ชีวิตดีไปอีก รุ่งทั้งงานพุ่งทั้งความรัก หลังจากที่ มัดหมี่ เพิ่งได้ติดยศร้อยตรี เป็น ร.ต.หญิง พิมดาว พานิชสมัย สังกัดกรมดุริยางค์กองทัพบก และไม่นานมานี้ก็ได้ฤกษ์สละโสดจูงมือหวานใจนักธุรกิจหนุ่มเข้าสู่พิธีวิวาห์ พร้อมกับสิ้นปีนี้ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตที่ทุ่มเทจนหลังไหม้ “พันท้ายนรสิงห์” ยังเตรียมฉายลงโรงอีกด้วย
ทีมงาน M-Lite จึงไม่พลาดที่จะขอคุยกับเธอทั้งชีวิตงาน และความรัก ที่ลงตัวอย่างที่สุด
ผูกพันสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาโดยสายเลือด
“มัดหมี่” ผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และอารมณ์ศิลป์ เธอเป็นได้ทั้งบทบาทการเป็นนักแสดง นักร้อง นักเขียน ความเป็นศิลปินรักอิสระที่วิ่งวนอยู่ในตัวของเธออาจจะขัดกับมาดข้าราชการ ทหารที่ต้องมีกฎมีระเบียบ แต่เธอก็ทำได้อย่างดีทุกหน้าที่
“มัด หมี่เรียนที่โรงเรียนจิตรลดา มา 15 ปี เราผูกพันกับสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นมาโดยสายเลือดชีวิตทหารเป็นชีวิตที่ยั่งยืน มีเกียรติ และเป็นอาชีพที่มีสวัสดิการ และอยู่ได้ตลอดถึงอายุ 60 ปี ” มัดหมี่ กล่าวถึงสาเหตุของการเข้ารับราชการทหาร
มัด หมี่ เล่าว่า จากที่ปฏิเสธฝันของคุณพ่อในการเป็นทหารมาโดยตลอด บวกกับความเกรงใจ และยังไม่เต็มใจในการเป็นทหารมากนักในช่วงแรก แต่เมื่อมัดหมี่ก้าวเข้าไปในรั้วทหารแล้ว กลับรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจในการเป็นทหารอย่างยิ่ง
“คุณพ่อ (พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย) ท่านเกษียณมา 8 ปีแล้ว จริงๆ คุณพ่ออยากมีลูกผู้ชายเพื่อจะมาสืบสานต่อในด้านทหาร และมัดหมี่เป็นพี่คนโต คุณพ่อเคยเกริ่นมานานแล้ว แต่มัดหมี่ก็บอกคุณพ่อตลอดว่า มันไม่ใช่เลยนะพ่อ มันไม่ใช่จริงๆ
มัดหมี่จบปริญญาตรี เอกดุริยางค์ศิลป์ตะวันตก คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่หลังเรียนจบมาอีกปี ด้วยความที่เราจบศิลปกรรม จุฬาฯ ด้าน Voice คุณพ่อก็บอกว่า พ่อเพิ่งทราบมาว่า ตำแหน่งที่กองดุริยางค์ ทหารบก เขามีตำแหน่งครูพิเศษ และทางกองทัพ ก็อยากให้เราไปช่วยด้วย
ความรู้สึกของเราคือ กองดุริยางค์ทหารบก ก็ทางเรา และ ทหารคือรั้วของชาติ ทำให้เรานึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเราเป็นคนที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และด้วยความเกรงใจพ่อ เลยคิดว่า ทำก็ได้ แต่ยังไม่ได้เต็มใจมากนัก
