นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง ผู้ผลิตเอ็มวี พิธีกร นักแสดง ผู้กำกับการแสดง ผู้ประพันธ์บทละคร ไปจนถึงนักธุรกิจ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าศิลปินที่เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มธรรมดาๆ อย่าง "แดน-วรเวช ดานุวงศ์" หรือที่ใครหลายคนในยุคบอยแบนด์รู้จักกันดีในนาม "แดน ดีทูบี" เคยทำมาหมดแล้ว
ล่าสุดกับการเดินทาง 7 จังหวัด 30 วัน บนเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการเล่นดนตรีเปิดหมวก ขายซีดี 999 แผ่น โดยมีเงินติดตัวแค่ 999 เยน (ประมาณ 300 บาท) นับเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า ถ้าถอดนามสกุล D2B ออกไป เขาจะยังเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ตัวจริงอยู่หรือไม่
พูดถึง "แดน วรเวช" เขาคือตัวแทนหนุ่มไฟแรงที่มีพลังสร้างแรงบันดาลใจในสิ่งที่ทำ และทำในสิ่งที่รักไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็ตาม นอกจากนั้นยังชอบเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ และแสวงหาแรงบันดาลใจในโลกกว้าง รวมไปถึงฝันที่จะสร้างความสุขให้แก่ทุกคนผ่านการร้องเพลง ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า การเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์นั้นสามารถทำได้ในทุกๆ ที่ บนโลกใบนี้
เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น หลังจากถูกเลือกให้เป็น 1 ใน 2 คนไทยเพื่อไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-ญี่ปุ่นในการเดินทาง 7 จังหวัด 30 วัน บนเกาะคิวชู เขากับคู่ซี้ (เอ๊ะ-พงศ์จักร พิษฐานพร วงละอองฟอง) เลือกเล่นดนตรีเปิดหมวกข้างถนนเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินค่าครองชีพสำหรับอาหารการกิน ค่ารถ ค่าเรือ แต่ความยากก็คือ ทำอย่างไรให้คนญี่ปุ่นหันมามอง หยุดฟัง ปรบมือ แล้วอุดหนุนซีดีที่มีจำนวนมากถึง 999 แผ่นให้หมดภายใน 30 วัน เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการได้ขึ้นเวที Fukuoka Asian Party ซึ่งเป็นเวทีใหญ่ระดับเอเชีย
"ต้องบอกก่อนว่าที่ได้ไป เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นเขามีโครงการหนึ่งเพื่อหาคนไทยคู่หนึ่งไปเรียนรู้วัฒนธรรมของเขา และทำให้คนญี่ปุ่นได้รู้จักคนไทยมากขึ้นแบบลึกๆ ซึ่งทางญี่ปุ่นยินดีเปิดทั้งเกาะคิวชู ซึ่งเป็นเกาะทางตอนใต้ มีทั้งหมด 7 จังหวัดให้คนไทย 2 คนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นผม (หัวเราะ) คนแรกที่ถูกเลือกคือ พี่เอ๊ะ พงศ์จักร แห่งวงละอองฟอง ส่วนอีกคนเขาก็มองหานักร้องที่สามารถกำกับงาน เขียนงาน ดูแลงาน และผลิตงานได้ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่ต้องทำเป็นภาพยนตร์ ซีรี่ส์ออกมาด้วย สุดท้ายเขาก็เลือกผม
ตอนแรกที่ได้โจทย์มาคือ ต้องไปอยู่บนเกาะคิวชู 1 เดือน มีเงินติดตัวแค่ 999 เยน หรือประมาณ 300 บาท ผมกับพี่เอ๊ะก็คุยกันว่า เล่นดนตรีเปิดหมวก ขายซีดีหาตังค์กันดีกว่า ผมก็ปล่อยเซอร์เลย นอกจากนั้นยังต้องหาอาชีพเสริมด้วย โชคดีที่รัฐบาลญี่ปุ่นยื่นข้อเสนอให้ที่พัก แต่เราต้องทำงานแลกกับที่พักตามแต่ละสถานที่ แต่ละอาชีพ ซึ่งมีตั้งแต่เก็บองุ่น ปลูกผัก ล้างห้องน้ำ ไปจนถึงการขัดอ่างออนเซน" ศิลปินในวัย 31 ปีเล่าถึงที่มา
