เป็นข่าวดังสะท้านโลก เมื่อคณะลูกขุนในรัฐมิสซูรี ตัดสินให้บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ต้องจ่ายค่าชดเชย 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กรณีแป้งฝุ่นเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งรังไข่ในผู้หญิงสูงวัย
เหตุการณ์นี้สร้างความผวาให้กับคนทั้งโลก เพราะทุกเพศทุกวัยติดนิสัยทาแป้งทุกวัน ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า โดยเฉพาะแป้งแบรนด์ดังเจ้านี้
มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เอ๊ะ ทาแป้งตรงจิ๋มแล้วเป็นมะเร็งรังไข่จริงหรือ? อ้าว แล้วแป้งที่ผู้หญิงต้องทาบนใบหน้าทุกวันล่ะ? น่าเป็นห่วงสุดคือ เด็กๆ ที่ผู้ใหญ่ชอบปะแป้งให้ทั้งหน้าทั้งก้น ขาวไปไหนทุกครั้งหลังอาบน้ำ อันตรายขนาดไหน?!
จอห์นสันฯ บกพร่องเตือนผู้บริโภค ต้องชดใช้ 72 ล้านดอลล์
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นแห่งเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา ตัดสินให้จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวน 72 ล้านดอลลาร์ หรือตกเป็นเงินไทยราว 2,500 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าชดเชยแก่ครอบครัวของ แจ็กกี ฟอกซ์ สุภาพสตรีวัย 62 ปีที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่เมื่อปีที่แล้ว
คุณยายฟอกซ์อัดเทปบันทึกเสียงเล่าว่าเธอใช้แป้งเด็กจอห์นสันฯ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นชาวเวอร์ทูชาวเวอร์ทุกเช้าตั้งแต่เด็กจนโต เป็นเวลานานกว่า 35 ปี จนกระทั่งได้รับการวินิจฉัยตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเสียชีวิตในที่สุดเมื่อปี 2015 โดยลูกชายบุญธรรมของเธอ มาร์วิน ชาลเตอร์ เป็นผู้รับช่วงต่อในการฟ้องร้องคดีต่อศาล
“สำหรับแม่แล้ว การทาแป้งฝุ่นเหมือนกับการแปรงฟันทุกวัน” ชาลเตอร์กล่าว
คริสตา สมิธ หัวหน้าคณะลูกขุน ได้ขอเอกสารภายในของจอห์นสันฯ เพื่อนำมาให้คณะลูกขุนอ่านพิจารณาประกอบการตัดสิน และคำตัดสินก็ออกมาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาหลังจากพิจารณาหารือกันกว่าสี่ชั่วโมง
“มีความชัดเจนอยู่แล้วว่าบริษัทได้ปกปิดข้อมูลบางอย่างเอาไว้” สมิธกล่าวในฐานะหัวหน้าคณะลูกขุนแห่งเมืองเซนต์หลุยส์
“สิ่งที่บริษัทควรทำมานานแล้วคือ ติดฉลากเพื่อตักเตือนผู้บริโภค”
ทั้งนี้ เจอราร์ด โนส ทนายของจอหน์สันฯ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ ต่อคำตัดสิน
อัลเลน สมิธ ทนายความของครอบครัวแจ็คกี ฟอกซ์ ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า
“นี่เป็นเพียงคำตัดสินจากการบริหารงานที่เลวร้ายของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน”
จอห์นสันฯ ถูกฟ้อง 1,200 ดคีในรอบ 40 กว่าปีที่ผ่านมา
