xs
xsm
sm
md
lg

“Roxyjune” ดีเจสาวเบอร์หนึ่งของไทย ของจริง...ไม่ต้องอิงคอมพิวเตอร์!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หวดยับไม่ยั้ง!! ปล่อยจังหวะ “ตื๊ด” กระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจ ให้คอดนตรีได้ปลดปล่อยตัวเองไปกับท่วงทำนองเร้าอารมณ์แบบไม่ปล่อยให้หยุดหายใจ จากฝีมือการมิกซ์สุดเก๋าของดีเจสาวสุดเซ็กซี่ ผู้มีรางวัลแชมป์ “Lady DJ” การันตีความเก่ง พ่วงประสบการณ์ตะลอนทัวร์ต่างแดนมาแล้วกว่า 20 ประเทศ แถมสไตล์การผสานบีทแบบตัวจริง ไม่ต้องอิงคอมพิวเตอร์เข้าช่วย ส่งให้เธอถูกขนานนามว่าเป็น “ดีเจสาวเบอร์หนึ่งของเมืองไทย” และเป็น “เลดี้ดีเจตัวท็อปของเอเชีย” เชื่อเถอะว่าคอเพลงตื๊ดตัวจริง ไม่มีใครไม่รู้จักหญิงสาวตัวเล็กในลุคร็อกเกอร์อย่างเธอ... “DJ Roxyjune”


 

พรสวรรค์ของเบอร์หนึ่ง! หวด+ร็อก+เซ็กซี่

[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]
“Rock” กับ “Sexy” สองคำนี้คือส่วนผสมที่ทำให้เลดี้ดีเจตัวท็อปของวงการขึ้นมาได้ “เมื่อก่อนตอนจูนเป็นดีเจแรกๆ จูนจะชอบใส่เสื้อหนังดำค่ะ เลยจะดูร็อกๆ หน่อย เซ็กซี่นิดๆ แต่ไม่ถึงกับดูล่อแหลมนะ เพราะเรามีลิมิตของเราอยู่ ก็เลยเอาสองคำนี้มาบวกกัน”
 
ดีเจจูน-จิณปราณ ปรีดานนท์ พูดถึงที่มาของชื่อ “Roxyjune” ที่ใช้ในสายอาชีพนี้มากว่า 8 ปี พร้อมแนบรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ กลับมาเป็นของแถม น้ำเสียงห้าวๆ ของเธอช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ดีเจสาวขาหวดรายนี้ เหมาะกับแนวเพลงเบสหนักขนาดไหน

จูนจะเน้นเปิดเพลงหวดๆ หนักๆ ค่ะ คือเปิดให้มันแบบต่อเนื่อง เอาให้สนุกสุดเหวี่ยง แบบหวดไม่หยุดต่อไปเรื่อยๆ อย่างเวลาไปเล่นในผับไทย เขาจะให้เราเป็นคนเปิดรอบสุดท้ายตลอด เพราะเป็นรอบที่จังหวะต้องมันแบบสุดๆ หวดกันแบบไม่ต้องยั้งไปเลย ด้วยนิสัยเราเป็นคนห้าวๆ อยู่แล้ว จะนิสัยไม่เหมือนผู้หญิง จะไม่หวาน เราเลยจะชอบบีทแบบหนักๆ จะชอบดนตรีที่หนักหน่วงรุนแรงมากกว่า


[ผู้บุกเบิกเส้นทางดีเจสาว คว้าแชมป์ “Lady DJ” ประจำปี 2010]
แชมป์ “Pioneer Lady DJ Championship 2010” คือรางวัลที่ช่วยฉายสปอตไลต์ให้เส้นทางฝันของเธอ ช่วยให้ความพยายามฝึกฝนอย่างจริงจังมาตลอด 2 ปีของจูนก่อนหน้านั้น เริ่มฉายแสงให้คนได้มองเห็นมากขึ้นๆ เรื่อยๆ พอดีกับกระแส “Lady DJ” ที่เพิ่งบูมขึ้นมาในช่วงนั้น เธอจึงกลายเป็น “คนไทยคนแรก” ที่ถูกเชิญให้ไปโชว์ความสามารถที่เกาหลี ในงาน “World DJ Festival 2013” เวทีสุดยิ่งใหญ่ที่รวมสุดยอดดีเจเอาไว้ที่เดียว!!

“เขาเรียกตัวเราไป เขาอยากได้ตัวเราเพราะเขาชอบเพลงเราค่ะ (ยิ้ม) อย่างที่จูนบอกว่าจูนชอบเปิดเพลงหวดตลอด หวดยับแบบไม่ให้หยุดเต้นเลย คนเขาเลยประทับใจตรงนี้ เขายอมรับในฝีมือของเรา เพราะเราใช้สกิลทุกอย่าง มีคิดสคริปต์สดด้วย มีลูกเล่นอะไรจูนใส่หมด และแต่ละที่ที่เราไปเล่น ก็จะเล่นไม่ค่อยซ้ำกัน จะเปลี่ยนไปตลอด พอคนไปดูแล้วรู้สึกสนุก เขาก็ชอบ มันเลยเป็นฟีดแบ็กดีๆ กลับมา

แล้วก็มีอีกหลายงานนะที่ได้ไปเล่นที่เกาหลี 'Global Gathering Korea' ก็เคย 'Ultra Music Korea' ก็เคย ในผับของเกาหลี เราก็เล่นมาเกือบทั่วแล้ว ทุกวันนี้ก็มีคิวไปต่างประเทศเกือบทุกอาทิตย์เลยค่ะ เดือนนึงก็ประมาณ 3-4 ครั้งได้ แต่ส่วนใหญ่จะเล่นในผับ แล้วก็มีตามงานเฟสติวัลบ้าง ถ้าเป็นงานกลางแจ้งโล่งๆ ก็จะมีคนมาฟังหลายหมื่นหลายพันคน”

