เป็นข่าวศึกสายเลือดสะเทือนขวัญสถาบันครอบครัวขั้นสุด และคงยืดเยื้อต่อไป สำหรับ แม่ประนอม ตำนานน้ำพริกใส่กระปุกเจ้าแรกๆ ของประเทศไทย ที่ออกมาร้องขอความเป็นธรรมกับนายกรัฐมนตรีและศาล หลังถูกลูกสาวคนโตแท้ๆ หลอกให้เซ็นเอกสาร และฮุบกิจการทรัพย์สินทั้งหมด กดดันจนแม่ผู้ให้กำเนิดต้องออกจากบ้าน
หลายวันมานี้ มีแต่ฝ่ายของแม่ประนอมออกมาแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ ขณะที่ฝ่ายลูกสาวคนโตยังคงเก็บตัวเงียบ ส่งเพียงทนายออกมาแจงว่าไม่ขอตอบโต้ เพราะเป็นข้อพิพาทที่อยู่ในชั้นพิจารณาของศาลแล้ว
ระหว่างรอขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมดำเนินการชำระความ เผยข้อเท็จจริงให้ปรากฎ ผู้จัดการ Live ขอย้อนเปิดประวัติชีวิตการบุกเบิก ตำน้ำพริกขายจนโด่งดังติดตลาดไปทั่วโลกของแบรนด์แม่ประนอม เรียกว่าทุกบ้านต้องมีน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอมติดครัว
แม่ประนอม แดงสุภา กับสามี ต้องต่อสู้ฟันฝ่าความยากลำบากมาอย่างไร
กู้เงินซื้อพริกกระเทียม สามีปิ๊งใส่ขวด
แม่ประนอมเล่าชีวิตความยากลำบากเมื่อ 60 ปีก่อนให้ฟังว่า
“กว่าจะขยายธุรกิจจนเติบโตยิ่งใหญ่ได้ทุกวันนี้ผ่านความยากลำบากอย่างหนักมากว่า 60 ปี เริ่มต้นทำน้ำพริกตั้งแต่อายุ 24 กับสามี ตอนแรกต้องไปกู้ยืมตังค์คนอื่นไปซื้อ พริก กระเทียม กุ้งแห้ง มาเริ่มทำน้ำพริกเผาซึ่งสมัยนั้นเครื่องกวนก็ไม่มี ต้องใช้ไม้กวนเองกับมือและช่วยกันมา 2 คนกับสามี รวมทั้งต้องเช่าบ้านอยู่ ก่อนเริ่มบุกตลาดภาคใต้แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ น้ำพริกขายไม่ค่อยได้ แต่ยังโชคดีที่สามีให้นำไม้จิ้มฟันพกติดตัวไปด้วยเผื่อหากขายน้ำพริกไม่ได้ และถือว่ายังได้ค่ารถกลับกรุงเทพฯ จากการขายไม้จิ้มฟันแทน”
ปี 2502 ถือเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกของครอบครัวแดงสุภา ฝีมือในการประกอบอาหารไทยของแม่ประนอม กับวิสัยทัศน์ของศิริชัย แดงสุภา ผู้เป็นสามี ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานเป็นพนักงานขายบริษัทดีทแฮล์มมาก่อน มองว่าในอนาคตข้างหน้าวิถีชีวิตของผู้คนจะออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น จึงปิ๊งไอเดียนำน้ำพริกมาบรรจุใส่ถุงหรือขวดเพื่อกินสะดวก ประหยัดเวลา ไม่ต้องเสียเวลาประกอบนาน
จึงเกิดเป็น 'น้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม' บรรจุในขวดแก้วขึ้น
นอกจากเก็บได้นาน ยังกินได้หลากหลาย ทั้งคลุกข้าว แกล้มผัก หรือกินกับอาหารอื่นๆ ทาขนมปังก็อร่อยเหาะ
และสร้างความจดจำแก่ลูกค้า โดยนำรูปแม่ประนอมสมัยสาวๆ สวยด้วยตอนนั้น มาแปะบนข้างขวด อันกลายเป็นสัญลักษณ์โลโกแม่ประนอมของแท้ตราบจนทุกวันนี้
