จากเป็นโรคโลหิตจาง สุขภาพไม่ดี กลัวนู่นนี่ ท้อแท้ง่าย เลิกล้มความตั้งใจหลายๆ อย่างในชีวิตอยู่บ่อยๆ มาวันนี้เธอกลับเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคนเมื่อได้ค้นพบ “โลกแห่งการเพาะกล้าม” ที่นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยให้จิตใจแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย เชื่อมั้ยว่าทุกวันนี้เธอเล่นท่ายากได้ครบทุกท่า เทียบชั้นผู้ชายเล่นกล้ามได้แบบไม่อายใครเลยล่ะ!
ร้องไห้หนักมาก ขอจัดหนักแบบผู้ชาย!
“ฟาง-พีชญา เชาวลิต” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจะมีรายชื่อของเธอคนนี้อยู่ในแวดวงการเพาะกล้าม ถึงกับว่าจ้างเทรนเนอร์ระดับโลกมาสอนเล่นอัพเลเวลให้ได้มาตรฐานเท่าเทียม “ผู้ชายเล่มกล้าม” แบบจริงๆ จังๆ เห็นแล้วหลายคนถึงกับอ้าปากเหวอไปตามๆ กัน เพราะลุคเดิมของเธอที่หลายๆ คนรู้จักคุ้นเคยคือสาวหวานบอบบาง แต่มาวันนี้กลับต่างออกไปราวฟ้ากับเหว
“ไหน... ไม่เห็นจะมีกล้ามขึ้นชัดอย่างกลุ่มคนเพาะกายเลย?” หลายคนอาจสงสัยอย่างนั้นเมื่อได้ยินคำร่ำลือว่าเธอกำลังฟิตหุ่นเล่นกล้าม อันนี้ขอบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดเล็กๆ เพราะจริงๆ แล้วฟางไม่ได้ทุ่มตัวลงเล่นถึงขั้นเพาะกล้ามที่เรียกกันว่า “Body Building” แต่แค่ลุกขึ้นมาเพิ่มน้ำหนัก ควบคุมอาหาร สร้างมวลกล้ามเนื้อจากกีฬาชนิดนี้ที่มีรากฐานมาจากการเพาะกายต่างหาก หรือที่เรียกกันว่า “Weight Training” แบบที่ดาราสาวฮอลลีวูดหุ่นฟิตเปรี๊ยะหลายๆ รายทำกัน
แน่นอนว่าผู้หญิงที่ต้องขายความสวย รับบทตัวละครหลักอยู่หน้ากล้อง ต้องเลือกที่จะมีกล้ามแบบพอดีๆ เซ็กซี่นิดๆ ถึงจะเข้ากับอาชีพที่ทำอยู่ และแบบนี้แหละคือลุคใหม่ของเธอที่กำลังกระชากใจชายไทยให้เต้นตูมตามไปพร้อมๆ กัน ทุกวันนี้ฟางต้องคุมตัวเองให้เข้าฟิตเนสไปเล่นอย่างน้อยๆ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง เพื่อสร้างสัดส่วนทั้งช่วงล่างและช่วงบน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณแผงไหล่ที่เธอหลงใหลอยากได้
บอกเลยว่าตอนแรกที่เริ่มๆ เล่นก็กล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกันว่ากล้ามจะขึ้นชัดเจนเกินไปจนเป็นลูกๆ เหมือนนักกีฬาเพาะกาย แต่พอได้รับความมั่นใจได้ว่าไม่มีวันล่ำขนาดนั้น เธอจึงขอเทรนร่างกายแบบเต็มสตรีมให้เท่ากับที่ผู้ชายเทรนกันไปเลย!
“ความคิดแรกสุดเลยคือกลัวมีกล้ามค่ะ กลัวไม่สวย จนกระทั่งได้เจอเทรนเนอร์ที่เป็นโปรเฟสชั่นนัลหลายคน เขาบอกเราเลยว่าไม่ต้องกลัว เพราะธรรมชาติของผู้หญิงกับผู้ชายที่เล่นจะต่างกัน ผู้ชายจะกล้ามขึ้นง่ายกว่า แล้วเขาก็บอกให้ฟางลองเทรนให้หนักๆ เอาแบบเต็มที่สุดๆ ไปเลย แล้วมาดูกันว่าจะมีกล้ามขึ้นหรือไม่มี ฟางก็เลยลองเทรนดูค่ะ แบบเต็มที่เลย เทรนหนักมากๆ ผลก็คือกล้ามมันก็ไม่ได้ขึ้นเป็นลูกๆ อย่างที่เรากลัว อาจจะให้เห็นแค่เป็นไลน์เบาๆ แต่ไม่ได้เป็นกล้ามหนักเหมือนผู้ชายที่เพาะกาย ฟางก็เลยรู้ว่าทำยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแบบนั้น ก็เลยไม่กลัวแล้วค่ะ
กลายเป็นว่าตอนนี้พอยิ่งเล่น ยิ่งคิดว่าจะทำยังไงก็ได้ให้มันมีกล้ามมากกว่า ก็เลยบอกเทรนเนอร์ว่าฟางขอเทรนทุกอย่างเหมือนผู้ชาย ฟางอยากได้ช่วงก้นกับต้นขาให้ใหญ่ขึ้น แล้วก็อยากมีไหล่ แล้วฟางก็เสริมไปอีกนิดนึงด้วยค่ะว่าฟางอยากเทรนแบบผู้ชาย คือเราไม่ได้ต้องการมีบอดี้เหมือนผู้ชายหรอกนะคะ แต่ฟางรู้สึกว่าอยากจะเทรนท่าที่ใช้กล้ามเนื้อทุกอย่างให้เหมือนผู้ชาย เพราะฟางอยากได้ทั้งตัวค่ะ แต่เราก็ต้องแลกกับเวลาที่มากขึ้น และเรื่องการกินอาหารก็ต้อง Strict มากกว่าผู้หญิงทั่วไปด้วย คือเน้นรีดไขมันออกไป ให้ได้กล้ามเนื้อที่เยอะและชัด จะได้เห็นไลน์กล้าม แล้วก็ช่วงแผงไหล่ที่ฟางอยากได้มากๆ พอเราทำท่าทุกอย่างได้หมดแล้ว เราเลยเขยิบไปเทรนท่ากล้ามเนื้อแบบผู้ชายค่ะ”
