“การออกแบบแสง” ของเขาเป็นได้มากกว่าสีสันละลานตาให้ชวนหลงใหล แต่มันคือ “การบำบัด” กลไกภายในสมอง ให้หลั่งสารแห่งความสงบและความสุขมอบแก่ผู้เข้าชม และนี่คือครั้งแรกที่นักออกแบบแสงชาวฝรั่งเศสชื่อก้องโลกอย่างเขาได้มีโอกาสผลิตชิ้นงานอันน่าทึ่งประดับเอาไว้บนแผ่นดินถิ่นสยาม
การถ่ายทอดศิลปะแห่งแสงสีฝากไว้ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพ่อหลวงองค์ราชา คือชิ้นงานอันทรงเกียรติอีกหนึ่งชิ้นสำหรับศิลปินผู้มีความผูกพันกับประเทศไทยอย่างเขา “แมททิโอ แมทเซอวี”
#MatteoMesservy แค่ลองเสิร์ชผลงานของเขาบนโลกออนไลน์ด้วยแฮชแท็กนี้ ก็จะเห็นความอลังการแห่งแสงสีอันละลานตาให้ได้ตามเสพกันไม่หวาดไม่ไหว เขาคือศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้หลงใหลในมิติแห่งแสง และใช้มันสะท้อนลงไปในวัตถุและสถาปัตยกรรมตามเมืองต่างๆ มาแล้วทั่วโลก โดยเฉพาะบนผืนแผ่นดินฝรั่งเศส ประเทศต้นตำรับแห่งเทศกาลจัดแสงระดับโลก ต่างประดับประดาไปด้วยสีสันแห่งการส่องสว่างอันมาจากการสร้างสรรค์ของเขา
[สนามบิน Aeroports de Paris ประเทศฝรั่งเศส]
[โรงแรม Club Med Punta Cana ประเทศฝรั่งเศส]
[ร่วมงานกับแบรนด์ดัง Louis Vuitton]
สนามบิน Aeroports de Paris ประเทศฝรั่งเศส, โรงแรม Club Med Punta Cana, นิทรรศการ Roubaix Textile Lighthouse Exhibition คือสถานที่ที่เขาเคยฝากความสามารถประดับเอาไว้ ทั้งยังเคยร่วมงานกับแบรนด์ดังๆ อย่าง Louis Vuitton, ร่วมออกแบบ พิพิธภัณฑ์กว่างโจว ประเทศจีน ฯลฯ
ล่าสุด พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ประจำพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร คือสถาปัตยกรรมที่แมททิโอถ่ายทอดความรู้สึกผ่านสีของแสงฝากเอาไว้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในนิทรรศการ “ยลวังหน้ายามเย็น เยือนพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ (ไนท์มิวเซียม)” ที่ทางกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้จัดขึ้น
[ออกแบบแสงเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์]
เบื้องหลังชิ้นงานนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ดวงเทียน” ที่เขาได้พบเห็นจากแรงศรัทธาของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งรวมพลังใจเทิดไท้องค์ราชา บอกเลยว่าทุกอณูความคิดล้วนกลั่นกรองมาจากระยะเวลาที่ได้ลงไปสัมผัสผู้คนและวัฒนธรรมของเมืองนั้นๆ อย่างแท้จริง
“ผมเป็นนักออกแบบที่ไม่ได้เน้นเทคโนโลยีเป็นหลักเพียงอย่างเดียว แต่เวลาจะสร้างงานในแต่ละครั้ง ผมจะเริ่มจากการออกไปจับจุดว่าสถานที่นั้น หรือเมืองๆ นั้นที่ผมต้องจัดงานให้ มีบุคลิกเป็นแบบไหน ดูว่าคนแต่ละคนในท้องที่นั้น เขามีนิสัยยังไง เพื่อให้สามารถดึงความรู้สึกที่เรามีร่วมกันออกมาได้ ถ้าจับจุดตรงนั้นได้ มันจะช่วยเรียกอารมณ์ในงานแสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ผมเลยต้องพยายามทำการบ้านให้ลึกในทุกครั้ง ให้มากกว่าการแค่ทำไฟมาตั้งวางไว้ให้คนมองเฉยๆ ถ้าเปรียบไปแล้ว ผมก็เหมือน Story Teller (นักเล่าเรื่อง) แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวผ่านสีของแสงนั่นแหละครับ
อย่างเมืองกรุงเทพฯ ก็มีเอกลักษณ์หลายๆ อย่างที่น่าสนใจเป็นของตัวเอง ปกติแล้ว เวลาผมเดินทางไปตามเมืองต่างๆ รอบโลก มันจะเป็นลักษณะ “เมืองสร้างคน” คือเมืองๆ นั้นมีกรอบประมาณนี้อยู่ และผู้คนที่ใช้ชีวิตในเมืองนั้นก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน เช่น คนญี่ปุ่น ที่ส่วนใหญ่จะชอบอยู่ในระเบียบและทำในแบบเดียวๆ กัน แต่การมากรุงเทพฯ ทำให้ผมได้เห็นเมืองในอีกลักษณะหนึ่ง มันคือลักษณะ “คนสร้างเมือง”
