xs
xsm
sm
md
lg

เปิดอก “ผู้ชายข้ามเพศ” ที่ฮอตที่สุด! [ชมคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


แผงอกผายกว้าง วงแขนใหญ่ล่ำฝังลวดลายแห่งรอยสัก ในคิ้วคมเข้ม น้ำเสียงแตกหนุ่ม... คงไม่แปลกถ้าคุณสมบัติที่เอ่ยถึงทั้งหมดมาจากคนที่ถูกเรียกว่า “ผู้ชาย” แต่เขาคือ “จิ๊บ-ญาณิชา มหาอุดมพร” ผู้หญิงที่ตัดสินใจผ่าตัดเฉือนหน้าอกแห่งความเป็นหญิงทิ้ง และกำลังเตรียมพร้อมปลูกถ่ายความเป็นชายเข้าไปแบบเต็มร้อย! จึงทำให้สายตาหลายๆ คู่เพ่งเล็งมาที่เขาอย่างล้นหลาม พร้อมกับลิสต์คำถามอีกยาวเหยียดที่อยากรู้จากปากของเขาในฐานะ “ผู้ชายข้ามเพศ” หรือที่เรียกว่า “ทรานส์แมน”


 

วัดระดับความแมน! “ทอม” หรือ “ทรานส์”

“จิ๊บรู้ตัวว่าอยากเป็นผู้ชายมาตั้งแต่ตอน ป.1 แล้ว คือเราไม่ได้แค่อยากเป็นทอม คิดว่าที่เกิดมาแล้วเป็นแบบนี้คงเพราะตอนเกิดดันลืมหยิบสิ่งนั้นติดมาด้วย” เขาหัวเราะปิดท้ายด้วยท่าทีสบายๆ ทุกทัศนคติที่บอกเล่าออกมาล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นชัดเจน บอกได้เลยว่าไม่เคยลังเลเปอร์เซ็นต์ความเป็นชายในตัวเองแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว
 
“มันเริ่มมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราก็ไม่รู้หรอกว่า “ทอม” มันคืออะไร รู้แค่ว่าเราชอบเล่นแบบเด็กผู้ชาย ไม่ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิง ชอบเล่นรถ เล่นปืน เสร็จแล้วพอโตขึ้นมาก็เริ่มแต่งตัวเหมือนผู้ชายมากขึ้น ถามว่าเรื่องการเลี้ยงดูมีผลไหม จิ๊บว่าไม่เกี่ยว เพราะเขาปลูกฝังให้เราเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่จิตใจเราเป็นแบบนี้ ต่อให้ปลูกฝังยังไง มันก็ไม่เข้า (ยิ้มบางๆ)
 
แต่ก่อนตอนเด็กๆ ยังไว้ผมยาวอยู่เลย แต่พอเริ่มโต เรารู้สึกว่าแม่เราบังคับเราไม่ได้แล้ว เราก็ไปร้านตัดผมเองเลย แล้วก็เลือกตัดผมสั้นเองมาตลอด ระหว่างนั้นเราก็เรียกตัวเองว่าเป็นเพศทอมมาโดยตลอด พอเริ่มมีความรู้เรื่องวิทยาการทางการแพทย์มากขึ้น เราก็รู้สึกว่าเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง เราก็เลยข้ามขั้นจาก “ทอม” มาเป็น “ทรานส์แมน (Transman)”
 
จิ๊บเชื่อว่าทอมเกือบทุกคนอยากเป็นผู้ชายทั้งนั้นแหละ แต่มันมีจุดเดียวที่ว่าเขาพร้อมไหมที่เขาจะเปลี่ยนแปลงมากกว่า ถ้าสมมติเขามีทุกอย่างเหมือนผู้ชาย เขาก็อยากจะมีกันนะจิ๊บว่า แต่ติดอยู่ที่ว่ามันต้องผ่าตัด บางคนกลัวถึงผลกระทบจากการผ่าตัด กังวลว่ามันจะใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า มันกลายเป็นจุดที่ทำให้หลายๆ คนยังเลือกอยู่ว่าตกลงแล้วจะเป็นทอมหรือทรานส์ดี และตอนนี้เราก็ทำงานหาเงินเองได้แล้ว มีความพร้อมทางการเงินแล้วด้วย ก็เลยตัดสินใจทำ
เพราะเรารู้สึกอยากเอาหน้าอกออกมาตั้งนานแล้ว แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยก่อนมันยังมีข้อจำกัดอยู่หลายๆ อย่าง กว่าจะผ่าตัดได้ เขาก็จะส่งให้เราไปหาจิตแพทย์ก่อน เข้มมาก มันมีขั้นมีตอน พอจิตแพทย์ประเมินผ่าน เขาก็จะนัดวันผ่าตัดเรา สำหรับจิ๊บ คุยกับจิตแพทย์ประมาณครั้ง 2 ครั้งก็ได้ผ่าเลย
 