Angelina Jolie, Jessica Alba และ Cameron Diaz คือซูเปอร์สตาร์หุ่นเช้งวับระดับโลกที่ฟางชื่นชอบ โดยเฉพาะนักเพาะกายหญิงผู้เข้าแข่งขันในเวที International Federation of Bodybuilding and Fitness (IFBB) ที่เป็นแรงผลักสำคัญให้ฟางหันมาทุ่มเรื่องการเทรนร่างกายเต็มร้อย “ช่วงแรกๆ เข้าฟิตเนสทุกวันเลยค่ะ วันละ 3-4 ชั่วโมง” เธอบอกอย่างนั้น และแน่นอนว่าโค้ชของเธอต้องไม่ธรรมดา เป็นถึงปรมาจารย์ชื่อดังระดับโลกนามว่า “Gary Strydom” ผู้แข่งขันเพาะกายระดับโลกรุ่นเดียวกับ “Arnold Schwarzenegger” เลยทีเดียว ที่สำคัญ ไม่ใช่ว่าเขาคนนี้จะสอนทุกคนได้ง่ายๆ แต่ต้องมีคุณสมบัติ “อึด” และ “ถึก” มากพอ อาจารย์หุ่นล่ำรายนี้จึงจะรับเป็นศิษย์
(ลูกศิษย์กับ “Gary Strydom” โค้ชชื่อดังระดับโลก)
“เวลาเขาไม่บอกให้หยุด ห้ามหยุด สมมติเขาบอกว่าให้ Push นะ เราก็ต้องถีบเครื่องต่อไป ถ้าเขาไม่บอกว่า Stop ก็ห้ามหยุด เขาจะดูใจเราเลย” เอเอ-พีรวัชร์ เหราบัตย์ ซึ่งมีข่าวว่ากำลังคบหาดูใจกับฟาง และนั่งอยู่ถัดไปไม่กี่เก้าอี้ส่งเสียงช่วยเสริม ก่อนปล่อยให้เจ้าของเรื่องอธิบายต่อด้วยตัวเอง
“เทรนเนอร์เป็นเหมือนพาร์ตเนอร์ที่คอย Push เราให้เราไปได้ไกลกว่าเดิมค่ะ ไหน ยกอีก 2 ครั้ง-อีก 3 ครั้ง สิ แต่ถ้าเป็นเทรนเนอร์ประเภทตามใจคนเล่น จะไม่เหมาะกับฟางค่ะ เพราะฟางชอบเทรนเนอร์สายบังคับคนฝึกมากกว่า ถ้าเทรนเนอร์คนไหนตามใจฟาง ฟางจะไม่เทรนด้วย เพราะมันไม่ได้ช่วยให้เรามีพัฒนาการอะไร ถ้าสมมติ เขาบอกต้องปั่นจักรยาน 30 นาที แล้วเราขอเขาว่าขอ 20 นาทีได้มั้ยคะ เหนื่อยจังเลย แล้วถ้าเขาอนุญาต เขาตามใจเรา ฟางก็จะไม่เอาดีกว่า เพราะฟางอยากได้คนที่เขาบังคับเรามากกว่า
ทุกครั้งที่มีเทรนเนอร์ใหม่เข้ามาดู ฟางจะใช้เวลาเทสต์เขาประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนว่าเขาโอเคกับความเป็นเรามั้ย ตามใจหรือเปล่า หรือบังคับ ส่วนทางฝั่งเทรนเนอร์ก็จะเทสต์เราเหมือนกันค่ะ เขาจะดูว่าเรามีความตั้งใจในการเทรนแค่ไหน ถ้าเหยาะแหยะ Say No ตลอดเวลา เขาก็ไม่เทรนให้
ทุกครั้งที่เทรนกับเขา ถึงเราจะบอกไม่ไหวๆ แต่เขาจะยังไม่ให้หยุดค่ะ เพราะเขาจะอาการของเราจากกล้ามเนื้อ จากหน้าตา จากเส้นเลือดที่ขึ้นได้เลยค่ะว่าเราไหว-ไม่ไหว และเขาจะช่วยเราได้อยู่แล้ว และน้ำหนักที่ให้ใส่เล่น เขาจะคำนวณไว้อยู่แล้วว่าเขาจะช่วยไหว สมมติว่าถ้าเราหมดแรงไปจริงๆ ยกไม่ไหวแล้ว เขาจะสามารถยกช่วยเราได้ทันที และตัวเครื่องเล่นแบบนี้มันก็เซฟพอประมาณอยู่แล้วด้วย เขาก็เลยจะดูใจเราว่าเราอึดพอมั้ย
อย่างฟางปั่นจักรยาน เขาบังคับให้ฟางปั่น 1 ชั่วโมง ให้ปั่นแบบถอดเก้าอี้ออกด้วยนะคะ บอกเลยว่าคุณห้ามนั่ง ต้องปั่นไปอย่างนั้น 1 ชั่วโมง หยุดไม่ได้ ปั่นไปน้ำตาไหลไป ร้องไห้เลยค่ะ มันไม่ได้ถึงกับปวดกล้ามเนื้อ เจ็บจนต้องร้องไห้นะ แต่เรารู้สึกเหมือนเราจะเป็นลมน่ะค่ะ มันเหมือนรู้สึกท้อด้วยค่ะ รู้สึกว่าทำไมเราต้องมาเจ็บตัวอย่างนี้ด้วยวะ
ตอนแรกที่เริ่มเทรน เขาต้องรู้ก่อนว่าฟางกินอะไรบ้างวันๆ นึง ต้องส่งอาหารให้ดูหมด ไลฟ์สไตล์ทำอะไร เขาจะรู้เกี่ยวกับเราหมด จะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์เราเลย ตอนเทรนเราจะบอกเขาตลอดว่า ฉันไม่ไหวแล้วนะ ฉันจะหยุดแล้ว แต่เขาก็จะย้ำตลอดว่า No, You can do it! ห้ามหยุดนะ คุณทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ คุณก็ต้องทำได้ เราก็ปั่นไปน้ำตาไหลไป แล้วมันจะโอเค คุณต้องผ่านไปให้ได้ สุดท้าย น้ำตาเราที่ไหลออกมา มันเลยเป็นน้ำตาแห่งความเหนื่อย ความท้อ แล้วก็ความตื้นตันด้วยค่ะ เพราะพอปั่นเสร็จ เราก็รู้สึกว่าเราทำได้”
สร้างกล้ามเนื้อ-เสริมจิตใจ ไม่เหลือความอ่อนแอ!