แต่พอเราอยู่คนเดียวจึงมาคิดได้ว่า พ่อให้เรามาทั้งชีวิตแล้วนะ เวลาเราอยากทำอะไรพ่อไม่เคยปฏิเสธ เขาเห็นว่าสิ่งที่เราทำคือความสุข ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เขาสนับสนุนตลอดในทุกๆเรื่อง และทำไมเรื่องเพียงแค่นี้ อาจจะนิดเดียวสำหรับเรา แต่มันอาจจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในใจสำหรับพ่อ เราจึงคิดว่า ทำให้ก็ได้ ” มัดหมี่ กล่าวถึงช่วงแรกในความคิดการเข้ารับราชการทหาร เพียงแค่ตามใจพ่อ เพราะความเกรงใจ และห่วงความรู้สึกพ่อ แต่เมื่อได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตจริงแห่งกองดุริยางค์ทหารบกกลับพบว่า
“พลังมันมาจนล้นไปหมดเลย รู้สึกได้เลยว่า มันเป็นทางมัดหมี่จริงๆ แค่ก้าวเข้าไปเจอวงคอรัส วงดุริยางค์ทหารบก เห็นความตั้งใจของเขา เห็นความเป็นศิลปกรรม เหมือนตัวเองกลับเข้าไปอยู่ปี 4 ใหม่” มัดหมี่ เล่าย้อนถึงความรู้สึกครั้งแรกในการก้าวเข้าไปสู่กองดุริยางค์อย่างภาคภูมิใจ
“ทุกคนที่กองดุริยางค์มีความรักในเสียงเพลง มีความสามารถเยอะมาก ล้นเหมือนกัน ไม่ต่างกับมัดหมี่เลย ทุกคนมีวิญญาณศิลปินอยู่ในตัว แต่ว่า แต่ละคนจะมีตำแหน่งหน้าที่แตกต่างกัน พอเราเข้าไปเรารู้สึกว่า มันใช่เราอีกแล้ว รู้สึกว่า โลกเรามีอะไรให้เราทำเยอะมากเลย อยู่เพียงแค่ว่า เราจะเลือกและชอบด้านไหน
สิ่งที่มัดหมี่ทำก็ไม่ได้หายไปจากศิลปะเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็ยังได้ร้องเพลงในสิ่งที่เรารัก ยังมี Passion ในสิ่งที่เราชอบอยู่ มัดหมี่เลยมองว่า ศิลปะสร้างมัดหมี่ มาเติมสีสันให้ชีวิตเรา ให้ชีวิตมันฟู และมีพลังงาน มีความสุขในทุกๆวัน
ปัจจุบันนี้มัดหมี่ทำอยู่ 2 หน้าที่ คืออยู่ตรงสำนักงานเจ้ากรมดุริยางค์ทหารบก อยู่หน้าห้องผู้กอง ดูเรื่องเกี่ยวกับแฟ้ม และนักร้อง มีงานสำคัญก็ไปร้องเพลง” มัดหมี่ กล่าว
“สัว-มัดหมี่” เพื่อนคู่คิด เพื่อนคู่ชีวิต อยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว
นอกจากเรื่องงานแล้ว ความรักของเธอกับ สัว-ศุภชัย กาญจนศักดิ์ชัย นักธุรกิจด้านพลังงาน ก็ยังเป็นรักที่สุกงอม บานสะพรั่ง หวานเว่อร์อีกด้วย เพราะทั้งคู่เพิ่งเข้าสู่พิธีแต่งงานอย่างชื่นมื่นไปเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน นอกจากนี้ มัดหมี่ยังโพสต์ข้อความสุดซึ้งก่อนแต่งงานอีกด้วยว่า "เพื่อนคู่คิด เพื่อนคู่ชีวิต อยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว"
“พี่สัวอายุ 30 ปี ส่วนมัดหมี่อายุ 26 ปี ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเด็กเกินกว่าที่จะแต่งงาน เพราะแม่ก็แต่งตอนอายุเท่านี้เหมือนกันค่ะรู้จักกันมา 4 ปี แต่คบกันจริงๆ คือ 2 ปี รู้จักพี่สัวผ่านการแนะนำจากพี่แมงมุม (ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล) เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน คือเมื่อ 4 ปีก่อน พี่แมงมุมนัดเพื่อนไปทานข้าว แล้วชวนมัดหมี่ไปด้วย มัดหมี่กับพี่สัวจึงได้รู้จักกัน และไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยในครั้งแรก ต่างคนต่างใช้ชีวิตไป แล้วก็มาเจอกันอีกทีเรื่อยๆตามงานอีเวนท์บ้าง แล้วก็มาเจอกันอีกทีคือวันวาเลนไทน์ พี่สัวจึงขอเป็นแฟน
