ในที่สุดการสู้ทางคดีของคู่รักชายรักชายชาวสหรัฐฯ กับหญิงอุ้มบุญชาวไทยก็มาถึงวันแห่งรอยยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อศาลเยาวชนฯ ให้สิทธ์คู่เกย์มะกันเลี้ยงดู "น้องคาร์เมน" โดยชี้ให้เห็นว่า ความเป็นคนรักร่วมเพศไม่ใช่อุปสรรคในการอุปการะเลี้ยงดูเด็กอุ้มบุญให้ได้รับความสุขและความอบอุ่น นับเป็นการต่อสู้เพื่อลูกที่ไม่สูญเปล่า แม้จะยืดเยื้อยาวนานเป็นเวลา 15 เดือนเศษก็ตาม
15 เดือน สู้เพื่อลูกได้กลับบ้าน
ตกเป็นข่าวอื้อฉาวกระฉ่อนโลก กรณีศึกแย่งชิงเด็กระหว่างคู่รักชายรักชายกับคุณแม่อุ้มบุญชาวไทย หลังแม่อุ้มบุญไม่ยอมเซ็นให้ "น้องคาร์เมน" กลับประเทศ เหตุไม่ไว้ใจในรสนิยมทางเพศของทั้งคู่ แถมยังอ้างเรื่องค้ามนุษย์ ทำให้คู่รักเกย์ชาวมะกันออกมายืนยันไม่ใช่ขบวนการค้ามนุษย์ พร้อมต่อสู้ทุกทางเพื่อลูกสาว ปลุกกระแสให้ชาวเน็ตออกมาให้กำลังใจ และมีการลงชื่อสนับสนุนในแคมเปญ #BringCarmenHome ผ่านเว็บไซต์ change.org
นอกจากนี้ยังมีการสร้างแคมเปญรณรงค์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้องคาร์เมนผ่านเว็บนี้อีกหลายสิบเรื่อง และมาจากหลายภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ สเปน และไทย นับเป็นปรากฏการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในโลกโซเชียลฯ ที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจและจับตามอง พร้อมๆ กับการขุดคุ้ยหาความจริงในความไม่ชอบมาพากลของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายหญิงอุ้มบุญชาวไทยที่ถูกโจมตีจากโลกโซเชียลฯ อย่างหนัก
ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของประเด็นดรามา หญิงอุ้มบุญชาวไทยได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะข่าวเด่นทางช่อง 3 เพื่อทวงลูกคืนจากคู่รักชายรักชาย โดยเธอให้เหตุผลที่ไม่เซ็นยินยอมให้เด็กกลับประเทศเพราะมีหลักฐานว่าคู่รักร่วมเพศอาจเป็นขบวนการค้ามนุษย์
เธอเผยถึงสาเหตุที่ยอมอุ้มบุญให้เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นคู่สามี-ภรรยาที่ไม่สามารถมีลูกได้ จึงยินดีทำให้ โดยได้รับเงินค่าจ้างทั้งสิ้น 4 แสนบาท ส่วนทางฟากทนายความของหญิงอุ้มบุญ ให้สัมภาษณ์ว่า คู่รักชายรักชายได้มีการให้แม่อุ้มบุญอีกคนหนึ่งอุ้มบุญให้ ซึ่งเป็นเด็กอายุรุ่นเดียวกับเด็กที่หญิงไทยอุ้มบุญให้ แถมใช้คำพูดที่ทำให้แม่อุ้มบุญเสื่อมเสียเพื่อบิดเบือนประเด็น ทั้งที่ความจริงแล้วกฎหมายไทยไม่ให้ทำการอุ้มบุญ ตนจึงทำหนังสือยับยั้งการเดินทางออกนอกประเทศของเด็ก เพราะไม่มั่นใจว่าคู่รักร่วมเพศมีความบริสุทธิ์ใจจริง
หลังจากนั้น สื่ออีกช่องได้เดินทางไปสัมภาษณ์ทาง คุณกอร์ดอน เลก ชายรักชายชาวอเมริกันที่จ้างให้หญิงไทยอุ้มบุญผ่านบริษัทตัวแทน โดยเขาวอนขอให้หญิงอุ้มบุญเซ็นรับรองบุตร พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการค้ามนุษย์ ก่อนยืนยันตนและคู่รักชาวสเปน (มานูเอล ซานโตส) ดูแลเอาใจใส่ และจ่ายค่าจ้างให้แก่หญิงอุ้มบุญมาโดยตลอด รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ แต่หลังจากคลอดลูกแล้วมักบ่ายเบี่ยงไม่มาพบ และไม่สามารถติดต่อได้