ต่อสู้กับความเป็นศิลปินในตัวเอง
ศิลปินหนุ่ม เล่าต่อไปถึงความยากในการหาเงินด้วยวิธีร้องเพลงเปิดหมวก และขายซีดีไปพร้อมๆ กัน ซึ่งนอกจากความยากในการเชิญชวนให้คนมาหยุดฟัง และอุดหนุนซีดีแล้ว ยังต้องต่อสู้กับความเป็นศิลปินในตัวเองจนต้องกลับมาตั้งคำถามถึงความเป็นศิลปินอีกครั้ง
"ผมผ่านมาหลายเวทีทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ แต่ครั้งนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากร้อง ไม่อยากหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นเลย คิดอยู่แค่ว่า ในเมื่อไม่มีคนดูแล้วจะเล่นไปทำไม เล่นไปเพื่ออะไร พอละ ครึ่งเพลงวางดีกว่า ไปกันเถอะ ย้ายที่เล่นดีกว่า แต่พอถึงจุดหนึ่ง มันเริ่มคิดได้ และค่อยๆ มองย้อนกลับไปในวันแรกที่เราเลือกหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่น ทำไมมันมีความสุขจัง ทั้งๆ ที่ไม่มีใครฟังเราเลยนะ หรือแม้แต่เวลาเราร้องเพลงในห้องน้ำ ทำไมมันมีความสุขจังเลย
เมื่อคิดได้แบบนั้น จึงเปลี่ยนมาร้องเพลงโดยเริ่มจากความสุขเหมือนวันแรกที่เลือกหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่น มันแปลกมากที่ผมมีความสุขขึ้นมาทันที ไม่มีใครฟังก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ เราฟังกันเองก็ได้ (ยิ้ม) และที่แปลกกว่านั้นคือ คนเริ่มมาหยุดยืน หยุดฟัง ปรบมือ ส่วนตัวรู้สึกว่าเขาคงสัมผัสได้ถึงความสุขของเราจริงๆ ไม่ใช่มีความสุขเฉพาะตอนที่คนมายืนมุงดูเยอะๆ พอไม่มีคนดูก็ไม่อยากร้อง ตรงนั้นผมมองว่าไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากเราจริงๆ"
บทเรียนในวันนั้นทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า "ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเป็นอิสระจากความคาดหวัง" เริ่มต้นง่ายๆ จากความสุขในหัวใจของตัวเองก่อน
"พอกลับมาจากคิวชู ทุกคอนเสิร์ตผมลุกขึ้นเต้นตลอด ผิดกับเมื่อก่อนที่ไม่กล้าลุกเพราะกลัวสายตาคนมอง ตอนนี้ผมมองว่า ความสุขอยู่ที่ตัวเรา หากไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ทำไปเถอะครับ พอเราสนุก และมีความสุข คนข้างๆ ก็พร้อมจะสนุก และมีความสุขไปกับเราด้วย" เขาเสริม และบอกต่อไปว่า การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนั้น ยังได้รับความสุขอีกหนึ่งอย่างก็คือ "ความสุขเมื่อมีคนข้างๆ ร่วมทางไปด้วยกัน"
เพื่อนชายร่วมทางที่ชื่อ "เอ๊ะ"
"พี่เอ๊ะเป็นคนพูดเยอะครับ (หัวเราะ) หรือถ้าไม่พูดก็หลับ ซึ่งเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้พูด เขาจะหลับทันที ยิ่งตอนขับรถ ยิ่งต้องพูด (หัวเราะ) ส่วนผมจะเป็นคนอยู่ในที่ของตัวเอง เวลาไปไหนก็จะพกหูฟังไปด้วย เวลานั่งรถกับพี่เขา ผมก็จะบอกว่า พี่เอ๊ะ ผมขอฟังเพลงแปปนึงนะพี่ เขาก็..โอเคๆ น้อง ตามสบายเลย พี่ขับรถได้ ซึ่งในระหว่างขับรถ แกก็พูดๆๆๆ ผมก็มองปากแก พี่เขาพูดกับใครวะ