จาก “45 กก.” ขึ้นเป็น “53 กก.” ฟางย้ำชัดว่าตั้งใจเทรนเพื่อเพิ่มน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า จากแต่ก่อนเป็นคนร่างกายอ่อนแอ ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง รับประทานอาหารไม่ค่อยมีประโยชน์ เน้นกินแต่แป้งและขนมปัง แต่ทุกวันนี้ไลฟ์สไตล์การดูแลตัวเองของฟางเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
“ทุกอย่างเราเหมือนเดิม ไซส์ยังเท่าเดิม ตอนแรกฟางกลัวมากเลยนะคะว่าจะฉุ พี่เอก็กลัว ทักใหญ่เลยบอก เฮ่ย! ฟาง อ้วนไปแล้วๆๆ (ยิ้ม) พอน้ำหนักไปแตะ 49-50 กก. มันรู้สึกว่า เฮ่ย! น้ำหนักมันขึ้นมาเร็วมากภายในเวลาไม่ถึงเดือน เพราะว่ากล้ามเนื้อเราเพิ่มขึ้น
จากตอนแรก เพิ่มน้ำหนักเข้าไปให้ฟูๆ แล้วค่อยมาลดน้ำหนักลงมา แต่การไดเอตให้ลดด้วยวิธีนี้ เป็นการลดด้วยการกินอาหารคลีนนะคะ คือจะตัดน้ำตาล-ตัดแป้งออก
ถ้าดูใน IG จะเห็นเลยว่าจะมีบางช่วงที่ฟางดูมีกล้าม หรือบางช่วงกล้ามหายไป มันมาจากสาเหตุนี้แหละค่ะ ถ้าช่วงไหนกล้ามชัดขึ้นมา แสดงว่าเราอยู่ในช่วงตัดน้ำ-ตัดโซเดียม-ไดเอต อันนี้คือสิ่งที่โค้ชเขาอยากให้เราลอง เป็นสเตปที่เพิ่มระดับขึ้นไปเรื่อยๆ มันเลยทำให้ฟางรู้สึกว่า ฟางทำหนักมากแล้ว ฟางยังได้แค่นี้ เวลาเห็นผู้หญิงที่เขาแข่งเพาะกาย ยิ่งรู้สึกเลยว่าใจเขาต้องได้จริงๆ และต้องมีระเบียบ มีวินัยมากๆ ด้วย”
นอกจากความแข็งแรงทางร่างกายที่ได้มา ที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือเรื่องความแข็งแกร่งของจิตใจ ทำให้ตัวตนภายในของฟางค่อยๆ เปลี่ยนไป จากเด็กสาวที่ทนอยู่กับอะไรไม่ได้นาน ท้อแท้ง่ายๆ พอได้ผ่านบททดสอบอันหนักอึ้งจากการเทรนแล้ว กลับทำให้เธอเป็นหญิงเหล็กพร้อมต่อสู้กับอะไรๆ หลายอย่างได้มากขึ้นไปโดยปริยาย
“พอเรามาเล่นกีฬานี้แล้ว ฟางวัดจากตัวเองเลยว่าทุกวันนี้เฮลท์ตี้มากขึ้น แต่อาจจะมีความรู้สึกหน้ามืดบ้างจากภาวะการพักผ่อนน้อย มีวิงเวียนบ้าง และเจอกับความเครียดเยอะ แต่พอมาฝึกแล้ว ที่ฟางชอบมากๆ อย่างนึง เป็นสิ่งที่เราได้จากกีฬาชนิดนี้เลยคือ เวลาเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มันบีบคั้น เครียด ฟางจะรู้สึกตอนแรกว่าทำไม่ได้แน่เลยอะ วันนี้นัดตั้งแต่ 6 โมงเช้า ต้องถ่าย 30 ซีนจนถึงตี 5 ทำไม่ได้แน่ๆ เลยอะ มันจะมีความรู้สึกแบบนี้เป็นประจำ เพราะเป็นดาราจะเจอบ่อยมากค่ะสถานการณ์แบบนี้ เขาบอกจะขอถ่ายถึงเช้าเลย
หรือบางรายการบอกว่าต้องเข้าป่านะ 3 วัน จากที่แต่เดิมฟางเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว จะคิดตลอดว่า เฮ่ย! ทำไม่ได้แน่เลย แต่พอเราลองไปฝึกแล้ว มันจะเหมือนเตือนตัวเองขึ้นมาให้นึกถึงความรู้สึกตอนปั่นจักรยานน่ะค่ะ ตอนนาทีที่ 30, นาทีที่ 45, นาทีที่ 50 ฯลฯ มันจะผุดขึ้นมาในสมองทันทีเลย
โดยเฉพาะนาทีที่ 45, นาทีที่ 50 นี่เป็นอะไรที่หนักสุดๆ แล้วค่ะ เป็นตอนที่เราคิดว่าไม่ไหวแล้ว อยากนั่งมาก อยากหยุดมาก ความรู้สึกนั้นจะขึ้นมาเตือนเราเลยว่า ไม่ไหวแล้ว หรือตอนที่ฟางสคอต (Squat) เอาน้ำหนักมาวางบนบ่า แล้วเราก็ต้องยกขึ้นไปจากท่านั่ง ฟางจากความรู้สึกตอนนั้นได้ว่า เราเคยสคอตได้สูงสุด 100 กก. จำได้ว่าน้ำหนักมันมากดอยู่ที่เราทั้งตัว มันไม่ไหวแล้ว แต่เราต้องไปให้ได้ พอเราไปฝึกบ่อยๆ ได้เจอกับการฝืนแบบต่างๆ