แต่ไม่ใช่ว่าทอมคนอื่นๆ ที่อยากเป็นทรานส์เหมือนอย่างจิ๊บ จะผ่านกระบวนการทดสอบทางจิตวิทยาไปอย่างง่ายๆ ทุกคน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของจิตใจว่าจะหวั่นไหวต่อผลกระทบที่จะตามมาได้มากน้อยแค่ไหนด้วย ที่สำคัญ ต้องมั่นใจว่าจะไม่กลับมาต้องการร่างหญิงคืนอีกในอนาคต
 
“จิ๊บว่าทุกคนน่าจะรู้อยู่ในใจอยู่แล้วว่าเราชอบอะไร แต่คนอื่นที่สับสนอาจจะด้วยความที่ครอบครัวบีบบังคับ มันมีปัจจัยภายนอกเข้ามาบีบมากกว่า แต่ถ้าวัดที่จิตใจ จริงๆ แล้ว จิ๊บว่าทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แค่ตัดปัจจัยอย่างอื่นออกไป ก็ไม่น่าจะมีใครลังเลอะไรนะ สำหรับคนที่อยากทำแบบนี้ อยากเป็นทรานส์ ก็คงต้องให้เขาถามใจตัวเองดู ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นว่าจะมองยังไง ลองถามตัวเองดู
 
อย่างจิ๊บ เรามั่นใจอยู่แล้วว่าไม่เคยชอบผู้ชายแบบชู้สาวเลย ชอบได้แค่แบบเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เรามีแฟนเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่ ม.ต้น แต่สำหรับคนที่ลึกๆ ยังชอบผู้ชายได้อยู่ ก็ไม่ควรจะทำ เพราะทำแบบนี้ต้องคิดยาวๆ เพราะเราทำแล้ว เราไม่สามารถมาเปลี่ยนคืนได้แล้วนะ เราก็ต้องถามตัวเองว่าเรามั่นใจจริงๆ นะ มันเลยต้องผ่านกระบวนการหาจิตแพทย์นี่แหละ เพราะบางคนอกหักชอบทำอะไรบ้าๆ บอๆ ก็มีนะ (ยิ้ม) เกิดไปตัดหน้าอกขึ้นมาทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นก็ลำบากอีก แต่ที่เราทำ เราไม่ได้มีเรื่องอื่นมาเกี่ยวเลย พร้อมเมื่อไหร่เราก็ทำ”



แผงอกที่ได้มา กับความรู้สึกที่หายไป...

สิ่งที่ต้องแลกไปกับแผงอกความเป็นชาย คือความรู้สึกบางส่วนที่หายไปพร้อมกับเส้นประสาทบริเวณหัวนม ทำให้ไม่อาจรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม แต่จิ๊บก็ยอมแลกมันไปเพราะอยากให้รูปลักษณ์ภายนอกสอดคล้องกับความรู้สึกภายในใจเสียที
 
“คิดอยู่ในหัวอย่างเดียวคือไม่อยากมีหน้าอก ไอ้เรื่องความรู้สึกอะไร เราไม่ได้มายด์เลย ตอนผ่าออกมาครั้งแรกก็ไม่โอเคเลยด้วย เห็นเลยว่าเนื้อเราไม่เรียบ เหมือนเนื้อหมูที่ถูกเฉือนแล้วเอาหนังปิดลงมาทับอีกที มองเห็นเนื้อตรงอกเป็นคลื่นๆ ก็ต้องใช้เวลาในการทำให้เนื้อมันเต็มและกลับมาเรียบอีกครั้ง แล้วก็ต้องผ่าเก็บรายละเอียดอีกรวมๆ แล้ว 4 ครั้ง เพราะตอนแรกเขาทำไม่ค่อยละเอียด อีกอย่างเราก็อยากจะแก้จนกว่าเราจะพอใจด้วย
 
