เมื่อ “คนมีของ” ทั้ง 12 นาง มารวมตัวกันอยู่ในบ้านหลังเดียว ปรากฏการณ์ “ผู้หญิงฉลาดคิด” จึงเกิดขึ้น ผ่านรูปแบบรายการเรียลีตีทีวี ถ่ายทอดสดทุกมุมกล้อง-ทุกมุมมองของผู้หญิงเก่งแห่งยุค!
พวกเธอคือหญิงแกร่งผู้เหลือรอดจากการคัดเลือกทั้งหมด 21,913 คนทั่วประเทศ คือพลเมืองสาวผู้ขับเคลื่อนสังคมในนามโครงการ “Smart Lady Thailand... ผู้หญิงสวยด้วยความคิด” คือผู้ปิดทองหลังพระ ซ่อมแซมสังคมอย่างเงียบๆ เป็นเวลาถึง 1 ปีเต็ม และวันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะออกมาแสดงพลังให้ได้รู้โดยทั่วกันว่า ผู้หญิงไทยวันนี้มีศักยภาพขนาดไหน เมื่อมาพร้อม “สมอง” และ “สองมือ” เพื่อเปลี่ยนแปลง!!
ไม่สร้างภาพแต่สร้างคน! “Smart Lady Thailand”
“18-35 ปี ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ไม่แบ่งแยกศาสนา ขอแค่เป็นเพศหญิงที่อยากทำงานเพื่อสังคม” นี่คงเป็นเวทีการประกวดความสามารถของสาวงามที่ระบุคุณสมบัติไว้ได้กว้างที่สุดแล้วเท่าที่เคยพบเจอมา ต่างกันตรงที่ว่าเวทีแห่งนี้ผู้เข้าประกวดไม่จำเป็นต้องเดินนวยนาดอยู่ในแสงไฟ ไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำโชว์สัดส่วนเว้าโค้ง ไม่ต้องหวังคะแนนจากความงามของรูปร่างหน้าตา พูดได้เต็มปากว่าตำแหน่งที่ได้มาเป็นเพราะ “ความสามารถของสมอง” อย่างแท้จริง
เมื่อแรกพบ พวกเธอดูไม่ต่างไปจากผู้หญิงทำงานทั่วๆ ไป ปราดเปรียว คล่องแคล่ว ว่องไวในทุกอิริยาบถ กระทั่งปล่อยเวลาให้มีโอกาสทำความรู้จักกันผ่านคำถามปลายเปิดร่วมชั่วโมง จึงค่อยๆ เผยให้เห็นมิติความคิดที่คมคาย มีมุมเอียงอาย ขี้เล่น แต่แฝงไปด้วยความจริงจังอยู่ในที ส่งให้บทสนทนาในครั้งนี้ทอดยาวจนลืมเวลาเพราะเสน่ห์ที่อัดแน่นอยู่ในตัวตนของพวกเธอ
(โบนัส-พรรษสลิล ผู้ชนะเลิศจากสาวแกร่งทั่วประเทศทั้งหมด 21,913 คน)
“ต้องเป็นคนมีของค่ะ” โบนัส-พรรษสลิล รีพรหม ผู้ชนะโครงการ “Smart Lady Thailand” หัวเราะเขินๆ ตบท้ายให้กับคำตอบของตัวเอง จากคำถามที่ว่า “คิดว่ามีคุณสมบัติอะไรในตัวที่ทำให้มั่นใจว่า เราเหมาะกับคำว่า Smart Lady จนตัดสินใจยื่นใบสมัคร?” แล้วจึงขยายความให้ฟังว่า “ของ” ที่หมายถึงนั้นจุดประกายขึ้นมาจากโครงการเพื่อสังคมที่เคยทำช่วงยังเรียนที่คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ รณรงค์เรื่องแก้ไขกฎหมายคนพิการ ให้ทีวีดิจิตอลที่เพิ่งเริ่มผุดขึ้นมาในช่วงนั้นมีช่องภาษามือหรือคำบรรยายเพิ่มขึ้น
“ตอนที่ทำจดหมายเปิดผนึกไปตามช่องสถานีต่างๆ ก็ไม่ได้คาดหวังมากนะคะว่ามันจะส่งผลอะไร แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแรงบันดาลใจที่ดีมากๆ เลยค่ะ เราได้เห็นรอยยิ้มของ “น้องหู (ใช้เรียกกลุ่มน้องผู้พิการทางหู)” เยอะแยะ โบเลยรู้สึกว่า เฮ้ย! เราก็เป็นคนมีของนี่หว่า เราก็พอจะทำอะไรๆ ให้ดีขึ้นได้ เลยคิดว่า Smart Lady ต้องเป็นแบบนี้แหละ คือต้องไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ดูภายนอกแล้วสมาร์ท แต่ต้องมีกำลังใจลงมือช่วยเหลือคนอื่นด้วย พอเครื่องติดมาจากงานก่อน เลยลุยต่อเลยค่ะ”