[โชว์ภาพแสงสีของกรุงเทพฯ ที่สร้างแรงบันดาลใจอันเป็นเอกลักษณ์ให้ศิลปินอย่างเขา]
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เจอเมืองที่มีความหลากหลายจนสร้างให้เมืองนี้มันพิเศษขึ้นมาได้ ซึ่งต่างจากเมืองอื่นๆ อย่าง นิวยอร์ก, ญี่ปุ่น หรือเมืองอื่นๆ ผมมองว่าการที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองแบบนี้ได้ น่าจะมาจากนิสัยของคนที่อยู่เมืองนี้ที่ก่อเกิดเป็นความเชื่อและวัฒนธรรมต่างๆ ขึ้นมา จนเกิดเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ที่หลากหลายอย่างที่เห็น”
ถ้าไม่เคย “โชคร้าย” คงไม่มีศิลปินที่ชื่อ “แมททิโอ แมทเซอวี (Matteo Messervy)” ยืนอยู่ตรงนี้ตอนนี้ เขาบอกเอาไว้อย่างนั้น เมื่อบทสนทนาเดินมาถึงช่วงจุดประกายแรกของการเป็น “นักออกแบบแสง”
“ที่ทำให้ผมอยากทำอาชีพนี้ มันน่าจะมาจากตอนที่ผมเคยตาบอดมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ (ยิ้มบางๆ) ผมมองไม่เห็นอะไรเลยเป็นเวลาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ตอนนั้นอายุประมาณ 8 ขวบ ผมเล่นฟันดาบกับเพื่อนแล้วดันโชคร้าย ฟันพลาดเข้าที่ลูกกะตา ต้องจมอยู่กับความมืดอยู่แบบนั้น มันเลยทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของการมองไม่เห็นว่ามันเป็นยังไง ทำให้รู้ซึ้งว่าการมองเห็นมันมีค่าแค่ไหน พอผมมีโอกาสได้มองเห็นอีกครั้ง ผมเลยรู้สึกอยากจะสร้างสิ่งที่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกได้ถึง “ความสำคัญของแสง” ว่ามันคืออะไร อยากให้ผู้คนที่ได้มาดูผลงานของผมตามเมืองต่างๆ รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ที่ผมพยายามถ่ายทอดออกไปในทุกครั้งที่ผลิตผลงาน
ช่วงหลังๆ ผมก็เริ่มใช้แสงที่ผมออกแบบไปในเชิงบำบัดด้วยครับ เป็นโปรเจ็กต์ที่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อช่วยให้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นผ่านการบำบัดทางแสง ทำร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกอีกประมาณ 30 กว่าคน ส่วนตัวผมเอง ผมก็มีความรู้เกี่ยวกับเคมีในสมองของคนเราอยู่แล้วด้วยว่ามันทำงานยังไง เพราะผมเรียนมาทางนี้ ผลงานที่ออกมามันเลยคล้ายๆ เป็นงานศิลปะกึ่งจิตวิทยาไปด้วยในตัว ผมรู้ว่าจะสะกดจิตคนได้ยังไงผ่านผลงานการออกแบบแสงของผม
คนทั่วๆ ไปอาจจะไม่เคยเข้าใจกลไกการทำงานของสมองของตัวเราเองเลย แต่ว่าผมเข้าใจ ผลงานของผมที่ผลิตออกมามันเลยเหมือนเป็นการยิงแสงเหล่านั้นตรงไปที่สมอง ให้แสงที่เราออกแบบมา เข้าไปคุยกับจิตใต้สำนึกของคนที่ได้ชมผลงาน”
[ตัวอย่างชิ้นงาน "บำบัดด้วยแสง" ซึ่งออกแบบให้ สถานเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย]
โปรเจกต์ "Concrete Nature (รูปธรรมแห่งธรรมชาติ)" ณ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย คือผลงานชิ้นล่าสุดที่น่าจะช่วยอธิบายเรื่องที่เขากำลังพยายามสื่อสารอยู่ได้ดีที่สุด มันคือการออกแบบเพื่อ “บำบัด” คลื่นสมองที่ยุ่งเหยิงของคนเมืองกรุง ให้กลับมาเดินในจังหวะช้าๆ และเข้าสู่ความสงบได้อีกครั้งหนึ่ง
Video Time lapse of our artwork "Concrete Nature", consisting of a projection mapping installation at the French Embassy...