เรารู้สึกว่า ทุกอย่างคลิกกัน หลายอย่างเข้ากันได้ง่าย แม้ว่าการงานของเขาจะคนละด้านกับมัดหมี่ แต่พี่สัวชอบสิ่งที่คล้ายกับมัดหมี่คือ ดนตรี เขาเล่นกีตาร์เป็น เขารักเสียงดนตรี ชอบเล่นกีฬา เหมือนกัน และเขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายกับเรา วันแรกตั้งแต่เจอกันจนวันนี้ ไม่เคยเปลี่ยน ยังดูแลห่วงใยเหมือนเดิม จะหาเวลามาเจอเราตลอด และทุกวันที่ 14 ของทุกเดือน พี่สัวจะให้ดอกไม้ทุกครั้ง นี่คือเสน่ห์ของพี่สัว”
นอกจากนี้ ทั้งคู่และครอบครัวยังต่างปลาบปลื้มได้เข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นอกจากนี้ งานฉลองงานแต่งงานของทั้งคู่จัดขึ้นที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ เป็นธีมสีฟ้าอ่อน ในสวนสวย เน้นความหวานละมุน
“มัดหมี่ได้แรงงานบันดาลใจมาจากสวนดอกไม้ในอังกฤษ เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วมัดหมี่ไปเยี่ยมน้องสาวที่อังกฤษ สวนนี้จะคล้ายๆ อนุบาลดอกไม้ มีดอกไม้เยอะมาก และมีร้านอาหาร ร้านขายของตกแต่งบ้าน เมื่อมัดหมี่เห็นจึงบอกเลยว่าอยากจัดงานแต่งงานที่สวนแบบนี้ แต่ก็คิดว่าที่เมืองไทยจะมีที่ไหนบ้าง ซึ่งกลายเป็นว่า โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ ใกล้เคียงที่สุด
วันแต่งงานไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แต่มาเหนื่อยหลังจากนั้น 1 วัน คือเราน็อกไปเลย 2 วัน เพราะวันงานมีความสุข สนุกมาก กว่าจะได้นอนก็ตี 5 ตื่นมาอีกทีบ่ายโมง
สำหรับชุดเจ้าสาวของมัดหมี่เป็นแบรนด์ไทย เป็นชุดที่ พี่ลี่ - ชนิตา จาก Senada เป็นคนตัดให้ ทั้งงานเช้า เย็น และปาร์ตี้ แบรนด์ไทยเป็นอะไรที่เหมาะกับเรา เพราะรูปร่างเรากะทัดรัด ไม่สามารถลาไปต่างประเทศได้นานๆเพื่อตัดชุดเจ้าสาว เพราะเรารับราชการ และอีกอย่างพี่ลี - ชนิตา สนิทกับมัดหมี่ และเราใส่แบรนด์นี้มานานมากแล้ว รวมทั้งคุณแม่ และมัดมุก (น้องสาว) ปลื้มในฝีมือของดีไซเนอร์ไทยอยู่แล้ว ทั้งมีการตัดเย็บที่ละเอียด มีเอกลักษณ์ ดีไซน์เรียบโก้”
มัดหมี่เล่าว่า ตั้งใจลดน้ำหนักมา 5 กิโลกรัม เพื่อชุดเจ้าสาวโดยเฉพาะ
“ เพียงแค่งดข้าวเย็นเท่านั้น และออกกำลังกาย คือทานมื้อเช้า กลางวัน ให้เต็มที่ มีผัก ผลไม้ เนื้อ ให้ครบ แต่พอหลัง 4 โมงเย็นจะไม่ทานอะไรลงท้องเลย เพราะอยากให้อินเชฟ ใส่เสื้อผ้าสวย เพราะเขากำหนดเอวให้ได้ 25 เราก็ได้ 25 นิ้วเป๊ะเลย ใช้เวลา 1 เดือนเท่านั้น แต่พอเสร็จงานแล้วน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมาอีก 3 กิโลฯ”