ยุคปี ค.ศ.1970 มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่ใช้แป้งกับอวัยวะเพศ มีอัตราเสี่ยงจะเป็นมะเร็งรังไข่ โดยอาจเป็นไปได้ ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และสารทัลค์ (Talc หรือ ทัลคัม Talcum ส่วนประกอบหลักของแป้งฝุ่น ซึ่งเป็นสารอนินทรีย์มีชื่อเคมีว่า Hydrated Magnesium Silicate จงสังเกตว่าจะมีคำนี้บนกระป๋องแป้งเกือบทุกยี่ห้อ) ไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน
จอห์นสันฯ ได้วางขายแป้งเด็กที่ใช้แป้งข้าวโพดแทนสารทัลค์ตั้งแต่ช่วงปี 1970 แต่ก็ยังโฆษณาขายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารทัลค์ต่อไป โดยยังคงยืนยันมาตลอดว่าส่วนผสมที่ใช้มีความปลอดภัย
แม้จอห์นสันฯ ถูกฟ้องร้องกว่า 1,200 คดี ที่ทั้งหมดอ้างอิงจากผลการศึกษาและวิจัยต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แป้งเด็กจอห์นสันฯ และผลิตภัณฑ์แบรนด์ชาวเวอร์ทูชาวเวอร์มีส่วนก่อให้เกิดโรคมะเร็งรังไข่ แต่ดูเหมือนบิ๊กองค์กรเจ้านี้ไม่ยี่หระ
ปี 1988 ยังเจาะตลาดกลุ่มผู้หญิงด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ซึ่งมีส่วนผสมของแร่ทัลค์ ภายใต้แบรนด์ชาวเวอร์ทูชาวเวอร์ โดยมีข้อความโฆษณาตอนหนึ่งระบุว่า “ปลุกวันสดใสด้วยการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้หมดไป”
ปี 2009 ก็มีกลุ่มรณรงค์เพื่อความปลอดภัยในเครื่องสำอาง Campaign for Safe Cosmetics ผลักดันให้บริษัท จอห์นสันฯ นำส่วนผสมที่น่าสงสัยบางอย่างออกจากผลิตภัณฑ์สำหรับทารกและผู้ใหญ่ออก โดยหลังจากเรียกร้อง รณรงค์ และคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์ของจอห์นสันฯ เป็นเวลา 3 ปี บริษัทยักษ์ใหญ่จึงยินยอมนำส่วนผสมอย่าง 1,4-ไดออกซินและฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองและเป็นเหตุของการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย ออกจากผลิตภัณฑ์ในเครือดังกล่าว
จากข้อมูล Statistic Brain Research Group ประมาณการว่า มูลค่าของแป้งเด็กในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 18.8 ล้านดอลลาร์) และครัวเรือนสหรัฐฯ ราว 19 เปอร์เซ็นต์ใช้ผลิตภัณฑ์จอห์นสันฯ
เพราะยังเป็นประเด็นถกเถียงว่าทาแป้งเด็กตรงโจ๊ะโมะแล้วเสี่ยงต่อมะเร็งรังไข่จริงหรือ งานวิจัยบางชิ้นบอกว่ามีความเสี่ยง ขณะที่งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าไม่มีความเสี่ยง เป็นข้อถกเถียงที่ไม่สิ้นสุดมากกว่า 40 ปีแล้ว
IARC จัดสารทัลค์เข้ากลุ่ม 2B อาจจะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์
กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลไว้ว่า แป้งฝุ่น (Skin powder) หมายถึง สิ่งปรุงที่มีลักษณะเป็นผงละเอียด เป็นอนินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำ อาจแต่งกลิ่นหรือสี เพื่อใช้แก่ร่างกายหรือเสริมความงาม แบ่งเป็น แป้งฝุ่นโรยตัว (body powders) แป้งฝุ่นโรยตัวเด็ก (baby powder) และแป้งฝุ่นผัดหน้า (face powder) ซึ่งมีความละเอียดมากกว่าแป้งฝุ่นโรยตัว
ส่วนประกอบหลักของแป้งฝุ่น คือ ทัลคัม (talcum) และอาจมีแคลเซียมคาร์บอเนตชนิดผงเบาละเอียดพิเศษ (Micronized Calcium Carbonate) อาจมีการเติมสารอื่นเช่น สารช่วยป้องกันความชื้น สารฝาดสมาน (Astringent) สารช่วยทำให้ผิวเย็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่นและสี