“ดิฉันกับสามีก็คิดอยากจะเก็บเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเองและไม่ต้องการไปเช่าคนอื่น ก่อนมาซื้อห้องแถว ย่านหนองแขม จำนวน 2 ห้อง พร้อมตั้งเป็นโรงงานเล็ก ๆ ทำน้ำพริกแต่ก็ยังขายไม่ดี อาศัยส่งตามร้าน แต่ก็ไม่มีใครซื้อจนต้องเดินเร่ขายน้ำพริกด้วยตัวเอง”
ปี 2520 จากธุรกิจครอบครัว สร้างโรงงานผลิต
การจำหน่ายในยุคแรกเริ่มต้นจากการขายในละแวกบ้าน คือ ในหมู่บ้านเศรษฐกิจ
จากธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ผลิตกันเองภายในครัวเรือน ปี 2520 ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของการขยายกิจการ โดยก่อสร้างโรงงานครั้งแรก หจก.อุตสาหกรรมพิบูลย์ชัย ในหมู่บ้านเศรษฐกิจพื้นที่ 4 ไร่
เมื่อปี 2524 ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท ในนามบริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม
ต่อมาปี 2537 ได้ขยายโรงงานขนาดมหึมา ตั้งอยู่ที่ ถ.บรมราชชนนี แขวงศาลธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม.
นอกจากจัดหน่วยงานรถขายเงินสดนำสินค้าไปขายต่างจังหวัด โดยแบ่งพื้นที่จำหน่ายออกเป็นเขตๆ ยังขยายตลาดต่างประเทศ
จากสินค้าน้ำพริกเผาไทยเพียงชนิดเดียวต่อมาจึงได้พัฒนาธุรกิจสู่สินค้าอื่นๆ ที่หลากหลายในกลุ่มเครื่องจิ้ม เครื่องแกงสำเร็จรูป และเครื่องปรุงรสต่างๆ ภายใต้เครื่องหมายการค้าตรา ”แม่ประนอม” และ “ครัวสยาม” ปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 50 ชนิด จำนวนกว่า 100 ขนาด และยังคงเดินหน้าคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ธุรกิจแม่ประนอมในปี พ.ศ. 2550 มียอดจำหน่ายต่อเดือนที่ประมาณ 1 แสนกล่อง หรือประมาณ 18-20 ล้านบาทต่อเดือน และจำหน่ายไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
ช่วงสามีป่วยจนเสียชีวิต ถูกเขมือบกิจการโดยไม่รู้ตัว
ตอนขยายกิจการขยายโรงงานปี 2537 แม่ประนอมกับศิริชัยผู้เป็นสามี ได้มอบหมายให้ศิริพร ซึ่งเป็นลูกสาวคนโต เป็นกรรมการบริหารงาน ต่อมาเมื่อปี 2544 ทางบริษัทได้เพิ่มทุนเป็น 59,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นจำนวน 59,000 หุ้น สัดส่วนผู้ถือหุ้นหลักๆคือ ศิริชัยมีหุ้นจำนวน 20,000 หุ้น, ศิริพร 20,000 หุ้น, ส่วนแม่ประนอมเอง 18,200 หุ้น และลูกสาวคนกลาง ศิริวัลย์ 350 หุ้น
ทว่าเมื่อปี 2556 ศิริชัยป่วย แม่ประนอมซึ่งอายุมากแล้วหยุดการบริหารงาน อีกทั้งศิริพรบอกให้แม่พัก ไม่ต้องทำงาน แม่ประนอมจึงใช้เวลาช่วงนั้นไปดูแลสามีที่ป่วยยังโรงพยาบาล ระหว่างนั้นศิริพรก็นำเอกสารมาให้แม่เซ็นบ่อยๆ ถึง 10 กว่าครั้ง แม่ประนอมไม่รู้หรอกว่าเอกสารอะไร เพราะอ่านหนังสือไม่ออก แต่เซ็นไปด้วยความไว้ใจจนกระทั่งศิริชัยเสียชีวิตลงในวันที่ 11 กันยายนในปีเดียวกัน ซึ่งแม่ประนอมเป็นผู้จัดการมรดก
