ท่ามกลางข่าวรักๆ เลิกๆ ของคนในวงการ แต่งงานไม่ทันไรก็แยกทางร้างลา ความรักของ “ผู้ชายอบอุ่น” ศิลปินมาดสุขุมนายนี้กลับเดินสวนทาง แทบไม่มีข่าวใดๆ เล็ดลอดออกมาตลอด 20 กว่าปีบนเส้นทางสายดนตรี จะมีก็เพียงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ว่าคบหาดูใจสาวนอกวงการเป็นเวลานานแล้ว
กระทั่งภาพใบหน้าของเธอหลุดออกมาจากทริปเที่ยวญี่ปุ่นร่วมกับครอบครัวฝ่ายชาย จนกลายเป็นกระแสแชร์สนั่นจากสาวๆ ที่หัวใจสลายแต่ก็อดยิ้มตามไม่ได้ เมื่อได้เห็นความเป็นสุภาพบุรุษอีกครั้งหนึ่งจากผู้ชายคนนี้ ที่ออกมายิ้มรับพร้อมเปิดใจอธิบายคำว่า “แฟน” ผ่านมุมมองของคนโลกส่วนตัวสูงแบบไม่จำเป็นต้องปิดบัง!
“รัก Low Profile” คบกันได้ ความรักสมบูรณ์!
(ทริปญี่ปุ่น คุณแม่, ก้อง และเก๋-แฟนสาวนอกวงการ)
“คนนี้คบหากันมา 20 ปีกว่าๆ แล้วครับ มองอนาคตยังไงเหรอ (หัวเราะแก้เขิน) มันเลยมาทุกอย่างแล้ว เพราะ 20 ปีแล้ว ตอนนี้ก็เป็นคู่คิด เป็นแฟน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นคู่ปรึกษา เป็นคู่อริ (ยิ้มนิดๆ) โอ๊ย... เป็นทุกอย่าง มันเลยมาทุกอย่างแล้ว เลยตอนแต่งงาน เลยตอน 7 ปีจะเลิก-ไม่เลิก เลยมาหมดแล้วจริงๆ”
ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา ศิลปินหนุ่มมาดนุ่มพูดถึงคนรักด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ท่าทีสบายๆ บอกชัดเจนเลยว่าภาพทริปท่องเที่ยวครั้งล่าสุดที่หลายๆ คนเรียกติดปากว่า “ภาพหลุด” นั้น ถ้ามองในมุมมองของเขา มันไม่น่าจะถูกเรียกแบบนั้นเสียด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้ก้องจะไม่ค่อยพูดถึงรายละเอียดเรื่องความรักมากนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพยายามปิดบังอะไร พอๆ กับที่ไม่ได้พยายามจะเปิดตัวแฟนสาวอย่างเป็นทางการให้ใครต่อใครได้รับรู้เช่นกัน
“มันไม่ใช่ทริปเปิดตัวแฟนหรอกครับ (หัวเราะเบาๆ) ก็ไปเที่ยวด้วยกัน ผมไม่ได้เปิด แต่ก็ไม่เคยปิดบังนะ ใครๆ ก็เห็นกันอยู่ประจำๆ นะ ก็ไม่น่าจะฮือฮาอะไร คงเป็นเพราะเขาตัดผมใหม่ด้วยแหละครับ เพราะเมื่อก่อนไว้ผมยาว ตอนนี้ตัดผมสั้นก็เลยอาจจะดูแปลกหน้าแปลกตาไป แต่เขาจะไว้ทรงอะไรก็ตามใจเขาครับ เราก็ชอบทุกทรง (ยิ้ม)”
ทริป 7 วันท่องแดนซากุระครั้งที่ผ่านมา คือทริปที่ก้องตั้งใจจัดขึ้นมาเพื่อพาคุณแม่ไปผ่อนคลาย โดยมีคุณเก๋ (แฟนสาว), คุณแม่, น้องชาย และเพื่อนผู้เชี่ยวชาญเส้นทางสายญี่ปุ่นอีกหนึ่งคนเป็นสมาชิกร่วมทริป จากปกติแล้ว เก๋และก้องมักจะมีทริปปั่นจักรยานท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยกันเรื่อยๆ อยู่แล้วถ้าเวลาว่างตรงกัน บอกเลยว่านี่แหละคือคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ “คู่เซอร์” คู่นี้อยู่ด้วยกันยืดมาจนถึงทุกวันนี้
“ถ้ามีเวลาว่าง เราก็จะไปเที่ยวอุทยาน กางเต็นท์นอน เที่ยวป่าเที่ยวเขา เขาเป็นสไตล์เดียวกับผมที่ไม่ใช่เด็กหรู หรือต้องพักโรงแรม 5 ดาวตลอด เราเลยไปด้วยกันได้ นอกนั้นเรายังมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน เวลาผมไปปั่นจักรยาน เขาก็จะไปปั่นกับผมด้วย เชื่อไหมว่าเขาขี่หนักกว่าผม ขี่ไกลกว่าผมอีก ขนาดปั่นเป็น 100 กม. เขายังไม่เหนื่อยเลย (พูดไปยิ้มไป)
เขาก็เป็นคนสบายๆ ง่ายๆ น่ะครับ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ผมก็เป็นคนค่อนข้างเรียบง่าย เพราะถ้าเยอะเกินไปก็ลำบาก เป็นคน Low Profile ด้วยกันทั้งคู่มันก็จะโอเค และเขาก็เข้าใจว่าช่วงไหนเรางานหนักหรืองานน้อย ผมว่าความเข้าใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเลย ความรักเป็นจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนั้นจะกลายเป็นความเข้าใจ ผมเชื่อว่าความรักที่ดีต้องมีความเข้าใจมาควบคู่เสมอ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันว่าฉันรักเธอ มันทำให้เป็นความรักที่ไม่สมบูรณ์ คนเราควรจะมีความเข้าใจมากำกับ มันถึงจะเป็นความรักที่สมบูรณ์”
“เสมอต้นเสมอปลาย” และ “รู้จักคิดเพื่อคนอื่น” คือสิ่งที่ก้องสัมผัสได้ตลอดระยะเวลาที่ได้รู้จักกับเก๋ เปิดใจแบบหมดเปลือกเลยว่านี่แหละคือเสน่ห์ของผู้หญิงแบบที่ผู้ชายเจ้าเสน่ห์อย่างเขายอม “หยุด” ตั้งแต่วันที่คบกันมาจนถึงวันนี้