อย่างจิ๊บไม่ได้ผ่าตัด “ปานนม (พื้นที่เนื้อสีชมพูรอบหัวนม)” คือปกติผู้หญิงจะปานนมใหญ่กว่าผู้ชาย แต่ปานนมเราไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว เราเลยแก้แค่หัวนม ปรับลดขนาดให้มันเล็กเหมือนผู้ชาย จากที่มันเล็กอยู่แล้ว ก็ให้มันเล็กลงไปอีก เพราะส่วนใหญ่หัวนมผู้ชายจะเล็กมากๆ เราก็มีแก้ตรงนี้แหละ ก็แก้กันค่อนข้างละเอียดแล้วก็เสียไปหลายอยู่เหมือนกัน

เดี๋ยวถ้าจะต่อท่อปัสสาวะกับปั้นองคชาติด้วย ก็ต้องใช้เงินเพิ่มอีกประมาณ 4 แสนได้ แต่ถ้ารวมค่ากระจุกกระจิกอีกหลายๆ อย่างด้วยแล้ว มันก็น่าจะเฉียดๆ ล้านได้ มันยังต้องมีค่าดูแลรักษาอีกยาว เพราะทำมาทีเดียวแล้วใช่ว่าจะเสร็จเลยนะ ยังต้องเข้าออกโรงพยาบาลตลอดเวลา ยังต้องมีปรับแก้อีกเยอะ”

ที่บอกว่าค่ากระจุกกระจิก หนึ่งในนั้นคือค่าเทกฮอร์โมนเพศชายโดยผ่านการควบคุมของแพทย์นั่นเอง ซึ่งต้องเทกด้วยการฉีดทุกเดือน เดือนละ 2 ครั้ง แถมยังต้องเตรียมรับผลข้างเคียงที่พ่วงมาด้วยอีกเพียบ เตือนไว้เลยว่าถ้าใคร “ใจเป็นชายกายเป็นหญิง” และอยากจะผ่าตัดเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต้องมีเงินในกระปุกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“คนเทกฮอร์โมนต้องทำใจเลย เพราะไม่ใช่ว่าแค่เทกฮอร์โมนให้กล้ามขึ้นแล้วจะหยุด แต่ต้องเทกตลอดชีวิต เราต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต แล้วก็ต้องยอมรับผลข้างเคียงต่างๆ ที่จะตามมาได้ด้วย เช่น สิวขึ้น ภูมิแพ้กำเริบ จากที่ปกติจิ๊บไม่เคยเป็นภูมิแพ้เลยนะ แต่หลังจากเทกก็มีแพ้อาการบ้าง ขึ้นผดที่หน้าบ้าง แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยเป็น มันจะมาเป็นช่วงๆ บางช่วงจู่ๆ ก็จะขึ้นตุ่มคันๆ ขึ้นมา แล้วก็อาจจะมีผลต่อเรื่องสุขภาพด้วย เพราะการที่เราฉีดยาเข้าไปมันก็ต้องผ่านตับผ่านไต
มันมีผลกระทบระยะยาว ก็เลยต้องคิดยาวๆ ไม่ใช่แค่คิดว่าวันนี้มีตังค์ที่จะจ่ายค่าฉีดฮอร์โมนเดือนละไม่กี่พัน แต่มันต้องมองไปถึงเรื่องสุขภาพในอนาคตด้วย เพราะสุขภาพเราอาจจะแย่ลง อายุสั้นลงเพราะผลกระทบของยา เราก็เลยต้องคิดเผื่อไว้ว่าถ้าเราป่วยขึ้นมา เรามีตังค์เก็บไว้รักษาตัวเองหรือเปล่า ไม่ใช่คิดแค่ว่าวันนี้มีตังค์ฉีดฮอร์โมน แต่ในอนาคตถ้าป่วยขึ้นมา ยังไม่มีตังค์รักษาตัวเอง ซึ่งตอนนี้จิ๊บก็มีแบ่งไว้ใช้ในอนาคตหลักแสนเหมือนกัน คือถ้าใครอยากทำก็ต้องยอมรับผลกระทบทั้งหมดได้และคิดว่าตัวเองมีกำลังมากพอ อยากทำก็ทำ ถ้าต้องการที่จะเป็นตัวเอง


