xs
xsm
sm
md
lg

ปุ่ม LOVE ทำรักพัง! ลูกเล่นใหม่ Facebook ทำพิษรักแรงหึง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เป็นเรื่องจนได้ หลังจากที่เฟซบุ๊กเพิ่มอิโมติคอนหน้าแสดงอารมณ์รัก สาวสมาชิกพันทิปนางหนึ่งตัดสินใจเลิกกับแฟน เพราะค้นพบว่าเขากดเลิฟให้สาวอื่น ยันไม่ใช่เรื่องขำ ด้วยพฤติกรรมฝ่ายชายไม่เคยมีเธอในโลกออนไลน์ ไม่ยอมอัพรูปคู่ในเฟซบุ๊ก สร้างภาพ “โสด” ในโลกโซเชียลตลอดเวลา

จากที่เป็นข่าวนานแล้วถึงกระแสการเรียกร้องให้ทางเฟซบุ๊ก โซเชียลมีเดียยอดนิยมของไทยและของโลก ให้ทางผู้ใช้ได้แสดงออกถึงอารมณ์อื่นๆ กับเนื้อหา เช่น ข่าวอาชญากรรม หรือข่าวการเสียชีวิต ซึ่งการกดไลค์หรือความหมายว่าชื่นชอบกับเรื่องที่เชิงลบ คงไม่ค่อยตรงใจผู้ใช้มากนัก

มีการพูดถึงปุ่ม dislike แต่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark zuckerberg) ปฏิเสธทำปุ่มคำนี้ โดยให้เหตุผลว่า เฟซบุ๊กไม่ควรเป็นช่องทางแสดงออกถึงความเกลียดชัง แต่ก็ยอมรับว่ามีการคิดที่จะพัฒนาอะไรมาทดแทนในจุดนี้

ไม่นานมานี้ ทาง newsroom.fb.com ซึ่งเป็น Official blog ของทางเฟซบุ๊ก ประกาศว่า จะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้ปุ่ม like แบบใหม่ได้ทั่วทั้งโลกแล้ว หลังที่ก่อนหน้านี้เปิดให้ทดลองใช้กับผู้ใช้ในกลุ่มเล็กๆ ซึ่งปุ่มไลค์แบบใหม่นั้น เป็นอิโมติคอนหน้าแสดงอารมณ์ เพิ่มขึ้นมาอีก 5 แบบ รวมของเดิมคือ Like ก็รวมเป็น 6 แบบเลยทีเดียว

ปุ่ม ไลค์แบบใหม่ที่เพิ่มมานั้นก็คือ Love (รัก), Haha (หัวเราะ), Wow (ประหลาดใจ), Sad (เศร้า), Angry(โกรธ) ซึ่งเนื้อหาในบล็อกยังกล่าวต่อไปอีกว่า ระบบนี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบเพื่อดูผลลัพธ์ หากในอนาคตสามารถตอบโจทย์และสร้างประโยชน์ให้ผู้ใช้ได้ก็อาจจะได้ใช้มันต่อไป

ทว่าไม่กี่วันหลังจากมนุษย์เฟซฯ ชาวไทยตื่นเต้นสนุกสนานกับอิโมติคอนใหม่นี้ กลับเกิดเหตุรักล่ม เมื่อปุ่ม "รักเลย" หรือปุ่ม "LOVE" สร้างความร้าวฉานให้กับชีวิตรักคู่หนึ่ง

กดไลค์รูปหัวใจเป็นเหตุ เกินทนจนต้องเลิก

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอมท่านหนึ่งได้ตั้งกระทู้ชื่อ "เลิกกับแฟนเพราะปุ่มกดเลิฟใน facebook ค่ะ" โดยเล่าเขียนเรื่องราวว่า จริงๆ แล้วแฟนของตนเป็นคนเจ้าชู้มาก และตั้งแต่คบกันมามีกิ๊กประมาณ 8 คน และชอบทำตัวเป็นโสด ตนนั้นเป็นแฟนที่คบกันมา 3 ปี ไม่มีตัวตนอยู่บนเฟซบุ๊กของฝ่ายชาย ถ้าตนแท็กอะไรไป ฝ่ายชายจะไม่รับ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงอื่นแท็กมาก็จะรับทันที แรกๆ ก็ทะเลาะกัน ฝ่ายชายก็บอกว่าไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย ตนจึงคิดว่าคบกันในชีวิตจริงก็พอ

