วยความเป็นคนชอบแฟชั่น โดยเฉพาะเสื้อสูทที่จัดได้ว่าเป็นนักสะสมสูทเลยก็ว่าได้ ผมก็เลยตัดเล่นให้เพื่อน วาดเอง ติดต่อกับโรงงานเอง กระทั่งมีคนที่ไม่รู้จักติดต่อมาหาผมว่าอยากจะได้สูทที่ผมตัด จึงมองว่า ธุรกิจนี้ล่ะ เหมาะกับผมมาก

ในที่สุดก็กลับมาเมืองไทยอีกรอบเพื่อสานต่อธุรกิจนี้ ซึ่งผมมีความสุขมาก เพราะเป็นโอกาสให้ผมได้เดินทางมาเมืองไทยบ่อยๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว"



นักท่องเที่ยวสู่ติวเตอร์ภาษา

"ประมาณ 2 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ผมกำลังจะจบการสอบที่มหาวิทยาลัยในอเมริกา หลังจากสอบเสร็จผมก็กลับบ้าน เปิดโน้ตบุ๊กเล่นเฟซบุ๊ก ผมก็เห็นข้อความจากเพื่อนที่ทำงานในสถาบันสอนภาษาอังกฤษกำลังหาฝรั่งที่พูดไทยเพื่อส่งไปสอนพระรูปหนึ่งที่ จ.เชียงราย มีใครสนใจมั้ย เฮ้ย! (ยิ้ม และชี้มาที่ตัวเอง) ผมพูดไทยได้ อยากไปมาก เขาบอกว่าต้องไปอยู่ที่เชียงรายประมาณ 5-6 เดือน ตอนนั้นผมก็บอกว่า ไป ผมว่างมาก (ลากเสียงยาว)"

คาเมรอน บอกถึงจุดเริ่มต้นในการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษส่วนตัวของพระรูปหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพระรูปนี้เป็นพระรูปใด แต่กว่าจะผ่านด่านการคัดเลือก เขาบอกว่า ต้องสัมภาษณ์ถึง 8 ครั้ง โดยฝ่ายที่ทำการคัดเลือกบอกว่า "ต้องให้แน่ใจว่าฝรั่งที่สอน เป็นคนดี และเป็นตัวอย่างที่ดีจริงๆ"

"กว่าจะได้ไปสอน ผมสัมภาษณ์ประมาณ 8 ครั้ง ถามว่าตัวเลือกเยอะมั้ย เขาบอกผมว่าเยอะนะ สุดท้ายผมก็ได้ไปสอนท่าน บอกตรงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ กระทั่งมารู้ว่าพระรูปนี้คือใคร ผมเห็นรูปครั้งแรกก็ตกใจ เพราะเคยเห็นในหนังสือที่ร้านสะดวกซื้อบ่อยมาก (ลากเสียงยาว) ผมก็ถามย้ำว่า รูปนี้เหรอ เขาก็บอกว่า ใช่ๆ โอ้โห! ตอนนั้นเครียดเลย (หัวเราะ) นี่คืองานใหญ่มากๆ เกิดความประหม่าขึ้นมาทันที

ครั้งแรกที่ได้เจอกับท่านว.วชิรเมธีที่ศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย ท่านใจดีมากๆ ครับ ส่วนผมก็เตรียมบทเรียนไปสอนท่านเยอะมาก (ยิ้ม) เป็นหนังสือ เป็นเอกสาร แต่ท่านยุ่งมากๆ เลย มีคนเป็นร้อยๆ มากราบท่าน มาขอถ่ายรูปกับท่าน ผมได้เรียนรู้อะไรจากท่านมากกว่าผมไปสอนภาษาอังกฤษเสียอีกนะ (หัวเราะ) ด้วยความที่ท่านมีแขก และญาติโยมมาหาไม่เว้นวัน เวลาการสอนภาษาจึงมีน้อย และสอนเป็นบทเรียนไม่ได้ ต้องเรียนภาษาอังกฤษผ่านการนั่งคุยกันแทน ฉะนั้นผมจึงต้องปรับบทเรียนให้เข้ากับสถานการณ์ในแต่ละวัน