ฟางว่ากีฬานี้เหมาะกับคนที่ชอบทรมานร่างกายตัวเองค่ะ (หัวเราะเบาๆ) ชอบความเจ็บปวด ชอบอะไรที่โหด อาจจะฟังดูไม่ค่อยดีแต่มันเป็นความสนุกที่อยู่บนความเจ็บปวดนั้นน่ะค่ะ ถามว่ากลัวมั้ย กลัวนะ มันเจ็บมั้ย เจ็บนะ แต่รู้สึกว่าอยากทำ เพราะทุกครั้งที่เราเลยความเจ็บปวดนั้นมาแล้ว เราจะมีความรู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในด่านนั้นแล้ว เราทำได้แล้ว
พอทุกครั้งที่เราท้อ ความรู้สึกจากการฝึกตรงนี้มันก็จะเข้ามาช่วยเราค่ะ เหมือนกับเราจะเตือนตัวเองว่า เออ... จำวันที่เราสคอต 80-100 กก.ดูสิ มันแย่แค่ไหน เรายังผ่านมาได้เลย หรือตอนที่เล่นอะไรเซตสุดท้ายแล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว เราจะมีความรู้สึกแบบนี้ไว้เตือนเราตลอด มันเหมือนร่างกายเราจำความรู้สึกตรงนั้นได้ และนี่แหละค่ะที่ทำให้ฟางชอบกีฬานี้”
(สลัดคราบสาวหวานบอบบางไปหมดสิ้น)
ย้อนกลับไปในวันที่ยังไม่ค้นพบความแข็งแกร่งในตัวเอง ฟางคือเด็กน้อยคนหนึ่งที่เรียกได้ว่า “ขี้กลัว” และไม่เคยมีความมั่นใจในการตัดสินใจเรื่องอะไรเลย
“ท้อง่าย ท้อทุกเรื่อง (พูดไปยิ้มไปแบบเขินๆ) แล้วก็เป็นคนขี้กลัวมาก กลัวทุกอย่างเลย และเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเรื่องการตัดสินใจเลย เวลาเจอสถานการณ์อะไรยากๆ จะรู้สึกว่าทำไม่ได้แน่เลย จะทำได้มั้ยวะ แบบนี้ตลอดเลย จะเป็นคนลังเลตลอด ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ๆ เลย
ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ฟางจะไม่ใช่เด็กเฮลท์ตี้เลยค่ะ เป็นคนไม่ชอบกีฬาทุกชนิด ไม่ออกกำลังกาย เป็นเด็กเรียนมากกว่า ชอบดนตรี ชอบนั่ง ชอบคอมพ์ ชอบคณิตศาสตร์ แต่วิชาพละ-ลูกเสือไม่เอาเลย เป็นเด็กนั่งอยู่ในห้อง ถ้ามีกีฬาสีก็จะเป็นดรัมเมเยอร์ เชียร์หลีดเดอร์
เคยมีลงแข่งกีฬาบ้างเหมือนกันนะคะ แต่แข่งแล้วเราแพ้ทุกแมตช์เลย (หัวเราะ) เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่เราแล้วล่ะ เคยมีวิ่งผลัดด้วยค่ะ ตอนเด็กๆ จำได้เลย ตอนอนุบาล 2 ว่าทีมเรา เขาวิ่งกันมาดีหมดทุกคนเลย นำมาหมดเลย เหลือเราไม้สุดท้าย คิดว่าคงชนะแล้ว แต่ปรากฏว่าเรากลายเป็นคนก่อนที่โหล่ เลยจำฝังใจเลยว่าเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
พอไปเรียนเทนนิส มือถลอกเราก็เลิกเรียน จบ คือที่บ้านให้ลองเรียนทุกอย่างค่ะ แต่พอไม่ชอบ เราก็หยุด พอโตขึ้นเลยทำให้รู้สึกว่าเป็นเพราะเราไม่มีคนช่วย Push ตอนนั้น พอเจออุปสรรคอะไร เราก็จะยอมแพ้ไปหมดเลย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฟางไม่ได้เกิดมาในครอบครัวกีฬาด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เล่นกีฬา ก็เลยไม่ค่อยกดดันเราเรื่องนี้ แต่เขาจะไปทางดนตรี-เสียงเพลง ถ้าเป็นเรื่องนี้จะพยายามให้เราทำให้ได้ ฟางก็เลยได้เรียนเปียโน-อิเล็กโทนค่ะ แต่เล่นไปร้องไห้ไปนะเพราะว่าโดนกดดันให้ต้องเล่นๆ และสุดท้ายเราก็เล่นได้และทำได้ดีด้วยนะคะ แต่พอเป็นกีฬา ทำไม่ได้แล้วก็ไม่มีใครมากดดันให้เราต้องเป็น
หรืออย่างละครทุกเรื่องที่เล่นมา จะรู้สึกตลอดว่าถ้าเล่นเรื่องนี้เราจะเป็นตัวถ่วงมั้ย เป็นคนคิดเยอะแล้วก็เครียดมากค่ะ พอเราได้ไปฝึกอะไรอย่างนี้เลยช่วงเราได้มาก โยคะด้วยค่ะ โยคะก็ช่วยเรื่องการสงบจิตใจได้มากเลย ทุกวันนี้ฟางก็ยังเล่นโยคะอยู่ด้วยค่ะ ทั้งหมดนี้มันทำให้ความรู้สึกในตอนที่เราเจอสถานการณ์ยากๆ ที่คิดว่าเราจะทำไม่ได้ เรากลับทำมันได้ในตอนสุดท้าย และทุกครั้งที่ทำได้ โค้ชที่ดูเราเขาก็จะบอกว่า เห็นมั้ย คุณทำได้ แบบนี้ตลอดเลย เสร็จจากนั้นก็จะบอก Next Level เลย เพิ่มน้ำหนักอีก 10 กก. เราก็จะ หา! (อ้าปากค้าง) เมื่อกี๊จะทำไม่ไหวอยู่แล้ว จะให้เพิ่มน้ำหนักอีกเหรอ เขาก็จะบอกว่าเราทำได้ๆ ตลอด มันเลยทำให้เราอยากจะพัฒนาไปเรื่อยๆ
