ย้อนกลับไปหลายปีก่อน...เธอคือดาราคนหนึ่งที่มีองค์ประกอบครบครันในฐานะซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งของวงการ ดวงหน้าสดใส รอยยิ้มเปล่งประกาย บุคลิกเฉพาะตัว อีกทั้งยังมีกระแสข่าวกับพระเอกหนุ่มเบอร์ต้นๆ ของประเทศ ทว่าเวลาล่วงเลยผ่าน เธอปล่อยให้เกิดที่ว่างระหว่างเวลาขึ้น
จากผลงานถ่ายแบบสุดเซ็กซี่ การแสดงภาพยนต์แม้จะน้อยเรื่องแต่ก็เป็นหมุดหมายใหญ่ในแวดวงคนดูหนัง ล่วงเลยจากภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายไม่น่าเชื่อเธอร้างราจากจอเงินยาวนานถึง 8 ปี เธอเลือกกลับมาพร้อมผลงานอินดี้เนื้อหาหนักอันว่าด้วยวิถีของคนพม่าในจังหวัดระนอง
ชื่อของมันคือ “ที่ว่างระหว่างสมุทร”
สรรพสิ่งบรรจบพบเจอราวถูกวางโครงเรื่องมาแต่ก่อนกาล จี๊ด - แสงทอง เกตุอู่ทองในความเปลี่ยนแปลงของเวลา ทีมงาน M-liteนั่งรอเธออยู่ในในแสงเงาของโรงหนังเฮาว์ อาร์ซีเอของรอบปฐมทัศน์ การปรากฏตัวของเธอยังคงมาดมั่นอย่างนางแบบมืออาชีพ - ก็เธอยังรับงานเดินแบบอยู่ ท่วงท่าการเดิน วิธีวางกายในมุมในฉากที่งดงาม
“จี๊ดไม่ได้ให้สัมภาษณ์ยาวๆ มานานมากแล้ว เวลาคนติดต่อมาก็ไม่ให้สัมภาษณ์เพราะคิดว่าชีวิตตัวเองไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่” นี่คือประโยคแรกๆ ที่หล่นออกมาจากบทสนทนา อย่างถล่มตัวความเปลี่ยนแปลงมากมายอาจทั้งเป็นและไม่เป็นที่น่าสนใจของใครบางคน
ทว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนสากลและเป็นไป มองผ่านที่ว่างและเวลาแก่นแกนหนึ่งของชีวิตมิใช่ใดอื่นนอกจากความเปลี่ยนแปลง ในที่ว่างระหว่างเวลาในความเปลี่ยนแปลงของเธอ บทสนทนาต่อจากนี้บรรจุห้วงเวลาเหล่านั้นไว้
ที่ว่างระหว่างเวลา
ภาพหนึ่งที่ติดตาผู้คนคือร่างรูปสวยสะพรั่ง ในช่วงหนึ่งหากมีจัดอันดับสาวเซ็กซี่เธอไม่มีทางหลุดโผ ไม่ว่าสำนักใด เกจิคนใดย่อมนึกถึงเธอติดเป็นอันดับ ไม่แปลกหากพิจารณาจากเนื้องงาน ทว่าในช่วงหลายปีหลังเธอเลือกจะห่างหายไป เงาแสงของโรงหนังเฮาว์ อาร์ซีเอยังฉายประกายเด่นในดวงหน้าของเธอ
“ช่วงนึงมีคนติดต่อมาแต่บทโป๊บทเซ็กซี่ซึ่งจี๊ดเล่นไม่ค่อยรอดสักเท่าไหร่แล้วเราก็ไม่ค่อยอินด้วย ก็เลยรับแต่งานเดินแบบ ถ่ายแบบปกติ ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้ทำงานในวงการ มีรับงานอีเวนต์บ้าง เดินแบบบ้าง”
ย้อนกลับไปเธอเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 15 - 16 ปี ลองนับดูเงียบๆ หลายปีผ่านมา เด็กใหม่เข้า -ออกวงการเป็นว่าเล่น ความเปลี่ยนแปลงมากมายพัดจรมาสู่วงการ เทรนด์ของกระแสความโด่งดังจากผลงานสร้างชื่อ รูปหน้าสร้างทรัพย์ จนถึงกระแสข่าวแรงเท่านั้นจะยึดพื้นที่สื่อสร้างประเด็นร้อนโจษขานจนเป็นที่พูดถึง
“ทำงานมันไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” เธอเปรยขึ้น “การทำงานเป็นนางแบบมันไม่สนุกเหมือนแต่ก่อน ความสนุกมันลดลง หลายๆ อย่างก็น้อยลง ทั้งคุณภาพอะไรต่างๆ จากที่คนจะสนใจคุณภาพการทำงานกลับมาสนใจเรื่องส่วนตัว...อะไรแบบนี้”
ความสุขที่นับวันยิ่งจะลดน้อยลงกับการทำงาน ระยะหลังงานถ่ายแบบ-เดินแบบของเธอจึงน้อยลง ลดงานเซ็กซี่จนห่างหายจากการเป็นคนในกระแส
“พออายุมากขึ้นเราก็ไม่อยากถ่ายเซ็กซี่ ถ่ายชุดว่ายน้ำ รับงานเราก็ต้องเลือกงานให้เข้ากับตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่งานอะไรมาก็รับหมดเหมือนตอนเด็กๆ ที่ต้องการทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา”
ทว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนในวงการยังคงมีผลงานอย่างต่อเนื่องคือความกลัวที่จะหายไปจากกระแส ถูกลืมไปจากหน้าสื่อ อย่างคำพูดที่มักพูดกัน การถูกด่าวิพากษ์ยังดีกว่าไม่เป็นที่พูดถึง เธอยิ้มพลางเผยว่า จากการอยู่ในวงการยาวนาน เธอเชื่อว่า ในส่วนหนึ่งของผู้คนทั้งหมดยังมีผู้ที่ติดตามผลงานจากเนื้องานมากกว่ากระแส
“แต่หลายอย่างมันก็เป็นดาบสองคม การทำงานปัจจุบันก็มีคนเข้ามาเยอะออกไปแยะ มาเร็ว - ไปเร็ว มันก็เหมือนคนมีโทรศัพท์เปลี่ยนทุก 6 เดือน มันก็ดีแต่มันไม่มีอะไรที่มีคุณภาพ มีควอลิตีพอที่จะอยู่ให้คนกลับมาใช้ใหม่ได้อีก...สิ่งที่จี๊ดทำก็แค่ทำอะไรที่ตัวเองมีความสุขไม่ต้องวิ่งไปตามกระแส ทำอะไรที่ตัวเราสามารถยึดเหนี่ยวได้ด้วยตัวของเราเองเท่านั้น”
ในช่วงว่างเว้นที่ผ่านมา เธอที่เป็นคนชอบท่องเที่ยวหาแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง ถึงตอนนี้ก็มีวางแผนจะถ่ายไพรอทรายการเพื่อนำเสนอเป็นรายการท่องเที่ยวของตัวเอง
“ช่วงว่างที่ผ่านมาก็นั่งจดงาน เที่ยวหาอินสปายเรชั่น เราจดงานทำโน่นทำนี่ถ่ายรูปไว้ วางแผนยังมีงานเอ็กซิบิชั่นภาพถ่ายที่จะทำอยู่ด้วย”
ที่ว่างระหว่างเวลาเหล่านั้นบรรจุไว้ด้วยภาพถ่ายแลนด์สเคปจากสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า ความชอบด้านนี้มีมาตั้งแต่ช่วงที่เธอเริ่มทำงานในวงการแล้ว หากได้ไปเที่ยวที่ไหน เธอจะเก็บบันทึกเหล่านั้นไว้เป็นภาพถ่ายอยู่เสมอ
ทำสิ่งที่รู้สึกมีความสุขก่อน
กับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในป่าคอนกรีตแต่เกิดจนโต การท่องเที่ยวไปในป่าเขาธรรมชาติแทบจะเป็นหยูกยาแห่งความสุขของยุคสมัย หากเสพอย่างบ่อยครั้งก็ติดจนยากจะถอนตัว
“อยู่ในเมืองแล้วไม่เหนื่อยเหรอ?” เธอเอ่ยถามเรา “อยากไปแล้วใช่มั้ย...ทุกคนบางทีอยู่ในเมืองแล้วมันเหนื่อย ทำให้ความอดทนน้อยด้วย”
แต่การไปเที่ยวในหลายครั้ง หลายปีของชีวิตที่เติบโตขึ้นก็ชวนให้เธอมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง และกลับมองไปที่ความเห็นแก่ตัวที่ฉายชัดอยู่ในนั้น