ประสบการณ์ที่ได้มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม! ปอจู-ฐาณิฎา ตั้งกีรติ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในทีมอีกหนึ่งคน ช่วยส่งเสียงยืนยันอีกแรงว่าระยะเวลา 1 ปีเต็มๆ ของปีที่แล้วที่ได้เป็นตัวแทน “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” คือความทรงจำที่มีคุณค่าชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้ลงไปเห็นด้วยตา-สัมผัสด้วยใจ ไม่มีวันหยั่งถึง
(ปอจู-ฐาณิฎา 1 ใน 12 สาวแกร่งแห่งบ้าน Smart Lady ผู้เก่งเรื่องการจัดการและการป้อนอาชีพ)
“เราอาจจะเคยอ่านข่าวเกี่ยวกับที่นี่ (บ้านฉุกเฉินดอนเมือง สมาคมส่งเสริมสวัสดิภาพสตรี) ว่าเป็นสถานที่รองรับผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกาย แต่พอมาเห็นชีวิตเขาจริงๆ แล้วถึงจะเข้าใจค่ะว่า “โอกาส” มันสำคัญสำหรับพวกเขาขนาดไหน คนกลุ่มนี้เขาหวาดระแวงผู้คนค่ะ กลัวคนมองว่าเขาถูกข่มขืนมา ท้องไม่มีพ่อ สารพันคำพูดจากปากคน การได้ไปที่นี่มันเปลี่ยนมายด์เซ็ตของเราไปเลยว่า เราไม่จำเป็นต้องมองคนจากแบ็กกราวนด์ก็ได้ แต่ ณ บัดนาวเขากำลังเป็นอะไร
ที่จูแฮปปี้มากเพราะเราได้เข้าไปช่วยให้เขาเห็น “คุณค่า” ในตัวเอง เราที่เป็นบุคคลภายนอกได้เข้าไปสอนอาชีพให้เขาทำมาหากินได้ เขาเอาเวลาที่เคยคิดถึงช่วงเวลานั้นไปทำงานแทน รู้สึกเลยว่าถ้าเขาอยากจะทำอะไร เราอยากจะสอนให้เขาทุกอย่างจริงๆ หลังจากจบโครงการ จูยังโทร.ไปถามที่นั่นอยู่เลยค่ะว่าคนในนั้นเขาอยากจะทำอาชีพอะไรกัน เดี๋ยวจะจัดการส่งคนเข้าไปสอน มันรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาหลังจากที่เคยตกนรกมาแล้ว ต่อให้รวยเป็นอภิมหาเศรษฐีก็ไม่มีวันเข้าใจตรงนี้ได้เลย นี่พูดแล้วยังขนลุกเลย (ลูบแขนตัวเอง) อยากให้ไปเห็นจริงๆ”
ถ้าไม่มี “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” คงไม่มีโอกาสให้เหล่าสมาร์ทเลดี้ลงไปคลุกคลีกับชาวบ้านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้ขนาดนี้ สาเหตุนี้เองที่ทำให้ ยุ้ย-กัญญ์ณาณัฏฐ์ ภาธรสืบนุกูล หัวหน้าทีมหญิงแกร่งแห่งโครงการนี้ มองเห็นแง่มุมของคำว่า “โอกาส” ในมิติที่ลึกซึ้งและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
“สิ่งที่เราได้คือโอกาสค่ะ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย ใครจะไปคิดว่าผู้หญิง 12 คน จะได้มีโอกาสมาเป็นไอดอลให้กับเด็กๆ และผู้หญิงที่ลำบากอยู่ตามชนบท ผู้หญิงที่ไม่มีความรู้ คนเหล่านี้จะไม่มีวันมีคลังความรู้ที่จะเดินทางไปหาเขาได้เลย ถ้าไม่ได้เจอพวกเรา ถ้าไม่มีกองทุน เราอาจจะยังเป็นแค่คนทำงานธรรมดาคนหนึ่งที่อยากทำงานเพื่อสังคม แต่ก็ไม่รู้จะไปทำกับใคร แต่พื้นที่ตรงนี้มอบโอกาสให้เราได้ทำเพื่อสังคมได้อย่างเต็มที่ค่ะ ทำโดยไม่มีข้อครหาว่าจะทำไปทำไม ทำเพราะเรามีอุดมการณ์ ทำเพราะเราสบายใจ ทำเพราะเราอยากทำเพื่อผู้หญิง
ไม่มีใครอยากเห็นคนเพศเดียวกันมีชีวิตที่ไม่มีความสุขหรอกค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราสนับสนุนให้ผู้หญิงแข็งกร้าว เราแค่อยากช่วยให้เขาอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน มันคือโอกาสที่พวกเรามีและมันคือสิ่งที่ทำให้เราภูมิใจว่า มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่สามารถสร้างอาชีพให้ตัวเองได้ มีความคิดบวก และพวกเขาคือผลงานของผู้หญิง 12 คนจาก Smart Lady Thailand”
“แม่ไก่” สิ่งที่ประเทศไทยขาดแคลน!