เมื่อถามถึงชีวิตหลังแต่งงาน เธอ บอกว่า ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนมาก อาจมีเหงาคิดถึงบ้านในบางครั้ง
“ชีวิตหลังแต่งงานไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากขนาดนั้นเลย อาจจะเปลี่ยนคือเราไม่ต้องรีบกลับบ้านแล้ว แต่ไปอยู่เรือนหอกับพี่สัว อาจจะมีเหงาคิดถึงบ้านบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่โดยรวมมัดหมี่คิดว่า ทำให้เราโตขึ้น เพราะปกติเราอยู่บ้านจะมีคนช่วยทำนู่นทำนี่ให้ แต่พอเราออกมาอยู่กับพี่สัว เขาอยากให้เราช่วยตัวเองให้ได้ อย่างตอนนี้ จะส่งมัดหมี่ไปเรียนทำอาหาร
สำหรับเรื่องลูกคงต้องรออีกสักประมาณ 2 - 3 ปี เพราะเราอยากใช้ชีวิตด้วยกันก่อน ศึกษากันและกันไปก่อนเพราะบางอย่างอาจจะต้องปรับตัวขึ้นอีกในระดับหนึ่งเลย และพี่สัวเขาอยากทำงานให้ได้เยอะๆ เก็บเงินให้ได้มากก่อน มีลูกจะได้รู้สึกว่าไม่ต้องเป็นภาระ”
“พันท้ายนรสิงห์” ที่สุดของการแสดง
สำหรับภาพยนตร์ของท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เรื่องพันท้ายนรสิงห์ ที่กำหนดฉาย 30 ธันวาคมนี้ มัดหมี่รับบทเป็น “นวล” สาวชาววิเศษชัยชาญ แก่นแก้ว ช่างพูดช่างเจรจา จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นสาวที่หนุ่มๆหลายคนต่างหมายปองนั้น มัดหมี่เล่าว่า เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของตน และทุ่มเทเป็นอย่างมาก
“ถ่ายเสร็จมาแล้ว 3 ปี ส่วนระยะการถ่ายทำ 1 ปีค่ะ จะได้ฉายแล้วนะ เรารู้สึกดีใจมาก คือจริงๆเรื่องพันท้ายนรสิงห์จะเป็นละคร แต่เพิ่งทราบมา 2 เดือนกว่าว่าจะนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของมัดหมี่ เรื่องนี้ยอมรับเลยว่า เป็นที่สุดของการแสดง
เพราะเรื่องนี้ทุ่มทุกอย่างเลย เพราะต้องการให้สมจริง ต้องตัดผมสั้น ขี่ควาย ขี่ม้า พายเรือ ฝัดข้าว ร้องเพลงฉ่อย รำไทย มัดหมี่ได้ครูผู้ฝึกในการร้องเพลงฉ่อย อย่างแม่ขวัญจิต แม้มัดหมี่จะมีพื้นฐานการร้องเพลง แต่การร้องเพลงสากล กับเพลงฉ่อย ก็แตกต่างกันมาก เป็นคนละศาสตร์กันเลย
คือเรียกว่าเรียนรู้ในทุกๆวัน ได้แผล และผิวไหม้หลัง เนื่องจากที่กาญจนบุรีอากาศร้อนระอุถึง 42 องศา ช่วงนั้นผิวดำมาก ไม่มีแสตนอิน เจ็บจริง เท้าถลอกจริง โดนหนามจริง ทุกอย่างจริง
รู้สึกกดดัน คำพูดก็ไม่ค่อยเข้าปาก เพราะเป็นคำโบราณ และชีวิตแม่นวล จะเป็นกราฟขึ้นลงตลอดเวลา เป็นคนที่สุขได้ไม่นาน จากนั้นก็ทุกข์ เศร้าอีกแล้ว เจอมรสุมชีวิตเยอะ
