“รอบ Grand Opening หนูล้มกลางเวทีเลย แต่นาทีนั้น หนูแค่คิดว่าล้มแล้วก็ลุกขึ้นเดินต่อ มันไม่ใช่อุปสรรค มองว่ามันเป็นโอกาสมากกว่า จะทำยังไงให้กรรมการเห็นว่าเรามี power ล้มแล้วลุกขึ้นมาเดินต่อได้แบบไม่กังวล
มันเป็นโอกาสครั้งเดียวที่เราเดินบนเวทีนี้ แค่ไม่กี่วินาทีบนนั้น เราจะทำยังไงให้มันสะกดทุกสายตา จะทำยังไงให้กรรมการมองที่เรา ให้ทุกคนมองว่าเรานี่แหละที่จะได้ตำแหน่ง
ถ้าเราคิดว่าเราจะได้ตำแหน่ง เราก็ต้องได้! มันคือการสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ต้องเป็นความมั่นใจที่มาจากข้างใน มาจากอินเนอร์จริงๆ ค่ะ”
Strong มากๆ!! นี่ถ้าเธอเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันในรายการ “The Face Thailand” คงได้คำชมจากพี่ลูกเกด-เมทินี ไปแล้ว แต่เผอิญว่าเธอคือผู้เข้าประกวดในเวที “Thai Super Model Contest” ตำแหน่งผู้ชนะบนรันเวย์ระดับประเทศในปีล่าสุด จึงตกเป็นของสาวมั่นคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และจะยิ่งไม่ต้องสงสัยเข้าไปใหญ่ ถ้าได้รู้ว่าเธอเตรียมตัวเตรียมใจที่จะใช้ชีวิตบนส้นสูงมาตั้งแต่สมัยอนุบาลแล้ว!!
ล้มได้ แต่ต้อง Strong!!
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "Thai Supermodel Contest"]
“เนย-ปภาดา กลิ่นสุมาลย์” ชื่อนี้ถูกบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการบนเส้นทางนางแบบสายอาชีพเรียบร้อยแล้ว หลังเธอพกเอาความมั่น เข้าคว้าตำแหน่ง “Thai Super Model Contest 2015” ไปครองในวัย 21 ปี ด้วยอายุเพียงเท่านี้ แม้จะยังถือว่า “อ่อนประสบการณ์” บนทางแคตวอล์ก แต่รับรองได้เลยว่าเธอไม่เคย “อ่อนซ้อม” อย่างแน่นอน และพร้อมจะสวมวิญญาณนางแบบ ถ่ายทอดศิลปะบนเรือนร่างออกมาให้ดีที่สุด ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นจากข้างใน
“ไม่ว่าเวทีมันจะเจออุปสรรคอะไร เราต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะ บางทีเราอาจจะเหยียบชุดแล้วล้ม หรือชุดเราอาจจะหลุดก็ได้ แต่ ณ วินาทีนั้นที่เราอยู่ในโชว์ เราจะแก้ไขยังไง จะเอายังไงให้มันอยู่ โดยที่พลังเรายังไม่ตก คือเราอาจจะล้ม แต่เราลุกขึ้นมาใหม่ให้เขาเห็นได้แค่ไหนว่า ฉันไม่เป็นไรนะ
หนักสุดที่เคยเจอก็ตอนประกวดเวทีนี้นี่แหละค่ะ (หัวเราะให้ตัวเอง) ล้มตั้งแต่ชุดแรกเลยค่ะ รอบ Grand Opening เปิดมาเป็นโชว์ที่ต้องสวมชุดยาวมาก คือตอนที่หนูใส่เดินซ้อม มันจะมีเข็มขัด แล้วพอวันจริง เขาอยากให้เอาเข็มขัดออก เปลี่ยนเป็นสวมเครื่องประดับที่คอแทน เราก็เลยทำตามนั้น ปรากฏว่ายิ่งเอาเข็มขัดออก ชุดเรายิ่งมีหางยาวมากไปอีก กลายเป็นชุดฟู่ฟ่าอลังการมาก พอรอบเดินจริง เดินๆ ไปสักพัก ชุดมันก็ร่วงลงจนเราเหยียบแล้วก็ล้มตรงกลางเวทีนั้นเลย แต่นาทีนั้น หนูคิดแค่ว่าล้มแล้วก็ลุกขึ้นเดินต่อ มันไม่ใช่อุปสรรค!