Posted by Matteo Messervy.Ltd on Tuesday, December 8, 2015
ในฐานะนักจัดแสงระดับโลก ลองให้แมททิโอมองความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในไทย งาน “Bangkok Illumination” เทศกาลศิลปะการจัดแสงที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เขามองว่าเป็นก้าวใหม่ที่น่ายินดีมากๆ สำหรับพี่น้องชาวไทย
[งาน “Bangkok Illumination” เทศกาลศิลปะการจัดแสงครั้งใหญ่ครั้งแรกของไทย!]
“จริงๆ แล้ว ผมอยู่เมืองไทยมา 5 ปีแล้วนะ ไปๆ มาๆ บ่อยๆ ครับ ชอบมาพักในบ้านพักของโบสถ์แถวสวนพลู ผมเลยมีความผูกพันกับที่นี่มากเหมือนกัน เคยคิดว่าอยากมีโอกาสออกแบบแสงให้เมืองไทย และในที่สุดก็ได้ทำ ส่วนตัวงาน Bangkok Illumination ครั้งนี้ ผมก็ยินดีด้วยที่มันเกิดขึ้นครับ มีศิลปินไทยฝีมือเจ๋งๆ อีกหลายคนเลยที่จัดแสงได้มาตรฐานสากล ทั้งทีม “Frameless” และ “DuckUnit” ที่มีโอกาสได้เห็น ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้พวกเขาได้ไปสู่ระดับอินเตอร์มากกว่านี้ครับ”
[โปรเจ็กต์ "Concrete Nature (รูปธรรมแห่งธรรมชาติ)"]
ใครที่อยากปลดปล่อยตัวเองไปกับการ “บำบัดด้วยแสง” สามารถตามมาดูงานของแมททิโอได้ที่สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย งานของเขาจะจัดแสดงถึงวันที่ 11 ธ.ค.นี้เท่านั้น ส่วนใครที่พลาด ยังมีผลงานการจัดแสงจากศิลปินมากฝีมือท่านอื่นๆ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ให้ได้ลองเสพกัน
เข้ามามอบสีสันแห่งแสงให้ร่างกายจากอาหารตาได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 3 ม.ค.59 บริเวณถนนสุขุมวิท ย่าน The EM District (สุขุมวิทซอย 26-31), สะพานเชื่อมระหว่างบีทีเอส, The Emporium, The Emquartier ครอบคลุมไปจนถึงสวนเบญจสิริ แล้วคุณจะได้สัมผัสโลกแห่งแสงสีที่มากกว่างานออกแบบ อย่างที่แมททิโอบอกเอาไว้
“ผมว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เดินเร็วมาก ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้พวกคุณเดินช้าลงมาหน่อย ลองยืนมองผลงานการออกแบบแสงสักพัก อย่างน้อยๆ ยืนจ้องมันให้ได้สัก 2 นาที แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ... คนบางคนอาจจะคิดว่าการดื่มเบียร์เป็นการบำบัด เป็น Alcohol Therapy แต่สำหรับผม การจัดแสงมันคือ Lighting Therapy ชั้นดีเลยล่ะ”
BANGKOK ILLUMINATION 2015 is officially OPEN!The first international festival of light, sound and visual art in...
Posted by BANGKOK ILLUMINATION on Thursday, December 3, 2015
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พิมพรรณ มีชัยศรี
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "BANGKOK ILLUMINATION", "The EM District", "
Matteo Messervy.Ltd" และ www.messervy.net
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754