[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]

เกาหลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงคโปร์ ฯลฯ กว่า 20 ประเทศที่เคยตระเวนทัวร์แสดงฝีมือการหวดเพลงมิกซ์ ถ้าให้เลือกที่ประทับใจที่สุดคงหนีไม่พ้น “แดนกิมจิ” ที่ไม่ว่าจะส่งมุกอะไรไป คนฟังก็เฮตามได้อย่างไม่มีหมดแรง

“รู้สึกประทับใจทุกครั้งเลยค่ะที่ไป เหมือนเราเล่นอะไรก็ได้ เปิดอะไรคนก็สนุกไปกับเราหมด ครั้งล่าสุดก็เพิ่งไปมาค่ะ แต่อันนี้เป็นงานในผับ เพิ่งไปช่วงเดือน ม.ค.นี่เอง มีคนที่ติดตามเรา เขาถือป้ายมาหาเราด้วยนะ พอเขารู้ว่าเรามา เขาก็ตามมาเชียร์เรา มาอยู่ใกล้ๆ บูทดีเจ แล้วก็ชูโทรศัพท์ให้ดูว่าเขาตาม IG (อินสตาแกรม) เรานะ เปิดรูปเมื่อปีที่แล้วที่เรามาเล่น ชูให้ดูด้วย (พูดไปยิ้มไปอย่างชื่นใจ) เขาบอกเราว่า เขาตามไปดูเราทุกที่แล้วก็สนุกทุกครั้งเลย”


“ทำยังไงก็ได้ให้คนเต้น เธอต้องเต้น!!” คือคำประกาศิตที่สุดยอดดีเจสาวนึกอยู่ในหัวทุกครั้งที่มีโชว์ “ถ้าเขาไม่เต้น เราก็จะทำจนให้เขาเต้นให้ได้!! ถ้าลองดูตามคลิปของจูน จะเห็นเลยว่าคนฟังจะเต้นไปกับเพลงของเราตลอด เราเองก็ต้องเต้นไปด้วย เต้นให้เขาดู ทั้งๆ ที่เราก็เต้นไม่เป็นหรอกนะ (หัวเราะ) จูนก็กระโดดๆ เฮ่ๆ ยกไม้ยกมือไปเรื่อย พยายามบิวต์เขาให้สนุกไปกับเรา อาจจะมี 'ขอเสียงหน่อย' มี 'put your hands up!!' เดี๋ยวคนก็จะเฮกลับมา ยิ่งเดี๋ยวนี้มี MC มาส่งเสียงช่วยเล่นด้วย ยิ่งช่วยได้เยอะค่ะ”

“นอกนั้นก็ต้องอาศัยเซนส์ในการนำเสนอของเราแล้ว ประสบการณ์ที่เรามีมันทำให้เรารู้ว่าหน้างานตอนนี้ เราจะใช้อะไรขึ้นมาเล่นดี ให้เอาคนให้อยู่ เล่นมุกนี้ออกไป คนไม่รับเว้ย เอาไงดี หยิบอีกมุกมาเล่นซิ ก็ต้องสลับ ต้องเปลี่ยนได้ตลอดค่ะ แล้วแต่สถานการณ์ เรื่องการเลือกเพลงก็สำคัญ ช่วงแรกๆ จะทำการบ้านเรื่องนี้หนักเลยค่ะ จะโชว์แต่ละครั้งต้องนั่งทำเซตเพลง แต่พอหลังๆ เหมือนเราทำงานทุกวัน เรามีคลังเพลงอยู่ในตัวเยอะขึ้นมาก เราก็รู้แล้วว่าเราจะหยิบตรงไหนมาใช้ได้บ้าง


จูนด้นสดเยอะอยู่เหมือนกันนะ เพราะถ้าให้จูนทำเซตเพลงมา แล้วเปิดตามนั้นเป๊ะๆ จูนเบื่อน่ะ (ยิ้มซนๆ) จูนเป็นคนขี้เบื่อค่ะ จะรู้สึกว่ามันอึดอัด มันไม่มีความสุข มันไม่สนุก มันไม่ท้าทาย ถ้าต้องเล่นตามสคริปต์ที่คิดมาแล้วตลอด สำหรับจูน จูนชอบอะไรที่ด้นสดมากกว่า เปิดเพลงนี้แล้วอยากเอาอีกเพลงมาต่อ ก็คิดสด-มิกซ์สดตอนนั้นเลย

ตอนเปิดเพลง เราอาจจะหาเพลงท่อนที่ฮิตๆ ที่คิดว่าเขาน่าจะร้องได้ ใส่เข้าไปด้วย อย่างบางเพลงมันจะมีประโยคแบบ เฮ่..โฮ่.. เราก็จะเปิดตรงนั้นขึ้นมา เอามาใช้เล่นกับคนฟัง ให้เขามีอารมณ์ร่วมไปกับเรา ทำให้เกิดการ react บางทีเห็นเขาเริ่มเบื่อๆ เราก็หยอดบางช่วงเข้าไป หยอดเพลงที่เขารู้จักเข้าไปให้เขาร้องกลับมา มันก็จะทำให้โชว์ไม่น่าเบื่อ