ด้วยความที่ไม่มีรูป ไม่มีสถานะในเฟซบุ๊ก ก็ทำให้แฟนของตนมีกิ๊กเข้ามาพัวพัน และเมื่อตนจับได้ก็จะใช้เฟซบุ๊กของฝ่ายชายพิมพ์ไปด่าเหล่าผู้หญิงที่เข้ามายุ่งกับฝ่ายชายซะเลย ซึ่งตนไม่ได้โทษผู้หญิงที่มาติดพัน แต่เป็นเพราะแฟนของตนเป็นฝ่ายไปอ่อยก่อนชนวนเหตุที่เป็นอันต้องเลิกกันนั้นเนื่องมาจากแฟนของตนแชตเฟซบุ๊กอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตนจับได้ก็เลิกคุยกันไปพักหนึ่งจนกลับมาคุยกันอีก ตนจึงขอดูข้อความแชต และปรากฏว่าเหมือนมีข้อความที่ถูกลบออกไป ซึ่งฝ่ายชายก็ยืนยันว่าไม่ได้ลบ สำหรับสาวคนที่แฟนตนคุยด้วยนั้น เป็นคนสวย เอ็กซ์มาก ส่วนตนไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย

จนกระทั่งเจ้าของเรื่องท่านนี้กดเข้าไปดูที่เฟซบุ๊กผู้หญิงคนดังกล่าว ก็พบว่าแฟนหนุ่มของเธอกดไลค์รูปหัวใจ ทำให้จากที่สงสัยอยู่แล้วกลายเป็นสร้างความโมโหขึ้นไปอีก เนื่องจากก่อนหน้านี้แฟนเคยพูดว่า ไม่รู้จะมีปุ่มแบบนี้ไปทำไม มีไปก็ทะเลาะกัน แถมบางทีคนเป็นแฟนกันก็มีปัญหา จึงทำให้ตนตัดสินใจเลิกกับแฟนด้วยความเก็บกด-โมโหในหลายๆ เรื่อง และเผยข้อความแชต ที่แฟนหนุ่มของเธอดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกผิดอะไร

ทั้งนี้เจ้าของเรื่องระบุว่า หลายคนอาจจะมองว่าตนงี่เง่าซึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตนเพิ่งเจอข้อความที่แฟนคุยกับสาวอื่น จึงทำให้โมโหขึ้นไปใหญ่ และอยากฝากถึงผู้ชายคนอื่นๆ อย่ามองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องขำๆ ถ้าหากจะกดไลค์รูปหัวใจให้นางแบบต่างประเทศ นางเอกเอวี ตนจะไม่โกรธเลย แต่นี่คือคนที่รู้จักกัน และมีการคุยแชทกัน ถ้าเป็นแบบนี้ควรเลิกกับแฟนไปเลยดีกว่า ซึ่งตนยอมรับว่าเก็บกดมากๆ ที่แฟนไม่เคยอัพรูปลงโซเชียล 3 ปีที่คบกันมาในโลกออนไลน์แฟนหนุ่มมักจะชอบคุยกับสาวอื่นอยู่บ่อยๆ จนตนคิดว่าจะไม่ทนอีกต่อไปและตัดสินใจบอกเลิก

ส่องความคิดเห็น ไร้สาระ VS สาระล้น

ผู้จัดการ Live ขอยกตัวอย่างความคิดเห็นในโลกโซเชียลที่เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ สังเกตจากชื่อโปรไฟล์คือ ผู้ชายทั้งนั้น

“เรื่องเล็กๆหยุมหยิม ก็เอามาทะเลาะกันเนาะ ผู้ชายก็พูดถูกตรงๆ อันนี้ไม่ได้เข้าข้างเพศเดียวกันนะ "ทำเหมือนไป .... กัน" ถ้าเปลี่ยนจากปุ่มไลค์เป็นให้คะแนน 1-10 หรืออะไรก็แล้วแต่ จะหาเรื่องเอามาทะเลาะกันก็ย่อมได้ จริงก็ไม่ได้อยู่ที่ปุ่มหรอก อยู่ที่นิสัยและสันดานของคนสองคนมากกว่า