แป้งฝุ่นซึ่งมีทัลค์เป็นส่วนประกอบหลัก จะมีคุณสมบัติช่วยผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้ผิวหนังเนียนลื่น
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าให้ผู้จัดการ Live ฟังว่า IARC (International Agency for Research on Cancer) ซึ่งเป็นองค์กรหน่วยย่อยหนึ่งของ World Health Organization (WHO) ที่ทำหน้าที่หลักเป็นผู้ประเมินและจัดกลุ่มสารก่อมะเร็งที่ได้รับความเชื่อถือสูงที่สุดในโลก จัดกลุ่มเจ้าสารทัลค์ให้อยู่ในกลุ่ม 2 B หมายถึง อาจจะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์
“โดยสรีระของผู้หญิงตรงอวัยวะเพศเป็นอุโมงค์ เป็นทางเปิดที่เข้าไปได้ง่ายกว่า แป้งคืออณูฝุ่นครับ มันสามารถผ่านทางช่องคลอด เข้าไปถึงมดลูก และจากมดลูก เข้าไปที่ปีกมดลูก จากปีกมดลูก มันจะไปที่รังไข่ ยิ่งผู้หญิงบางคนชอบโรยแป้งตรงแผ่นอนามัยที่ติดกับกางเกงชั้นใน รู้สึกมั่นใจ สะอาดดี ต้องระวังอย่างยิ่งครับ” นพ.กฤษดา ให้ข้อมูลอีกว่า
“มีงานการศึกษาที่รวบรวมหลายการศึกษามาวิเคราะห์ เขาก็บอกว่าถ้าใช้กับจุดซ่อนเร้น มีแนวโน้มที่จะเกี่ยวกับมะเร็งรังไข่”
ดั่งการศึกษาของนักวิจัยจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ฮาร์วาร์ดในบอสตัน พบว่า ผู้ที่ใช้แป้งฝุ่นโรยตัวทาบริเวณจุดซ่อนเร้น มีความเสี่ยงมะเร็งรังไข่กว่าผู้ที่ไม่ใช้แป้งสูงถึง 40 %
ทาแป้งบนหนังหน้า ทั้งเด็กผู้ใหญ่ภูมิแพ้สะสม มะเร็งปอดถามหา
“โดยหลักคือ ทาบางๆ อย่าถึงขนาดชุบแป้ง และระวังจุดอ่อนไหว 2 จุดคือ ทางเดินหายใจ และอวัยวะเพศ” นพ.กฤษดา เตือนไปถึงเด็กๆ ที่มักถูกผู้ใหญ่ชุบแป้งให้เป็นประจำ
“ถ้าเป็นเด็กที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว อาการก็จะกำเริบ หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ถ้าใช้แป้งทัลคัม อาการก็กำเริบได้ ไม่ใช่แค่เด็ก”
การทาแป้งโดยเฉพาะตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะล่องลอยในอากาศ ถ้าสูดเข้าทางเดินหายใจที่ละเล็กละน้อยเป็นเวลานานๆ ก็จะเกิดการสะสมในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เรียกว่า ภาวะ Pneumoconiosis ทำให้มีปัญหากับการหายใจ ถ้าเป็นเด็กทารกทำให้ปอดอักเสบและตายได้
“ต้องดูว่าแป้งนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ถ้าสารทัลคัม มีชื่อทางเคมีว่า Magnesium Silicate Hydroxide มันจะคล้ายเม็ดทรายที่ป่นละเอียด เนื้อเนียนเป็นแป้งเลย” นพ.กฤษดา ยังพูดถึงบรรดาสาวๆ ที่นิยมสรรหาแป้งยูวี แป้งกลูต้า แป้งหน้าเด้ง โบ๊ะหน้าด้วย
“แล้วเอามาทาหน้า ใกล้จมูก ฟุ้งเข้าจมูก ถ้าน้อยๆ ร่างกายไม่แพ้ ก็อาจไม่เป็นไร แต่ถ้าร่างกายเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว อาการจะกำเริบได้”