ยิ่งถ้าได้เล่นงานไหนที่ระบบซาวนด์ดีๆ เราก็จะยิ่งแฮปปี้ ซาวนด์มีส่วนสำคัญมากๆ เลยค่ะ วันไหนที่ซาวนด์ไม่ดี เราจะไม่มีอารมณ์เปิดเพลงไปเลย จะรู้สึกว่าฉันเข้าไม่ถึงเพลงเลย ฉันไม่ค่อยได้ยินเสียงเพลงเลย... แต่ถ้างานไหนซาวนด์ดีๆ เราก็จะสื่อถึงคนฟังได้ คนฟังก็จะสนุก แล้วทุกอย่างก็จะออกมาเพอร์เฟกต์

เอาอยู่ทุกสถานการณ์แบบนี้นี่เอง จึงถูกขนานนามว่าเป็น “ดีเจสาวเบอร์หนึ่งของเมืองไทย” และ “เลดี้ดีเจตัวท็อปของเอเชีย” คนถูกชมได้แต่หัวเราะรับด้วยท่าทีอ่อมน้อม คล้ายไม่อยากรับเอาตำแหน่งเหล่านั้นมาแบกไว้บนบ่า ก่อนเปิดใจพูดถึงความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ว่า...

“ถามว่ายอมรับไหม..มันก็จริงบ้างส่วนนึง แต่เราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นตัวท็อปอะไรขนาดนั้นนะ ถามว่าเราเป็นดีเจผู้หญิงอันดับ 1 ของเมืองไทยจริงไหม มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะ ยังมีคนที่เก่งกว่าเราอีกเยอะเลยค่ะ แต่แค่เขาไม่มีโอกาสได้ออกสื่อ

อย่างน้องคนนึงที่จูนรู้จัก เขาเป็นแชมป์ Pioneer รายการเดียวกับที่จูนแข่งมาติดๆ กัน 3-4 สมัยแล้วนะ แต่ก็... ไม่ดัง ทั้งๆ ที่น้องเขาเก่งนะ อาจจะเป็นเพราะเรื่องภาพลักษณ์ด้วย คือไม่ใช่ว่าจูนหน้าตาดีนะ เพียงแต่จูนสร้างคาแร็กเตอร์ของจูนขึ้นมา ให้เรามีจุดขายเป็นของตัวเอง เราก็เลยเป็นที่รู้จักมากกว่าเขาแค่นั้นเอง”




“ดีเจสาวรุ่นบุกเบิก” เก๋าจริง..ไม่อิงคอมพิวเตอร์!!

“สมัยนี้..ใครๆ ก็เป็นดีเจได้แล้ว” คำสบประมาทเหล่านี้เริ่มดังขึ้นๆ เรื่อยๆ ในยุคสมัยที่ “เทคโนโลยี” เข้ามาทำหน้าที่แทน “ฝีมือ” ดีเจหน้าใหม่หลายๆ รายจึงไม่เหลือความพยายามในการพึ่งทักษะของตัวเองอีกต่อไป ช่างแตกต่างจากเมื่อ 8 ปีที่แล้วที่จูนต้องทุ่มเวลาหัดหาบีทเพลง โดยใช้ความสามารถและประสาทสัมผัสทั้งหมดที่มีเป็นตัวนำทาง

“สมัยจูน เราโตมากับการเปิดกับแผ่นซีดีจริงๆ ค่ะ แต่ดีเจสมัยนี้เขาเปิดกับคอมพิวเตอร์กันแล้ว คือใช้วิธีมองกราฟเส้นเสียงในคอมพิวเตอร์วัดเลยว่าบีทเพลงมันเท่ากันไหม ไม่ต้องมานั่งหาบีทเองเหมือนสมัยจูนแล้ว แต่ถึงเครื่องมือมันจะสะดวกขึ้นยังไง ทุกวันนี้ จูนยังใช้หูของเราฟังเพื่อหาบีทเองนะ แค่เปลี่ยนจากสมัยก่อนที่จะใช้แผ่นซีดีมาเปิด เป็นเอา USB มาเสียบแทน นอกนั้นก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้พึ่งคอมพิวเตอร์ให้ช่วยหาบีทให้ แต่ใช้หูของเราเอง

จูนว่าการหาบีทเอง มันเป็นเสน่ห์ของการเป็นดีเจอย่างนึงเลยนะ เพราะถ้าจะให้จูนมานั่งเปิดคอมพ์ แล้วคอยเอาตาไปมองแต่กราฟว่าบีทเพลง 2 ข้างมันเท่ากันหรือยัง มันเหมือนกับเราไม่ได้ใช้สกิลของตัวเองน่ะ เราเปิดเพลงเอง ฟังบีทเอง มันคือการได้ฟังเพลงจริงๆ มากกว่านะจูนว่า มันท้าทายดี เพราะถ้าเราใช้วิธีดูกราฟในคอมพิวเตอร์แบบนั้น ใครๆ ก็ทำได้ ใครๆ ก็เป็นดีเจได้ คนก็เลยพูดกันหนักช่วงหลังๆ ไงคะว่า สมัยนี้ใครๆ ก็เป็นดีเจกันได้หมดแล้ว

นี่แหละคือที่มาของอีกสมญานามหนึ่งที่หลายๆ คนเรียกจูนว่า “เลดี้ดีเจรุ่นบุกเบิก” เพราะเธอเริ่มจากการฝึกมิกซ์จากแผ่นซีดีจริงๆ หาบีทเพลงด้วยหูของตัวเองจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครจะทำได้ บางคนต้องใช้เวลาฝึกขั้นตอนนี้อยู่เกือบปี บางคนหลายปี แต่กับคนที่ “เกิดมาเพื่อสิ่งนี้” อย่างจูนแล้ว กลับดูจะเป็นเรื่องง่ายดายตลอดช่วงระยะเวลาของการฝึกฝนเพียงไม่กี่เดือน