“ไร้สาระได้ขนาดนี้ก็ควรจะเลิก ไม่หนักแน่นพอก็อย่ารักกันเลย”

ขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มองว่าไม่ใช่เรื่องไร้สาระ พร้อมวิเคราะห์ลึกลงไปอีกว่าสะท้อนความรู้สึกของแฟนหนุ่มที่พร้อมนอกใจได้ตลอดเวลา

“ส่วนตัวเราว่าไม่ไร้สาระนะคะ กระทำบางอย่างต้องแคร์อีกฝ่ายด้วย เอาใจเขาใส่ใจเราแค่นี้ก็สามารถคิดออกได้ง่ายๆแล้วค่ะว่าเรื่องบางอย่างควรวางตัวอย่างไร ในชีวิตจริงมันมีหลายอย่าง อย่างการแชตในไลน์มันก็ต้องระวังขึ้น ไม่ใช่คุยกันเหมือนยั่งกับจีบกัน เช่นพิมพ์ คิดถึงนะ, รักนะจุ๊บๆ พิมพ์แบบนี้ถึงเป็นแค่เพื่อนกัน ยังไงแฟนคุณก็คิดมากได้ค่ะ อีโมชั่นมันก็เหมือนกัน”

ประเด็นจริงๆ ไม่ใช่ปุ่ม แต่เป็นความเจ้าชู้ของผู้ชายต่างหาก ถ้าผู้ชายไม่มีพฤติกรรมเจ้าชู้หรือแอบคบคนอื่น ต่อให้ผู้ชายไม่อัพรูป หรือไปกดปุ่มเลิฟคนอื่น ก็ไม่มีปัญหาหรือเลิกกันหรอก ประเด็นหลักที่เลิกมันอยู่ตรงนั้นมากกว่า เรื่องกดปุ่มเลิฟนี่แค่ส่วนเสริมให้ฝ่ายหญิงหมดความอดทนแค่นั้นเอง

จะปุ่มอะไรก็ไม่สำคัญหรอกค่ะถ้าเค้าเสมอต้นเสมอปลายกะเราเหมือนเดิม ใส่ใจเรา ให้เกียรติเราเหมือนเดิม แต่จากข้อความที่อ่านมาจบเลยดีแล้วค่ะดีกว่าเจ็บแล้วเจ็บอีก ลักษณะเหมือนเค้าอยากไปอยู่แล้วปล่อยเค้าไปตามทางของเค้าเถอะค่ะ เราน่าจะมีความสุขกว่านะ

สถิติหย่าร้างชี้ เฟซบุ๊กตัวการสะบั้นรัก

เว็บไซต์บริการแจ้งการหย่าร้างออนไลน์ Divorce-Online ได้เปิดเผยข้อมูลสาเหตุหลักของการหย่าร้างของคู่รักในช่วงปัจจุบันว่า 1 ใน 5 หรือกว่า 20 เปอร์เซ็นต์นั้น มีสาเหตุหลักมาจากเว็บไซต์บริการเครือข่ายสังคมชื่อดังอย่างเฟซบุ๊ก

ตัวแทนของ Divorce-Online ได้ออกมาเปิดเผยว่ากว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของคู่รักที่ใช้บริการการหย่าออนไลน์ได้บอกสาเหตุหลักของการตัดสินใจว่า มาจากการที่พบเจอคู่รักของตนแอบสนทนาและพูดคุยกับเพื่อนที่อยู่บนเฟซฯ จนแปลเปลี่ยนความสัมพันธ์จากเพื่อนมาสู่ความสัมพันธ์แบบชู้สาว ทำให้เกิดสาเหตุของการหย่าร้างกันในที่สุด

นอกจากเฟซฯ แล้ว ยังมี MySpace, Twitter และ Bebo ที่เป็นเหตุของการหย่าร้างด้วยเช่นกัน แต่จากผลสำรวจกว่า 5,000 คู่พบว่าสาเหตุของการหย่าร้างว่า 989 คู่มาจากเฟซฯ

นั่นคือ สิ่งที่เป็นข่าวเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าปัจจุบันที่ Line เข้ามามีบทบาทสำคัญฮอตฮิตเหลือเกิน ตัวเลขสถิติหย่าร้างย่อมพุ่งกระฉูดขึ้นแน่