“เราคบกันตั้งแต่ผมยังไม่มีอะไร ยังนั่งรถเมล์ มาจนถึงตอนนี้ที่จะซื้อรถกี่คันก็ได้ แต่เขาก็ยังเหมือนเดิม ไม่เคยอยากได้อะไรที่ฟุ้งเฟ้อ นานๆ ทีผมซื้ออะไรที่หรูหราให้เขาไป เขาก็จะมองว่ามันแพง สิ้นเปลือง ผมเลยมองว่าเขาไม่ได้ตื่นในความมี ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ นอกนั้นผมยังประทับใจที่เขาคิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว เช่น เป็นคนประหยัดน้ำประหยัดไฟ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ แต่เขาคิดว่ามันเป็นของทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนใช้ทรัพยากรร่วมกัน โลกนี้ไม่ใช่ของเราคนเดียว เราไม่มีสิทธิ์เสพทุกอย่างเต็มที่ เราควรเสพให้พอเพียงแค่ตัวเรา
ไม่ใช่คิดว่าเรามีเงิน จะใช้อะไรก็ได้ และเขายังสอนผมให้เป็นคนประหยัด อดออม และไม่ฟุ้งเฟ้อด้วยซ้ำ ผมเลยประทับใจที่เขาเป็นคนแบบนี้แหละ (ยิ้ม) ผมโชคดีที่เจอคนที่เข้าใจในตัวผมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพที่ผมทำ นิสัยใจคอ หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงของผม
ผมทำงานในวงการอยู่กับคนสวยๆ เยอะ เพราะนางเอกที่ผมแสดงหนังแสดงละครทุกคนล้วนแต่สวยระดับประเทศด้วยกันทั้งนั้น มีหลายคนมองว่าผมน่าจะได้คบกับคนในวงการเดียวกันมากกว่า แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าเราเลือกใครเพราะความสวยคงไม่ใช่ เพราะความสวยมีวันหมดอายุ แต่ความสวยจากภายในจิตใจไม่มีวันหมดอายุ และเป็นความสวยที่ยั่งยืน แล้วถ้าเราเจอใครที่สวยจากข้างในและสามารถเป็นเพื่อนคู่คิดของเราได้ มีรสนิยมในการดำเนินชีวิตที่คล้ายๆ กัน เราต้องรีบเก็บไว้เลยเพราะหาไม่ได้ง่ายๆ ผมโชคดีที่มาเจอคนที่เข้าใจในตัวผมทุกด้าน
ถามว่าผมเคยหวั่นไหวบ้างไหมที่ทำงานอยู่กับผู้หญิงสวยๆ ถ้าตอบว่าไม่เคยก็คงจะเป็นการโกหก ประสบการณ์วอกแวกออกนอกลู่นอกทางของผมมีบ้าง แต่เป็นการขับรถตกข้างทางที่กว่าจะเอารถขึ้นมาขับบนทางปกติได้ก็เล่นเอาผมเหนื่อย เพราะตอนตกลงไปในดงกุหลาบ มันหอมและสวยแป๊บเดียว อย่าลืมว่าหนามกุหลาบมันแหลม เมื่อเราไปโดนเข้าก็ทำให้ถึงกับเลือดออกได้ ทางที่ดี อย่าไปหวั่นไหวหรือวอกแวกจะดีกว่า
มีครั้งหนึ่งผมต้องไปถ่ายละครพริกขี้หนูกับหมูแฮมที่อเมริกาเดือนกว่า ตอนนั้นเป็นการออกจากเมืองไทยที่นานที่สุดในชีวิต ในระหว่างที่ผมนั่งอยู่บนเครื่องบิน 22 ชั่วโมง ผมไม่หลับเลย เพราะกำลังครุ่นคิดด้วยความตื่นเต้นว่า นี่ผมจะไม่ได้อยู่ประเทศไทยอีกเป็นเดือน ผมต้องห่างกับแฟนผมนานขนาดนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนห่างกันนานที่สุดตั้งแต่คบกัน ผมรู้สึกใจหายและคิดถึงเขาขึ้นมาจับใจ และไหนจะคิดว่าไม่มีเขาตั้งเดือน ผมจะอยู่ยังไง จะรู้สึกยังไง จะเหงาไหม การห่างกับแฟนผมครั้งนั้นทำให้ผมทั้งคิดถึงและเห็นคุณค่าของเขาขึ้นมาจับใจทันที
ถ้าไม่ห่างกันครั้งนั้น ผมก็คงยังไม่รู้ตัวว่าการจากใครสักคนที่เรารักเป็นเวลานานๆ มันทำให้เราตระหนักได้ว่า การมีใครสักคนอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนเขาเป็นเหมือนอากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวัน ทำให้เราไม่เห็นความสำคัญของเขาเท่าที่ควร แต่เมื่อวันหนึ่งเราขาดอากาศที่เคยหายใจ เราก็ไม่สามารถอยู่ได้ เราถึงได้เรียกร้องหาให้กลับมา ใครสักคนที่เรารักก็มักจะเป็นอย่างนั้น เราไม่เคยขอบคุณที่เรามีเขาอยู่เคียงข้าง เหมือนเราไม่เคยขอบคุณอากาศที่ทำให้เราได้หายใจในทุกๆ วัน”
รักเย็นๆ จากผู้ชายอุ่นๆ
“ในความคิดของผม ผมมองว่าถ้าเราทุกคนขาดความรักหล่อเลี้ยงจิตใจ เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขและชีวิตอาจไร้ความหมาย เพราะความรักเป็นเหมือนน้ำมันที่ทำให้เครื่องยนต์สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้”
นี่คือนิยามความรักจากมุมคิดของพระเอกตลอดกาลในวัย 47 ปี และความรักที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องมีเอาไว้เป็นหลักยึดของชีวิตประการแรกๆ เลยก็คือ “การรักตัวเองให้เป็น” จะได้ไม่ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