(“โบนัส-ยุ้ย-ปอจู” 3 สาวสวย ตัวแทน "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี" เพื่อสร้างหญิงแกร่งแห่งยุค)
ยอมรับมาเสียดีๆ ว่าบ้านเมืองของเราอ่อนหัดวิชา “พัฒนาทรัพยากรมนุษย์” เป็นอย่างมาก การรวมตัวกันในครั้งนี้ของเหล่าสาวแกร่งจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยจึงเปรียบเสมือนการปลุกให้เหล่านักเรียนผู้อ่อนความรู้เหล่านั้นได้ลุกขึ้นมา “สอบซ่อม” วิชาที่ประเทศหลงลืม ด้วยการเดินตามรอยความรู้ของ “แม่ไก่” ผู้หวังดีทั้ง 12 ตัวเพื่อให้ได้ “ลูกเจี๊ยบ” ที่ไม่เดินหลงทางซ้ำย่ำรอยเดิมอีกต่อไป
“เราทุกคนคือ “แม่ไก่” ค่ะ ต้องสอนให้ “ลูกไก่” เดินและทำอย่างที่แม่ไก่ทำ นี่คือสิ่งที่โค้ชของเราย้ำตลอดตอนที่อยู่ในบ้าน บอกว่านี่คือการสร้างคน Smart Lady คือคนที่จะช่วยสร้างลูกไก่อีกหลายๆ ตัวโดยที่ไม่ต้องคลอดเอง สร้างด้วยการพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาอาชีพ ให้ความรู้ และให้กำลังใจเขา เราสามารถสร้างหลายๆ อย่างในตัวเขาได้อีกหลายมิติเลยค่ะ ตัวแม่ไก่อย่างพวกเราเองก็ต้องระลึกอยู่ตลอดว่าเราอยากจะสร้างลูกไก่หรือ “สร้างคน” แบบไหน
ผู้หญิงบางคนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว บางคนทะเลาะกับสามี เราก็มีกิจกรรมของการคิดบวกเข้ามาช่วยเหลือเขา ช่วยให้เขาสร้างกำลังใจให้ตัวเองค่ะ กำลังใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ถ้าเขาถูกทอดทิ้งก็ต้องทำให้เขารู้ว่าคุณต้องมีกำลังใจสิ! คุณอยู่คนเดียวได้แน่นอน แค่ต้องให้เห็นมุมมองใหม่ๆ ช่วยให้เขาคิดบวก ไม่ใช่ว่าจะให้โลกสวย แต่ให้มองบวกโดยอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง อย่างคนที่ถูกสามีทำร้าย เขาคิดว่าคงอยู่ไม่ไหวแล้ว อยู่ไม่ได้ เราก็บอกว่าอยู่ได้สิ! แต่จะอยู่ยังไง อยู่โดยมีอาชีพรองรับไง อยู่โดยมีกำลังใจให้แก่ตัวเอง อยู่เพื่อลูก หรืออยู่เพื่ออะไร มันยังมีวิธีแก้ปัญหาอีกมากมาย ทั้งหมดนี้คือวิธีที่เรากำลังสร้างลูกเจี๊ยบให้เกิดขึ้นค่ะ”
ในฐานะที่พูดเก่งที่สุดและเป็นผู้ใหญ่ที่สุดแล้วในวงสนทนานี้ ยุ้ยจึงกลายเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนบทสนทนา ช่วยให้การพูดคุยกันในครั้งนี้ไหลลื่นไปได้ด้วยน้ำเสียงระรื่นหู สมแล้วกับอาชีพผู้ประกาศข่าวและพิธีกรประจำสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ที่ทำอยู่ และไม่ลืมปล่อยความเงียบให้น้องในทีมอีกสองคน ผลัดกันเข้ามาคุมจังหวะในบทสนทนาบ้างทันทีที่พวกเธอต้องการ
“ภาพ Smart Lady ที่ออกสื่อมาหลังจบโครงการ ส่วนใหญ่เหมือนแค่เอาเรามายืนทำท่าสวยๆ แค่นั้นจบ ทั้งที่เบื้องหลังจริงๆ แล้วมันเต็มไปด้วยเส้นทางขวากหนามที่ยาวไกลมากเลย” โบนัส บัณฑิตสาวจากรั้วแม่โดมช่วยเปิดประเด็นใหม่ ก่อนแชร์ประสบการณ์ผ่านมุมมองของนักกฎหมายมือใหม่ เพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงคนในชุมชนเท่านั้นที่ได้รับสิ่งดีๆ จากโครงการนี้ แม้แต่เธอเองก็ได้มุมมองใหม่ๆ ที่หาไม่ได้จากที่ไหนแล้วเช่นกัน