นักจิตวิทยาแนะ ใส่ใจคุยกับคนรักในโลกแห่งความเป็นจริง

ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายไว้ว่า

“ปัจจุบันมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเข้ามาเป็นปัญหาให้ครอบครัวและคู่รักเพิ่มขึ้นในการบั่นทอนความสัมพันธ์ เพราะขณะนี้ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ หลายคู่ต่างคนต่างทำงานคนละที่กัน ทำให้เจอเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าต่างเพศมากมาย จนเกิดความระแวงไม่มั่นใจกัน โดยมีตัวเทคโนโลยีอย่างเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์เป็นตัวเชื่อมจนรู้สึกว่าคนใกล้กลับไกล คนไกลกลับใกล้ เพราะทำให้ทอดทิ้งคนที่อยู่ใกล้ตัว แต่ไปให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ไกล ทำให้ครอบครัวไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่มีเวลาไปทักทายเพื่อนใหม่ผ่านทางเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์มากขึ้น

บางครั้งสร้างความเข้าใจผิดให้คู่สามีภรรยา เช่น สามีภรรยาสมัครเฟซบุ๊กคนละบัญชี เมื่อต่างคนต่างเล่นก็จะไม่สนใจกัน เช่น กลับมาบ้านก็คุยกับเพื่อนในเฟซบุ๊กทันที ทำให้ต่างฝ่ายต่างสงสัยหรือไม่ไว้ใจกัน

นอกจากทำลายความสัมพันธ์ของชีวิตคู่รักให้สลายหายไป ยังทำให้เราเสียบุคลิกภาพและเสียคน สุดท้ายก็เสียโอกาสที่จะเจอคนดีๆ ที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง

“ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าวันนี้เราคุยกับคนใกล้ตัวแบบสดๆ แล้วหรือยัง ได้สร้างความสัมพันธ์กับพ่อ แม่ พี่ น้องและเพื่อนแบบสดๆ จับต้องได้แล้วหรือยัง”

โดยเฉพาะกับคนรัก อย่าง แฟน หรือสามี หรือภรรยา ซึ่งความสัมพันธ์ค่อนข้างละเอียดอ่อนและอ่อนไหวมาก ยิ่งยุคนี้มีอิโมติคอนเข้ามามีบทบาทแสดงความรู้สึกเจาะจงชัดเจนขึ้นไปอีกบนเฟซฯ

“ถ้าหากเราไปกด Angry ใส่ใครบ่อย ๆ เราอาจเห็นโพสต์เขาน้อยลง หรือถ้าเพื่อนคนไหนถูกกด Sad เยอะผิดปกติจากคนรอบข้าง แสดงว่าต้องเกิดเหตุการณ์อะไรสำคัญขึ้นเป็นแน่แท้ และโพสต์นั้นอาจถูกเห็นมากขึ้น” เว็บ iphonenet.com เขียนเตือนทันทีที่เกิดลูกเล่นใหม่บนเฟซฯ

สำหรับคนที่แอบชอบ, รุ่นพี่, รุ่นเพื่อน, หรือจะรุ่นไหนก็ตามแต่ อย่าได้คิดไปส่งหัวใจกด Love พร่ำเพรือ เพราะไม่เพียงแค่เจ้าตัวจะรู้แล้ว เพื่อนรวมถึงประชาชนคนทั่วไปก็สามารถกดดูได้อีกด้วย หรือแม้กระทั่งแฟนหล่อน (ถ้ามี) อาจตามมาตบได้ถึงหน้าบ้าน ดังนั้นแนะนำว่าให้กดไลค์เหมือนเดิมก็เพียงพอ ไม่ต้องบอกความรู้สึกอะไรให้ใครรู้มาก (เพราะถ้ากดแสดงอารมณ์อะไรมากไป เดี๋ยวจะเป็นที่ครหาเสียเปล่า)

เพราะสังคมไทยไม่ใช่ฝรั่ง คนไทยไม่คุ้นชินกับการบอก Love หรือกอดม๊วฟ Hug ใครง่ายๆ

ขอบคุณภาพจาก facebook , newsroom.fb.com, petmaya.com, mirror.co.uk, tboseen.com, panthip.com



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น