“ถ้าเรารู้จักรักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง เราจะมีแรงผลักดันที่จะลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง ไม่เพียงแต่ดูแลเฉพาะด้านรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่เราจะมีแรงผลักดันจากความรักตัวเอง ให้รู้จักดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง และยังทำให้เราคิดดี ทำดี พูดดี ไม่หลงไปทำเรื่องเสื่อมเสียและถ้าเราปฏิบัติตัวดีจริง ก็ไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศให้ใครมารับรู้หรอกว่าเราเลิศเลอสักแค่ไหน แต่เบื้องบนจะเห็นความจริงที่เราเป็นและกระทำออกไปเองครับ แล้วเราก็จะได้รับผลจากการกระทำของเราสะท้อนกลับมาเองในไม่ช้า
ผมเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม คนเราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วครับ คนที่ทำชั่วก็ต้องได้รับกรรมชั่วที่ทำไป เพียงแต่จะมาในรูปแบบไหนและมาเมื่อไหร่เท่านั้นเอง เราไม่มีทางหนีพ้น ถ้าเราทำดี เราก็จะได้รับผลกรรมที่ดีๆ ตอบแทนกลับมาหาเราแน่นอน เพราะทุกอย่างถูกบันทึกไว้หมด อย่างผมเคยถ่ายงานโฆษณาแล้วได้เงินมาก้อนหนึ่ง ผมก็เอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ แม้ว่าท่านอาจจะไม่ได้ต้องการเพราะท่านก็มีของท่านอยู่แล้ว แต่ผมอยากจะให้พวกท่านมีความสุขและอิ่มเอิบใจที่ผมให้ แล้วหลังจากงานนั้น ผมก็ได้งานอีกงานที่ใหญ่กว่างานโฆษณาชิ้นที่ผ่านมาอีก ผมรู้สึกว่าถ้าเราทำความดี จะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน”
สายใยแห่งรักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของชีวิตก็คือ “ความรักจากครอบครัว” ซึ่งลูกๆ หลายๆ คนมักจะลืมเลือนไป เพราะมัวแต่หันไปแสวงหาความรักในแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “รักเพื่อน” หรือ “รักแฟน” หรือบางคนก็ “รักงาน” จนลืมให้เวลากับพ่อแม่ไปโดยปริยาย
(วันวาน: คุณแม่, ก้อง และน้องเก็น - ขอบคุณภาพ: หนังสือ “REAL KONG” โดย แพรวสำนักพิมพ์)
“ผมเชื่อว่าถ้าเราถามใครสักคนว่ารักพ่อแม่ไหม ทุกคนต้องตอบว่ารักอยู่แล้ว แล้วถ้าเรารักพวกท่าน เราก็ต้องแสดงออกให้เห็นด้วยว่าเรารักท่านยังไง ไม่ใช่บอกแต่ปาก ผมเองก็พยายามใช้เวลาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เพื่อจะบอกว่าผมรักท่านทั้งสอง และจะนึกถึงท่านอยู่บ่อยๆ อย่างในช่วงเทศกาลต่างๆ หรือวันเกิดของพวกท่าน ผมจะพาท่านและน้องชาย (เก็น-ฐากูร สังคปรีชา) ไปทานข้าวด้วยกัน เพื่อจะได้มีเวลาพบปะพูดคุยกัน ให้ครอบครัวของเราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างอบอุ่น
ความรักของคุณพ่อคุณแม่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมมีความพยายามทำงานทุกอย่างให้สำเร็จ ทำให้ชีวิตมีเป้าหมาย มีพลัง และมีแรงบันดาลใจ ส่วนเก็น น้องชายคนเดียวของผม ผมแก่กว่าเขาเกือบ 10 ปี ผมเลยเหมือนพ่อเขาเสียมากกว่าจะเป็นเพื่อนเล่น ผมอาจจะเป็นคนที่ดุเขาที่สุด ตอนนี้เราดูแลซึ่งกันและกัน มีอะไรก็ส่งเสริมเขา โดยเฉพาะเรื่องดนตรีครับ”
(วันวาน: คุณแม่, คุณพ่อ, ก้อง และน้องเก็น - ขอบคุณภาพ: หนังสือ “REAL KONG” โดย แพรวสำนักพิมพ์)
สังคมทุกวันนี้เองก็น่าเป็นห่วง ถือเป็นสังคมที่ยังขาดความรักอยู่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนของชาติ ทำให้เขาต้องเที่ยววิ่งหาความรักและการยอมรับจากสังคมในมิติที่ผิดๆ ก้องคิดอย่างนั้น
“ถ้าเทียบกับสมัยรุ่นผม มันรุนแรงขึ้นนะ ในยุคผม เรื่องยาเสพติด เรื่องสื่อ ปัญหาต่างๆ ยังมีไม่เยอะกันขนาดนี้ ตอนนี้มันแพร่หลายมากขึ้น สังคมออนไลน์ก็น่าเป็นห่วง ทุกอย่างมันกระทบกับเยาวชนได้ง่าย ทางออกก็คงจะต้องปลูกฝังเด็กและเยาวชนครับ เพราะเราคงไปห้ามสื่อ ห้ามคนค้ายาเสพติดไม่ได้ ก็ได้แต่บอกเขาว่าอย่าหลงผิดไปกับสิ่งเหล่านี้ ผมรู้สึกว่าเด็กเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่ดี เลยคิดว่าเราน่าจะปลูกฝังเด็กให้เขาโตขึ้นมาแล้วเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ปลูกฝังเด็กก่อน สังคมต่อไปจะได้ดี