ฟางรู้สึกว่ากีฬานี้มันเป็นกีฬาที่เราต้องเล่นกับตัวเอง ทุกอย่างอยู่ที่ใจหมด ฟางจะวางน้ำหนักลงเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฟางเป็นคนถือ หรือฟางจะหยุดปั่นจักรยานเมื่อไหร่ก็ได้ มันไม่เหมือนกีฬาชนิดอื่นที่มีคู่ต่อสู้เล่น ให้เรารู้สึกว่ากำลังแข่งขันอยู่ แต่อันนี้มันเป็นกีฬาที่อยู่กับตัวเอง สันโดษ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ยก เราต้องบอกตัวเองว่าเราต้องไปให้ได้ ฟางรู้สึกเหมือนว่าทุกครั้งที่ฝึก เราได้ฝึกใจตัวเอง ฝึกความกล้า ที่สำคัญคือ ทุกครั้งที่ปั่นคาดิโอเป็นเวลา 1 ชั่วโมงมันทรมานมาก แต่จะรู้สึกเลยว่าถ้าทำไม่ได้ ชีวิตนี้คงทำอะไรไม่สำเร็จแน่นอน
สมมติว่าจะยก 10 ครั้ง ตั้งเอาไว้อย่างนั้น แต่พอยกไปครั้งที่ 5 ครั้งที่ 6 ใจมันจะบอกเลยว่า “ไม่-พอ-วาง” ฟางคิดว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นแหละค่ะ พอวางแล้วก็คิดว่าไหน เอาใหม่ๆ ตั้งไว้ 10 ครั้งเหมือนเดิม พอครั้งที่ 6 เริ่มเจ็บ เริ่มเหนื่อย บอกว่าไม่ไหวละ วางเหมือนเดิม เป็นแบบนี้อยู่ช่วงนึง เลยทำให้คิดว่าตายละ... ชีวิตนี้คงทำอะไรไม่สำเร็จ เราเลยรู้สึกว่าเราต้องฝึกอะไรแบบนี้ทุกวัน ฝึกจนกว่าเราจะทำได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้ คือเป้าหมายมีเท่าไหร่ เราต้องไปให้ถึง”
ความฝันสูงสุด “ผู้พิพากษาสาวเจ้าเสน่ห์”
ทุกวันนี้ฟางยังพร้อมรับความท้าทายใหม่ๆ ในวงการเสมอ ล่าสุดกับละครเรื่อง “เล่ห์รตี” ซึ่งเธอรับบทเป็น “อิศยา” นางร้ายมีหัวคิด มีวิธีจิกกัดอันชาญฉลาด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีคาแรกเตอร์ที่ท้าทายและน่าสนใจสำหรับฟาง และในบางมุมของตัวละครตัวนี้ก็สะท้อนความเป็นตัวเธอออกมาได้เช่นกัน
“ฟางว่าที่เหมือนๆ กันอาจจะต้องที่ตัวละครตัวนี้เป็นคนกวนๆ อิศยาเขาดูเป็นผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถ้าคุยกับแม่สามีจะกวนประสาทเบาๆ ไม่หยาบคายแต่จะจิกกัด เป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมใคร แต่เขาไม่พูดว่าเขาไม่ยอม ตรงนี้แหละค่ะที่น่าจะเป็นเหมือนกัน เถียงแบบสุภาพๆ ให้รู้ว่าไม่ยอมนะ หรือถ้าจะใช้คน ต้องการอะไร เขาจะมีวิธีการสั่งคนในประโยคนั้น แต่ไม่ได้บอกว่าไปเอามาให้หน่อย แต่เขาจะมีวิธีการทำให้ได้สิ่งที่ต้องการมา ก็เลยรู้สึกว่ามันสนุกดี มีมิติไปอีกแบบหนึ่ง”
ที่ท้าทายยิ่งกว่านั้น เธอกำลังถ่ายทำเรื่อง “I'm sorry, I love you” ซีรีส์เรื่องดังซึ่งซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทำใหม่ในเวอร์ชันไทย ฟางได้รับเล่นเป็นผู้หญิงวัย 24 ที่ประสบอุบัติเหตุสมองกระทบกระเทือน ทำให้พัฒนาการความคิดความอ่านกลับไปเป็นเด็กอายุ 7-8 ขวบอีกครั้ง และนี่แหละคือการแสดงแบบ “น้อยแต่มาก” ที่สุดในชีวิตการแสดงของเธอเคยเจอมา