“การเป็นดีเจ จะแบ่งหลักๆ ออกเป็น 2 พาร์ทค่ะ คือพาร์ทฝึกเรื่องสกิล เป็นพาร์ทที่ต้องใช้ฝีมือ กับอีกพาร์ทคือการเลือกเพลง วัดว่าเรามีเซนส์ในการฟังเพลงแค่ไหน ตอนช่วงจูนฝึกก็ต้องเริ่มจากการหัดด้านสกิลก่อน ต้องฝึกเอาเพลงมามิกซ์เข้าด้วยกัน ต้องหัดดูเรื่องโครงสร้างของเพลงว่าจะเข้าห้องไหน ออกห้องไหนให้มันฟังแล้ว smooth ฝึกหา beat matching แยกประสาททั้งสองข้าง ถ้าเพลงมันบีทไม่เท่ากัน จะมิกซ์ยังไงให้ได้บีทที่เท่ากัน มิกซ์ยังไงให้ฟังแล้วจังหวะไม่ตีกันตุ้บตั้บๆ หัดเอฟเฟกต์ต่างๆ แล้วก็หัดสแครชแผ่น พอเราสกิลตรงนั้นแน่นปุ๊บ เราก็มาฝึกเรื่องเลือกเพลง คือดูว่าจะเปิดเพลงยังไงให้ลูกค้าสนุก

เคยฟังดีเจบางคนเปิดแล้วฟีลคนขึ้นๆ ลงๆ สลับกันไปมาไหมคะ? ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ชอบ การที่จะทำให้คนชอบมันก็อยู่ที่เรามีเซนส์ในการนำเสนอเพลงแค่ไหน มันเหมือนเราเล่านิทานน่ะ เวลาเราจะเล่านิทานหน้าชั้นเรียน เราเล่าให้เพื่อนกับครูฟังรู้เรื่องไหม บางคนออกไปพูดวนไปวนมา ไม่รู้เรื่อง ก็เหมือนดีเจที่เปิดเพลงแล้วคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ น่ะค่ะ ไม่ปะติดปะต่อ ฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา แต่ถ้าคนที่เขามีสกิลในการเลือกเพลงและเขาทำการบ้าน มันจะไม่เป็นแบบนั้น

มันเหมือนเวลาเราได้เพลงมาเพลงนึง เราก็ต้องมานั่งศึกษา เหมือนมีนิทานมาเล่มนึงให้เรานั่งอ่านก่อนน่ะค่ะ ก่อนที่จะไปเล่าหน้าชั้น เราก็ต้องอ่านมันให้เข้าใจก่อน ต้องจับใจความสำคัญของมัน การเปิดเพลงก็เหมือนกัน เราก็ต้องเอามานั่งจับใจความ มานั่งแกะแต่ละท่อนของเพลงว่า ท่อนนี้คือท่อนร้องนะ ก่อนหน้านั้นมันเป็นดนตรีโซโลมาหมด แต่ท่อนนี้แหละคือท่อนที่เราอยากให้คนฟัง เราก็ต้องเอาท่อนที่เป็นทำนองมามิกซ์ก่อน พอถึงท่อนร้องปุ๊บ มันก็จะทำให้เราสามารถเปิดมันขึ้นมาได้แบบ smooth ฟังแล้วไม่ขัดหู


[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]
จูนใช้เวลาหัดสกิลตรงนี้อยู่ประมาณ 2-3 เดือนค่ะ ถ้าเทียบกับบางคน เขาอาจจะใช้เวลาหัดเป็นปีก็มี บางคนก็ 2 ปี บางคนหัดแล้วก็อาจจะไม่ได้เลยก็มี มันแล้วแต่คนเลยค่ะ เหมือนหัดเล่นกีตาร์นั่นแหละ บางคนหัดแป๊บเดียวก็เป็น บางคนหัดแทบตาย..ยากว่ะ ไม่ไหวแล้วก็เลิกไป จูนเลยมองว่าเรื่องพรสวรรค์มีส่วนนะ แต่ถ้าใครไม่มีตรงนั้นมาช่วยมากก็อาจจะต้องอดทนให้ได้มากกว่า แล้วก็ต้องใจรักจริงๆ ถึงจะได้

ระหว่าง “พรสวรรค์” กับ “พรแสวง" พูดกันตรงๆ ว่า ที่ทำให้มีทุกวันนี้ได้ น่าจะเป็นเพราะคุณสมบัติประการแรกมากกว่า “จูนว่าจูนมีพรสวรรค์ทางนี้นะ มันเลยทำให้เราไม่ต้องฝึกเยอะ เหมือนเรามีมาอยู่แล้ว พอฝึกอีกนิดเดียวมันก็ได้แล้ว แต่บางคนพรสวรรค์น้อย เขาก็ต้องใช้ความอดทนในการฝึกมากหน่อย ก็ต้องใช้เวลาในการฝึกมากขึ้น... บอกไม่ถูก มันเหมือนเราตั้งใจเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ อะไรประมาณนั้น” สาวร่างเล็กหัวเราะเบาๆ ให้กับคำตอบของตัวเอง ก่อนขอพูดเสริมอีกเล็กน้อย

“ถามว่าทำไมคนเขาฟังเราแล้วสนุก แต่ทำไมฟังดีเจอีกคนแล้วเบื่อ จูนว่ามันเป็นเรื่องของเซนส์ค่ะ เป็นเรื่องของพรสวรรค์ในการนำเสนอ คนที่จะเป็นดีเจ นอกจากจะต้องมีพรสวรรค์ในเรื่องสกิลแล้ว เราก็ต้องมีพรสวรรค์ในเรื่องการนำเสนอด้วย”