การทำความดีอาจจะไม่ต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ เราอาจจะช่วยจูงคุณป้าแก่ๆ หลังค่อมๆ ถือไม่เท้า ช่วยหิ้วข้าวของของท่านเดินข้ามถนนไปส่งที่รถก็ได้ ผมว่าแค่นั้นก็ทำให้หัวใจเราอิ่มเอิบพองโตด้วยความสุขที่ได้ช่วยเหลือแล้วครับ และถ้าวันข้างหน้าตอนเราเดินหลงทางอยู่ อาจจะมีคนเดินมาบอกทางเราว่าไปทางนั้น-ทางนี้สิ มาช่วยเราเหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งเราเลยช่วยจูงคนแก่เดินข้ามถนนก็ได้
ผมชอบใช้หลักพรหมวิหาร 4 มาคิดพิจารณาในทุกมุมของการดำเนินชีวิต ผมว่าถ้าเราทำได้ตามหลักนี้ได้ เราจะเป็นคนที่มีความสุขมาก เรียกว่ามีความสุขอย่างมหัศจรรย์เลยล่ะ ถ้าเรามีความอยากให้คนอื่นมีความสุข อยากให้เขาพ้นทุกข์ เราก็จะไม่มีความอิจฉาริษยา เมื่อเรามีความเมตตากรุณามากๆ เข้า รังสีของความเมตตาที่ออกมาจากตัวเราก็จะแผ่ออกไป ใครก็ตามที่ได้มาอยู่ใกล้เราจะรู้สึกเย็น เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมรู้สึกโกรธ ผมก็จะพยายามใช้หลักพรหมวิหาร 4 เพื่อดับความโกรธ ด้วยการพยายามเมตตามากๆ พอเราคิดได้แบบนี้ ชีวิตก็จะสบาย จิตใจก็จะไม่ขุ่นมัว”
“ความสุข” ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากเกินไขว่คว้าเลย แค่ได้ทำงานที่รัก ศิลปินหนุ่มเสียงนุ่มคนนี้ก็ยิ้มได้กว้างๆ แล้ว “เวลาผมทำอะไร ผมจะพยายามทำให้สมบูรณ์ที่สุด พอทำแล้วผลตอบรับดี ผมก็มีความสุขแล้วครับ” หรือแม้แต่วันสบายๆ เอนหลังอยู่ที่บ้าน ความสุขของก้องก็ง่ายแสนง่าย “เล่นกีตาร์/ ดูหนัง/ ฟังเพลง” แค่มี 1 ใน 3 อย่างนี้ ชีวิตก็ผ่อนคลายได้มากมายแล้ว
“ทำอยู่ 3 อย่างครับ (ยิ้ม) อย่างแรก ตื่นนอนลงมา จะมีกีตาร์วางบนโซฟารับแขก ผมจะนั่งเล่นกีตาร์ก่อนเลย นอกนั้นผมชอบปั่นจักรยาน ก็มีไปปั่นแถวบ้านบ้าง บางทีก็ไปออกทริปกับเพื่อนบ้าง ผมว่ามันเป็นการออกกำลังกายที่สนุก เหมือนเราเล่นปั่นจักรยานกับเพื่อน มันไม่น่าเบื่อเหมือนเล่นฟิตเนสที่เป็นสถานที่ซ้ำๆ หรือเครื่องเล่นเดิมๆ แต่การปั่นจักรยาน เราสามารถเปลี่ยนสถานที่ไปได้เรื่อยๆ ปั่นเสร็จก็ไปหาร้านอะไรกินกัน
ปกติผมชอบปั่นอยู่แถวบ้านที่สุขาภิบาลครับ ปั่น 20-30 กม.เป็นปกติ ถ้าวันไหนว่างหน่อยก็จะนัดเพื่อนๆ ไปปั่นเที่ยวที่เมืองโบราณบ้าง บางน้ำผึ้งบ้าง อยุธยาบ้าง ถ้าไปอยุธยา เราจะเริ่มปั่นจากหน้าบริษัท เวิร์คพอยท์ แล้วไปอยุธยา ปั่นสัก 70 กม.เหมือนไปเที่ยว ไปถึงก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กิน แล้วปั่นกลับ เหมือนไปพักผ่อน ไปเที่ยว แล้วก็ได้ออกกำลังกายด้วย อย่างตอนที่ผมไปปั่นที่บางน้ำผึ้ง ผมชอบมากที่ที่นั่นมีแต่ต้นไม้ ทางขี่จะมีสะพานเล็กๆ อยู่บนน้ำ บ้านเรือนคนก็จะอยู่บนน้ำ ผู้คนคมนาคมกันด้วยจักรยาน มอเตอร์ไซค์ ไม่มีรถยนต์วิ่งเลย บรรยากาศดีมากๆ สวยงาม และไม่มีตึกเลยครับ
ช่วงหลังๆ ผมก็เริ่มวางแพลนเอาไว้แล้วว่าอยากจะพักผ่อนให้มากขึ้น คือเริ่มคิดแล้วว่าอยากพักงาน ไม่รับงานมากนัก แล้วใช้ชีวิตที่ตัวเองอยากทำมากขึ้น เช่น ไปปีนเขา ไปเที่ยวแบ็กแพก หรือถ้าจะทำงาน ก็เป็นงานที่เราอยากทำและมีความสุขกับมันจริงๆ เช่น เล่นดนตรี
ผมเหนื่อยมา 40 กว่าปีแล้ว เลยคิดว่าในช่วงชีวิตที่เหลือ ก็อยากจะใช้ชีวิตให้มันๆ หันมาให้เวลากับตัวเอง ให้เวลากับพ่อแม่มากขึ้น ตอนนี้ผมไม่หวังอะไรมากครับ ความสุขทุกวันนี้ของผมคือการได้เล่นดนตรีที่เรารัก มีวงนูโว ได้เจอเพื่อน ได้เจอครอบครัว แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ” เจ้าของน้ำเสียงละมุนโปรยยิ้มละไมปิดท้ายเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ากำลังรู้สึก “สุข” ตามที่บอกเล่าอยู่จริงๆ
ผู้ชายอบอุ่น = อดีตคุณหนูเอาแต่ใจ
“จากนักดนตรีมาเป็นนักแสดง นอกเหนือจากประสบการณ์ทางการแสดงแล้ว ผมยังได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากวงการหนังและละคร ผมได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก, การอดทนอดกลั้น, การเข้าใจผู้คน, การรู้จักถอยกันคนละก้าว, การประนีประนอม, การรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา, การเป็นคนตรงต่อเวลา แล้วก็การรู้จักใจเย็น ไม่เอาแต่ใจตัวเอง