หนูไม่ได้มองว่ามันเป็นอุปสรรคเลยค่ะตอนล้ม มองว่ามันเป็นโอกาสมากกว่า ว่าตอนนี้เราล้ม แล้วเราจะทำยังไงให้กรรมการเห็นว่าเรามี power นะ เราล้มแล้วเราลุกขึ้นมาได้ และเดินต่อได้แบบไม่กังวล คนเรามันพลาดกันได้ตลอดในทุกเวที แต่มันอยู่ที่ว่าหลังจากที่เราพลาดแล้วเนี่ย เราทำยังไงให้มันเดินต่อไปได้มากกว่า”
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "Thai Supermodel Contest"]
“ความมั่นใจ” คือเสน่ห์ที่มีอยู่เด่นชัดที่สุดในตัวเนย เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เธอ Strong สมกับการเป็น “นางแบบอาชีพ” หลายๆ คนบอกเอาไว้อย่างนั้น “ความมีอินเนอร์ในการโพสท่า ในการเดิน ความมั่นใจมันสำคัญนะ เพราะถ้าเราไม่มั่นใจ ทำอะไรออกมามันก็ไม่สุด ต้องคิดว่านี่คือเวทีของเรา นี่คือโชว์ของเราค่ะ”
“เวลาที่โชว์ หนูจะทำเต็มที่ในทุกครั้ง ต้องคิดว่าในโชว์นั้นเราสวยที่สุด มันคือเวทีของเรา ต้องพยายามดึงความมั่นใจของตัวเองออกมาค่ะ ทำให้เขาเห็นว่าเรามีพลังแค่ไหน ทุกก้าวที่เดิน มันต้องมีพลังออกมา ให้เขาเห็นทั้งสีหน้า แววตา ความมั่นใจมันต้องออกมาตั้งแต่เราก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีแล้ว
ในหลายๆ เรื่องในชีวิต หนูก็ว่าหนูก็เป็นคนมั่นนะ (ยิ้มสดใส) ไม่ค่อยลังเลอะไรค่ะ ถ้าคิดว่าอยากจะทำอะไรก็ทำเลย พอจะพุ่งมาทางนี้ก็เลือกทำให้เต็มที่ อย่างที่มาประกวดครั้งนี้ หนูก็คิดเลยว่าหนูจะได้ (ยิ้มด้วยแววตามุ่งมั่น) พ่อจะบอกตลอดว่าเราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าเราคิดว่าเราจะได้ตำแหน่ง เราก็ต้องได้!
มันคือการสร้างความมั่นใจให้ตัวเองนะ อย่างหนูเรียนเอกการละคอน (คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการละคอน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เวลาจะแสดงเป็นตัวละครตัวไหน เราก็ต้องเชื่อนะว่าเป็นตัวนั้นจริงๆ เราถึงจะทำได้ การมาเดินแบบก็เหมือนกันค่ะ เราก็ต้องเชื่อว่าเราจะทำได้ ต้องเชื่อว่าเราจะได้ มันต้องเป็นความมั่นใจที่มาจากข้างในจริงๆ ค่ะ
[ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "Thai Supermodel Contest"]
นาทีที่อยู่บนเวทีประกวด หนูคิดแค่ว่าถ้ามันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา และเป็นโอกาสครั้งเดียวที่เราเดินบนเวทีนี้ แค่ไม่กี่วินาทีบนนั้นน่ะค่ะ เราจะทำยังไงให้มันสะกดทุกสายตา เราจะทำยังไงให้กรรมการมองที่เรา ให้ทุกคนมองว่าเรานี่แหละที่จะได้ตำแหน่ง มันต้องมีพลังและดึงออกมาให้ได้มากที่สุด”
แต่ถึงจะมั่นแค่ไหน เนยก็เคยมี “บทเรียนจากความไม่มั่นใจ” เหมือนกัน ตั้งแต่ช่วงลองอวดโฉมบนรันเวย์ใหม่ๆ เลยทำให้รู้ว่าอะไรคือจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้
“ปกติหนูจะชอบเดินแบบหน้านิ่งๆ ค่ะ แต่มีครั้งนึง เจองานที่ต้องเดินออกไปส่งจุ๊บกลางเวที เขาอยากได้อารมณ์น่ารักสดใส บอกมาเลยว่าอยากได้ท่าแบบนี้ๆ นะ แต่หนูรู้สึกไม่มั่นใจเลย พอเราออกไปทำท่าหน้าเวทีแบบนั้นปุ๊บ เราก็ถามตัวเองเลยว่า เฮ้ย! เมื่อกี๊ทำอะไรลงไปน่ะ (ยิ้มบางๆ) กลายเป็นทำให้เราไม่มั่นใจไป
ตอนนั้นเราก็ทำท่าส่งจุ๊บอย่างที่เขาให้ทำออกไปค่ะ เพราะมันเป็นงานเดินแบบงานแรกๆ ของเราด้วย เขาบอกให้ทำก็ทำ แต่พอทำไปแล้วก็มารู้สึกทีหลังว่า มันสวยป่ะวะ ก็เลยได้เรียนรู้ว่าต่อไปเราอาจจะต้องเอาสิ่งที่ตัวเองถนัด มารวมกับที่เขาแนะนำมา มาเจอกันคนละครึ่งทางดีกว่า จริงๆ แล้ว พอไปอยู่หน้าเวทีมันก็ไม่มีถูกผิดอะไรนะ ตรงนั้นมันเป็นโชว์ ขึ้นอยุ่กับว่าเราอยากจะทำให้มันออกมาดีที่สุดแบบไหน ถ้าเป็นในแบบที่เรามั่นใจ มันก็น่าจะดีที่สุดค่ะ”
อินเนอร์มาเต็มตั้งแต่อนุบาล!!
“คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นนั่งดูทีวีอยู่ เขาประกวดอะไรกันก็ไม่รู้ หนูก็ยังเด็กมาก ประมาณอนุบาลได้ หนูก็ไปเดินวนๆ อยู่ตรงทีวี แล้วก็ถามแม่ว่าเขาเข้าไปได้ยังไงในนั้น (ชี้ไปที่ทีวี) สงสัยมากว่าคนในนั้นเข้าไปทางไหน (ยิ้ม) แล้วก็บอกแม่ว่าอยากเป็นอย่างนี้ แม่พาไปหน่อย ทางเข้าทีวีอยู่ตรงไหน?” เนยเล่าไปยิ้มไป
“หนูมีความฝันที่ชัดเจนมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เป็นสเต็ปๆ มาเรื่อยๆ ตั้งแต่อยู่มัธยม ตั้งเป้าหมายเอาไว้เลยว่าอยากเรียนด้านนี้เพราะเราชอบการละคอน เราก็สอบเข้ามาเรียนจนได้ พอรู้ตัวว่าชอบเดินแบบ เราก็ไปเรียนเดินแบบ แล้วก็มาสมัครเข้าประกวด วางเป้าหมายมาตลอดแล้วก็พยายามทำให้ตรงจุดค่ะ เก็บขั้นบันไดของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
ที่ทำให้หนูมีอินเนอร์มากๆ กับการเดินแบบ คงเพราะเราชอบมาตั้งแต่ยังเด็กด้วยมั้งคะ แต่บางคนอาจจะเพิ่งมาชอบก็ได้ และไอ้ความมุ่งมั่นตรงนั้นแหละที่ทำให้เราถ่ายทอดออกมาได้ดี
หนูฝึกเดินแบบเองมาตั้งแต่ตอน ม.ปลายแล้วค่ะ ชอบเปิดคลิปนางแบบเมืองนอกดู เปิดเพลง แล้วก็หัดโพส หัดเดินตามอยู่หน้ากระจก เลิกเรียนมาวันไหน ก็จะรีบกลับบ้านไปใส่ส้นสูง หัดเดินอยู่ในบ้านเลยค่ะ (ยิ้ม) คุณแม่เขาก็สนับสนุนค่ะ เห็นเราชอบทางนี้มากจริงๆ พอวันนึง ดูทีวีแล้วเห็นมีโฆษณาสอนเดินแบบของพี่โย (ยศวดี หัสดีวิจิตร) ก็เลยไปลงเรียนค่ะ
ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนเดินแบบจริงๆ จังๆ ของหนูเลยค่ะ ช่วงประมาณ ม.5 เทอม 2 ตอนนั้นยังเรียนอยู่โคราชอยู่เลยค่ะ เลยต้องนั่งรถทัวร์มาเรียนทุกเย็นวันศุกร์ แล้วก็ไปเรียนเช้าวันเสาร์ ช่วงแรกๆ คุณแม่จะนั่งรถทัวร์มาด้วย หลังจากนั้นเราก็มาคนเดียวแล้วค่ะ นั่งไป-กลับคนเดียว นั่งทีนึงก็ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนมาตลอดค่ะ บอกว่าถ้าชอบทางนี้ก็ทำให้เต็มที่ เวลาทำการบ้านก็ไม่ค่อยมี แต่ด้วยความที่เราชอบทางนี้ เราก็พยายามแบ่งเวลาค่ะ แล้วก็ฝึกซ้อมเดินที่บ้านทุกวัน โดยที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาประกวดเวทีนี้ด้วยซ้ำ
พอไปถึง เริ่มเรียนคลาสแรก ก่อนที่ครูเขาจะสอน เขาจะให้เราลองเดินให้ดูทีละคน พอถึงตาเรา เขาถามเลยว่าเคยไปฝึกจากที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ใครสอนให้เดิน-ให้โพสท่าแบบนี้ ทำไมทำได้ (ยิ้ม) หนูก็บอกว่าดูในคลิปแล้วมาหัดเองค่ะ เหมือนเราดูแล้วก็จำเอามาใช้ตลอด มันก็เลยมาเอง เป็นไปเอง
การเรียนทำให้เรารู้ว่าเราจะเดินบนส้นสูงยังไง ต้องจัดระเบียบร่างกายยังไง เวลายืน เวลาโพส สอนพื้นฐานทุกอย่าง นอกนั้นเราก็เก็บประสบการณ์เอาเองไปเรื่อยๆ ค่ะ มีเดินตามห้างฯ ตามงานเล็กๆ บ้าง พอมั่นใจในการเดินของตัวเอง ความคิดเรื่องการประกวดถึงได้เข้ามาค่ะ เลยลองสมัครเวทีไทยซุปฯ (Thai Super Model Contest 2015) เป็นเวทีใหญ่เวทีแรกในชีวิตเลย ซึ่งก็ให้อะไรกับเราเยอะมากค่ะ ได้มาอยู่กับผู้เข้าประกวดทั้ง 20 คน ต่างคนต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง แต่เราก็มาเริ่มพัฒนาไปด้วยกัน ได้เก็บเกี่ยวความรู้เทคนิคต่างๆ แถมได้มิตรภาพกลับไปด้วย”