ทว่า ทางฝั่งทนายความของฝ่ายหญิงที่รับอุ้มบุญ ยืนยันว่า ก่อนหน้านี้ยังคงติดต่อกับคู่รักชายรักชายอยู่ ซึ่งได้มีการเข้ามาพูดคุย เพื่อขอให้ตนไปเจรจากับคุณออย (หญิงที่รับอุ้มบุญ) เพื่อให้ยอมยกเด็กให้ตนพากลับประเทศ แต่ชายทั้ง 2 กลับให้ข่าวว่าติดต่อหญิงอุ้มบุญและตนไม่ได้
ต่อมาทางหญิงอุ้มบุญได้ให้สัมภาษณ์ผ่านช่องทีวีดิจิตอลชื่อดัง บอกว่า ยินดีคืนเงินค่าจ้างอุ้มบุญทั้งหมดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมย้ำถึงเหตุผลที่ไม่ยอมมอบสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็กให้คู่รักชายรักชาย ไม่ใช่เพราะเป็นคู่เกย์ แต่พบความไม่ชอบมาพากลในหลายประเด็น โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว ที่ไม่ยอมเปิดเผยความจริง ก่อนจะยืนยันเรื่องความพร้อมในการการเลี้ยงดูเด็กว่าสามารถดูแลได้ เนื่องจากมีรายได้ที่เพียงพอ
อย่างไรก็ดี มีข้อมูลชี้แจงจากอีกฝ่ายพบว่า หญิงอุ้มบุญรายนี้ เคยรับจ้างอุ้มบุญมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรก (เดือนเมษายน) ไปฝังเอมบริโอ (ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะโตไปเป็นเด็กทารกในอนาคตข้างหน้า) แต่ไม่สำเร็จ และการฝังเอมบริโอครั้งนี้ ไม่ใช่ของคุณกอร์ดอน ส่วนครั้งที่ 2 (เดือนพฤษภาคม) ฝังสำเร็จ โดยสเปิร์มเป็นของคุณกอร์ดอน ส่วนไข่เป็นของผู้บริจาคอีกท่าน ไม่ใช่ของหญิงอุ้มบุญรายนี้ ก่อนออกมายืนยันหลังทำการตรวจดีเอ็นเอกับแม่อุ้มบุญ พบว่า เด็กหญิงคาร์เมน เลก ไม่ใช่บุตรโดยสายเลือดของหญิงอุ้มบุญ
นอกจากนั้น ยังเผยข้อมูลอีกว่า มีเทปบันทึกเสียงอย่างชัดเจนกรณีเปลี่ยนใจ ไม่เซ็นยินยอมให้เด็กออกนอกประเทศเพียงเพราะเป็นคู่รักชายรักชาย พร้อมอ้างเหตุผลว่า ไม่สามารถเลี้ยงดูและอบรมให้การศึกษาเด็กได้
ด้านคู่รักชายรักชาย ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพาลูกสาวกลับบ้าน โดยจัดแคมเปญรณรงค์เพื่อพาคาร์เมนกลับประเทศ ผ่านเว็บไซต์ change.org และเขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Bringcarmenhome นอกจากนั้นได้ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางขอให้เด็กหญิงคาร์เมนที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรืออุ้มบุญจากแม่ ซึ่งเป็นหญิงชาวไทย เป็นบุตรตามกฎหมาย
หลังต่อสู้กันมานาน 15 เดือน หรือราวๆ 1 ปีเศษ ในที่สุดศาลเยาวชนฯ ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2559 ให้เด็กหญิงคาร์เมน เป็นบุตรโดยชอบตามกฎหมายของนายกอร์ดอน และมีอำนาจปกครองเพียงฝ่ายเดียว โดยระบุไว้ตอนหนึ่งว่า "...ถึงแม้ว่าผู้ร้องเป็นคนรักร่วมเพศ แต่ความเป็นคนรักร่วมเพศมิใช่อุปสรรคที่จะทำให้ผู้ร้องไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ข (นามสมมติ) ให้ได้รับความสุขและความอบอุ่นเท่ากับเด็กคนอื่นๆ"
#คาร์เมนกำลังจะได้กลับบ้าน