ไม่ได้หมายความว่าจะสนับสนุนให้คนที่เป็นทอม หันมาผ่าตัดเปลี่ยนตัวเองให้เป็นทรานส์หมด เพราะแต่ละคนก็อยากได้ระดับความแมนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ “ถ้าบางคนตอบได้ว่าอยากเป็นทอม ไม่อยากมีหน้าอก แค่นี้ก็รู้แล้วว่าควรจะตัดหน้าอกออก ไม่เห็นต้องไปทำอะไรมากกว่านี้เลย” หรือบางรายอาจจะกลัวมีดหมอ จะเลือกพันผ้ารัดหน้าอกเอาก็ได้ แต่ก็ต้องหาข้อมูลและศึกษาให้ดีๆ ก่อนว่าส่งผลกระทบอะไรบ้างหรือเปล่าในระยะยาว

“จริงๆ แล้วมันก็ยังไม่มีผลการวิจัยที่ออกมาว่าพันแล้วจะเป็นมะเร็งนะ ส่วนใหญ่เป็นความเชื่อมากกว่าว่าผู้ใหญ่บอกว่าไปรัดมันทำไม เดี๋ยวมันก็เป็นมะเร็งหรอก เคยอ่านจากวารสารที่เชื่อถือได้ เขาบอกว่าบางทีใส่เสื้อชั้นในที่มีโครงเหล็ก ยังมีสิทธิ์เป็นมะเร็งได้มากกว่าเลย มันเป็นเหมือนความเชื่อผิดๆ แล้วก็พูดต่อๆ กันไปแล้วว่ารัดมากๆ แล้วจะเป็นมะเร็ง เราก็ยังไม่เห็นว่ามีใครเป็นเลยนะ

ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องพันผ้า จิ๊บว่าน่าจะเป็นเรื่องซื้อฮอร์โมนมากินเองมากกว่า ก็อยากแนะนำว่าอย่าไปซื้อฮอร์โมนมากินเลย เพราะมันไม่ถูกกฎหมายด้วย จะซื้อได้ควรจะมีใบสั่งของแพทย์ ฮอร์โมนทุกชนิดมันคือสเตียรอยด์ คือยาอันตราย แต่ในตลาดเมืองไทยมันก็มีของผิดกฎหมายขายเยอะ เขาก็มาลักลอบขายกัน คนก็เข้าใจผิดๆ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ไปซื้อมากินเยอะ โดยฟังจากพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาหาผลกำไรตรงนี้ แล้วอ้างว่ากินแล้วไม่เป็นอันตรายนะ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองส่วนใหญ่ไม่ได้กินเองทั้งนั้นแหละ

จริงๆ แล้ว ถึงจะผ่าตัดหน้าอกก็ไม่จำเป็นต้องเทกฮอร์โมนก็ได้ หมอเขาจะมีวิธีตัดตัวเต้านมออก ตัวที่มันผลิตน้ำนมและไขมันตรงนั้น ไม่ให้กลับมาอีก จะมีแค่บางเคสที่เป็นส่วนน้อยจริงๆ ที่จะกลับมา ก็ต้องไปผ่าแก้กันใหม่ แต่หลายคนชอบคิดไปเองว่ากินฮอร์โมนแล้วจะทำให้กล้ามขึ้น ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เลย เล่นเวตแบบไม่เทกฮอร์โมนกล้ามมันก็ขึ้นนะ แต่แค่มันขึ้นช้าหน่อย
อย่างจิ๊บ จิ๊บก็ไม่ได้ซื้อฮอร์โมนมาทานเองนะ เราให้คุณหมอฉีดให้ที่โรงพยาบาล แต่ตอนออกรายการ เคยพูดคำว่า “เทกฮอร์โมน” ไป คนเลยเข้าใจผิดกันว่าหมายถึงซื้อฮอร์โมนมากินเอง อันนี้ก็ต้องขอแก้ข่าวนิดหนึ่ง เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าประโยชน์จะไปตกอยู่กับร้านค้าที่ขายฮอร์โมนแบบนั้นไปอีก”


 
รอวันได้เป็น ผู้ชายทั้งแท่ง!

ทุกวันนี้ ลำดับความแมนของจิ๊บเดินทางมาถึงขั้นตัดหน้าอกและตัดมดลูกทิ้งไปแล้ว ลำดับต่อไปคือขั้นตอนการเย็บปิดช่องคลอด ต่อท่อปัสสาวะ ตามด้วยการปั้นองคชาติมาต่อเข้ากับเส้นประสาทเพื่อให้ใช้งานได้จริง!