ยกตัวอย่างตอนผมนั่งไป จ.เชียงใหม่กับท่าน แน่นอนว่าท่านจะนอน 1 ชั่วโมงเพื่อการพักผ่อน ส่วนผมมีเวลาสอน 1 ชั่วโมง ซึ่งผมจะสอนโดยทำคำถามเป็นภาษาอังกฤษแล้วให้ท่านตอบเป็นภาษาอังกฤษ เน้นการสนทนากันมากกว่า เช่น พูดถึงอดีตใช้รูปประโยคอย่างไร ปัจจุบันใช้รูปประโยคอย่างไร แต่เหตุผลจริงๆ ที่ท่านอยากจะเรียนพูดภาษาอังกฤษ เพราะมีเป้าหมายจะสอนธรรมะให้คนทั่วโลก

ดังนั้นผมจะช่วยท่าน ด้วยการทำให้ธรรมะที่เข้าใจง่ายในแบบของท่าน เป็นธรรมะที่เข้าใจง่ายในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ถ้ามีการแปล ผมจะช่วยแปลให้ หลักธรรมบทไหนผมชอบ ผมก็จะแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วมาแลกเปลี่ยนกับท่าน ซึ่งท่านมีความตั้งใจมากๆ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ท่านก็จะแบ่งเวลาให้"

คริตส์ พุทธ ไปด้วยกันได้

อย่างไรก็ดี นอกจากการเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับพระนักคิด นักเทศน์ชื่อดังแล้ว เขายังเป็นผู้เรียน (ธรรมะ) ไปพร้อมๆ กันด้วย แม้ส่วนตัวจะมีศาสนาคริสต์อยู่ในใจแล้ว แต่ก็เปิดใจกว้างให้กับศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่เน้นให้พึ่งพาตัวเอง พัฒนาตัวเองด้วยความเพียร

"พุทธกับคริสต์มีสิ่งที่คล้ายๆ กันมากคือ การเอาหลักคำสอนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำได้ ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียนหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพราะผมมีศาสนาของตัวเองแล้ว แต่ยิ่งอยู่กับท่านว.วชิรเมธี ผมได้ซึมซับคำสอนที่เรียบง่ายจนบางอย่างผมเกิดอาการ เฮ้ย! อันนี้ใช่ มันจริงอย่างที่ท่านบอก แล้วอีกอย่างคือ มันอยู่ในศาสนาของผมด้วย แต่ผมไม่เคยได้ยินใครอธิบายชัดขนาดนี้



หนึ่งในนั้นคือ การอยู่กับปัจจุบัน เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ชอบอยู่กับอนาคตมากๆ ผมจะกังวลเรื่องอนาคตจนเครียด ท่านก็สอนผมว่า ไม่ต้องไปเครียดเรื่องอนาคต เพราะมันยังไม่เกิดขึ้น ถ้ายังไม่เกิดขึ้น เราจะไปกลัวทำไม มาอยู่กับตอนนี้ ณ ขณะนี้ หรืออยู่กับปัจจุบันดีกว่า ผมก็ถามท่านว่า ผมจะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร ท่านบอกว่า ต้องฝึกสมาธิ โดยเปรียบเทียบให้ฟังเหมือนการเล่นบาส ถ้าเล่นโดยไม่เคยฝึกมาก่อน ก็คงยากที่เล่นได้เก่ง

เช่นเดียวกับการนั่งสมาธิ ถ้าไม่ฝึกก็คงยากที่จะอยู่นิ่งๆ ได้นาน ดังนั้นต้องให้เวลา และฝึกจิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท่านจะนั่งสมาธิกับผมในตอนเช้าทุกวันเพื่อฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบัน ทำแค่นั้น ทุกวัน มันช่วยให้ผมรู้สึกกังวลกับอนาคตน้อยลง ซึ่งมันเห็นผลจริงๆ นะ ตอนแรกทำยาก แต่ถ้าทำบ่อยๆ จะง่ายไปเอง นานที่สุดที่ผมเคยนั่งด้วยการอยู่กับลมหายใจเข้าออก 1 ชั่วโมงครึ่ง แค่นี้ช่วยให้ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ"

ถามว่า ศาสนาคริสต์มีการนั่งสมาธิไหม "มีบ้างครับ" เขาบอก "แต่ไม่ได้ชัดและเรียบง่ายขนาดนี้ อีกอย่างการนั่งสมาธิไม่ได้เกี่ยวกับหลักศาสนามากเท่าไร เป็นการนั่งเพื่อทำให้ตัวเองมีความสุขด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าและออกเพื่อฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบัน ทั้งหมดนี้มีอยู่ในซีรีส์ "ส้มตำแฮมเบอร์เกอร์" ครับ ละครธรรมะที่ทุกคนเอาไปประยุกต์ใช้ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา มันสำคัญที่ว่า คุณอยากมีความสุขหรือไม่"