ต่อมาเมื่อปี 2558 ถึงเพิ่งทราบว่าศิริพรได้โอนที่ดินกองมรดกให้ไปเป็นของตัวเอง แม่ประนอมจึงขอร้องศิริพรโอนที่ดินคืนแต่ศิริพรก็ไม่ยอมคืน จนมาทราบอีกทีว่าศิริพรกับสามี เปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมด ไปเป็นของศิริพร สามีและลูกสาวทั้งสามของศิริพรเองทั้งหมด
แม่ประนอมบอกว่ารับแรงกดดันจากหลายฝ่ายไม่ไหวจนต้องออกไปอยู่ที่อื่น และออกมาทำร้านอาหารก่อนที่จะมีเรื่องฟ้องร้องกันตามมา เพื่อต้องการเอาทรัพย์สินของตนคืน
แม่ประนอมยังพูดอีกว่าได้มีการนัดคุยกันหลายครั้งกับศิริพร โดยลูกสาวคนโตก็ยังนำเอกสารมาให้เซ็นอีก กระทั่งล่าสุดมาพร้อมบุคคลที่แม่ประนอมไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมากนำหนังสือมาให้เซ็นอีก ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเป็นหนังสือให้ยกฟ้องเรื่องต่างๆ และไม่ขอรับทรัพย์สินกับมรดกใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแม่ประนอมมารู้ภายหลังอีก
แม่ประนอมเสียความรู้สึกและเสียใจมาก เนื่องจากทรัพย์สินที่แม่ประนอมและสามีร่วมกันสร้างมาก็เพื่อลูกทุกคน ลูกสาวคนโตควรแบ่งให้น้องๆ และแม่ผู้ให้กำเนิด เนื่องจากต้องดูแลลูกคนสุดท้องที่พิการอีก
“จนทุกวันนี้ชีวิตจากที่ลำบากก็มีเงินทองอยู่สบาย แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องกลับมาชีวิตลำบากแบบนี้” แม่ประนอมกล่าวต่อด้วยเสียงสั่นเครือ
“ดิฉันที่สุดแล้ว รอเวลามาปีกว่าให้เค้าคืนบ้าง มาเจรจา รอปีกว่าแล้วก็ไม่ให้ เค้าก็มีหนังสือมาให้เซ็น แต่ไม่รู้หนังสือ ได้แต่เซ็นชื่อเป็นอย่างเดียว ไม่ได้อ่านข้อความเลยสักครั้งหนึ่ง เซ็นอันนี้ทนายถึงไปรู้ที่ศาลว่านางประนอม แดงสุภา ไม่ขอรับมรดกทั้งสิ้นทุกอย่าง ดิฉันก็แย่แล้วค่ะแบบนี้ กิจการทั้งหมดประเมินไม่ได้ เป็นพันๆ แล้วฮ่ะ
ตั้งแต่ดิฉันทำมาหิ้วตะกร้าขาย ยังไม่มีรถเลยค่ะ โรงงานเก่าอยู่หมู่บ้านเศรษฐกิจ ก็หิ้วขายเรื่อยมา
ร้านอาหารนี่ก็กู้หนี้ยืมสินมาแล้วก็เอาทองไปขายเอาของมีค่าไปขาย แล้วก็เปิดร้านอาหารขึ้นมา แล้วนี่เริ่มจะขายกวยเตี๋ยวแล้ว
แล้วนี่เค้าไม่ห่วงเหรอว่าเค้าทำกับแม่อย่างนี้ แล้วลูกจะทำยังไงบ้างกับเค้า ให้เค้าคิดน่ะ”
แม่ประนอมในวัย 87 ปี ยังทิ้งท้ายอีกว่าหากลูกสาวคนโตสำนึกผิดมาขอโทษ ก็พร้อมให้อภัย และจะยกฟ้องเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก smethailandclub.com
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก FB: maepranom, maepranom.com
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754