หลังจากถูกหมิ่นประมาท แถมยังต้องสูญเสียเงินเก็บในชีวิตไปกับการต่อสู้คดีเพื่อ "พาน้องคาร์เมนกลับบ้าน" เมื่อศาลเยาวชนฯ อ่านคำสั่งคดี โดยมีคำสั่งให้นายกอร์ดอน เลก (ผู้ยื่นคำร้อง) มีอำนาจปกครองน้องคาร์เมนแต่เพียงผู้เดียว นายมานูเอล ซานโตส คู่รักของนายกอร์ดอน เป็นตัวแทนมาฟังคำสั่งศาล พร้อมกับเผยความรู้สึกผ่านสื่อทั้งน้ำตาว่า ดีใจมากที่ชนะคดี ขอขอบคุณศาล และคนไทยทุกคน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ Bringcarmenhome ได้โพสต์ข้อความตอนหนึ่งแสดงความรู้สึก และขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่อยู่เคียงข้างพวกเขามาตลอด โดยมีแฟนคลับเข้ามาให้แสดงยินดีอย่างต่อเนื่อง
"พวกเรา ครอบครัวของเรา เพื่อนของเรา กำลังร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปีติยินดี และแน่นอนคนไทยทุกคนที่ได้มอบความรักให้กับเรามาโดยตลอดกำลังร้องไห้ไปพร้อม ๆ กับเราเช่นกัน วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับความรัก ครอบครัว และความจริง และถือว่าเป็นวันที่สำคัญเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของบุคคลเพศที่ 3 อีกด้วย
...เรารักประเทศไทยครับและเราสัญญาว่าเราจะกลับมาที่นี่บ่อยๆ และเราจะสอนให้ลูกชายและลูกสาวของเรารักประเทศนี้ด้วยเหมือนกับเราครับ คาร์เมนเป็นลูกครึ่งไทยและเราก็ภูมิใจในสิ่งที่เธอเป็นครับ..." ก่อนจะเผยถึงความดีใจสามารถเปลี่ยนแฮชแท็กจาก Bringcarmenhome เป็น #คาร์เมนกำลังจะได้กลับบ้าน #carmensgoinghome!"
ด้านหญิงอุ้มบุญ ได้เปิดเผยกับทางเนชั่นทีวีว่า เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่ได้มีการพูดคุยกับทนายความแต่อย่างใด ตอนนี้สภาพจิตใจยังคิดไม่ออกว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป มีแต่ความกังวล ในฐานะของคนเป็นแม่ มันยังตัดไม่ได้ ตนพยายามแล้วแต่ยังตัดไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้พูดคุยกับนายกอร์ดินและนายมานูเอล ส่วนจะมีการต่อสู้คดีนี้อย่างไรหรือไม่นั้น คงจะต้องพูดคุยกับทางทนายความอีกครั้ง
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์หรือการอุ้มบุญ พ.ศ.2558 หรือ พ.ร.บ.อุ้มบุญ แต่ในกรณีศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้ตัดสินให้นายกอร์ดอน เลกที่ 3 ชาวอเมริกันได้สิทธ์เลี้ยงดูเด็กหญิงคาร์เมน ซึ่งเกิดจากมารดาอุ้มบุญชาวไทย เป็นบุตรตามพ.ร.บ.อุ้มบุญ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ชี้แจงว่า เป็นคดีก่อนมี พ.ร.บ.อุ้มบุญ อาศัยบทเฉพาะกาลยื่นเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น ในเมื่อตอนนี้ พ.ร.บ.อุ้มบุญมีผลบังคับใช้แล้ว ทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยผู้ที่มีสิทธิ์ทำอนุญาตให้เฉพาะคู่สมรสชาวไทยที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หรือเป็นคนไทยที่แต่งงานกับต่างชาติจะต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่มีบุตร ไม่อนุญาตให้คู่สมรสซึ่งเป็นชาวต่างชาติทั้งคู่ทำ ห้ามมีการซื้อขาย หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนจะต้องมีสัญชาติไทย เป็นญาติสายตรงกับคู่สมรส มีบุตรมาแล้วเช่นกัน หากยังอยู่กินกับสามี จะต้องได้รับการยินยอมจากสามีก่อน ส่วนหญิงโสดไม่สามารถรับตั้งครรภ์ได้