เล่นเป็นตัวเอง เพิ่มเติมคือห่มเหลือง

จากติวเตอร์ส่วนตัว ได้เรียนรู้ ซึมซับธรรมะจากพระอาจารย์ว.วชิรเมธีจนเปลี่ยนตัวเองให้กลับมาอยู่กับ "ปัจจุบัน" อย่างมีความสุข กระทั่งวันหนึ่งถูกชวนให้มาเล่นละคร รับบทเป็น "พระสตีฟ" ในซีรีส์ "ส้มตำแฮมเบอร์เกอร์" ฝรั่งหนุ่มบ้างานที่นิสัยตรงโผงผาง ภายหลังจากหันหน้าเข้าพึ่งพระพุทธศาสนาเขาก็พบทางสว่างและสงบ พระสตีฟกลายเป็นคนที่เข้าใจโลก และมองเห็นปัญหาและทางแก้ในทุกๆ เรื่อง



"ตอนที่ผมอยู่กับท่าน ว.วชิรเมธี ท่านเคยบอกผมว่ากำลังเขียนบทละครธรรมะอยู่ วันหนึ่งท่านเดินมาหาผมแล้วบอกว่า คาเมรอน ถ้าจะให้เล่นในละครของพระอาจารย์ จะทำมั้ย ผมก็ ห๊ะ! อะไรนะ ผมไม่เคยเล่นละครมาก่อน ท่านบอกว่า กำลังเขียนตัวละครตัวหนึ่งจากนิสัยของผม เป็นคนอเมริกา ติดงาน บ้างาน ชอบอยู่กับอนาคตมากเกินไป สุดท้ายผมก็รับเล่น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเล่นได้ดีมั้ย (ยิ้มแห้งๆ)

ในบทนี้ ต้องบวชพระ โกนหัว โกนคิ้ว และห่มจีวรจริงๆ ตอนแรกผมห่มไม่เป็นเลย (ยิ้ม) ทีมงานต้องสอน ส่วนท่าน ว. แนะนำในเรื่องการแสดงว่า ต้องมีความรัก ผมเรียนรู้เร็วมากในการแสดงออกซึ่งความรู้สึก ทุกตัวละครจะเครียด จะมีปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องเล่นให้ตัวเรามีความรัก ความเมตตา ฉะนั้นผมจะรักทุกตัวละคร อยากช่วยพวกเขาจริงๆ อีกอย่างที่ท่าน ว.สอนก็คือ ต้องยิ้มเยอะๆ" พูดจบก็ยิ้มกว้างให้ดู ก่อนจะบอกถึงผลตอบรับที่ดีเกินคาด

"ผลตอบรับดีนะครับ ถ้าจบภาคนี้แล้วมีซีซั่น 2 ทางช่องถามว่าอยากจะเล่นต่อมั้ย ผมบอกว่า อยากเล่น ถ้าต้องโกนหัว โกนคิ้วอีก ผมโอเค ไม่มีปัญหา ส่วนคนก็มีเข้ามาทักทายบ้าง แต่ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยเท่าไรครับ จะมีก็ตอนไปเล่นสงกรานต์ และไปช่วยงานของท่าน ว. ที่นั่นมีคนมาขอถ่ายรูปเยอะครับ (ยิ้มเขินๆ)"



ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปหรือไม่ เขาบอกว่า "ก็มีแค่..แก้มบวมเพราะยิ้มเยอะครับ (เอามือไปจับที่แก้ม) เพราะผมต้องถ่ายรูป แต่บางครั้งก็ทำให้รู้สึกถึงความเหนื่อยของท่าน ว. นิดนึงนะ ท่านต้องถ่ายรูปกับแขก และญาติโยมเยอะมาก ท่านรับแขกทุกวัน ส่วนชีวิตไม่ค่อยได้เปลี่ยนเท่าไรครับ" เขาเว้นช่วง และพูดอย่างถ่อมตนว่า "ผมยังไม่ดังเท่าไรหรอกครับ (ยิ้ม) ชีวิตเหมือนเดิมครับ"