“ครูคนแรก” ที่ช่วยจุดประกายให้คนดนตรีอย่างจูน ค้นพบเส้นทางชีวิตของตัวเอง คือเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันจากการเข้าไปนั่งชิลในร้านอาหารร้านหนึ่งในสยามสแควร์ เห็นว่าดีเจคนนี้เปิดเพลงสนุกดี เลยตัดสินใจตรงดิ่งเข้าไปถาม “พี่..หนูช่วยไหม (ยิ้ม)” เนียนๆ เข้าไปเป็นลูกมือ เข้าไปช่วยเขาเปิดเพลง แล้วก็ใช้วิชา “ครูพักลักจำ” แลกกับค่าตอบแทน 500 บาทต่อวันอยู่พักหนึ่ง พอเริ่มมองเห็นว่าตัวเองมีการพัฒนา ก็ไปซื้อเครื่องเล่นอย่างมืออาชีพมาฝึกเล่นที่บ้าน ฝึกอยู่อย่างนั้นจนฝีมือเริ่มแก่กล้า ก็มี “ครูคนที่ 2” ผ่านเข้ามาในชีวิต

[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]
“หลังจากรุ่นพี่ที่รู้จักเขาสอนให้แล้ว จูนก็ไปซื้อเครื่อง Pioneer มาฝึกที่บ้าน พอไปที่บูท เราก็ได้รู้จักกับพี่ที่เขาดูพวกงานอีเวนต์เครื่องเสียง เขาก็ช่วยสอนเรา พี่คนนี้เป็นครูอีกคนนึงของจูนเลย มีพาเราไปออกงาน แนะนำให้ไปตามร้าน แล้วก็คอยบอกเราว่าต้องเปิดอย่างนี้นะ ต้องบาลานซ์ซาวนด์อย่างนี้นะ คอยสอนเคล็ดลับเราตลอด เราก็เรียนรู้เพิ่มจากเขาค่ะ

บางทีก็ยืนดูว่าเขาเปิดยังไง เล่นยังไง แล้วก็เก็บมาทำ มาซ้อมของเรา คือจูนไม่เคยได้ไปนั่งเรียนตามสถาบันเลย แต่จะอาศัยเก็บจากอะไรแบบนี้มากกว่า ไปแอบดูแล้วก็เก็บมาฝึกที่บ้าน มาฝึกด้วยตัวเอง และจริงๆ แล้ว แบบนี้น่าจะเป็นเร็วกว่าไปนั่งเรียนอีกนะจูนว่า คือถ้าอยากจะเป็นเร็วก็ต้องฝึก อย่างจูนตอนนั้น อาทิตย์นึงเล่นสัก 3-4 วัน จับมันบ่อยๆ เล่นมันบ่อยๆ ที่บ้านจะทำห้องนึงเอาไว้เป็นห้องเก็บเสียงเลยค่ะ เอาโฟมมาบุ เอาไว้หัดเล่นโดยเฉพาะ

หัดเล่นไปเรื่อยๆ มีออกงานบ้าง จนถึงช่วงที่ทาง Pioneer เขาพยายามปลุกปั้นดีเจผู้หญิง ลอตแรกประมาณ 7-8 คน หลังจากนั้นเขาก็จัดแข่งเลดี้ดีเจ ก็มีคนมาสมัครเยอะนะคะ 40 กว่าคน มีชาวต่างชาติด้วย เราก็ไปลงแข่ง แล้วก็ได้ตำแหน่งชนะเลิศมา ตอนนี้ เพื่อนๆ ที่เป็นเลดี้ดีเจปีแรกด้วยกัน ที่เคยแข่งเซตเดียวกัน ถ้าไม่ไปทำงานอื่น ก็ต่างคนต่างมีลูกกันไปหมดแล้วค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่จูนที่คนเรียกว่าเป็น เลดี้ดีเจรุ่นบุกเบิก



คว้าฝัน...“ดีเจโปรดิวเซอร์สาว” คนแรกของไทย!!

โปรเจกต์เดิม...ผู้บุกเบิกเส้นทาง “เลดี้ดีเจ” ในไทย, โปรเจกต์ใหม่...ผู้บุกเบิกเส้นทาง “เลดี้ดีเจโปรดิวเซอร์” ให้เป็นจริง!! และไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ จูนบอกเลยว่ายังไม่คิดท้อแม้แต่ก้าวเดียว

“กำลังเริ่มๆ ศึกษาอยู่ค่ะ ความฝันของดีเจส่วนใหญ่ก็คืออยากมีเพลงเป็นของตัวเองทั้งนั้น แต่มันต้องมีเวลา ต้องนั่งทำเพลง ต้องทุ่มเวลาให้ทั้งวันเลยค่ะ ถ้าจะไปทางสายนั้น ก็เหมือนเราต้องเริ่มต้นใหม่หมดเลย เหมือนเริ่มเรียนเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ใหม่หมดเลย เหมือนตอนเราเริ่มเป็นดีเจใหม่เลยค่ะ แต่อันนี้ต้องมานั่งแต่งทำนองทุกอย่างเองหมด

คงต้องรอให้ผ่านช่วงนี้ก่อนค่ะ เอาให้ชีวิตเริ่มมีเวลาว่างกว่านี้ ตอนนี้ขอทำเป็นดีเจเก็บตังค์แบบนี้ไปก่อน เพราะถ้าเราจะไปทางสายดีเจโปรดิวเซอร์ มันต้องอาศัยสมาธิมากนะ อาจจะต้องหยุดการเป็นดีเจไปเลย และตอนนี้ จูนก็มีงานทุกวัน ไหนจะโหลดเพลง ทำการบ้าน เซตเพลงอีก ยังไม่มีเวลามาทุ่มให้ตรงนี้อย่างที่อยากทำเลย แต่วางไว้แล้วค่ะว่าอยากจะทำให้ได้