“พอเริ่มโตขึ้น เราไปบ่อยๆ มันก็ทำให้เราคิดว่าบางทีเราอาจจะเห็นแก่ตัวมากเกินไป เรารู้สึกเราเหนื่อยเราก็จะออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ย้อนถามตัวเอง ทำไมเราไม่ทนอยู่ในเมืองให้นานกว่านี้อีกสักนิดหนึ่ง ให้ได้รู้ว่าความอดทนมันเป็นยังไง” เธอเผยยิ้ม “มันก็มี 2 แง่ความคิด มันก็สนุกดี ไปเที่ยวก็เหมือนอยู่กับตัวเองก็สนุกกับตัวเอง”
ในพงพุ่มอันชุ่มชื้นของป่าเขา ในคลื่นร้อนระอุของผืนทรายริมหาด กระทั่งม่านหมอกของฤดูกาลแปรปรวนในแดนดินถิ่นฐานของธรรมชาติดูจะเป็นมิตรกับเธอมากกว่าความหรูหราของโรงแรมชั้นสูง มันเป็นวิถีชีวิตที่เธอชื่นชอบในวันพักผ่อน
“ถ้าคนชอบมันก็ชอบ แต่เรารู้สึกว่ามันคือการฟุ่มเฟือย บางทีนานๆ ไปที่หรูๆ ไปให้รู้ว่ามันเป็นยังไงก็โอเค แต่ถ้าไปแบบฉันสปอยตัวเอง ตามใจตัวเองแต่ไปแล้วทำให้ตัวเองเกร็งๆ ไม่รู้จะไปทำไม คือมันไม่ใช่ว่าไปแล้วแต่งตัวทำทุกอย่างดูดีแล้วจะมีความสุข สำหรับจี๊ดมันไม่สบายน่ะ”
การไปเที่ยวคือการเติมเต็มมิใช่แค่ช่วงเวลาว่างเปล่า แต่กลับเป็นบางสิ่งที่อยู่ในภายใน มันคือการได้ทำในสิ่งที่อยากทำทวงคืนเอาวันเวลาของการทำงานที่อาจทำให้ไม่ได้ทำในสิ่งเหล่านั้นมากนัก ช่วงเวลาเพียงแค่ได้เก็บกระเป๋า สะพายเป้ขึ้นหลังเตรียมตัวออกเดินทาง เพียงเท่านั้นก็เป็นที่สุดของความรู้สึกที่เกิดขึ้น ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือขากลับที่เธอมักจะใจหายทุกครั้งไป
“ตอนกลับจะมีอารมณ์แบบ ต้องกลับแล้วเหรอ ยังไม่อยากกลับบ้าน เอ...หรือเราไปเที่ยวนานเกิน บางทีเราไปอยู่นานเกินไป 7 วัน เราควรจะไปแค่ 3 วันมั้ย? มันทำให้เรารู้สึกหดหู่ ใจหาย มันก็ไม่แฟร์กับการไปเที่ยวสักเท่าไหร่ เพราะตอนไปเที่ยวมันก็เพลินมาก แต่เอาจริงๆ ชีวิตคนเราในสิ่งที่ต้องการมันก็ต้องมาควบคู่กับการทำงาน มันเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้”
ช่วงเวลาอันแสนประทับใจของชีวิตคือแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง ที่เกาะหลีเป๊ะ ในปีหนึ่งที่มีฝนดาวตกฝูงใหญ่บินโฉบพัดฝูงอยู่บนผืนฟ้า กลางท้องทะเลอ้างว้างและท้องนภามืดมิด มันกลายเป็นภาพงดงามเกินบรรยายที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเธอ
“ตั้งนาฬิกาปลุกตีสองตีสามออกมานอนดู เห็นฝนดาวตกเยอะมาก” เธอเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้น ราวเห็นภาพดาวในตาอยู่บนฝืนฟ้า ณ ขณะนั้น “ไม่รู้ดวงไหนเป็นดวงไหน ของจริงหรือเปล่า มันสวยมาก”