(12 สาวแกร่งแห่งยุค “Smart Lady Thailand”)
“ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้เด็กอายุ 22 จะมีโอกาสได้มานั่งสอนคนแก่อายุ 50-60 ปี ที่ประทับใจมากๆ โบเจอที่อุดรฯ ค่ะ ปกติเราไม่ได้คาดหวังมากขนาดนั้นว่าจะมีกลุ่มผู้หญิงผู้ประสบความรุนแรงในครอบครัวกล้าลุกขึ้นมาถามเราจริงๆ แต่วันนั้นที่งานเสวนา ก็มีคุณป้าคนหนึ่งลุกขึ้นมาเล่าว่าป้าถูกสามีตบตี ตอนนี้อยู่ในกระบวนการที่ทางศาลอยู่ แต่ฟังจากที่คุณป้าคนนั้นเล่าเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจค่ะว่าเรื่องมันถึงขั้นตอนไหนแล้ว เพราะป้าพูดเป็นภาษาอีสานแท้ๆ ขนาดว่าท่านอัยการที่ทำงานในพื้นที่และพูดภาษาถิ่นได้ ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ มันเลยทำให้เรามานั่งคิดว่าถ้าไม่ได้มาลงพื้นที่แบบนี้ คงไม่มีใครจับคุณป้าให้มาได้คุยกับท่านอัยการได้ และป้าก็คงไม่รู้ว่าเรื่องของตัวเองมันถึงไหนแล้ว
มันทำให้โบเข้าใจว่าบางทีภาษากฎหมายที่เราเรียนมา ชาวบ้านเขาไม่เข้าใจนะ เราต้องแปลแล้วแปลอีก บางทีแปลเป็นภาษาเข้าใจง่ายๆ ไม่พอ ถ้าอยู่ต่างจังหวัด เราอาจจะต้องแปลเป็นภาษาท้องถิ่นอีก ถ้าไม่ได้มาทำ เด็กผู้หญิงที่เพิ่งเรียนจบ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย ได้ออกนอกรั้วมากสุดก็แค่ค่ายอาสา คงไม่ได้มาเห็นและมารู้ขนาดนี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากที่นี่จะติดตัวเราไปจนตายว่า ต่อไปนี้ฉันจะเป็นนักกฎหมายที่พูดภาษามนุษย์นะ (ยิ้ม) ต้องพูดให้ชาวบ้านเขาเข้าใจง่ายๆ ที่สำคัญ เราได้เห็นความทุกข์ยากของคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสเลยค่ะ ถ้าไม่ได้มาลงพื้นที่แบบนี้”
“ความสวย” หรือจะสู้ “ความคิด”
ถ้าลองให้นิยามคำว่า “สวย” เชื่อได้เลยว่ามีคนจำนวนไม่น้อยคิดถึงเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเป็นหลัก จะมีสักกี่คนกันเชียวที่จะฉุกคิดถึงคำว่า “ผู้หญิงสวยด้วยความคิด” ขึ้นมาได้บ้าง อย่างที่โครงการนี้อยากให้ค่านิยมเหล่านี้แพร่ขยายไปสู่สังคมในวงกว้างให้ได้มากที่สุด ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้สักเท่าใดนัก
“คงต้องปรับค่านิยมกันใหม่หมดเลยค่ะ ก็ในเมื่อทุกวันนี้ เราถูกปลูกฝังมาว่าความสวยมาเป็นอันดับหนึ่ง มาก่อนความฉลาดตลอด” โบนัสเปิดประเด็น ก่อนส่งต่อให้พี่คนโตของทีมอย่างยุ้ยบอกเล่าแง่มุมของตัวเองเสริม