ต้องคิดว่า ถ้าเป็นดีเจเปิดเพลงแบบนี้ต่อไป เราจะทำไปได้อีกนานเท่าไหร่ ถ้าเราแก่แล้วล่ะ จะยังมีคนอยากจ้างเราหรือเปล่า อาชีพตรงนี้มันก็เป็นอาชีพที่มีระยะเวลากำหนดอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็แล้วแต่ว่าเราจะดูแลตัวเองดีแค่ไหนค่ะ แล้วก็มีเรื่องฝีมือด้วยที่จะช่วยหนุนให้อยู่ไปได้นานไหม แต่ถ้าเทียบความเป็นดีเจผู้หญิงแล้ว เป็นดีเจผู้ชายอาจจะอยู่ได้นานกว่า แก่แล้วยังมีคนจ้างมากกว่า แต่ถ้าดีเจผู้หญิงแก่แล้ว เขายังจะอยากจ้างเราหรือเปล่า ใครจะอยากดูป้ามาเปิดเพลงให้ฟัง... จริงไหม?

[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]

แต่ก็แล้วแต่ว่าใครจะมองยังไงค่ะ บางคนอาจจะพอใจในจุดนี้ เราทำแค่นี้ เป็นดีเจเปิดตามผับก็พอแล้ว พอถึงช่วงอายุนึง เราก็หยุด แต่ถ้าคนที่ฝันอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง ทำเพลงเอง ให้คนเอาเพลงเราไปเล่น ก็ต้องไปเป็นดีเจโปรดิวเซอร์ค่ะ แล้วถ้ามาสายนี้ ต่อให้เราแก่แล้ว เราก็ยังสามารถนั่งทำเพลงที่บ้านได้ แล้วก็อาจจะเป็น ghost producer ให้ใครก็ได้ ถ้าคุณอยากทำเพลง คุณก็มาจ้างเรา คุณได้ชื่อเสียง เราก็ได้รายได้ อย่างน้อยถึงจะไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแล้ว เราก็ยังได้ทำงานกับเสียงเพลงที่เรารักเหมือนเดิม”

Ghost Producer (โปรดิวเซอร์ผี) ที่จูนพูดถึง คือการรับจ้างเป็นคนเพลงให้คนที่ต้องการออกหน้าอีกที ทำเพลงให้คนที่อยากมีชื่อในวงการ คนที่อยากถูกเรียกว่าเป็น “ดีเจโปรดิวเซอร์” มาใช้อ้างชื่อ “บางคนเขาก็อาศัยวิธีใช้เงินซื้อเพื่อให้ได้เพลงเป็นชื่อของตัวเอง แต่จูนว่าเราทำของเราเองดีกว่าค่ะ มันภูมิใจกว่ากันเยอะ” ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีดีเจโปรดิวเซอร์สาวในบ้านเราเลย แต่จูนก็ไม่หวั่นและพร้อมจะเป็นผู้บุกเบิกบนเส้นทางสายนี้ ไม่ต่างไปจากที่เธอเคยเป็นรุ่นบุกเบิกดีเจสาวในไทยสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง

“การจะทำให้เพลงที่เราแต่งออกมา ในฐานะดีเจโปรดิวเซอร์เป็นที่รู้จักได้ อาจจะต้องเริ่มด้วยการเอามาเปิดในผับก่อนค่ะ พอเปิดแล้วคนชอบ ฟังแล้วติดหู คนก็จะเริ่มถามว่าใครทำ มีการขอเอาไปเปิด สุดท้าย เพลงนี้ก็เป็นที่รู้จัก กลายเป็นเพลงดัง ร้านก็จะอยากจ้างให้มาเปิด เพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามาเที่ยวที่ร้าน

ส่วนใหญ่ วิธีนี้ดีเจผู้ชายที่อาจจะไม่มีจุดขายอย่างอื่นจะชอบใช้กันค่ะ เขาจะอาศัยวิธีการทำเพลงของตัวเองขึ้นมา จะได้มีงานจ้าง แต่สำหรับดีเจผู้หญิง การจ้างให้เปิดตามผับจะได้งานง่ายกว่า เพราะได้เปรียบที่มีเรื่องรูปร่างหน้าตามาช่วย


มองในมุมกลับ ในเมื่อเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมีส่วนเสริมให้ “ดีเจสาว” ได้งานง่ายกว่า “ดีเจชาย” ก็อาจทำให้เลดี้ดีเจทั้งหลายถูกสบประมาทได้ง่ายๆ ว่าอาศัย “หน้าตา” หนุน มากกว่า “ความสามารถ” ที่แท้จริง เมื่อถูกถามออกไปตรงๆ อย่างนี้ คนที่ตรงไปตรงมาอย่างจูนจึงได้ทีเปิดประเด็นเรื่องการ “ขายเซ็กซี่” ของเหล่าสาวสวยหลังแผงควบคุมขึ้นมาเสียเลย

บางคนเขาก็พูดเหมือนกันว่าได้งานเพราะหน้าตาดี ได้งานเพราะโชว์นู่นนี่ แต่งตัวเซ็กซี่บ้างล่ะ จูนก็จะพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็นค่ะว่า เฮ้ย..มันไม่ใช่นะ อย่างทุกวันนี้ ถามว่าเราแต่งตัวเซ็กซี่เพื่อขายความเป็นดีเจไหม ก็ไม่ใช่ เราใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปทำงาน แต่งตัวเป็นตัวเอง แล้วก็พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราใช้ฝีมือในการทำงานนะ ผู้ชายหลายๆ คนในวงการนี้ก็ยอมรับเราค่ะ อย่างตอนที่จูนลงแข่ง เขาก็เห็นแล้วว่าเราใช้ฝีมือจริงๆ และการที่เรามีตำแหน่งการันตีมันก็ช่วยได้หลายอย่างนะ ทำให้คนให้เกียรติ ให้เขายอมรับว่าเราเป็นดีเจจริงๆ