“จากปกติ ถ้าฟางไม่แสดงเป็นนางทาส ก็จะเป็นผู้หญิงเปรี้ยว หรือเป็นคนดี เรียบร้อย หรือนางร้ายก็มี เล่นเกือบครบหมดแล้ว เพิ่งมีบทนี้แหละค่ะที่ฉีกออกมา ถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของฟางเลย มันทำให้ฟางต้องไปดูยูทิวบ์เยอะมากว่าคนที่เป็นแบบนี้มีพัฒนาการยังไง คือในเรื่องเราจะหน้าตาปกติ แต่ความคิดความอ่านจะเป็นเด็ก ฟางก็ต้องไปศึกษาว่าเด็กกลุ่มนี้ในชีวิตจริงเขาทำอะไรกัน เวลาเขาระบายสี เขาจะมีลักษณะยังไง เพื่อที่จะได้จำคาแรกเตอร์ของเด็กๆ มาเก็บไว้กับเรา
ในเรื่องพูดน้อยค่ะ แต่แอกชั่นเยอะมาก คือในซีนนั้น ตัวละครนี้ไม่มีบทพูด แต่ต้องทำนู่นนี่อยู่ตลอดเวลา มันเลยจะยาก ไม่งั้นมันจะกลายเป็นเดตแอร์ไม่รู้จะพูดอะไร มันจะคล้ายๆ กับการอิมโพรไวส์ที่เราไม่ถนัด แต่พี่ผู้กำกับเขาก็ช่วยเราได้เยอะค่ะ เขาบอกว่าให้คิดว่าตัวนี้อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง”
ลองให้ตัดตัวตนในวงการมายาทิ้งไป “ผู้ผดุงความยุติธรรม” คืออีกหนึ่งเป้าหมายที่ฟางฝันไว้ว่าอยากไปให้ถึง และนี่คือเหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้เธอเลือกที่จะเป็นบัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวางแผนไว้ว่าจะสอบ “เนติบัณฑิต” เพื่อประกอบอาชีพทนายความ, อัยการ และตำแหน่งสูงสุดอย่างผู้พิพากษา ในอนาคต
“ตอนแรกฟางเรียนที่เตรียมอุดม แล้วก็เอนท์ทรานซ์ ได้ที่ นิติ ธรรมศาสตร์ค่ะ เรียนหนักเหมือนกัน แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี เพราะเราเป็นคนค่อนข้างใส่ใจการเรียน แต่ไม่ถึงกับเป็นเด็กหน้าห้องนะคะ อยู่หลังห้อง (ยิ้ม) เป็นคนที่จะตั้งใจเรียนเฉพาะตอนที่อยากจะตั้งใจ (หัวเราะ) ในห้องจะเป็นคนเรื่อยๆ แต่ฟางจะมาอ่านหนังสือเอาเองทีหลัง คือจุดที่เราจะตั้งใจ เราจะตั้งใจมาก แต่ก็เป็นคนสมาธิสั้นเบาๆ ด้วย เลยทำให้ช่วงไหนตั้งใจมาก ก็จะตั้งใจมาก แต่ช่วงไหนอยากจะเที่ยวเล่น ออกกำลังกาย เดินห้างฯ เราก็จะทำ ก็เลยกลายเป็นคนชอบแบ่งเวลาทำหลายๆ ส่วนตั้งแต่เด็กๆ
ที่เลือกด้านนี้ อาจจะเป็นเพราะชอบนิติมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้วค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวอะไรกับกฎหมาย แต่ในบรรดาคนในครอบครัวจะไม่มีใครทำงานด้านกฎหมายเลย มีคนเรียนกฎหมายหลายคนนะคะ แต่ไม่มีใครต่อยอด จบนิติศาสตร์แต่ไปทำธุรกิจของตัวเอง ทำบัญชี วิศวกร ฯลฯ เลยรู้สึกว่าไม่มีใครทำตรงนี้โดยตรง ฟางชอบตรงนี้ด้วยเลยรู้สึกน่าสนใจเลยเลือกเอนท์ค่ะ
ทุกวันนี้ฟางก็คิดที่จะต่อยอดด้านนิติอยู่เหมือนกันนะ แต่คงเป็นโปรเจกต์ที่ทำหลังจากทำงานวงการบันเทิงเรียบร้อยแล้ว เพราะตอนนี้ฟางเองก็เรียนโท นิติ ธรรมศาสตร์เหมือนกัน เลยคิดว่าอาจจะสอบเป็นทนาย ยังไงก็ไม่ได้คิดจะทิ้งทางนี้ค่ะ”
วงการบันเทิงสำหรับฟางแล้ว เป็นเหมือนโอกาสที่ได้รับมาแบบจับพลัดจับผลูมากกว่า ซึ่งเริ่มจากการเข้าประกวดในเวที Miss Teen Thailand ตามเสียงเชียร์ของคุณป้า จนได้เข้าวงการด้วยวัยเพียง 15 ปี มาจนถึงตอนนี้ วันที่ได้ประสบการณ์หลายอย่างจากวงการบันเทิงไปมากแล้ว คิดเอาไว้คร่าวๆ ว่าอายุในวงการอย่างมากที่สุดคงอยู่ได้ไม่เกิน 30-40 ปี เพราะเมื่ออายุเยอะขึ้น บทต่างๆ ที่เข้ามาคงมีน้อยลงและอาจต้องเลือกมากขึ้น และเมื่อวันนั้นเดินทางมาถึง เธอคงกลับไปทำฝันของตัวเองทางด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นแรงผลักที่เกิดมาจากปมเล็กๆ ภายในใจ จนทำให้เกิดแรงบันดาลใจมาจนถึงวันนี้