[อุ๋ม-อาภาศิริ (ซ้าย) สุดยอดนางแบบ ไอดอลของเนย]
อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน คือคนต้นแบบบนเส้นทางนางแบบอาชีพของเนย เธอพูดด้วยน้ำเสียงปลื้มปริ่มให้ฟังว่า ประทับใจมาตั้งแต่ในจอ ยิ่งมาได้เป็นลูกศิษย์จริงๆ ยิ่งรู้สึกปลาบปลื้มไปกันใหญ่
“หนูชอบครูอุ๋มมาตั้งแต่ที่เขาเล่นซีรีส์ใน Club Friday แล้วค่ะ ชอบมาก (ย้ำอีกครั้ง) รู้สึกว่าเขาดูเป็นคนมีคาแรกเตอร์ชัดเจนดีค่ะ พอมาเข้าประกวดเวทีไทยซุปฯ เขาก็เป็นคนมาสอน และเขาน่ารักมากเลยค่ะ friendly มาก เลยยิ่งประทับใจ เราเคยดูละครของเขา เราเคยเห็นเขาเดินจริงๆ บนเวที Fashion Week และวันนี้เขาก็มาสอนเรา มันแบบ...” ไม่ต้องมีคำพูดอธิบายต่อ อ่านแค่แววตาที่ส่งออกมา ก็รู้แล้วว่าเนยปลื้มไอดอลคนนี้ขนาดไหน
เขาเป็นดารารุ่นใหญ่ แต่พอมาสอนเรา เขาก็มองเราเป็นลูกศิษย์ สอนให้เราเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องระเบียบวินัยค่ะ ครูอุ๋มจะมองเรื่องระเบียบวินัยมาเป็นอันดับหนึ่งเลย จะพูดเสมอว่าการเป็นนางแบบมันไม่ใช่แค่เดินๆ โพสๆ แล้วก็จบ แต่มันคือการฝึกฝน เราต้องจำ แล้วก็มีระเบียบวินัย มีสัมมาคารวะ และต้องรู้จักกาลเทศะด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นตัวเองได้ทุกที่ตลอดเวลา บางทีเราก็ต้องดูด้วยว่าอะไรสมควร-ไม่สมควร
เวลาเราเดินแบบคนเดียว ทุกคนต้องทำโชว์ของตัวเองออกมาให้ดีที่สุดก็จริง แต่ก็ต้องไม่ลืมเรื่องทีมเวิร์กด้วยค่ะ เพราะถ้าคนอื่นพัง โชว์ก็พัง เราเองก็พัง มิตรภาพและประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ โดยเฉพาะเวทีไทยซุปฯ เราจะคอยบอก คอยสอนกันตลอดว่า เพื่อนคนนี้โพสท่านี้ไม่ถนัด ไหนบอกเทคนิคหน่อยว่าจะแก้ยังไง หนูเลยไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน แค่ทุกคนช่วยกันและทำมันออกมาให้ดีที่สุด”
“Victoria's Secret” เวทีในฝัน
ไหวแน่เหรอ นางแบบชุดชั้นในนะ? เนยหัวเราะรับพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก “มันก็ท้าทายดีค่ะ เป็นอีกเวทีนึงที่หนูใฝ่ฝัน เป็นเวทีระดับโลกที่คนฮือฮาด้วย ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีนางแบบไทยได้เดินนะคะ เคยเห็นแต่นางแบบเอเชีย ถ้าเราทำได้ก็คงน่าสนใจดีค่ะ ก็อยากจะไปให้ถึงจุดนั้นเหมือนกัน”