ถ้าเทียบกับดีเจผู้หญิงบางคนที่เป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้ คนอาจจะมองว่าเน้นสวย เน้นเซ็กซี่ แต่ฝีมือแบบ... (ไม่ขออธิบายออกมาเป็นคำพูด) แต่เราทำให้เขาเห็นว่า เราไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ใช่เลดี้ดีเจอย่างนั้น แต่เราเป็นเลดี้ดีเจแบบใช้สกิล ส่วนหลังจากนั้น ใครจะตัดสินเรายังไงก็แล้วแต่เขาเลยค่ะ..แล้วแต่สะดวก (ยิ้ม)

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจูนไม่แต่งตัวเซ็กซี่เลยนะ บางทีก็มีบ้างค่ะตามประสาผู้หญิง บางทีเราอาจจะอยากได้ลุคเซ็กซี่บ้าง เพียงแต่เราก็มีลิมิตของเราอยู่ ถ้าแต่งไปงานที่ไม่เหมาะสม มันก็จะดูล่อแหลม แล้วก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเรา เพราะฉะนั้น จะไปทำงานแต่ละที ก็ต้องกลับมาถามตัวเองอีกนั่นแหละว่า เราอยากเป็นดีเจแบบไหน อยากจะเป็นดีเจขายลุคเซ็กซี่ หรืออยากจะเป็นดีเจในลุคทำงาน

อย่างจูนก็อาจจะมีบ้างค่ะที่โชว์เซ็กซี่นิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่ได้หวือหวา จะแต่งตัวออกแนวร็อกๆ ห้าวๆ มากกว่า จะใส่หนังดำ แต่จะไม่เน้นโป๊ ไม่เน้นโชว์เนิน เพราะเราไม่ได้ขายตรงนั้น และมันก็ไม่สะดวกด้วยค่ะเวลาทำงาน จะเดิน จะเต้น จะยกไม้ยกมือ ใส่เกาะอกอย่างเดียวมันก็ลำบาก ต้องมานั่งคอยระวัง หรือใส่สายเดี่ยว ก้มทีเห็นไปถึงไหนต่อไหน เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ขายตรงนั้นน่ะค่ะ

มีเหมือนกันนะ เจ้าของร้านบางแห่งอยากให้เราโชว์เซ็กซี่ จ้างเราไปแล้วก็บอกว่าวันนี้พี่ขอแบบเซ็กซี่นิดนึงได้ไหม เราก็ถามไปตรงๆ เลยว่า อ๋อ..พี่จะให้หนูเน้นขายเซ็กซี่ หรือจะให้หนูเน้นขายฝีมือ พี่เอาแบบไหน เราก็อธิบายให้เขาเข้าใจ บอกไปตรงๆ ว่าหนูก็มีลิมิตของหนูนะคะ ให้ได้เท่านี้นะ ซึ่งหลายๆ คนก็เข้าใจนะ

หลายๆ อย่างมันอยู่ที่การวางตัวมากกว่า ถ้าเราไม่ไปขายเซ็กซี่ หรือไม่ไปเที่ยวเฟรนด์ลี่กับลูกค้าจนเกินไป เราวางตัวในจุดที่เรามีกำแพงของเรา เขาก็ฝ่าเข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว ถูกไหม ดีเจผู้หญิงบางคน เวลาทำงานอาจจะดื่มเหล้าไปด้วย แล้วก็กอดคอนัวเนีย ก็อาจจะทำให้คนคิดไปอีกแบบ แต่สำหรับจูน จูนจะไม่เป็นแบบนั้น จูนจะไม่ดื่มเลย ยิ่งเวลาไปทำงานต่างประเทศ เวลาใครให้อะไรมา จะไม่ดื่มเลย จะระวังตัวมาก ถ้าเราไม่เปิดโอกาส เราวางตัวอยู่ในชั้นของเรา ก็ไม่มีใครสามารถปีนเข้ามาหาเราได้อยู่แล้ว


[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]
อยู่ที่จะเลือก...ว่าเราจะเป็นดีเจแบบไหน? จะขายความสามารถ ขายเซ็กซี่ หรือขายอะไร... แต่สำหรับ “DJ Roxyjune” แล้ว ขอขายจังหวะที่รัก แลกกับความสุขของคนฟังที่สะท้อนกลับมาก็พอแล้ว

“มันก็ต้องเริ่มมาจากความสุขของตัวเราก่อน ถ้าเราสื่อสารไปถึงคนฟัง เราสนุกไหม ถ้าเราสนุกแล้วสื่อมันออกไป คนเขาก็รับรู้ได้ พูดง่ายๆ คือ ถ้ามีดีเจ 2 คน เลือกเพลงมาเปิดให้ฟัง ดีเจอีกคนคนชอบ แต่อีกคนเขาไม่ชอบ เราก็ต้องเป็นดีเจคนที่เปิดเพลงแล้วเขาจะชอบให้ได้