อย่างการรู้จักรอคอย อดทนต่อความรู้สึกอึดอัดที่ออกไปไหนไม่ได้ระหว่างรอถ่ายฉากต่อไป เช่น บางครั้งเราต้องไปถึงกองถ่ายตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถ่ายไป 3 ฉากถึงเที่ยง ถ่ายอีกทีตอนบ่าย 3 ถ้าฉากที่ถ่ายระหว่างเที่ยงถึงบ่าย 3 ไม่มีผมอยู่ในฉากด้วย ก็ต้องรอไปอีก 3 ชั่วโมง ให้คนอื่นเขาถ่ายกันไปก่อน ผมจะมองในมุมที่ดี คือเราจะได้พักผ่อน ผมก็จะไปหาที่นอนคุดคู้ของผมตามมุมโน้นมุมนี้ของห้อง ผมคิดเสมอว่าถ้าคนอื่นอดทนได้ ผมก็ต้องอดทนได้ เพราะเราไม่ได้วิเศษมาจากไหน
เรื่องการเข้าใจธรรมชาติของงานและพร้อมที่จะปรับตัวก็สำคัญครับ อย่างบางวันอุณหภูมิ 38 องศา แต่เราต้องใส่สูทผูกเนกไท ใส่เสื้อข้างในอีก ตัวก็จะชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมก็เต็มไปด้วยเจล หน้าก็แต่งแบบจัดเต็มฉ่ำโบ๊ะทั้งหน้า มีแต่แป้งที่เติมแล้วเติมอีก แล้วเราต้องแต่งอย่างนี้ทั้งวัน ถ้าเป็นฉากที่ทะเลาะกับนางเอกที่จะต้องวิ่งขึ้นบันไดอยู่อย่างนั้นประมาณ 6-7 เทก ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเรามีความเข้าในใจธรรมชาติของเงาน มันก็จะช่วยให้เราเตรียมตัวและปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดีขึ้น
หรืออย่างแม่บ้านก็เป็นคนสำคัญไม่แพ้คนอื่นๆ เพราะแม่บ้านนี่แหละที่ช่วยเราหลายอย่าง อย่างผมอยากกินกาแฟก็ได้กิน อยากกินน้ำเย็นๆ ก็ได้กิน ผมมองว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครสำคัญมากกว่าใคร ถ้าไม่มีแม่บ้าน นักแสดงก็อยู่ไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักแสดงดังขนาดไหนมา แต่ถ้าไม่มีคนหาน้ำให้คุณกินสักครึ่งวัน คุณก็อยู่ไม่ไหวแล้ว”
ทุกมุมคิดที่สะท้อนความเป็นก้องออกมา ยิ่งช่วยตอกย้ำให้เห็นว่าเขาช่างสุภาพ เรียบร้อย อ่อนน้อม ถ่อมตน ฯลฯ สมกับที่คนทั้งเมืองมอบคำว่า “สุภาพบุรุษ” ให้แล้วจริงๆ
เทียบกันแล้ว ช่างเป็นภาพที่ขัดแย้งกับความเป็น “คุณหนูเอาแต่ใจ” ในวัยเด็กของเขาเสียเหลือเกิน ด้วยความที่คุณตาของก้องมาจากตระกูลสวัสดิ์-ชูโต คุณยายมาจากตระกูลวสุวัต ซึ่งเป็นตระกูลเจ้าของโรงภาพยนตร์เสียงกรุง ส่วนทางคุณปู่ มีต้นตระกูลเป็นชาวเดนมาร์ก เข้ามารับราชการในไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จึงทำให้มีชีวิตสุขสบาย มีคนคอยรับใช้ ไม่เคยต้องลงแรงทำอะไรเอง และนี่คืออีกมุมหนึ่งที่หลายๆ คนอาจไม่เคยรู้!
“ย้อนกลับไปตอนที่ยังเป็นเด็ก สิ่งแรกที่นึกถึงตัวเองในตอนนั้นคือ ความวีนเหวี่ยง ด้วยผมเป็นหลานชายคนแรกของครอบครัวใหญ่ ใครๆ ในบ้านต่างก็พากันเอาอกเอาใจ จนกลายเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ (ยิ้ม) จนตอนอายุ 9 ขวบก็มาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิต คุณพ่อ คุณแม่และผมแยกบ้านออกมาอยู่ข้างนอก ไม่มีคนใช้ มันทำให้ผมต้องหัดทำทุกอย่างด้วยตัวเอง อันนี้ผมต้องขอบคุณคุณพ่อที่คอยสอนให้รู้จักการช่วยเหลือตัวเองในหลายๆ ด้าน ทำให้ทุกวันนี้ถ้าผมต้องเจอเหตุการณ์ที่ต้องทำนู่นนี่เอง ผมจะสามารถทำได้ และจะมานั่งคิดว่าเป็นเพราะคุณพ่อเคยสอน ผมถึงทำเป็น จะหวนคิดถึงประโยคเด็ดของคุณพ่อที่ยังติดอยู่ในใจผมไม่รู้ลืมเลย คือคำว่า โตขึ้นก้องก็จะรู้เองว่าทำไมพ่อถึงต้องทำแบบนี้”
ถึงแม้ในหลายๆ ครั้ง การเป็นคนในแสงไฟจะทำให้ใช้ชีวิตธรรมดาๆ ได้ยากแสนยากก็ตาม แต่ก้องก็ไม่เหวี่ยงไม่วีน ไม่เหมือน “คุณหนูก้องจอมเอาแต่ใจ” อย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว เพราะเข้าใจธรรมชาติของอาชีพนี้เป็นอย่างดีว่าอาจต้องยอมสูญเสีย “ความเป็นส่วนตัว” ในหลายๆ เรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ข้อเสียของการเป็นคนดังคือ สูญเสียความเป็นส่วนตัวครับ เช่น อยากออกไปซื้อขนมปังสักชิ้นหนึ่งแถวบ้าน แต่บางครั้งเราลืมคิด ใส่เสื้อผ้าสบายเกินไป หัวฟู แต่ต้องโดนถ่ายรูปตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่เราอึดอัด มันเหมือนชีวิตเราปลดปล่อยสบายๆ ไม่ได้ ถ้าต้องออกไปหาซื้ออะไรง่ายๆ ก็อาจต้องใส่กางเกงที่ดูดีกว่ากางเกงนอน หรือเสื้อก็ต้องดีกว่าเสื้อยืดเก่าๆ ที่ใส่ประจำที่บ้าน คือ เราต้องทำความเข้าใจว่าอาชีพนี้ก็ต้องเจอแบบนี้ และต้องยอมรับให้ได้ว่าความเป็นส่วนตัวต้องหายไป