“ทุกวันนี้ ถามว่าเด็กๆ เขาเติบโตมากับอะไร การศัลยกรรม เครื่องสำอาง มันหล่อหลอมเด็กมากับสิ่งเหล่านี้ตลอดจนเขารู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่ดี ต้องไปทำจมูก ไปทำหน้า สามารถทำให้สวยได้ด้วยเครื่องสำอาง เขารับสิ่งเหล่านี้เข้ามา โดยลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือสมองที่เรามี มันเหมือนเป็นค่านิยมของคนในสังคมเราไปแล้วด้วยค่ะ เอาง่ายๆ เลยเวลาเจอเด็ก ผู้ใหญ่ชอบชมว่าน้องสวยจังเลย ไม่ค่อยมีใครชมกันว่าน้องเก่งจัง หรือน้องฉลาดจังเท่าไหร่เลย จริงไหม” ปอจูพยักหน้ารับคำตอบกึ่งคำถามนั้นอย่างเต็มที่ แล้วจึงขอวาดลวดลายความคิดเห็นในแบบของเธอเอาไว้
“เด็กๆ เกิดมาเป็นผ้าขาว แต่สังคมไปสาดสีเทสีให้เขาต้องเป็นแบบนั้น ถ้าจะแก้เรื่องนี้ ผู้ปกครองเองต้องปรับมุมมองใหม่ค่ะ ถึงผู้ใหญ่จะเกิดมาในยุคที่ยกย่องแต่คนสวย เขาก็ต้องทำหน้าที่ปลูกฝังให้เด็กผู้หญิงมีความภูมิใจในตัวเอง เพราะเด็กบางคนทุกวันนี้ไม่มีมั่นใจในตัวเองเลย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วแค่เกิดมาครบ 32 ได้ก็โชคดีกว่าใครแล้วค่ะ ส่วนเด็กผู้ชายก็ต้องถูกบ่มเพาะมาให้ให้เกียรติผู้หญิง ซึ่งอันนี้ก็สะท้อนไปถึงผู้ใหญ่ด้วยว่าเป็นตัวอย่างให้เขาดูแบบไหน เด็กก็จะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ มันคือลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นดีๆ นี่เอง”
หยั่งเสียงดูแล้ว ทุกคนตอบไปในทิศทางเดียวกันว่าทัศนคติผิดๆ ที่ให้ความสำคัญกับ “ความสวย” มาก่อน “ความคิด” นั้น หลักๆ แล้วเกิดมาจากความผิดพลาดของ “สื่อมวลชน” แทบทั้งสิ้น และนี่คือการแสดงความคิดแบบตรงประเด็นจากผู้ชนะการประกวดโครงการ “Smart Lady Thailand” ตัวแทนผู้หญิงฉลาดแห่งยุค
“เวลาเยาวชนไทยได้ฟิสิกส์เหรียญทองโอลิมปิก มากสุดมีข่าวหน้าหนึ่งอันแค่นี้ (โชว์พื้นที่ช่องว่างระหว่างหยิบมือให้ดู) แต่พอได้นางสาวไทย นางแบบโลก ได้กรอบเท่านี้ค่ะ (ผายมือกว้าง) ดาราทำนมหกในงาน ภาพใหญ่มาก แล้วเราจะเรียกร้องอะไรจากเด็ก จะบอกเขายังไงว่าน้องคะ น้องไม่ต้องทำนมค่ะ น้องไปมุ่งฟิสิกส์โอลิมปิกดีกว่า เราจะทำยังไงในเมื่อนมหราอยู่อย่างนั้น”
ท่ามกลางข่าวสารที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ยุคแห่งสังคมออนไลน์ เสพเรื่องราวของผู้คนรอบกายกันอย่างมากมายจนแทบหาตัวตนของตัวเองไม่เจอ โบนัสมองว่าเป็นอันตรายต่ออนาคตของชาติอย่างมาก
“เด็กสมัยนี้โตมาในยุคที่ถูกล้อเล่นกับความเป็นตัวตนเยอะมาก เรามีเฟซบุ๊ก เรามี Social Network Profiling ที่ต้องพรีเซ็นต์ตัวตนออกไปอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้เขาเห่อเหิมไปตามกระแส ไปถือแอร์เมสตามดารา ก็ให้เขารู้จักอยู่กับตัวเองให้มากๆ ใช้หลักพุทธศาสนาเข้ามาช่วยสอน และถ้าอยากให้เขาโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สมาร์ท คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเปิดโอกาสให้เขารู้จักตั้งคำถาม เขาจะได้เป็นเด็กฉลาด ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ว่าอย่าบังคับให้เขาเป็นไปตามความฝันของผู้ปกครองเลย เรามีเด็กมากมายที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นดาราโด่งดัง แต่นั่นเป็นการเอาความฝันของพ่อแม่เอาไปใส่ให้ลูก บางทีเด็กเขาอาจจะอยากโตมาเป็นแค่นักวาดการ์ตูนเล็กๆ น่ารักๆ ก็ได้ ให้เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาเป็นเถอะค่ะ มันคือสิ่งที่ดีที่สุด”