ยิ่งผู้หญิงแต่งหน้าผัดแป้งทาอายแชโดว์ฝุ่น ซึ่งมีสารมิเนอรัล ทัลค์ (Mineral Talc) เป็นส่วนผสมอยู่ถึง 90% ถ้าสูดดมเข้าไปจะอาจทำให้เกิดโรคปอด มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมหมวกไตชนิดหายาก
สำรวจตลาดแป้งบ้านเรา ฉลากก็ไม่ระบุความจริงที่ซ่อนอยู่
ผู้จัดการ Live ออกสำรวจ พบว่าแป้งฝุ่นทาหน้าโรยตัว ไม่ว่าจะแป้งเด็ก แป้งเย็น แป้งใส่สารกันแดด และแป้งหน้าขาว หน้าชมพู หน้าเนียน ที่ขายกันตรึมในท้องตลาดทั่วไปล้วนเป็น แป้งทัลคัม (Talcum Powder)
แม้แป้งทุกชนิดทุกแบรนด์ต่างมีคำเตือนไปในแนวทางเดียวกัน อาทิ อย่าให้แป้งเข้าจมูกเข้าปากเด็กแล้ว ยังต้องเก็บให้พ้นมือเด็ก ระวังอย่าให้เข้าตาด้วย กระทั่งแป้งเด็กที่ผลิตจากแป้งข้าวเจ้าบริสุทธิ์ ย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ ก็ยังมีคำเตือนห้ามใช้โรยสะดือเด็กแรกเกิด แป้งเด็กเนื้อโลชั่นก็หมายเหตุว่าแม้ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในกลุ่มทดลอง เว้นแต่การแพ้ส่วนบุคคล หรือระคายเคือง
แต่ก็ยังคงบิดบังซ่อนเร้นความจริงว่าด้วยอาจก่อให้เกิดมะเร็งรังไข่ ตามที่หัวหน้าคณะลูกขุนกล่าวไว้
ไม่เหมือนกับซองบุหรี่ที่โชว์ทั้งภาพและข้อความเตือนขู่เขย่าขวัญขั้นสุด ทั้งที่เป็นภัยเงียบอันตรายถึงปอด ก่อมะเร็งคร่าชีวิตหมือนกัน !?!
*แป้งทางเลือก จากข้าวเจ้าข้าวโพด แต่ระวังผื่นเชื้อรา*
ถึงแม้ยังไม่ฟันธงว่า “แป้ง”เป็นตัวการจะจะก่อให้เกิดมะเร็ง องค์กรระดับโลกยังใช้คำว่า “อาจจะ” “เสี่ยง” “แนวโน้ม” “เกี่ยวกับ” แต่เราในฐานะผู้บริโภคควรต้องดูแลป้องกันตัวเองและลูกหลานไว้ก่อน
ในสหรัฐอเมริกาแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้แป้งทาตัวเด็กที่มีส่วนผสมของทัลคัม และผู้ผลิตชั้นนำได้หันมาเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ อาทิ แป้งข้าวโพด แป้งข้าวเจ้า เพื่อทดแทนแร่หินทัลค์
และในปัจจุบันมีความนิยมใช้แป้งเด็กที่ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าบริสุทธิ์ (Rice Starch) กันมากขึ้นแม้ราคาแพงกว่า เนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่า ไม่เกิดการสะสมในปอดหรือใต้ร่มผ้า ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ยังปกป้องลูกน้อยจากผื่นคัน เพราะมีคุณสมบัติป้องกันความเปียกชื้น และการดูดซับไขมันสูงกว่าทัลคัม
“ผมอยากใช้คำว่าแป้งทางเลือก อย่างเช่น แป้งเนื้อโลชั่นก็ได้ เพราะมันไม่กระจาย แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวโพด ก็ได้
แต่เมื่อไรก็ตามที่เด็กเป็นผื่น และยังไม่แน่ใจว่าผื่นนั้นคืออะไร อย่าเพิ่งโรยแป้ง ให้เอาผ้านุ่มๆ มาซับให้แห้งแทน เพราะถ้าเป็นผื่นจากเชื้อรา การที่โรยแป้งข้าวเจ้าแป้งข้าวโพด มันจะกลายเป็นอาหารโต๊ะจีนชั้นดีให้กับเชื้อราเลยครับ
ผู้หญิงก็เช่นกันครับ อย่าทาแป้งตรงจุดซ่อนเร้นเลย ใช้วิธีเอาผ้านุ่มๆ ค่อยๆ ซับแห้ง ปลอดภัยกว่าครับ” นพ.กฤษดา แนะปิดท้าย
ขอบคุณภาพจาก FB: Marvin Salter, thehealthyarchive.info, biohopethai.com, waymagazine.org, thlos.com
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754