หรืออยู่วงการแบบนี้ บางครั้งผมก็มีข่าวบ้าง แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เช่น บางข่าวหาว่าผมแอบมีลูก แอบมีภรรยา แต่ผมก็เฉยๆ คือ ต้องเข้าใจว่าเราอยู่ในวงการนี้ ก็ต้องมีเรื่องดีไม่ดีปะปนกัน มีคนรัก มีคนเกลียด หรือมีคนหมั่นไส้ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องทำพยายามคิดดี และทำความเข้าใจกับมันว่าสัจธรรมเป็นอย่างนี้แหละ มีขาวก็มีดำ มีข่าวก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปซีเรียสมาก ต้องพยายามคิดบวกครับ
สมมติว่าถ้าเห็นอะไรไม่ดี ไม่ถูกใจ หรืออะไรที่ทำให้เราโมโห ผมก็จะมองย้อนกลับไปถึงสาเหตุนั้น ทำความเข้าใจกับมัน แล้วเราก็จะไม่โกรธ เช่น ถ้าใครมาทำให้เราโกรธหรือยั่วโมโห ก็ให้ทบทวนว่าทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมคนนี้คิดอย่างนี้กับเรา บางคนเขาอาจจะมีแผลในจิตใจ บางคนเกิดมาจากครอบครัวไม่อบอุ่น เขาเลยมีคำพูดแข็งกระด้าง พูดจาไม่เข้าหูเรา ดังนั้น แทนที่เราจะโกรธเขา ก็ให้เราเตือนสติและคิดก่อนว่าเขาอาจมีปมในชีวิต อย่าไปโกรธเขาดีกว่า คือเราต้องพยายามทำความเข้าใจเขา และอธิษฐานให้เขามีอะไรดีๆ ในชีวิต ก็จะช่วยเปลี่ยนมุมมองที่โกรธให้มาเป็นเมตตาได้ มันจะทำให้เราค่อยๆ ใจเย็นลง คิดในทางที่ถูกและคิดในทางที่บวกมากขึ้นได้เองครับ
ผมไม่ปฏิเสธว่าการทำงานในวงการบันเทิง ถ้าเรามีชื่อเสียง มันก็เป็นธรรมดาที่คนจะมาเอาอกเอาใจเรา แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสที่ต้องฉกฉวย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริการ การกิน การนอน การใช้ชีวิตต่างๆ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเอาอกเอาใจผมจนดีมากเกินไป ผมจะรู้สึกไม่ดีด้วยซ้ำ และอยากจะบอกว่าไม่ต้องดีกับผมมากขนาดนี้ก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นเห็นเขาจะหมั่นไส้ผมเอาได้ ผมชอบที่จะทำให้ทุกๆ อย่างง่ายที่สุดสำหรับทุกคนมากกว่า
ผมอยากให้คนที่ทำงานแบบผม ซึ่งต้องทำงานกับคนหมู่มาก ทำงานแบบให้เกียรติ ให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงานทุกคนเท่าเทียมกัน อยากให้อยู่กันอย่างมีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะเรื่องของการตรงต่อเวลา รวมไปถึงการอดทนอดกลั้น เพราะจะทำให้เราอยู่ร่วมกันและทำงานเป็นทีมได้อย่างมีความสุข”
“แต่งงาน” ไม่สำคัญเท่า “เข้าใจ” คบกันมานานขนาดนี้ “20 กว่าปี” ทำไมถึงยังไม่แต่งงาน? เจอคำถามแบบนี้ให้ตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า และก้องก็ยังคงยืนยันความคิดในแบบของเขาที่มองว่าการถูกมัดกันทางพิธีรีตองเป็นสิ่งไม่จำเป็น! “ผมคิดว่าการแต่งงานก็เป็นแค่ประเพณีอย่างหนึ่ง คือนัดแขกเยอะๆ จัดงานวันเดียว เพื่อประกาศว่าเราแต่งงานแล้วนะ แต่ความจริงแล้ว เราจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ผมมองว่าคนเราจะรักกัน จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรักและความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าแค่เรื่องพิธีการหรือการแต่งงาน ดังนั้น ผมมองว่าการแต่งงานไม่ใช่ข้อสำคัญ สิ่งสำคัญคือเข้าใจกันหรือเปล่า รักกันหรือเปล่ามากกว่าครับ ความสัมพันธ์ของเรามันเลยการแต่งงานมาแล้วครับ ส่วนเรื่องมีลูก ณ วันนี้ผมไม่อยากมี ผมยังอยากใช้ชีวิตมันๆ อยู่ อยากจะมีอิสระ ทำอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่าต้องรีบกลับบ้าน เพื่อส่งลูกไปโรงเรียน หรืออะไรๆ ก็ต้องลูก ยังไม่อยากมีข้อผูกมัดขนาดนั้น ผมรู้สึกว่าการมีลูกเป็นเรื่องของโชคชะตา ถ้าวันหนึ่งจะมีดวงวิญญาณหนึ่งมาจุติกับเรา เราก็คงรู้สึกอยากจะมีเอง ผมเชื่ออย่างนั้น แต่ถ้าวันนี้เขายังไม่มา ความรู้สึกอยากยังไม่มี ผมก็ยังแฮปปี้ที่จะเป็นแบบนี้มากกว่าครับ” |