(ยุ้ย-กัญญ์ณาณัฏฐ์ หัวหน้าทีมหญิงแกร่งแห่งโครงการ "Smart Lady Thailand")
ถ้าจะมีเด็กหรือผู้หญิงคนไหนเลือก 1 ใน 3 คนนี้เป็นแบบอย่างของ “ผู้หญิงเก่ง-ผู้หญิงแกร่ง” อยากเป็น Smart Lady ตามแบบฉบับของพวกเธอ ปอจูบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องยาก แค่ต้องเริ่มที่ตัวเราเอง
“ชนะคนอื่นก็ไม่สำคัญเท่ากับชนะตัวเราเอง อันดับแรก เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า เราอยู่กับในโลกที่มีความหลากหลาย ออกไปข้างนอกก็เจอคนอื่นแล้ว ถ้าจะมัวไปคิดแข่งกับเขา ไปมองว่าฉันไม่มีเหมือนเขา มันยิ่งจะวุ่นวาย ให้กลับมามอง ณ จุดที่เป็นเราตอนนี้ดีกว่า มองให้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริง
คนเราเกิดมาต้นทุนต่างกัน แต่เราเลือกที่จะชี้ให้ชีวิตเป็นยังไงได้ ไม่มีใครกำหนดชีวิตเราได้เลยค่ะ เราเท่านั้นที่ทำได้ เพราะเราเป็นเจ้าของร่างกาย เจ้าของลมหายใจ ขอให้ยึดมั่นในความเป็นตัวเอง ภูมิใจ ศรัทธาในสิ่งที่เราเป็น ไม่ต้องไปแก่งแย่งชิงดีกับใครเลย เพราะไม่รู้จะทำไปทำไม ทำแบบนั้น ตื่นมาตัวเองก็แพ้ตัวเองแล้ว จ้องแต่คนอื่นว่าคนนั้นเขาได้ซีแปดแล้ว ฉันยังอยู่เท่านี้อยู่เลย ต้องเร่งให้ได้เท่าเขา คิดแบบนี้ถามว่ามีความสุขเหรอ มันคือความสุขจอมปลอมค่ะ สุขแท้แล้วคือใจเราเท่านั้น”
“ส่วนยุ้ยมองว่าโอกาสสำหรับบางคนมันไม่ได้มีมาบ่อยๆ นะ แล้วเวลาที่มันมีเข้ามา เราต้องอย่าไปตีค่าตัวเองว่าฉันทำไม่ได้ ฉันไม่เก่ง ฉันไม่สวย ฉันไม่นู่นนี่ ฯลฯ ต้องลองค่ะ ต้องทำ แล้วการที่เรามีความมั่นใจลองทำมัน นั่นแหละค่ะคือการเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ต้องไปรอให้ใครมาบอกว่าฉันมีค่าว่ะ แต่ถ้าเราตอบใจตัวเองได้ว่าเรามีค่า ทุกอย่างจะสามารถเกิดขึ้นได้หมด
ถ้าเรารู้จักตัวเอง รู้ว่าเราทำได้แค่ไหน มีอะไรได้แค่ไหน เราก็จะเห็นคุณค่าของตัวเองโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาสะกิดบอกเลย แล้วสิ่งที่เราทำออกมานั่นแหละมันคือคุณค่า โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นถึงที่ 1 ก็ได้ ไม่ต้องเก่งอะไรมากมาย คุณค่ามันอยู่ที่ใจเรานั่นแหละ เรามีความสุขไหมกับสิ่งที่เราทำ มันพอดีกับตัวเองหรือเปล่า มันพอใจกับตัวเองหรือเปล่า หรือมันเกินเอื้อมเกินไป ถ้ามันเกินเอื้อมไป นั่นคือสิ่งที่เราอยากได้หรือเปล่า อาจจะไม่ใช่คุณค่า แต่อาจจะเป็นการไขว่คว้าอะไรก็ไม่รู้ที่เกินกว่าเราจะมีความสุข ถ้าเรารู้จักตัวเอง ทำอย่างที่สามารถทำได้ แล้วคุณจะเป็น Smart Lady และ Smart Man ได้ไม่ยากเลย”
---ล้อมกรอบ---
เพื่อ Smart Man ไม่จำเป็นต้องแกล้งโง่!