ส่วนผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ให้บริการจะต้องตรวจประเมินความพร้อมทางร่างกายจิตใจ และสภาพแวดล้อมของผู้รับบริการ และหญิงที่รับตั้งครรภ์ โดยสามารถใช้ 2 วิธีคือใช้อสุจิและไข่ของคู่สมรสที่ต้องการมีบุตร หรือใช้อสุจิหรือไข่ของคู่สมรสกับไข่หรืออสุจิบริจาค ห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์ และห้ามทำเพื่อการค้า หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมายทั้งแพทย์ผู้รับทำ นายหน้า และคู่สมรส
"ชาวสีม่วง" ก็เป็นพ่อแม่ที่ดีได้
ในวันเวลาที่ผู้คนมากมายถกเถียงกันหนักหน่วงว่า ครอบครัวต้องประกอบด้วยชายจริงหญิงแท้เท่านั้น คู่รักเพศเดียวกันไม่มีวันเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ แต่ในงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกาซึ่งได้ติดตามผลเด็กที่ถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมจำนวน 106 คนก็ได้เผยให้เห็นถึงสัญญาณที่ดี เมื่อพบว่าเด็กทั้งหมดที่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านใหม่มีพัฒนาการที่ดี และได้รับความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่ โดยทั้ง 106 ครอบครัวที่รับเด็กไปอุปถัมภ์นั้นมีทั้งคู่แต่งงานชายหญิง, คู่เกย์ และคู่เลสเบี้ยนด้วย
ทีมวิจัยดังกล่าวให้ความเห็นว่า ไม่สำคัญว่าพ่อแม่ของเด็กจะเป็นเกย์ เลสเบี้ยน หรือหญิงชายปกติ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การที่เด็กได้เติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีการแสดงออกในเชิงบวกจากพ่อแม่บุญธรรม ก็จะทำให้เด็กๆ เหล่านั้นเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีศักยภาพได้เช่นกัน
กระนั้น การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมของคู่รัก "ชาวสีม่วง" ยังคงมีอุปสรรคอีกมาก เพราะบางรัฐระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
"งานวิจัยของเราไม่ได้ทำขึ้นเพื่อหาเหตุผลให้กับคนรักเพศเดียวกันในการอ้างสิทธิขอรับเด็กไปเลี้ยง แต่ก็ต้องยอมรับว่า สหรัฐอเมริกาเอง มีเด็กด้อยโอกาสจำนวนมากที่ยังรอคอยบ้านให้พวกเขาได้อาศัยพักพิงเป็นการถาวร ต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่บุญธรรม รวมถึงโอกาสต่างๆ ในชีวิต ซึ่งการไม่ปิดโอกาสพ่อแม่ที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน อาจสามารถตอบสนองความต้องการของเด็กๆ เหล่านี้ได้ก็เป็นได้" ชาร์ล็อตต์ เจ. แพทเทอร์สัน อาจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เจ้าของงานวิจัยดังกล่าวเผย
เช่นเดียวกับกรณีคู่รักชายรักชายชาวอเมริกันคู่นี้ที่ต้องต่อสู้สุดหัวใจเพื่อ "พาน้องคาร์เมนกลับบ้าน" จนวันนี้ศาลเยาวชนฯ ให้สิทธิ์เลี้ยงดู "น้องคาร์เมน" แม้จะเป็นผลการตัดสินแค่ศาลชั้นต้น แต่ก็ชี้ให้เห็นทางสว่างของ "กลุ่มชาวสีรุ้ง" มากขึ้น ส่วนชาวสีม่วงคนไทย ถ้าอยากจะใช้วิธีอุ้มบุญ หรือรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม คงต้องรอ พ.ร.บ.คู่ชีวิตกันไปก่อน
ขอบคุณภาพจากแฟนเพจเฟซบุ๊ก Bringcarmenhome
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754