สุดท้ายเราก็เอาหูฟังออกแล้วก็ถามว่า เมื่อกี้พี่พูดกับใคร เขาก็บอกว่าพูดกับน้องไง เราก็แบบ...เฮ้ย! พี่ ผมบอกผมฟังเพลงอยู่ เขาก็บอกว่า อ้าวเหรอ พี่ลืม (หัวเราะ) ซึ่งพอยิ่งรู้จักเขาเราก็ยิ่งเข้าใจเขา และก็ไปด้วยกันได้ เพราะเป็นคนง่ายๆ เหมือนกัน มีเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้างความสุขให้แก่ทุกๆ คน" แดนเผยถึงเพื่อนร่วมทางคนนี้ แม้จะต่างกัน แต่ก็เข้ากันใจ แถมระหว่างทางที่ผ่านมาล้วนเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ
ทั้งหมดนี้ จึงกลายมาเป็นเรียลลิตี้ "คิวซู เดอะซีรี่ส์" 624 ชั่วโมง บอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางของ 2 หนุ่มฮิปสเตอร์กับภารกิจ 30 วันบนเกาะคิวชูผ่านทางช่องทรูโฟร์ยู ดิจิตอลฟรีทีวี (ช่อง 24) ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00 - 12.00 น. ส่วนกระแสตอบรับดีหรือไม่ต้องไปฟังจากปากเจ้าตัวกันเอง
"กระแสดีครับ ดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก อยากให้ดูกันครับ ซึ่งนอกจากเรื่องราวน่าตื่นเต้นกับภารกิจที่น่าติดตามในเส้นทาง 7 จังหวัด บนเกาะคิวชูแล้ว ยังพาไปชมความงดงามกับแหล่งท่องเที่ยวอันมหัศจรรย์ของประเทศญี่ปุ่น เล่าแบบซีนต่อซีน วันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมงว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันคือโบนัสของชีวิตที่ได้ทำ เพราะมันยังไม่เคยมีใครทำแบบนี้เลยนะ ผมกับพี่เอ๊ะถือว่าโชคดีมากๆ"
ส่วนอีกหนึ่งความตั้งใจของพวกเขาหลังกลับจากญี่ปุ่น คือ "การให้" ในรูปแบบกิจกรรมการกุศลที่มีชื่อว่า "SanQ Band Music for School" เพราะมองเห็นคุณค่าในเสียงดนตรี และอยากให้โอกาสแก่น้องๆ ผู้ด้อยโอกาส จึงนำเงินที่ได้จากขายซีดีมาต่อยอด ด้วยการซื้อ และมอบเครื่องดนตรีให้แก่นักเรียนโรงเรียนสรวงสุทธาวิยา จ.สุพรรณบุรี และโรงเรียนอุปละพันธุ์โรจนประสิทธิ์ จ.พระนครศรีอยุธา
แผนต่อไปของแดน วรเวช
เมื่อถามต่อไปถึงแผนชีวิตหลังจากนี้ หนุ่มแดนบอกว่า อยากร่วมงานกับต่างประเทศแบบจริงๆ จังๆ "สิ่งที่ผมอยากทำต่อจากนี้คือ กำกับหนังในโปรดักส์ชันต่างประเทศ หรืออาจจะเป็นงานเพลง" เขาบอก "ที่อยากทำ ไม่ได้ต้องการอยากจะดัง หรือต้องการจะรวย แต่มันคือประสบการณ์การทำงาน ทุกวันนี้ชีวิตผมอยู่ได้ละ ด้วยเงินที่ทำงาน เก็บเงิน มันอยู่ได้ตลอดทั้งชีวิตแล้วล่ะครับ ดังนั้นความดัง ความรวย ผมไม่ต้องการ มันผ่านจุดนั้นมาแล้ว (ยิ้ม) ผมแค่ต้องการทำงาน สร้างงานในวันที่เรายังรู้สึกว่า งานเราสามารถสร้างความสุขให้แก่คนฟังได้อยู่
ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ครอบครัวมีความสุข อย่างช่วงเวลาที่เราได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน พวกเขาดูมีความสุขมาก โดยเฉพาะการได้เล่นกับหิมะ แม้จะเคยเห็นแล้วตอนผมพาไปที่ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งในตอนนั้นต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปบนยอดเขา แล้วมีเวลาดื่มด่ำกับหิมะไม่ถึง 10 นาที แต่การได้มาเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงหิมะตกด้วยกัน พวกเขาได้ใช้เวลาอย่างมีความสุขกับหิมะ ได้สัมผัสหิมะตอนมันล่วงหล่นใส่ตัว ผมเห็นแม่วิ่งย่ำหิมะอย่างสนุกสนาน