“ส่วนเรื่องชุดที่ใส่เดินแบบ จริงๆ แล้วที่บ้านก็ไม่ได้มีขีดจำกัดอะไรกับเราขนาดนั้นนะคะ (ยิ้ม) ถ้ามันเป็นงานก็คืองาน แต่แค่ต้อง safety และถ้ายิ่งเป็นเวที Victoria's Secret ด้วยแล้ว พ่อกับแม่หนูโอเคนะ เขาคงบอกให้เราไปเลย (หัวเราะเบาๆ) อยากทำอะไรก็ลุยเลย ครอบครัวเราไม่เคยห้ามเลยค่ะว่าจะทำอะไร พ่อจะพูดตลอดว่าอยากทำ ทำเลยลูก เอาเลย! ตลอดทุกงาน (ยิ้ม) แต่ถ้าเป็นงานวาบหวิวอีกแบบนึง แบบถ่ายนู้ดไปเลย อันนั้นถึงจะไม่โอเคค่ะ เพราะหนูก็ยังอายุน้อยอยู่เลย และเพิ่งเข้ามา เราก็อยากให้ตัวเองเดินในวงการนี้ไปได้อีกยาวๆ
อีกอย่าง ถ้าไปเดินเวทีระดับโลก ฝรั่งเขาไม่ซีเรียสเรื่องนี้เลยค่ะ ด้วยวัฒนธรรมตะวันตกที่จะมองเรื่องแบบนี้ว่าเป็นศิลปะ เป็นแฟชัน จากที่เคยทำงานกับนางแบบฝรั่งมา เห็นเลยว่าเขาจะมั่นใจมากกว่าเราในเรื่องการแต่งตัววาบหวิวค่ะ แต่นางแบบไทยจะไม่ค่อยนิยมรับงานแฟชันโชว์ชุดชั้นในกันเท่าไหร่ เวลามีงานแบบนี้ในบ้านเรา ก็จะเห็นเป็นนางแบบฝรั่งทั้งหมดเลย ด้วยวัฒนธรรมหลายๆ อย่างของเราด้วยค่ะที่มันยังไม่ได้เปิดรับขนาดนั้น
[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey]
ถ้ามีโอกาสหนูก็อยากไปประกวดต่อค่ะ หรืออาจจะลองไปหาประสบการณ์เดินแบบในต่างประเทศดู มันก็พอมีหนทางไปต่ออยู่นะ อย่างนางแบบฝรั่งที่มาเดินแบบที่บ้านเรา เราก็ทำแบบเดียวกันได้ค่ะ ข้ามไปเดินที่บ้านเขาบ้าง เดินโชว์เก็บไว้เป็นผลงานของตัวเองไปเรื่อยๆ หรืออาจจะมีเดินทางไปแคสต์งานเองด้วยค่ะ ต้องรอดูจังหวะแล้วก็โอกาสที่เหมาะๆ อีกที”
แรงผลักจากความเป็น “เด็กต่างจังหวัด” เป็นเด็กอีสาน บ้านเกิดอยู่ที่โคราช คือเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้เนยรู้สึกว่าตัวเองมีความทะเยอทะยานมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวๆ กัน บอกเลยว่าที่เห็นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถือว่าไปไกลกว่าเดิมมากแล้ว
“ตอนหนูเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนเดินแบบใหม่ๆ หนูจะโดนมองว่าเป็นเด็กบ้านนอกตลอด (ยิ้มขำๆ) สายตาเพื่อนๆ จะชอบมองว่าเราแปลกๆ ด้วยความที่แฟชันเราไม่เหมือนเขาด้วยมั้งคะ (หัวเราะ) หนูก็แต่งตัวแปลกๆ แต่งตัวไม่ค่อยเป็น ยังใส่อะไรก็ใส่อยู่เลย แต่เด็กกรุงเทพฯ จะแต่งตามเทรนด์กันตลอด ความเป็นเด็กต่างจังหวัดของเรา มันเลยทำให้เรา active ค่ะ กลายเป็นจุดที่ทำให้เราผลักดันตัวเองว่าฉันจะต้องไปให้ได้มากกว่านี้อยู่ตลอด
ความเป็นเด็กต่างจังหวัดทำให้เราเป็นคนอดทนมากๆ นะคะหนูว่า ถ้าวัดจากประสบการณ์จริง เหมือนเราจะต้องดูแลตัวเองและต้องพยายามออกไปค้นหาอะไรอยู่ตลอด มันเลยทำให้เราเป็นคนไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบไปเจออะไรใหม่ๆ ลองอะไรใหม่ๆ อย่างช่วงว่างๆ หนูก็ชอบขับรถไปเที่ยวค่ะ มันทำให้เรารู้สึกสดชื่น ออกไปเจอโลกกว้างๆ มันช่วยให้เราได้ชาร์จแบต ได้ถอยห่างออกมาจากความวุ่นวายและแออัด เจอแต่อะไรซ้ำๆ เติมตลอด