“หลังจากเทกฮอร์โมนไปได้ปีกว่าๆ คุณหมอก็จะแนะนำให้ตัดมดลูกออก เพราะระหว่างที่เราเทก ประจำเดือนเราจะไม่มาเลย ดังนั้น ของเสียมันก็จะไม่ได้ถูกปล่อยออกมา และถ้าไม่ตัดรังไข่ออก มันก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นมะเร็งได้ในอนาคต ดังนั้น การเทกฮอร์โมนเลยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ตลอด
ส่วนเรื่องผ่าตัดต่อองคชาติ เราก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่ามันอาจจะไม่ได้เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็ไม่ซีเรียส แต่ด้วยวิวัฒนาการตอนนี้ก็ทำได้ถือว่าเหมือนมากแล้ว และมันก็สามารถรู้สึกได้หมดทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรามีแค่นั้นนะ แต่เขาปลูกถ่ายเส้นประสาทให้เราเข้าไปด้วย ก็สามารถถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกัน

มันจะมีเทคนิคฝังปุ่มกดเข้าไปที่ลูกอัณฑะถ้าอยากให้มันแข็งตัวขึ้นมา และถ้าอยากให้ลงก็กดลงไป ประมาณนี้ อันนี้รู้คร่าวๆ เพราะด้วยทุนแล้ว ตอนนี้เราก็ยังไม่พร้อมที่จะทำ เท่าที่ศึกษามา มันมีหลายเทคนิค บางแห่งก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องต่อก็ได้ แต่ก็จะได้ขนาดเล็กหน่อย กับอีกแบบหนึ่ง ถ้าอยากให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก็ต้องใช้เนื้อตรงต้นขา เอามาพันแกนซิลิโคน
การผ่าตัดครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อตัวจิ๊บเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคู่ชีวิตของหนุ่มน้อยวัย 26 รายนี้ด้วย ถึงแม้จะเพิ่งคบกันมาได้ไม่ถึงปี แต่ก็ถือว่าแฟนคนนี้ใจกว้างมากๆ ที่ยินยอมให้มันเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเธออาจจะไม่ได้ต้องการ “ชิ้นส่วนความเป็นชาย” ส่วนนั้นที่กำลังจะเพิ่มขึ้นมาในอนาคตก็ตาม
“เขาไม่ได้อยากได้อะไรอย่างนั้นหรอก แต่เขาตามใจเรามากกว่าว่าเราอยากได้แบบไหน ในเมื่อเขารักเราไปแล้ว เขาก็คงรับได้ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนไปยังไง เขาก็รักที่ตัวตนของเรา”


เทียบกับเมื่อก่อนที่ยังมีสรีระเป็นเพศหญิงอยู่ จิ๊บไม่เคยยอมให้คนที่เรียกว่าแฟนคนไหนแตะเนื้อต้องตัว โดยเฉพาะส่วนของหน้าอกและส่วนนั้นเลยสักครั้ง แต่ถ้ามีการผ่าตัดเพิ่มความเป็นชายเกิดขึ้น ก็เชื่อว่าความรู้สึกร่วมกันเพื่อแสดงออกถึงความรักจะแนบแน่นมากกว่าเดิมอีกเยอะเลย

“ส่วนใหญ่แล้ว ทอมจะก็ไม่ค่อยชอบให้มาแตะหน้าอกหรือมาโดนอะไรแบบนี้หรอก แต่พอหลังจากเราผ่าหน้าอกมาแล้ว เราก็รู้สึกว่าเขาแตะเราได้แล้ว เพราะว่าตอนแรกเราไม่มั่นใจในสรีระที่เป็นผู้หญิง เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ก็ต่อไปถ้าได้ผ่าตัดเพิ่มอีก ก็น่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจขึ้นมาได้อีกในระดับหนึ่ง

จิ๊บว่ามันก็จำเป็นนะที่จะต้องปรับให้สภาพร่างกายเรามันตรงกับจิตใจ เพราะใครๆ ก็อยากจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นทั้งนั้นแหละ แต่อาจจะติดปัจจัยหลายๆ อย่าง พอเปลี่ยนแล้ว มันมีผลกระทบต่ออะไรบ้าง จะมีผลต่อหน้าที่การงานไหม อาจจะยังมีเรื่องสังคมที่ยังต้องนึกถึงอยู่ แต่เราทำงานอิสระ เลยไม่ต้องคิดอะไรเยอะ” จิ๊บปิดท้ายด้วยรอยยิ้มสดใส