ส่วนฉากที่รู้สึกว่ายากมากที่สุดนั้น คือฉากที่แม่นวลคิดว่าจะไม่ได้เจอพ่อพันท้ายอีกแล้ว จึงคิดจะฆ่าตัวตาย คือการคิดจะแขวนคอตายมันยากสำหรับมัดหมี่มาก แต่โชคดีที่เราไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างรอบตัว จึงช่วยให้ซีนนี้ผ่านไปได้ด้วยดีมาก
และฉากที่ประทับใจ เป็นฉากแต่งงาน เพราะได้ร่วมแสดงกับนักแสดงที่มีความสามารถมากหลายท่าน เช่น อาเอก สรพงษ์ ชาตรี อาจิ๊ก เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์
เราไม่อยากจะเชื่อว่าผ่านจุดนั้นมาแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก อยากให้ทุกคนไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะนักแสดงทุกคน ทีมงานทุกคน และท่านมุ้ย ตั้งใจกันมาก เราทุ่มสุดตัว และทำการบ้านเยอะ เป็นเรื่องที่สะท้อนถึประวัติศาสตร์ของคนไทย และได้เห็นรากเหง้าวัฒนธรรมของคนไทย ซึ่งเรื่องนี้พลาดไม่ได้สำหรับคนไทยเลย”
เปิดค่ายเพลง “สตูดิโอ 54 ” มิวสิคคอมมูนิตี้ ของคนรักดนตรี
ด้วยความหลงใหลในเสียงเพลงจึงรวมตัวกันเปิดค่ายเพลงที่จิ๋วแต่แจ๋ว ในนาม "สตูดิโอ 54" แหล่งรวมตัวสำหรับคนรักดนตรีโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับคนฟังเพลง
“พี่สัวเขาเปิดค่ายเพลง มี 3 หุ้นค่ะ เป็นเพื่อนของพี่สัว และมัดหมี่ก็ถือว่าเป็นหุ้นส่วนไปด้วยโดยปริยาย เพราะเราก็เป็นภรรยาพี่สัว”
“พี่สัวกับพี่ นิค-กีรติ พิทักษ์ธีระธรรม ซึ่งศิลปินเบอร์แรกของค่ายเพลง และเป็นหนึ่งในผู้บริหาร เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่อยู่บอสตัน มีการอัดเพลงเล่นๆ กันตลอดเวลา เล่นดนตรีด้วยกันมาตลอด และสตูดิโอ 54 ก็คือที่ที่นักแต่งเพลง นักดนตรี จะชอบมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ว่างๆก็อัดเพลงกัน แล้วมาวันหนึ่งก็คิดกันได้ว่า เราควรจะทำค่ายเพลงเล็กๆอบอุ่น เป็นมิวสิคคอมมูนิตี้ สำหรับคนที่ชอบดนตรีเหมือนกัน”
หลังจากใช้เวลาทำงานนานกว่า 2 ปีในที่สุด เพลง "ถาม" เพลงรักจังหวะสนุกๆ ของนิค-กีรติ ก็ถูกปล่อยออกมาให้ได้ฟังกันโดยเป็นผลงานชิ้นแรกจาก "สตูดิโอ 54" คอมมูนิตี้ใหม่ทางดนตรี และมัดหมี่ก็ออกซิงเกิล “มัดใจ” ที่แต่งเอง ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง ตามมาติดๆ
“มัดหมี่ชอบแต่งเพลงชอบร้องเพลงอยู่แล้วเพราะเคยมีอัลบั้ม ออกซิงเกิ้ล มัดหมี่เคยทำเพลงสากล ซึ่งขายในไอทูน เปิดในยูทิวบ์ทั่วไป ทำกับพี่นิค พี่สัวเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดตัวเป็นบริษัท และศิลปินเบอร์ต่อไปในค่ายสตูดิโอ 54 ก็คือมัดหมี่เอง หลังจากออกซิงเกิล “มัดใจ” ไปแล้ว