เหมือนกับเรื่องงานเลยค่ะ ถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากจะลองอะไรไปเรื่อยๆ การประกวดเวทีไทยซุปฯ ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของหนูเลยนะ เป็นก้าวที่คิดว่าน่าจะช่วยสานต่อเส้นทางบันเทิงของเราต่อไปค่ะ ถ้าเป็นไปได้ หนูก็อยากลองอะไรๆ อีกหลายอย่างเลย
จริงๆ แล้ว หนูอยากเป็นนักแสดงด้วยเพราะเรียนจบมาด้านนี้ อยากเป็นนางแบบที่เล่นละครได้ค่ะ อยากทำได้หลายๆ อย่าง เพราะงานเดินแบบมันก็ไม่ได้มีเข้ามาตลอด เลยอยากมีงานอื่นเข้ามาให้ได้ลองทำบ้าง จะได้ท้าทายตัวเองไปในตัว เพราะบางทีทำอะไรซ้ำๆ เดิมมันก็เบื่อนะ ถ้ามีโอกาสก็อยากทดสอบความสามารถตัวเองดูค่ะ มันเป็นธรรมดาที่คนเราต้องอยากพัฒนาความสามารถของเราขึ้นไปเรื่อยๆ”
ตั้ง “สติ” ก่อนสตาร์ท...โซเชียลฯ
[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey]
“คนเราเดี๋ยวนี้ขาดสติเยอะนะ เลยทำให้มีดรามาในสังคมเกิดขึ้นเยอะค่ะ” คำพูดของเธอค่อนข้างดูโตกว่าไวไปมากเมื่อให้ลองพูดถึงมุมคิดเรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งคงเพราะเธอเข้าวัด ฟังเทศน์ ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่ 2 ขวบ
“อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ก็ได้ค่ะ ถ้าทางธรรมก็เรียกว่า “อวิชชา” ความไม่รู้ทำให้คนเราคิดไปต่างๆ นานา เติมแต่งไป เพราะเราไม่รู้เรื่องนั้นจริงๆ จินตนาการกันไป เลยทำให้เกิดเรื่องดรามาให้เถียงกันได้ตลอด เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ต้องใช้สติกันให้เยอะๆ ค่ะ คิดให้รอบคอบก่อนแล้วค่อยโพสต์ ค่อยแชร์ ค่อยเมนต์
ทุกวันนี้ หนูก็เล่นไอจี (อินสตาแกรม) ค่ะ จะเล่นแต่ละทีก็ต้องคิดดีๆ เล่นแบบระวังพอสมควร เพราะมันไปเร็วมาก บางทีถ้าโพสต์อะไรผิดพลาดไป ภาพนั้นเราอาจจะลบไปแล้ว แต่คนอื่นอาจจะ capture หน้าจอไว้แล้วเอาไปแชร์ต่อก็ได้ บางทีรูปของเราที่โพสต์ลงไปอาจจะไม่มีอะไร แต่เวลาอยู่กับคนเยอะๆ มันมีหลายความคิด ยิ่งคนเอาไปเขียนต่อ ทำให้เจตนามันเปลี่ยนไปก็มี
หนูถูกสอนมาให้ระวังเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนเป็นดรัมเมเยอร์ของมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ (ดรัมเมเยอร์งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 70) เราต้องเป็น Brand Ambrassador ของมหาวิทยาลัยไปด้วย เราก็ต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์พวกนี้อยู่แล้ว อาจารย์จะพูดอยู่เสมอว่าเราเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย ทำอะไรเราก็ต้องระวัง ไม่ว่าเราจะไปไหนหรือจะลงรูป ก็ให้คิดไว้เสมอว่าเราถือตรามหาวิทยาลัยเอาไว้ พอมาถึงตอนนี้ เราก็มีตำแหน่งระดับประเทศเข้ามา ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราต้องทำตัวให้ดีและพร้อมที่สุดค่ะ”
[ครอบครัวร่วมยินดีในความสำเร็จ/ ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey]
เพราะโตมากับคุณพ่อคุณแม่ที่ปลูกฝังเรื่องการเข้าวัดฟังธรรม จึงทำให้เนยกลายเป็นคนใจเย็น “การเข้าวัดทำให้คนเรามีจิตใจที่อ่อนโยนขึ้นได้จริงๆ ค่ะ” เธอยืนยันเอาไว้แบบนั้น