ทุกวันนี้ จิ๊บทำธุรกิจส่วนตัวช่วยที่บ้านเกี่ยวกับการส่งออกอุปกรณ์และอวัยวะเทียมสำหรับผู้พิการ รวมถึงรองเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานซึ่งถูกตัดเท้า ส่งตามโรงพยาบาลต่างๆ ในประเทศไทย ทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีและเช็กสต๊อกส่งออก ส่วนเวลาว่างก็เอามาทำสิ่งที่ตัวเองรัก เป็น “เทรนเนอร์ฟรีแลนซ์” รับเทรนหุ่นให้เหล่าเพศที่สามโดยเฉพาะ จึงทำให้มีอิสระที่จะตัดสินใจในหลายๆ เรื่องได้เต็มร้อย รวมถึงเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนจาก “ทอม” เป็น “ทรานส์” ด้วย แม้ไม่ได้ขอคำปรึกษาจากทางครอบครัวก่อนทำ แต่ผลที่ออกมาก็เรียกได้ว่าราบรื่น

“วันนั้น พอกลับบ้านมาถึงบ้าน พ่อแม่เขาเห็นอีกทีคือเราผ่าตัดไปแล้ว แม่เห็นแล้วก็บ่นๆ นิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แวบแรกที่เห็นเลยคือเขาส่ายหน้าใส่เรา แล้วก็บอกว่าในเมื่อเลือกแล้วก็เรื่องของเธอ (ยิ้มเอ็นดู) ส่วนคุณพ่อจะค่อนข้างตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ”


 

50 Shades of “Gay”

“ความรู้สึกเรา เราเป็นผู้ชายคนหนึ่งนั่นแหละ จริงๆ แล้ว เราก็ไม่อยากจะเกิดมาผิดเพศหรอก แต่ด้วยความที่เราเลือกไม่ได้มากกว่า แต่สังคมไทยจะชอบมองว่าเป็นแบบนี้แล้ว “ผิดเพศ” ซึ่งเราก็ยอมรับนะว่ามันก็ผิดจริงๆ แต่เราอยากเป็นของเราแบบนี้ จะให้เราไปเลือกสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรามันก็ไม่ใช่ เราเลือกไม่ได้ นี่เราก็พยายามจะทำให้ “ถูกเพศ” แล้วไง (ยิ้มบางๆ)”

คงเป็นเรื่องที่ต้องทำใจว่าออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนแบบนี้แล้วจะถูกคนบางกลุ่มต่อต้าน เพราะถึงแม้เรื่องเพศที่สามจะได้รับการยอมรับในสังคมไทยในวงกว้างมากขึ้นแล้ว แต่สำหรับคำว่า “ทรานส์” ก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่อยู่ดี

“ฟีดแบ็กที่ได้ทุกวันนี้ ก็จะมีส่วนหนึ่งที่เข้ามาชื่นชมเราเรื่องที่เรากล้าแสดงออกได้เยอะขนาดนี้ ฟีดแบ็กอีกอย่างคืออาจจะมีผู้ชายบางคนที่แอนตี้ เปรียบเทียบว่าเราทำมาแบบนี้ จะไปสู้ของจริง สู้ผู้ชายจริงๆ แบบนั้นแบบนี้ได้ยังไง แต่เราก็ปล่อยไป เพราะเราไม่ได้แคร์ว่าทำมาแล้วจะสู้ได้หรือไม่ได้ เราไม่ได้คิดว่าจะมาแข่งกันซะหน่อย
อีกอย่างหนึ่ง ที่เรากล้าออกมาแสดงออกเพราะเราอยากจะเป็นตัวเรา ข้อดีก็คือเราออกมาเปิดโลกนี้มากขึ้น เหมือนเป็นตัวแทนเพศที่สาม มาบุกเบิกให้เขามีที่ยืนมากขึ้น ให้สังคมยอมรับมากขึ้นว่าการเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใคร อีกอย่าง บางคนเขาอาจจะแอนตี้เพราะทอมบางคนก็ไปทำภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเอาไว้ อาจจะทำตัวกร่าง เขาก็เลยเหมารวมไป ก็อยากจะบอกว่าอย่าเหมารวมเลย เพราะคนที่ดีมันก็มี คนที่ไม่มีก็มีเหมือนกัน โดยส่วนตัวแล้ว ก็ไม่รู้สึกแปลกแยกจากสังคมนะที่ถูกบางคนแอนตี้ แต่รู้สึกว่าคนที่แอนตี้น่าจะมีปัญหาทางจิตใจมากกว่า เพราะเราก็ไม่เคยไปแอนตี้อะไรเขา แต่เขากลับมาแอนตี้เรา


ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เลิกอคติกับเพศที่สามว่ามันจะต้องไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ จิ๊บก็ไม่รู้ว่าเขาอคติอะไรกัน เขาอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพวกผิดเพศ ทั้งๆ ที่เลือกได้ แต่ทำไมมันไม่เลือกที่จะให้ถูกเพศ ก็อยากจะบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เลือกได้เลยนะ มันเหมือนความชอบส่วนตัว จู่ๆ จะให้ไปเลือกในสิ่งที่ไม่ชอบ มันไม่ได้หรอก หรือจะให้อยู่ๆ ไปแล้วจะชอบผู้ชายได้เอง มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องชอบมาจากข้างในอยู่แล้ว


อยากให้สังคมมองว่าคนเป็นเพศที่สาม เขาทำประโยชน์อะไรให้กับสังคม ให้ดูที่ความสามารถของเขามากกว่าที่จะดูแค่ว่าเขาเป็นเพศไหน หรือจะมาแอนตี้ว่าเขาเป็นเพศที่สาม บางทีเขาทำประโยชน์ให้สังคมได้อีกตั้งเยอะ แต่กลับมาปิดกั้นให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้อย่างเต็มที่ เพียงเพราะว่าความอคติของเรา มันก็ไม่ใช่ มันก็ไม่ถูก

ถ้าเป็นฟากตะวันตก เขาจะใช้คำว่า “เกย์” พูดถึงภาพรวมของเพศที่สามทั้งหมด ซึ่งแบ่งออกได้หลากหลายรูปแบบความรักความสัมพันธ์ ไม่ต่างไปจากเฉดสีรุ้ง ซึ่งใช้เป็นสีแทนเพศทางเลือก ลองให้จิ๊บช่วยแบ่งคร่าวๆ ออกมาให้ ตามความหลากหลายด้านความรักของคนเพศนี้ ผลที่ได้คือมีทั้งคู่ เกย์คิง-เกย์ควีน, กะเทย-ผู้ชาย, กะเทย-ทอม, ทอม-ทอม (ทอมเกย์), ผู้หญิง-ผู้หญิง (เลสเบี้ยน) ทอม-ดี้ ฯลฯ

ถามว่าแล้วผู้หญิงแบบไหนถึงจะคู่กับ “ทรานส์” เพราะคนที่เป็นดี้ก็อาจจะไม่ได้ชอบทอมที่แปลงเพศแล้วก็ได้ จิ๊บได้แต่ยิ้มแล้วให้คำตอบพร้อมสายตาอ่อนโยนว่า “มันก็มีนะผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงมาก่อน ไม่เคยคบทอมมาชอบ เพราะบางทีเขาไม่ได้ชอบเราเพราะเรื่องเพศว่าเราจะเป็นทอม หรือเป็นทรานส์ หรือว่าอะไร แต่เขารู้สึกว่าเขาคุยกับเราแล้วสบายใจ หรือเขาชอบในสิ่งที่เราเป็น เราก็โอเค


“ความสัมพันธ์คนเรามันมีหลากหลายนะ อย่างกะเทยชอบทอม ถ้าเป็นกะเทยที่แปลงเพศแล้ว จิ๊บก็มองว่าเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง การที่เขามาชอบทอม จิ๊บก็มองว่าเขาคงมีจิตใจเป็นดี้ ส่วนทอมเกย์ คือแต่งตัวเป็นทอมทั้งสองคน คือทอมที่คบทอม แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะมันก็จะมีคนหนึ่งที่จิตใจเป็นฝ่ายแมนกว่า และอีกคนจิตใจเป็นผู้หญิงมากกว่า ก็เลยคบกันได้