นี่แหละ! “REAL KONG” (ก้อง-คุณแม่ - ขอบคุณภาพ: หนังสือ “REAL KONG” โดย แพรวสำนักพิมพ์) คุณแม่โสมวรรณ สังคปรีชา : เขาเป็นคนเงียบๆ ค่ะ ไม่ค่อยยุ่งเรื่องใคร ชอบความสงบ เป็นคนเรียบร้อย ไม่เอะอะโวยวาย ไม่ดื้อ แต่ที่เพื่อนๆ บอกว่าเขาดื้อ หมายถึงเขามีความคิดของตัวเอง (ยิ้ม) แต่เวลาเราบอกให้ทำอะไร เขาก็จะเป็นเด็กดีว่าง่ายค่ะ เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงออก เราก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าเขายังไง แต่เวลาเราเปิดเพลง ดิฉันเป็นคนบ้าเพลง เปิดแผ่นเสียง เขาก็ชอบ นั่งฟังด้วยกัน ตอนหลังๆ ก้องเขาก็นั่งฟังกับเก็น สองคนพี่น้องบ่อยๆ ลูกทั้งสองคนจะรู้จักเพลงฝรั่งเก่าๆ ทั้งนั้น ดิฉันเป็นคนสอนเปียโนเขาตั้งแต่แรก ทีหลังเขาก็ไปเรียนเอง นิสัยส่วนใหญ่เขาก็น่าจะเหมือนดิฉันมากกว่าคุณพ่อนะคะ หน้าก็เหมือนมากกว่า (ยิ้ม) นิสัยก็คล้ายๆ กันด้วย หลายๆ เรื่องเลย ไม่ชอบอยู่กับคนเยอะๆ อยากอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวแล้วฟังเพลง เราจะมีความสุขที่สุด (คุณพ่อ-น้องชาย - ขอบคุณภาพ: หนังสือ “REAL KONG” โดย แพรวสำนักพิมพ์) คุณพ่อวีระพงษ์ สังคปรีชา : ก้องเป็นเด็กที่น่ารักตั้งแต่เด็ก ว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กเรียบร้อยตั้งแต่ยังเล็กอยู่ เราพยายามอบรมสั่งสอนสิ่งที่ดี และเขาก็มีสิ่งนี้ในตัวของเขาอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติในตัวเขาเอง ส่วนใหญ่ก็จะปลูกฝังเรื่องความดีงามและศาสนาครับ ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในความเป็นมนุษย์ มากกว่าการศึกษาใดๆ ทั้งสิ้น |
“มือกลองอากาศ” จุดเริ่มต้นของ “ก้อง-นูโว” (ว่าที่ศิลปินดัง สมัยคอซอง) “ตั้งแต่จำความได้ ความใฝ่ฝันของผมมีแค่ 2 อย่างและไม่เคยเปลี่ยนเลย คือการได้วาดรูปและการได้เล่นดนตรี ความรู้สึกที่ได้ฟังเพลงที่ผมชอบ หรือการทำท่าทางเหมือนว่ากำลังเล่นเครื่องดนตรีอยู่ เป็นสิ่งที่สร้างความสุขกับผมได้มากที่สุดแล้ว ตอนอายุสัก 13-14 ปี ผมก็เริ่มหลงใหลในเสียงดนตรีแล้ว เริ่มฟังเพลงประเภทต่างๆ ตามคุณพ่อคุณแม่ ชอบเอาหมอนมาทำเป็นกลองวางเรียงกัน เปิดเพลงไป ตีหมอนไปด้วย (ยิ้ม) จินตนาการว่าตัวเองกำลังตีกลองจริงๆ อยู่ เป็นอะไรที่มีความสุขมาก” เด็กชายก้องโตมากับเพลงยุค 60's ทางฝั่งตะวันตก ด้วยโน้ตบรรเลงจากร่องแผ่นเสียงที่คุณพ่อคุณแม่เปิด ให้ลอยละล่องมากระทบหูอนาคตนักดนตรีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ล้วนแล้วแต่เป็นบทเพลงในตำนานทั้งนั้น ไม่ว่าจำเป็น ราชาแห่งร็อกแอนด์โรลอย่าง “Elvis Presley”, วงร็อกระดับตำนาน “The Rolling Stones”, วงดนตรีที่โลกคลั่ง “The Beatles”, Cliff Richard, Pink Floyd ฯลฯ กระทั่งมีโอกาสได้หัวใจเต้นตึกตักไปกับการเล่นของตัวเองเป็นครั้งแรก ก็ตอนได้ก้าวขาเข้าไปในห้องซ้อมดนตรีและวาดจังหวะลงไปในเครื่องดนตรีจริงๆ ในช่วงที่เรียน ม.ต้น ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ “ทั้งประทับใจ ทั้งน่าตื่นตาตื่นใจ บรรยากาศในนั้นมันทำให้ผมตื่นเต้นมาก บรรยากาศมันเหมือนสวรรค์ยังไงยังงั้นเลย ผมมีความสุขมากที่ได้เห็นเครื่องดนตรีของจริง ได้เห็นกลองชุดจริง กีตาร์ไฟฟ้าจริง เพราะในยุคนั้น ห้องซ้อมดนตรีและร้านขายเครื่องดนตรียังมีน้อยอยู่ ถ้าผมอยากเห็นเครื่องดนตรีจริงๆ ก็ต้องไปตามผับบาร์ ซึ่งผมก็ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าได้ ห้องซ้อมดนตรีเลยกลายมาเป็นสรวงสรรค์ของผม ยิ่งวันไหนมีนักดนตรีมาซ้อมดนตรีกัน ผมกับเพื่อนๆ ก็จะไปเกาะกระจกห้องซ้อม ดูพวกเขาซ้อมกันตาปริบๆ (ยิ้ม) เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ผมลองคือกลอง รู้สึกว่าเวลาเล่นมันสนุกดี การตีกลองเหมือนได้ปลดปล่อยอารมณ์ของเราอย่างเต็มที่ พอผมไปขอคุณแม่เรียนตีกลอง คุณแม่ก็ให้เรียน แต่พอไปเรียนกลับไม่ได้ตีกลองจริงๆ ทางโรงเรียนเขาสอนพื้นฐานให้ผมตีกับแผ่นยางก่อน แล้วก็ให้อ่านโน้ตด้วย ผมก็เลยเกิดอาการผิดหวัง เซ็งมาก เลยไปเรียนอยู่ไม่กี่ครั้งก็เลิก แล้วก็กลับมาเล่นเครื่องดนตรีจริงๆ ด้วยการไปซ้อมในห้องดนตรีกับเพื่อนๆ ฝึกกันเอง แล้วพอเล่นกลองได้สักพัก ผมก็หันมาสนใจกีตาร์เพราะเห็นนักดนตรีเล่นแล้วรู้สึกว่าเท่ดี อาศัยเล่นบ้านเพื่อนที่มีกีตาร์ก่อน หัดจากกีตาร์โปร่ง มาเป็นกีตาร์ไฟฟ้าแล้วก็เกิดอาการหลงใหลขึ้นมาทันที เลยเล่นแนวร็อกเลย รู้สึกว่าสนุก เล่นแล้วมัน แล้วผมก็เริ่มจริงจังกับการเล่นดนตรีมากขึ้น" ฝึกปรืออยู่ในห้องซ้อม ง่วนอยู่กับตัวโน้ตอยู่หลายปี วงดนตรีในฝันของเด็กชายก้องก็เป็นจริงขึ้นมาได้เมื่อเขาขึ้น ม.