“การเข้าวัดทำให้เรามีเมตตา ช่วยขัดเกลาจิตใจ ทำให้ใจเย็นแล้วก็มีสติมากขึ้น ทำให้เราฉุกคิดได้ก่อนในหลายๆ เรื่องเลยค่ะ จากเมื่อก่อนหนูเป็นคนค่อนข้างใจร้อน มีอะไรจะพูดออกมาทันที เพราะเป็นคนพูดตรงด้วย จะโพล่งออกมาเลย แต่พอได้ศึกษาธรรมะ มันทำให้เรารู้จักคิดก่อน มองดูตัวเองก่อนว่า ที่เขาทำแบบนี้กับเรา เป็นเพราะเราเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า คือเราต้องอย่าโทษคนอื่นก่อน
ที่หยิบเอามาใช้ได้บ่อยๆ ก็คือคำสอนเรื่อง “สติ” แล้วก็ “พรหมวิหาร 4” ค่ะ ช่วยให้เรารู้จัก เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา บางทีการทำงานก็ต้องมีสิ่งที่เราไม่ถูกใจบ้าง แต่เราจะวางตัวยังไงให้เป็นกลางให้ได้มากที่สุด บางทีเราไม่ชอบรายละเอียดงานตรงนี้หรอก แต่เราก็จำเป็นต้องทำ จะไปเหวี่ยงไปวีน มันก็ไม่ใช่ บางทีคนพูดอะไรมาไม่ถูกใจเรา ก็มาดูว่าที่เขาว่าเขาดุเราตรงนี้ เราผิดจริงหรือเปล่า ถ้าผิดจริงก็ให้แก้ไข อย่าเก็บเอามาแต่อารมณ์
อย่างเวลาทานข้าวที่บ้าน เรื่องธรรมะก็จะมาตลอดค่ะ จะขับรถไปเที่ยว คุณพ่อยังพูดเรื่องธรรมะตลอดเลย (ยิ้ม) บางทีก็เล่าพุทธประวัติด้วยค่ะ เพราะคุณพ่อเขาเคยไปบวชที่อินเดีย เขาก็จะชอบเล่าเกี่ยวกับหลักธรรม พูดให้เราฟังตลอด เราก็ซึมซับมาเรื่อยๆ
[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey]
หนูเริ่มเข้าวัด ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ 2 ขวบ เพราะคุณพ่อคุณแม่เขาชอบไปวัดค่ะ ทุกครั้งก็จะเอาหนูไปด้วย ไปนอนปักกุฎิที่วัดเลย ทั้งวัดป่า-วัดเมือง ไปหมด จะไปทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน ไปนอนที่วัดตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ พอโตมาเรื่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ก็จะให้สวดมนต์ก่อนนอน เราก็ซึมซับจนมันเป็นไปเอง กลายเป็นคนชอบเข้าวัด ถ้าว่างก็จะไปปล่อยปลา ถวายสังฆทาน ไปไหว้พระค่ะ
หนูเป็นคนชอบไปเที่ยวด้วย ทุกทริปก็จะต้องมีแวะไหว้พระด้วยสักที่นึง แต่ต้องไหว้พระด้วยใจที่น้อมนำนะคะ บางคนทำบุญก็จริง แต่จิตใจไม่ได้น้อมนำก็มี ก็อาจจะไม่ได้รับอานิสงส์ตรงนั้น แต่กับคนที่ปฏิบัติธรรม จิตใจเราจะน้อมเอาบุญเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ไหว้พระหรือแค่กราบพระเฉยๆ แต่ต้องรำลึกถึงองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจังด้วย เมื่อไหร่ที่จิตใจเราน้อม อานิสงส์ก็จะทำให้เราสบายใจ สงบ แล้วก็มีความสุข”
อีกหนึ่งสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มักจะพร่ำสอนเสมอคือคำว่า “อย่าลืมตัว” เป็นเหมือนถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ที่เนยท่องเอาไว้ในใจเสมอ