แต่จริงๆ แล้ว เราไม่อยากให้มองว่าเพศที่สามมีกี่เฉดเลย อย่าไปแบ่งแยกเลย ให้ดูที่จิตใจเขาดีกว่า อย่างทอมเกย์ ทอมคบกับทอม มันจะมีจิตใจคนหนึ่งที่เป็นผู้หญิงอยู่แล้ว จิตใจอีกคนเป็นผู้ชาย ดังนั้น มันก็จับคู่กันอยู่แล้ว ก็อย่าไปมองที่ภายนอกหรือเฉดสีที่แบ่งเลย มองที่จิตใจดีกว่า หรือถ้าสมมติมันรกหูรกตามาก ก็ไม่ต้องไปมอง ไม่ต้องไปแอนตี้ ก็จะได้ไม่เป็นทุกข์” ผู้ชายข้ามเพศที่ฮอตที่สุดในตอนนี้ แนบรอยยิ้มเย็นๆ ปิดประโยคด้วยสีหน้าแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข



“ทรานส์ฟิต” เทรนเนอร์เพศที่สาม 

อย่างที่บอกว่าตอนนี้จิ๊บเป็น “เทรนเนอร์ฟรีแลนซ์” อยู่เพื่อแก้เซ็งจากการช่วยธุรกิจครอบครัว ตอนนี้ โดยตระเวนไปตามยิมต่างๆ และรับเทรนให้เฉพาะย่านพระราม 4 และสยามเป็นหลัก ส่วนใครไม่ได้อยู่ละแวกนั้น อย่าเพิ่งน้อยใจ เพราะเขากำลังจะเปิดยิมเป็นของตัวเองแถวลาดพร้าว เพื่อตอบสนองฐานแฟนเพจ “Transfit” ที่มีคนติดตามอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นแหล่งออกกำลังกายสำหรับเพศที่สามโดยเฉพาะ

“จิ๊บเล่นเวตมาเองอยู่แล้ว เข้าฟิตเนสเองตลอด เล่นมาประมาณจะ 3 ปีแล้ว ก่อนหน้าที่จะเล่นน้ำหนักก็ประมาณ 53 กก. สูง 166 ซม. ตอนนี้ก็หนัก 62 กก.แล้ว ขึ้นมาเกือบ 10 กก. เพราะมีกล้ามเนื้อเพิ่ม แต่เพิ่งเริ่มๆ มาเทรนเองเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว จากปกติจะเน้นเทรนให้เพื่อน ไม่ได้เอาตังค์ ทำกันสนุกๆ แต่ทุกวันนี้ทำอาชีพนี้แล้วเป็นฟรีแลนซ์ แต่ไม่ได้รับเทรนให้ที่ไหนประจำ เพราะเราทำงานที่บ้าน ไม่มีเวลาเดินทาง



จุดมุ่งหมายของจิ๊บคืออยากให้ทุกคนมาออกกำลังกายกันมากขึ้น ให้มาเป็นเพื่อนออกกำลังกายกัน ดึงเพื่อน ดึงพี่ ดึงน้องมาเล่นด้วยกันก่อน อีกอย่าง ทอมทุกคนก็อยากแมน อยากแข็งแรง แต่ด้วยความที่สภาพเป็นผู้หญิง ความแข็งแรงก็น้อยกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ทำยังไงให้เราแข็งแรง ก็มาฟิตร่างกายกัน สุขภาพดีแล้ว บุคลิกก็ดีด้วย ตอนนี้ก็มีทั้งทอม ดี้ แล้วก็ทรานส์ ที่เราเทรนให้เขา

พอหลายๆ อย่างเริ่มลงตัว เราก็คิดว่าอยากจะเปิดยิมเล็กๆ ของเราเอง เพราะเวลาเป็นแบบนี้แล้วไปยิมใหญ่ๆ ไม่รู้เป็นอะไร เพศที่สามจะต้องถูกจับจ้องเป็นพิเศษ อย่างตัวเรา เราไม่รู้สึกอึดอัดหรือแปลกแยกอะไรหรอกนะ จิ๊บยังสามารถเล่นได้ แต่อย่างน้องๆ คนอื่นๆ ที่ขี้อายหน่อย หรือรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่มองมา มันทำให้เขาเล่นได้ไม่เต็มที่ เลยคิดว่าจะทำยังไงให้เขาสามารถทำกิจกรรมที่ชอบได้เต็มที่มากขึ้น


50 Shades of "GAY"เขาคือผู้หญิงที่ตัดสินใจผ่าตัดเฉือนหน้าอกแห่งความเป็นหญิงทิ้ง และกำลังเตรียมพร้อมปลูกถ่ายความเป็นชายเ...

Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 28, 2015


สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณสถานที่: “Fitness First Platinum Siam Paragon”
รายละเอียดเพิ่มเติม: แฟนเพจ “Transfit”



มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...

Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015

รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น