“ผู้หญิงเก่งหาแฟนยาก ต้องรู้จักแกล้งโง่บ้าง ไม่งั้นก็เตรียมตัวขึ้นคานทองไว้ได้เลย” ค่านิยมแบบนี้กรอกหูเรามาทุกยุคทุกสมัย ชวนให้เกิดความสงสัยว่าสรุปแล้ว “ผู้หญิงเก่ง” ต้อง “แกล้งโง่” เพื่อให้ได้ครองคู่จริงหรือ? แน่นอนว่าไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีไปกว่าเหล่าผู้หญิงเก่งทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้อีกแล้ว
(แค่ต้องมีความกล้า นี่แหละคือ "Smart Man" ในแบบของ "ปอจู")
“คำว่า “แกล้งโง่” ในที่นี้ จูว่ามันอาจจะไม่ใช่ต้องแกล้งโง่และแกล้งง่อยนะ (ยิ้ม) แต่มันหมายความว่าในการใช้ชีวิตคู่ เราต้องรู้ทุกเรื่องไป เราเก่งคนเดียว ลองไปถามคนที่มีชีวิตคู่หลายๆ คนได้เลยค่ะ เขาจะบอกเลยว่านอกบ้านเราจะเก่งยังไง กลับมาในบ้านเราต้องให้ความศรัทธาในสามีของเรา ให้เกียรติเขา แต่คงไม่ใช่แกล้งโง่แบบนั้นค่ะ
ที่ผู้หญิงต้องทำตัวเองให้เก่ง มันคือการสกรีนส่วนหนึ่งด้วยค่ะ ทุกอย่างมันต้องสมดุลกัน ตัวเราเองคือเครื่องกรองชั้นดีที่จะหาผู้ชายแบบไหนเข้ามาหาเรานะ เราเป็นแบบไหน เราก็จะดึงดูดผู้ชายแบบนั้นเข้ามา จะคบกับใครก็ต้องดูว่าศีลเสมอกันหรือเปล่า วาจาเสมอกันหรือไหม หลายๆ อย่างประกอบกันค่ะ ที่สำคัญต้องให้เกียรติกัน ให้เกียรติครอบครัวของเราด้วยค่ะ
คำว่า “Smart Man” สำหรับจูคือผู้ชายที่ไม่มีความกลัวอะไรเลย กล้าทุกอย่าง เพราะจูมีต้นแบบมาจากทั้งคุณพ่อและพี่ชายอีก 2 คน คำว่ากล้ามันไม่มีที่สิ้นสุดนะ กล้าปกป้องคนที่เรารัก กล้าในสิ่งที่ดีๆ กล้าที่จะให้เกียรติ เพราะถ้าไม่มีความกล้า ต่อให้จะเก่งจะรวยแค่ไหน ถ้าใจไม่สู้มันก็เท่านั้นเอง”
(พูดคุยกันแบบสบายๆ ถามถึง "Smart Man" ในทัศนะของ "ยุ้ย")
“มันเป็นสิ่งที่ผู้ชายคิดไปเองนะว่าผู้หญิงเก่งเกินไป จริงๆ มันไม่ใช่หรอกค่ะ ไอ้ภาพที่คุณเห็นมันคือภาพที่เราต้องพรีเซ็นต์ตัวเองออกมาในมุมของการทำงาน เป็นผู้หญิงกระฉับกระเฉง ทำทุกอย่างต้องรวดเร็ว เลยทำให้ถูกมองว่าผู้หญิงเก่งเข้าถึงยาก คบยากว่ะ และยิ่งไปเจอผู้ชายบางคนที่ชอบเปรียบเทียบตัวเองว่าเขาเรียนน้อยกว่า ทำงานแย่กว่า ใครจะกล้ามาจีบ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปิดใจและลองคุยกันดีกว่า เพราะมุมลึกๆ ของพวกเราก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก ก็มีมุมมุ้งมิ้ง มุมอ่อนแอที่ต้องการผู้ชายมาคอยดูแลเหมือนกัน