“เราร่วมทำงานเพลงไปด้วยกัน สร้างแรงบันดาลใจ สิ่งที่ทำอยู่ เป็นจิตวิญญาณที่เรารักอยู่แล้ว เราทำอย่างมีความสุข งานเราก็จะออกมาอย่างมีความสุขแล้วคนที่ฟังเองจะมีความสุขกับเราด้วย”
ละครเวที ทางของเธอ
ทว่า นอกจากงานการแสดงละคร ภาพยนตร์ และร้องเพลงแล้ว สิ่งที่มัดหมี่รักมากนั้นเธอบอกเลยว่า คือ ละครเวที เธอได้เริ่มต้นเล่นละครเวทีเรื่องแรกคือ สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล วรรณกรรมชิ้นเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จากปลายปากกาของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยสร้างสรรค์ใหม่ในรูปแบบละครเวทีสุดยิ่งใหญ่ ซึ่งมัดหมี่ได้รับบทบาทเป็น “แม่พลอย” ในช่วงวัยรุ่น สาวชาววังผู้จงรักภักดีและเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีชีวิตในช่วงรัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 8 ชีวิตของเธอผ่านเหตุการณ์ทั้งสุขและทุกข์ เป็นบทบาทที่ท้าทาย
“ละครเวที นี่เป็นทางของมัดหมี่เลยค่ะ เพราะเป็นศาสตร์ที่ต้องผสมทั้งการร้องและการแสดง”
ทว่า เสียงตอบรับจากผู้ชมที่ได้ดูการแสดงของมัดหมี่ในบทบาทแม่พลอยนั้นล้วนบอกว่ายอดเยี่ยม เพราะทั้งการแสดง เสียงร้อง และอารมณ์ที่ส่งผ่านมาจากข้างในของแม่พลอย นั้นตรึงใจผู้ชมจนเสียงชมไม่ขาดสาย
คำคม “มัดใจ” กลั่นมาจากอารมณ์ล้วนๆ
ความเป็นศิลปินของมัดหมี่ ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะเธอยังเขียนหนังสือ คำคม จนออกพ็อกเก็ตบุ้ก “มัดใจ” อีกด้วย
“ด้วยความที่ชอบแต่งเพลง ร้องเพลง จึงมาทางศิลปินเต็มตัว คำคมต่างๆที่มัดหมี่เขียน จะนึกขึ้นได้เอง ได้แรงบันดาลใจมาจากการอยู่เฉยๆ บางทีฟังเพลง แล้วมองมุมตรงนี้ เราก็คิดได้และนำมาเขียน ดังนั้นมาจากอารมณ์ล้วนๆ”
“มัดใจ” เป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ้กเล่มแรกในชีวิตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว พิมพ์มาแล้ว 2 ครั้ง เป็นพ็อกเก็ตบุ้กที่รวบรวมร้อยกว่าคำคมของมัดหมี่
สำหรับแรงบันดาลใจของหนังสือเล่มนี้มาจากหลายสิ่งที่คิด และเขียนขึ้นจากความคิด ประสบการณ์ การเดินทาง การพบเจอของมัดหมี่ อีกทั้งบางส่วนจะเป็นการเขียน หรือมุมมองจากคนที่มัดหมี่เคารพนับถือเป็นครู หรือคนใกล้ชิด เป็นต้น โดยผู้วาดภาพประกอบคือ เพียว โลกุตรพล ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนเก่งอีกหนึ่งคนของครูโต ม.ล.จิราธร จิรประวัติ
“คิดว่าเป็นหนังสือที่เหมาะกับการพกไปเวลาพักผ่อน เหงาๆ หรือเหนื่อยล้า เพื่อเติมกำลังใจได้ค่ะ อนาคตอาจจะมีมัดใจเล่ม 2” มัดหมี่ กล่าวปิดท้าย
ผู้จัดการ Lite
เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม @mutmeepimdao
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754