ปลาย โรงเรียนศรีวิกรม์ ซึ่งเป็นวงเดียวกับที่มี โจและจอห์น แห่งวง “นูโว” ในอนาคตมาร่วมแจมด้วย โดยใช้ชื่อวงว่า “High School” ติดต่ออาจารย์ด้วยตัวเอง ขอเล่นให้กับงานของห้องสมุด จัดแจงเช่าเครื่องดนตรีกันมาเอง ทำทุกอย่างเองด้วยความกระหายอยากโชว์ฝีมือในฐานะศิลปินเล่นต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งแรกในชีวิต (โจ-ก้อง เพื่อนร่วมวงที่โตมาด้วยกัน) “ค่าห้องซ้อมสมัยนั้นชั่วโมงละ 80-100 บาท ซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับเด็กนักเรียนอย่างพวกเรา เพราะเราได้ค่าขนมไปโรงเรียนวันละ 20-30 บาท ก็ต้องประหยัดค่ากินมาเป็นค่าห้องซ้อม หุ้นๆ กันไปจนได้ค่าเช่า 1 ชั่วโมง การตั้งวงของผมกับเพื่อนๆ ตอน ม.5 และได้แสดงคอนเสิร์ตในโรงเรียนศรีวิกรม์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวในตอนนั้น มันช่วยจุดประกายให้รุ่นน้องที่รวมวงเล่นดนตรีกันอยู่แล้วแต่ไม่มีโอกาส ไม่มีเวทีได้แสดงออก ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในโรงเรียน ซุ่มซ้อมกันอยู่แต่ในห้องซ้อมดนตรี ได้เผยตัวออกมาว่าตัวเองก็มีวง เช่น “สุ (มือเบส)” กับ “ใหม่ (มือกลอง)” ก็มีวง พวกเขาเล่นได้ดี หลังจากมือเบสกับมือกลองจบการศึกษาออกไป พวกเราก็ชวนทั้งสองคนมาเล่นกับวงของเรา” เส้นทางสายดนตรีพาก้องและเพื่อนๆ วง “High School” ยกแก๊งไปเรียนนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ด้วยกัน แต่งเพลงกันเองแบบงูๆ ปลาๆ ลองเล่นตามผับตามบาร์ บวกกับรับงานนายแบบถ่ายลงนิตยสารไปด้วยเพื่อเสริมต้นทุน แล้วก็เอาจริงเอาจังกันมากขึ้นด้วยการอัดเพลงใส่ตลับเทปคาสเซ็ตไปยื่นตามค่าย กระทั่งเตะหู “เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์” ที่อยู่แกรมมี่ และก่อกำเนิดวง “นูโว” ที่ต้องมีทั้ง ก้อง, โจ, จอห์น ร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วยพร้อมๆ กัน จึงทำให้ก้องได้โชว์พลังเสียงและเป็นที่รู้จักทั้งในฐานะศิลปินซึ่งเป็นได้ทั้ง “นักร้อง” และ “นักดนตรี” (กว่า 20 ปีบนเส้นทางสายดนตรี "นูโว" วงร็อกที่ไม่เคยตาย) “การที่ผมได้มาเจอเพื่อนๆ นูโวทั้ง 5 คน ไม่ว่าจะเป็น โจ, จอห์น, สุ, ปีเตอร์ และใหม่ เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า? คำตอบที่ได้คือ ผมเชื่อเหลือเกินว่าทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าไม่มีเพื่อน 5 คนนี้ ผมอาจจะไม่ได้เป็นก้อง-สหรัถ ที่ใครๆ รู้จัก จนมีบริษัทสร้างภาพยนตร์และละครติดต่อมาให้ผมไปเล่น ทำให้ผมได้มีโอกาสต่อยอดจากความเป็นก้อง-นูโว มาเป็นก้องในหนัง ในละครอย่างที่เห็น ผมรู้สึกว่าโชคชะตาได้กำหนดให้ผมต้องมาเจอพวกเขา เมื่อพวกเราทั้ง 6 คนมารวมกัน พลังงานของคน 6 คนนี้เท่านั้นที่เมื่อมารวมกันแล้วจะกลายเป็นส่วนผสมของเคมีบางอย่างที่ลงตัวกันพอดี และสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่นักดนตรีคนอื่นๆ ทำในแบบเราไม่ได้ เกิดเป็นนูโวที่ไม่สามารถหาใครมาแทนที่พวกเราได้ ความเป็นนูโวทำให้ผมประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้” (สุภาพบุรุษแห่งวงการที่หลายคนหลงใหล) |
(ขอบคุณข้อมูล: หนังสือ “REAL KONG” โดย แพรวสำนักพิมพ์)
สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ขอบคุณข้อมูล: หนังสือ “REAL KONG” (แพรวสำนักพิมพ์)
ขอบคุณภาพ: Kong Saharat Fanpage
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- “ชีวิตจริงผมก็เหมือนคุณเอื้อ ผู้ชายอบอุ่น” ก้อง- สหรัถ สังคปรีชา
- “Real Kong” ตัวตนจริงๆ ของ “ก้อง-สหรัถ” ผู้ชายอบอุ่นแห่งวงการ
- “ก้อง สหรัถ” เปิดหมดใจ! แฟนโลว์โปรโฟล์เลยอยู่ด้วยกันรอด