“อาจจะเป็นเพราะเราโตมากับความไม่แฟร์ด้วยมั้งคะ (ยิ้ม) ตอนเด็กๆ จะทะเลาะกับน้องบ่อย แล้วจะโดนเลี้ยงมาด้วยความคิดว่า “พี่ต้องยอมน้องนะ” ไม่ว่าจะผิดจะถูกก็ตาม เราเป็นพี่ต้องยอมน้อง ขนมต้องแบ่งให้น้อง มันทำให้เรารู้สึกว่าทำไมไม่แบ่งให้เท่ากัน ทำไมฟางต้องผิด ในเมื่อฟางไม่ผิดนะ แต่เขาบอกว่าเพราะว่าเราเป็นพี่ ต้องให้น้องก่อน แต่เราจะค่อนข้างต่อต้าน
หรืออย่างทะเลาะกับคุณยายครั้งนึงตอนไปเยี่ยมท่าน และท่านชอบเล่นเปิดกระโปรงและเราโกรธมาก เราไม่ชอบเลย เราเลยหันไปพูดด้วยเสียงดังว่าไม่ชอบนะทำแบบนี้ ตอนนั้นคุณยายโกรธมากเลยค่ะ เขารู้สึกว่าหลานไม่มีสัมมาคารวะ ยังไงก็ไม่ได้นะ ต้องเคารพผู้ใหญ่ ห้ามทำแบบนี้ แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่ผิด เพราะเราไม่ชอบให้ใครมาเปิดกระโปรงเรา กลายเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะคุณยายฟางเป็นคนใต้ จะขี้โมโห เจ้ายศเจ้าอย่างด้วย บอกว่าถ้าไม่มาขอขมา เขาจะตัดออกไปจากตระกูล สุดท้าย เราก็ต้องไปขอโทษท่านค่ะ ถึงกับต้องไปขอขมา มีพาน เป็นเรื่องเป็นราวเลย (ยิ้มมุมปาก)
เรื่องแบบนี้มันฝังใจนะ มันทำให้เรารู้สึกมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเราไม่ชอบอะไรที่มันไม่แฟร์ กับพี่เอก็ต้องแฟร์ หรือกับเพื่อนคบกันก็ต้องแฟร์ แต่ตอนนี้ก็พยายามลดๆ ลงค่ะ เพราะบางทีเราอยากจะแฟร์มากเกินไป แต่พอเข้าสังคม มันก็จะอยู่ยากนิดนึง คือจะบอกว่าจริงๆ แล้ว ฟางเป็นคนที่แฟร์มากนะคะ ไม่ว่าจะทำอะไรผิดมา ถ้าเป็นแฟนฟางทำผิดแล้วบอกตรงๆ จะโอเค ไม่ว่าจะทำผิดมาแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการโกหกหรือเกิดตุกติกขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก เหมือนกับนิสัยส่วนตัวเราเป็นแบบนี้ เลยคิดว่าอาชีพนี้น่าจะตอบโจทย์เราได้ดี
จริงๆ แล้วฟางเป็นคนดื้อมากค่ะ เถียงเก่ง แล้วก็ชอบอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลมากๆ คือจะผิดจะถูกไม่ว่า แต่ต้องมีเหตุผล ซัปพอร์ตคือเราเป็นคน Emotional เหมือนกันนะ เราไม่ชอบ แต่ถ้ามีเหตุผลมาอธิบาย เราก็โอเค ก็เลยรู้สึกว่าอาชีพนี้มีเสน่ห์ เพราะจะผิดจะถูก จะชนะจะแพ้ มันอยู่ที่ไหวพริบปฏิภาณหลายๆ อย่าง แล้วก็อีกเหตุผลนึง อันนี้ไม่ได้จะตอบเป็นนางเอกหรืออะไรนะ แต่ฟางรู้สึกว่าถ้าวันนึงเราสามารถเป็นทนายได้ เราคงได้ช่วยหลายๆ คนเรื่องความยุติธรรมได้ ก็อยากจะเป็นอย่างนั้นค่ะ มีความรู้สึกอยากจะได้ทำอะไรที่มันเกี่ยวกับความถูกต้อง ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก เราชอบความยุติธรรม และอยากจะให้มันเกิดขึ้นในสังคม”
---ล้อมกรอบ---
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: ฟาง-พีชญา เชาวลิต
วันเกิด: 5 มี.ค.2531
การศึกษา: บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงานล่าสุด: “อิศยา” บทนางร้ายในละคร “เล่ห์รตี” ทางช่อง One (HD)
“หัวใจ” ถ้ามันจะใช่ มันก็ใช่
ถามต่อหน้าหนุ่มที่มีข่าวว่าคบกันอยู่กับฟางอย่าง “เอเอ-พีรวัชร์ เหราบัตย์” คนในวงการด้วยกัน ฟางตอบแบบไม่อ้ำอึ้งในเรื่องหัวใจเลยว่า
“ตอนนี้ก็เรื่อยๆ นะคะ ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ฟางคิดว่าเราอยู่ในช่วงของการโฟกัสงานมากกว่า เรื่องธุรกิจที่จะตามมา เพราะฟางอยากทำหลายๆ อย่าง อยากมีแบรนด์ของตัวเอง แล้วก็เรื่องเรียนด้วย อยากจะทำทุกอย่างให้เพอร์เฟกต์เรียบร้อย ส่วนเรื่องความรักและหัวใจ ให้มันเป็นเรื่องเวลาไปดีกว่า ให้มันเป็นเรื่องโชคชะตา ถ้าอะไรมันจะใช่ มันก็ใช่ ถ้ามันจะไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร
ฟางไม่มีสเปกว่าต้องชอบคนหล่อนะคะ ถ้าใช่ก็คือใช่เลย ฟางชอบคนที่นิสัยมากกว่า ฟางชอบคนมีเหตุผลค่ะ แล้วก็พูดจารู้เรื่อง คุยกันได้ทุกเรื่อง มีอะไรบอกกันได้”
ฟิตแค่ไหนก็ยังหวั่น “คิวบู๊”
ถึงกับเคยลมจับเพราะแสดงในฉากวิ่ง 5-6 เทค เลยทำให้ฟางค่อนข้างเข็ดกับฉากบู๊ บอกเลยว่าถึงตอนนี้ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขอหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากเป็นภาระให้ใคร
“แรกๆ เราก็ไม่ได้บอกผู้กำกับค่ะ ทั้งซ้อมทั้งถ่ายหลายเทค แต่เกรงใจเขาไม่กล้าบอก จนสุดท้ายเราทรุดเลย ดมยาดม เกือบจะเป็นลม เพราะมันหลายเทคมาก จะมีทั้งบล็อกกิ้งลองวิ่งก่อนรอบนึง วิ่งก่อนเล่นจริงพร้อมกล้องรอบนึง แล้วก็ถ่ายจริงอีกอย่างน้อย 3 เทคขึ้นไป แล้วก็อาจจะมีแก้อีก เลยทรุดเลยค่ะ ตอนหลังเลยรู้กันว่าถ้าเป็นฟางขอวิ่งเทค 2 เทค คือเราเหมือนจะแข็งแรงนะ แต่เราไม่แข็งแรงขนาดนั้น บวกกับการพักผ่อนด้วยค่ะ วันที่ทำงานอาจจะนอนน้อย กินอาหารไม่ตรงเวลา มันหลายปัจจัยก็เลยต้องคอยดูด้วย
เวลาเล่นคิวบู๊มันเร็วมากเลยค่ะ คนเล่นคิวบู๊ได้กับคนออกกำลังกายได้ก็เลยจะไม่เหมือนกันค่ะ เพราะปกติฟางเป็นคนชอบอะไรช้าๆ ออกกำลังกายก็ค่อยๆ เล่น หรืออย่างฉากในละครตอนวิ่งหนี ฟางจะบอกพี่เขาเลยว่าขอเทคเดียว ไม่อย่างนั้นมันจะเป็น 5-6 เทค มีทั้งซ้อมวิ่ง ซ้อมวิ่งกับกล้อง เราจะบอกเลยว่าขอถ่ายวิ่งช็อตเดียวเทคเดียวเลย แล้วให้เขาอีดิตเอา หรือถ้าเล่นผิด ให้คัตแล้วไปวิ่งต่อจากตรงนั้นเลย จะให้เราไปวิ่งใหม่ตั้งแต่ต้นไม่ไหวแน่ๆ ค่ะ
ที่ต้องเซฟตัวเองเพราะเราไม่อยากให้เดือดร้อนคนอื่นด้วยค่ะ เพราะวันนั้นที่ทรุดลงไปดมยาดม กลายเป็นว่าทั้งวันมาช้าไปหมดเลยเพราะเขาต้องรอคิวเรา เลยกลายเป็นเครียดหนักกว่าเดิม ก็เลยขอไม่บู๊มาก และถ้าให้แสดงร้ายแบบไปกรี๊ดมากๆ เราก็ไม่ไหวค่ะ ไม่ค่อยมีแรง ส่วนใหญ่เราจะร้ายทางสีหน้ามากกว่า เพราะสุดท้ายนางร้ายในละครไทยเรา อาจจะต้องจบด้วยการกระเสือกกระสนไปในป่า ไปโกดัง จับเข้าไปฆ่า ไปยิง เราก็เลยขอไว้เลยว่าขอประมาณนึงค่ะพี่ (ยิ้ม)”
ไม่ถนัด “ด้นสด”
เล่นละครมาแล้วก็หลายเรื่อง อยู่ในวงการมา 12 ปี จนเรียกได้ว่าเป็น “มืออาชีพ” ได้แล้ว แต่กับศาสตร์ “ภาพยนตร์” กลับเป็นสิ่งที่ฟางยังไม่เคยลองทั้งที่อยากแสดงมากๆ ส่วนเหตุผลที่เป็นอุปสรรคต่อเธอที่สุดก็คือการอิมโพรไวส์หรือด้นสดเวลาไปคัดเลือกตัวแสดงนั่นเอง
“ถ้าเป็นหนังสั้นที่ออนแอร์ในทีวี เราเคยเล่นแล้วค่ะ แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์จริงๆ ยังไม่เคยเล่นเลย ก็อยากลองค่ะ แต่ก็แอบเหนื่อยกับการแคสติ้งตั้งแต่สมัยเข้าวงการใหม่ๆ ฟางต้องไปแคสติ้งแล้วแคสกี่เรื่องๆ ก็ไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) เพราะมันจะมีให้ทำอย่างนู้นอย่างนี้หน้ากล้องตามที่เขาบอก ให้อิมโพรไวส์หน้ากล้อง ซึ่งเราเล่นไม่เป็น ถ้าวันนี้ให้ไปแคสติ้งเพื่อเล่นหนังก็คิดว่ายังทำไม่ได้อยู่ดีค่ะ เพราะเป็นคนไม่ถนัดอิมโพรไวส์ไม่ถนัดเล่นคนเดียวจริงๆ”
สัมภาษณ์โดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพบางส่วน: อินสตาแกรม @fangpitchaya
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754