ส่วนพ่อก็ถ่ายรูปอย่างมีความสุข ดังนั้นผมจึงตั้งมั่นว่า เราจะให้เขามากที่สุดในวันที่มีพวกเขาอยู่ ทุกวันนี้ผมมักจะหาเวลาอยู่บ้าน นั่งดูพวกเขา สัมผัสพวกเขาทุกวัน ไม่ว่าจะกอดหอม ผมไม่เคยอาย เพราะหลังจากนี้จะไม่มีคำว่า รู้แบบนี้ตอนท่านอยู่เราน่าจะทำให้ท่าน หรือรู้แบบนี้เราน่าจะซื้อสิ่งนี้ให้ท่าน"
นี่แหละครอบครัว "ดานุวงศ์"
พูดถึงครอบครัว ไม่ถามไม่ได้ถึงการเลี้ยงดูในมุมของลูกชายคนนี้ แดนบอกว่า คุณพ่อเป็นคนตลกวิชาการ ส่วนคุณแม่เป็นผู้หญิงที่น่ารัก และใจดีมากๆ
"พ่อไม่เคยเรียกผมมานั่งคุยแล้วชี้นิ้วบอกว่า ลูกอย่าทำตัวแบบนี้ ไม่เลยครับ เวลาผมมีเรื่องที่โรงเรียนมา กลับเข้าบ้านแทนที่พ่อจะดุ แต่เปิดโทรทัศน์แล้วเราก็นอนดูด้วยกัน ส่วนพ่อดูแล้วก็พูดลอยๆ ด้วยน้ำเสียงเล่นๆ ว่า จริงๆ ทำแบบนี้ไม่เวิร์กเลยนะ สมัยพ่อเป็นเด็กๆ นะ...แล้วก็เล่ายาวไป สุดท้ายก็จบลงด้วยการกอดกัน หรือเวลาจะตีลูก พ่อจะบอกตลอดว่า พ่อตีเพราะอะไร ที่ตีลูก พ่อไม่ได้เกลียดลูกนะ หลังจากตีเสร็จก็จะกอดกัน มีการเอายามาทาให้ด้วยนะ (ยิ้ม) ด้านคุณแม่ เป็นผู้หญิงใจดีมาก ไม่เคยพูดคำหยาบเลย
นอกจากนั้น ยังเติบโตมาในบ้านที่พ่อกับแม่ไม่เคยนินทาผู้อื่น คิดแต่เรื่องในแง่บวก ทำให้ผมกลายเป็นผู้ใหญ่ทีไม่คิดร้ายกับผู้อื่น ไม่มองโลกในแง่ลบ มีความเคารพ และศรัทธาตัวเองจนนำไปเป็นพลังในการทำสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรัก แถมยังรู้จักแบ่งปันความรักไปสู่คนอื่นๆ ด้วย" ลูกชายคนเก่งเล่า ก่อนจะย้ำให้เห็นว่า "ผมเป็นแดน วรเวชในวันนี้ได้ก็เพราะครอบครัวที่เลี้ยงลูกด้วยความรักและความเข้าใจ"
ต้องไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง
อย่างไรก็ดี นอกจากพ่อแม่แล้ว "แฟนคลับ" คือผู้อยู่เบื้องหลัง และแรงผลักดันกลุ่มสำคัญในชีวิตของเขาด้วย "ที่ผมมีวันนี้ไม่ใช่แค่ตัวผม ครอบครัว ผมยังมีกลุ่มแฟนคลับที่ทำให้ผมยังเดินอยู่บนเส้นทางนี้ได้" แดนบอก "จริงๆ ผมเป็นเด็กเกเรคนหนึ่ง แต่การได้มีพวกเขานี้แหละ มันเลยทำให้รู้สึกว่า ไม่ได้ เราจะเกเรไม่ได้ ถ้าเราเกเร พวกเขาจะเสียใจขนาดไหน อีกอย่าง พวกเขาบอกพ่อแม่ไปแล้วว่า นี่ไงไอดอลของหนู ถ้าเราเป็นไอดอลที่ยับเยิน ผมรับไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกอายเพื่อน อายพ่อแม่ อายพี่น้องที่มีไอดอลอย่างเรา
ดังนั้น ใครที่มาว่าแฟนคลับผม บ้าดารา บ้านักร้อง หรือมองว่าเป็นเรื่องปัญญาอ่อน ผมมักจะพูดกับตัวเองตลอดว่า ผมจะพิสูจน์ให้เห็นด้วยการทำให้เห็น ทั้งเรื่องการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต เพื่อเป็นต้นแบบให้เด็กรุ่นใหม่ได้เดินตาม หันมาสนใจเรียน หรือกล้าที่จะกอด และบอกรักพ่อแม่ ซึ่งมันมากกว่าการบ้าดารา
ส่วนตัวรู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้มาอยู่ตรงนี้ แม้ช่วงแรกๆ จะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยโดยไม่สนใจอะไร แต่วันหนึ่งเราลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองว่า เราต้องทำเพื่อพวกเขา เพื่อเป็นไอดอลในด้านดีให้แก่กลุ่มแฟนคลับของเรา และผู้ที่ติดตามผลงานของเรา"