ด้านครอบครัว และเพื่อนๆ ที่อเมริกา หลังจากได้ทราบข่าวว่า เขาเป็นนักแสดง "ตื่นเต้นกันมากๆ เลยครับ" เขาเอ่ยขึ้น "ทั้งครอบครัว และเพื่อนของผมบอกว่า ซีรีส์ที่ผมเล่น มันเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจเลย (หัวเราะ) ดังนั้นทุกวันอาทิตย์ผมต้องอธิบายให้พวกเขาฟัง เล่าไปหัวเราะไป สนุกดีครับ"

ส่วนอนาคตมีเป้าหมายอยากเป็นนักแสดงในเมืองไทย "ผมอยากเป็นดาราที่เมืองไทยจริงๆ นะครับ ผมอยากมีงานของการแสดง หนึ่ง ผมรู้สึกว่างานในวงการบันเทิงสามารถช่วยให้คนอื่นมีความสุขได้ ตอนแรกผมไม่ได้คิดว่าจะทำงานสายนี้ พอได้มีโอกาสได้ทำ โอ้โฮ! สนุกมาก ไม่เคยรู้สึกลำบากแม้จะต้องตื่นเช้ามากๆ (ลากเสียงยาว) มีแต่ความสุขที่จะบอกกับตัวเองทุกวันว่า ฉันจะตื่นไปทำงาน"



ปัจจุบัน นอกจากงานแสดง งานถ่ายแบบ เขายังมีธุรกิจตัดชุดสูท "Bespoke Custom Clothing" บริการตัด และส่งตามบ้าน ตามบริษัทด้วย

I'm single

ปิดท้าย ไม่ถามไม่ได้ถึงสถานะหัวใจตอนนี้ "โสดครับ ยังไม่มีใครเข้ามาอยู่ในหัวใจเลย" ฝรั่งมาดนายแบบยิ้มเขินๆ ก่อนจะเผยให้ฟังถึงสเปกว่า "ผมไม่จำกัดว่าจะเป็นสาวไทย หรือสาวนอก ขอแค่คนดี มีนิสัยดีก็พอครับ ส่วนตัวผมชอบผู้หญิงที่มีความสุข มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว เพราะผมมองว่า ใจ สำคัญกว่า แต่ตอนนี้ยังไม่เจอเธอเลยครับ (ทำหน้าเศร้าๆ น่าสงสาร) แม้จะเจอกับใครหลายคนที่ดี แต่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจสักที"

พูดจบก็เสริมขึ้นว่า "อ้อ อีกอย่างครับ ผมชอบผู้หญิงรักสุขภาพ ชอบออกกำลังกาย เพราะผมเป็นคนเล่นฟิตเนส ผมรักสุขภาพมาก ถ้าดูแลร่างกายของตัวเองดี สิ่งรอบๆ ตัวในชีวิตก็น่าจะดีด้วย ส่วนรูปร่างหน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับผม เน้นคนดี นิสัยดีครับ"



ดังนั้น เมื่อถามถึงมุมมองความรัก เขาบอกว่า "ความรักคือการเสียสละครับ แม้ผมจะไม่ได้มีแฟนมานานแล้ว แต่ผมก็รู้จักความรักของเพื่อน ของครอบครัว ซึ่งเป็นความรักที่ผมอยากเสียสละ อยากช่วยให้พวกเขามีความสุข นอกจากนั้น ความรักยังเป็นความรับผิดชอบ เป็นการดูแล ห่วงใยซึ่งกันและกันด้วย"

แม้จะเป็นการพูดคุยกันไม่นาน แต่ก็ทำให้เห็นดวงตา รอยยิ้มเป็นมิตร รวมไปถึงตัวตน และมุมมองทัศนคติที่ดึงดูดพอๆ กับหน้าตา แถมมีธรรมะในหัวใจจนกลายเป็นคนที่เข้าใจโลก โดยเฉพาะการกลับมาอยู่กับ "ปัจจุบัน" และอยู่กับความสงบด้วยลมหายใจ

...นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า เวลาที่เริ่มรู้สึกเครียด หรือแม้ต้องการพลังความคิดดี ๆ หากนั่งลงแล้วเริ่มหายใจเข้าออกช้าๆ อย่างละมุนละไม จะช่วยทำให้จิตใจสงบเย็น แถมยังช่วยจัดระเบียบความคิด และไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่รกหัวสมองออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : พลภัทร วรรณดี และขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @camnance11




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น