อย่างจูน เวลาเราเปิดเพลง เราก็จะพยายามหาอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำคนอื่นมา เป็นอะไรที่ให้คนประทับใจ ที่เขาหาฟังจากที่อื่นไม่ได้ ต้องมาฟังจากเรา จุดขายของจูนคือการมิกซ์เพลง เอาเพลงที่ฮิตๆ มาใส่ในท่อน แล้วเอามา edit เอง ช่วงไหนว่างๆ จูนจะเปิดเน็ตโหลดเพลงมาฟังตลอด นั่งเลือกว่าเพลงไหนเพราะและน่าจะเอามาใช้ได้บ้าง เพลงไหนที่เอามาเล่นแล้วจะถูกใจคนฟัง

เราก็แค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่ถ้าเราเล่นแล้วคนไม่สนุกจริงๆ นั่นก็แสดงว่ามันผิดที่เราแล้วล่ะ นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไข หรือบางทีตระเวนทัวร์ไปตามที่ต่างๆ แบบนี้ มันก็มีเหนื่อยบ่อยๆ นะ ส่วนใหญ่จะเหนื่อยเพราะการเดินทางค่ะ แต่ถามว่าเราอยากเลิกไหม ก็ไม่อยาก (ยิ้ม) เพราะเรามีความสุขดีที่ได้ทำตรงนี้ เวลาเราไม่สบาย ได้เปิดเพลง ได้เล่นกับมัน มันก็หายไปโดยอัตโนมัติเลย มันเหมือนดนตรีกลายเป็นเครื่องบำบัดที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรา








ว่าที่นางพยาบาล ผู้หลงรักเสียงดนตรี

[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]
จริงๆ แล้ว ที่บ้านอยากให้เป็นพยาบาลค่ะ (ยิ้ม) ตอนแรกสอบติดพยาบาลด้วย แต่เราเลือกที่จะไม่เอา เพราะมันต้องไปอยู่ประจำที่นั่นเลยเป็นอาทิตย์ๆ ออกไปไหนไม่ได้ มานั่งคิดกับตัวเองเลยได้คำตอบว่า เราไม่ได้ชอบอะไรแบบนั้น เราเป็นคนรักอิสระ ก็เลยมาเลือกเรียน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หลักสูตรภาษาอังกฤษธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

จนช่วงใกล้จบก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร รู้แค่ว่าไม่อยากไปฝึกงานบริษัท ตอนนั้นไม่รู้จะไปทำงานอะไรด้วยค่ะ จบอังกฤษธุรกิจมา ก็ต้องไปทำงานโรงแรม ไม่ก็ไปเป็นไกด์ หรือทำงานเกี่ยวกับภาษา แต่เราก็ไม่ชอบงานบริการเท่าไหร่ พอมาเห็นพี่ดีเจที่ร้าน เลยคิดออกว่าฉันอยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะเป็นดีเจนะ อย่างน้อยๆ ฉันก็ได้มีความสุขอยู่กับเสียงเพลงนะ ก็เลยให้เขาช่วยสอนให้

ช่วงแรกคิดแค่ว่าอยากหาอะไรทำ เพราะมันเป็นช่วงที่เราใกล้จะจบแล้ว บวกกับเราหาเงินเรียนเองด้วย พอได้มาทำตรงนี้มันมีรายได้ด้วย ถึงจะได้ชั่วโมงละ 500 ก็โอเคแล้วนะสมัยนั้น เพราะถ้าจะให้เราไปทำงานเป็นพริตตี้ เป็น MC เราก็พูดไม่เก่ง ทำไม่ได้ เราก็อาศัยที่เรามีความรู้เรื่องเสียงเพลง ก็มาทำด้านนี้ดีกว่า

ตั้งแต่ตอนเด็กๆ จูนชอบฟังเพลงมาตลอด เพราะที่บ้านอากู๋เป็นร้านขายเทปค่ะ แกเป็นดีเจจัดรายการวิทยุด้วย ตอนเด็กๆ เราก็ไปช่วยแกขาย แล้วเราก็ชอบโทร.ไปขอเพลงดีเจตามวิทยุบ่อยๆ พอเริ่มโตมาหน่อย ก็เริ่มฟังเพลงที่มากกว่าเพลงไทย ฟังเพลงยุค 70's-80's, บอสซ่า ฟังได้หลายแนว เลยคิดว่าอาชีพนี้แหละน่าจะเหมาะกับเรา ยังไงฉันก็ขอยึดอาชีพนี้เลยละกัน (หัวเราะ)



หนุ่มเจ้าเสน่ห์ ในสายตาดีเจสาว

[ขอบคุณภาพ: fb.com/roxyjune]
ผู้ชายที่มีเสน่ห์... จูนว่าต้องเป็นผู้ชายที่สปอร์ตค่ะ หมายถึงสปอร์ตทั้งหุ่น และสปอร์ตทั้งใจเลย (ยิ้ม) ผู้ชายที่เทคแคร์ผู้หญิง ส่วนถ้าเป็นลักษณะภายนอก จูนจะไม่ชอบผู้ชายที่สำอาง จะชอบผู้ชายลุยๆ แข็งแรงๆ หน่อย ไม่ชอบขาว ไม่ชอบตี๋ ชอบแบบไทยๆ นี่แหละ ชอบแมนๆ หน้าคมๆ เข้มๆ ดูลุคแบดบอยหน่อย แต่จริงใจนะคะ ไม่โกหก เพราะการโกหกมันเป็นที่มาหลายๆ อย่าง อย่างเช่น การนอกใจ ก็เกิดจากนิสัยโกหกนี่แหละ


#Djroxyjune & #mclingofking live at ONYX !!

Posted by DJ ROXY JUNE on Monday, March 14, 2016


สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพบางส่วน: fb.com/roxyjune
ขอบคุณสถานที่: ร้าน “THINKcafe” สยามเซ็นเตอร์ ชั้น 1 (fb.com/thinkcafethailand)




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น