สำหรับยุ้ยเราไม่มีสเปกนะว่าอยากได้ผู้ชายแบบไหน น่าจะเป็นคนที่เข้าใจในธรรมชาติของเรา เข้าใจในงานของเรา ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำไมยังโสดอยู่เพราะเราทำงานสื่อ เราไม่มีเวลา มันไม่สามารถฟิกซ์เวลาได้เหมือนงานออฟฟิศว่าจะเลิกเวลานี้ๆ นะ บางทีบอกว่าจะเลิกเวลานี้แต่พอเอาเข้าจริงทำไม่ได้ ความไม่เข้าใจก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือคุณต้องเข้าใจเรา
ที่มากกว่านั้นคือต้องสามารถเป็นคนที่แชร์ความรู้สึกกันและกันได้ค่ะ ยุ้ยให้ความสำคัญเรื่องความรู้สึกเยอะที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึก ความรู้สึกชอบ ความรู้สึกรัก หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าวันหนึ่งเราทุกข์ใจขึ้นมาแต่คนอีกคนไม่รู้สึกด้วย มันจะอยู่ด้วยกันได้ไหม เราไม่ได้ต้องการคนเก่ง ไม่ได้ต้องการคนรวยนะ เพราะเราไม่ซีเรียส เราทำงานได้อยู่แล้ว”
(มองตารู้ใจ คุยกันเข้าใจ แค่นี้กำแพงของ "โบนัส" ก็พร้อมทลายลงทันที)
“บางทีอยู่กัน 2 คน หลอดไฟเสีย ถึงเราทำเองได้ แต่เราอาจจะไม่ต้องเปลี่ยนเองก็ได้ค่ะ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายบ้าง แบบนี้แหละค่ะที่โบว่ามันคือความหมายของคำว่าแกล้งโง่
ถ้าพูดถึงเรื่องความรัก สิ่งที่คุณแม่โบสอนตลอดก็คือถ้าจะแต่งงานหรือจะมีแฟน มีแล้วต้องดีกว่าเดิมนะ เพราะถ้ามีแล้วแย่กว่าเดิมก็ไม่รู้จะมีไปทำไม (ยิ้ม) จะมีให้เปลืองสมองทำไม ส่วนเรื่องสเปก โบให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษามากค่ะ เพราะเราก็เรียนมาในระดับหนึ่ง เราก็อยากได้คนที่คุยกับเรารู้เรื่อง ต้องจูนกันติด และผู้หญิงทำงานส่วนใหญ่จะมีอะไรในหัวเยอะ ทำให้คนที่จะคบกันต้องทำความเข้าใจเคมีอะไรบางอย่างในหัวของเรานิดหนึ่งว่า ช่วงนี้เราต้องการสเปซนะ อาจจะปล่อยเราไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวพร้อมแล้วค่อยคุยกัน
ในบางสถานการณ์ไม่ต้องพูดกันก็ได้ โบชอบคนไหวพริบดีค่ะ มองตากันแล้วรู้กันว่ามันต้องมี something's wrong แล้วว่ะ แล้วก็อยากให้เข้าใจกับความบ้าๆ บอๆ ของโบหน่อย วันดีคืนดีเราอาจจะอยากไปตุรกี เขาไม่ต้องไปด้วยกันก็ได้นะ แต่ขอให้เข้าใจว่าเราจะไปแล้วนะ (หัวเราะ) บางทีอาจจะไม่ได้โทร.หาตลอด แต่ให้รู้ว่ายังรักอยู่นะ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้มีสเปกอะไรสูงมากหรอกค่ะ แค่คุยกันแล้วคลิก กำแพงทุกอย่างมันก็พร้อมจะพังทลายลงมาได้หมด”
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: จิรโชค พันทวี
ขอบคุณข้อมูล: แฟนเพจ "Smart Lady Thailand"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754