“ให้เรารู้เสมอว่าเราทำอะไรอยู่และเราเป็นใคร ต่อให้เราไปอยู่จุดสูงสุดขนาดไหนก็ตาม เราอย่าลืมว่าเรามาจากที่ไหน อย่างหนูเป็นคนอีสาน บางคนอาจจะอายที่พูดภาษาอีสาน แต่หนูไม่เคยอายเลย ตอนไปขึ้นเวที คัดดรัมเมเยอร์ หนูยังพูดภาษาอีสานเลยค่ะ ตอนเขาให้แสดงความสามารถพิเศษ เราต้องอย่าลืมตัว แล้วก็มีเมตตาต่อคนอื่นเยอะๆ ค่ะ แล้วสิ่งที่เราทำ มันจะนำพาสิ่งดีๆ มาสู่ตัวของเราเอง”
ประวัติส่วนตัว [ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey] ชื่อ: เนย-ปภาดา กลิ่นสุมาลย์ อายุ: 21 ปี การศึกษา: นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการละคอน ม.ธรรมศาสตร์ ผลงาน: ดรัมเมเยอร์งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 70, ผู้ชนะการประกวด Thai Super Model Contest 2015 |
อย่าอยากสวยเกินพอดี! [ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey] นางแบบ ไม่จำเป็นต้อง กลัวอ้วนเสมอไป! เนยยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เห็นผอมๆ แบบนี้ แต่จริงๆ แล้วหนูกินเก่งมากนะคะ (ยิ้ม) เป็นคนระบบเผาผลาญเราดี แค่ไม่กินข้าวเช้ามื้อเดียวก็ซูบแล้วค่ะ หรือถ้าตั้งใจกินให้อ้วนจริงๆ กินให้ตายยังไงก็ไม่ขึ้นค่ะ ทั้งๆ ที่จริงๆ เราอยากให้ตัวเองอ้วนกว่านี้ อยากดูมีแก้มค่ะ แต่น้ำหนักมากที่สุดที่เคยหนักคือ 49 กก. ไม่เคยเกินนั้นเลย เลยไม่ค่อยได้คุมน้ำหนักเท่าไหร่ แต่หนูชอบทานผลไม้มากค่ะ หลังกินข้าวทุกมื้อต้องมีผลไม้ต่อ หรือช่วงว่างๆ ก็จะกินแอปเปิล สับปะรด แล้วก็ฝรั่งค่ะ ถ้าให้แนะนำว่าจะรักษาหุ่นยังไง ก็คงต้องให้ควบคุมเรื่องการกินค่ะ เดี๋ยวนี้มีคนที่หลอกขายยาลดความอ้วนทางเน็ตเยอะเหมือนกัน อันนี้ต้องระวัง เพราะเพื่อนหนูก็เคยเจอเหมือนกัน กินยาลดความอ้วนมันให้ผลเร็วค่ะ แต่มันอันตรายมาก อันนี้เคยมีพี่ที่รู้จักเสียชีวิตเพราะยาลดความอ้วนเลยค่ะ เลยอยากพูดเรื่องนี้ พี่คนที่เสียไปเขาเป็นลีดรุ่นเดียวกัน เขาจะมีอาการกลัวตัวเองอ้วนตลอด แล้วก็คิดว่าตัวเองอ้วน อยากจะลด อยากจะกินยาลดความอ้วนอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้อ้วนนะ เขาตัวประมาณหนูนี่แหละ แต่เขาคิดว่าอ้วนแล้วก็เลยไปกินยาลดความอ้วน วันๆ นึงก็กินกล้วยได้แค่ลูกเดียว สุดท้าย เขาก็หมดแรง เสียชีวิตไปเลย หนูตกใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเสียเพราะยาลดความอ้วน เพราะเขาไม่ใช่คนอ้วนเลย ใครที่กำลังคิดจะลดวิธีผิดๆ ก็อยากแนะนำว่าอย่าไปทำเลยดีกว่าค่ะ ให้เลือกวิธีคุมอาหารกับออกกำลังกายแทน ทุกอย่างมันอยู่ที่การคุมของเราจริงๆ ลองดูเรื่องปริมาณแคลอรีและคอเลสเตอรอลดูบ้างก็ได้ค่ะ แล้วก็กินผลไม้เยอะๆ ทานโยเกิร์ตใส่ธัญพืชลงไป น่าจะช่วยได้” [ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey] |
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @pimniioey
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754