"แพทตี้" ผู้หญิงของ "แดน"
"รู้สึกว่าตัวเองสายตาแหลมคมมากๆ" แดนเอ่ยขึ้น พร้อมด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น ก่อนจะพาเข้าสู่โหมดเห่อแฟนในลำดับต่อไป "ผมชอบครับ ชอบๆๆ (สีเลือดฝาดบนใบหน้าเริ่มปรากฏให้เห็นชัดขึ้น) ผมชอบผู้หญิงที่มีทั้งมุมน่ารัก มุมสวย มุมแมนๆ ลุยๆ ทำให้เวลาที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกไม่เบื่อเลยครับ"
"แดน" เล่าย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นในการพบกันครั้งแรกจาก "สายลับเดอะซีรีส์" ด้วยความน่ารัก สดใสของแพทตี้ แถมขับรถมากองถ่ายตัวคนเดียว ทำให้รู้สึกว่า "ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมากๆ"
"ผมชอบผู้หญิงเก่ง ไม่พูดคำหยาบ แล้วที่สำคัญคือ ไม่จับกลุ่มเมาท์ หรือนินทาคนอื่น ซึ่งผมนั่งแอบมองดูอยู่ตลอด (ยิ้ม) เวลาช่างแต่งหน้า ช่างทำผมพูดถึงคนนั้นคนนี้ น้องก็จะเริ่มปลีกตัวออกไปนั่งฟังเพลงอยู่ในมุมของตัวเอง ผมเห็นแบบนี้ก็เฮ้ย! ใช่เลย (หัวเราะ) เพราะถ้าผมจะมีใครสักคนในวันนั้น ผมไม่อยากเปลี่ยนแล้วอ่ะ ไม่อยากเริ่มต้นใหม่แล้ว ถ้าไม่ใช่ก็ไม่มีดีกว่า อยู่คนเดียวได้ กระทั่งมาเจอกับน้อง ด้วยความน่ารักทั้งหน้าตา และนิสัย ผมก็รุกขึ้นเรื่อยๆ หาโอกาสคุยมากขึ้นจนได้เบอร์มาคุย กว่าจะตกลงเป็นแฟนกันก็ประมาณ 1 ปีครับ
ถึงวันนี้ คบหาดูใจกันมาร่วม 6 ปีแล้ว น้องก็น่ารักเหมือนเดิม ไม่เคยพูดถึงคนนั้นคนนี้เลย พูดถึงแต่ชีวิตของตัวเอง เช่น พี่หนูไปทำแบบนี้มา จะไม่แบบว่า..พี่ๆ หนูไปเจอคนนี้มานะ เขาเป็นคนแบบนั้น แบบนี้ ไม่มีๆ ครับ ซึ่งต้องบอกว่า หาได้ยากมากในยุคนี้ ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองสายตาแหลมคมมาก" พูดจบก็หัวเราะยาว ก่อนจะสังเกตเห็นสีเลือดฝาดบนใบหน้าที่เกิดจากความเขินอายของผู้ชายในโหมดเห่อแฟนรายนี้
ถามว่าจะมีข่าวดีเมื่อไร หนุ่มแดนบอกว่า "ดูแลกันไปแบบนี้ก่อนดีกว่าครับ พร้อมเมื่อไรค่อยว่ากันครับ"
ทั้งหมดนี้ คือแง่มุม แง่งามในชีวิตของ "แดน-วรเวช ดานุวงศ์" ผู้ชายมากความสามารถที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน ไม่เคยมองว่า "ชีวิตมีทางตัน" แต่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง และลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยหัวใจไม่แพ้หัวสมอง แถมยังมีความใส่ใจทั้งครอบครัว ความรัก และเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่คนรุ่นใหม่
ด้วยความธรรมดา ทว่าพิเศษของผู้ชายคนนี้ คงไม่เกินไปนักถ้าจะบอกว่า เขาคือหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดของเมืองไทยที่ใครหลายคนยกนิ้วให้ในความเจ๋ง และความเป็น "ตัวจริง" บนเส้นทางสายบันเทิง
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช และขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @danworrawech
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754