การทำในสิ่งที่รู้สึกมีความสุขคือสิ่งที่มาก่อนสำหรับชีวิตเธอในช่วงนี้ เธอเผยว่า ที่ผ่านมานั้น การทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองคือเป้าหมายในช่วงที่เริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอเคยเปิดร้านอาหารด้วยความอยากรู้อยากลองและไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อได้ย้อนกลับมาคิด การกดดันบีบคั้นเพื่อพิสูจน์ตัวเองดูจะไม่ใช่แนวทางของเธอ
“ช่วงก่อนหน้านี้จี๊ดจะเป็นคนประเภทที่อยากจะทำโน่นทำนี่ ใช้ความพยายามมากเกินไป ซึ่งมันเหนื่อย และจริงๆ มันไม่ใช่แนวทางของเรา คือบางทีมันไม่ต้องรีบพิสูจน์ตัวเอง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่กดดันตัวเองแต่ก็กระตือรือร้นที่จะทำมันดีกว่า”
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นช่วงไหนที่ความคิดของเธอเปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นช่วงที่เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ และเริ่มมองหาความมั่นคงในชีวิต การทำเพื่ออนาคตเป็นอะไรที่ต้องซีเรียสจริงจัง และต้องกดดันตัวเองในหลายๆ ทาง แต่ความเครียดที่เกิดขึ้นกลับยิ่งทำให้ตัวเธอห่างไกลจากเป้าหมาย
“ความเครียดมันมีแต่จะทำให้เราหมอง ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้น อยู่ดีๆ ก็เลยคิดว่า ทำไมฉันต้องเครียดด้วยนะ ทำไมเราไม่ใช้ชีวิตให้มีความสุข สุดท้ายพอเรายิ่งพยายามมันยิ่งทำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มองหาจุดที่เราชอบจริงๆ หรือทำไมเราต้องทำ ทำเพื่ออะไร และมันก็เป็นข้ออ้างแบบ เออ เราทำเพื่ออนาคตของตัวเอง แต่มันมาจากความกลัวที่ว่า อนาคตข้างหน้าเราจะทำยังไง เราจะใช้ชีวิตยังไงต่อซึ่งทุกคนมีสิทธิจะคิดแบบนั้น จี๊ดเป็นผู้หญิงถ้าไม่ได้ทำงานตรงนี้จะทำอะไรต่อ ก็ต้องวางแผนก็เลยเครียด”
ท้ายที่สุด เธอก้าวผ่านวันเวลาแห่งความกดดันของชีวิตพลันนั้นเธอยิ้มหัวเราะให้กับสิ่งที่เป็น ราวกับเมื่อครั้งยังเด็กเธออยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พอโตขึ้นกลับอยากย้อนกลับเป็นเด็ก คงเป็นปกติของทุกคน
“แต่ถ้าเราสบายๆ ไม่ไปกดดันตัวเองมากนัก ปล่อยให้มันเป็นไปตามจังหวะของชีวิตที่มันควรจะเป็นก็จะดีกว่า หลังจากกดดันเครียดมาช่วงหนึ่ง ตอนหลังก็ไม่รู้จะเครียดไปทำไม เรามีเท่าไหร่ก็ใช้ชีวิตเท่านั้น เป็นอยู่แบบเรียบง่าย ถ้าเราไม่ฟุ้งเฟ้อมันก็เป็นสิ่งที่ดี”
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “แก่” แล้วใช่มั้ย
มองกันเพียงภายนอกเธอยังฉายรัศมีความเป็นดารา คองามระหง การออกเสียงมีเสน่ห์ ความเป๊ะในเครื่องกาย แม้จะยาวนานมาแล้วกับผลงานในวงการ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้คนก็ยังคงเหมือนเดิม เธอส่ายหน้าพร้อมบอก ไม่เคยวางตัวเองในฐานะดาราแต่ประการใด คนโดยมากที่แวดล้อมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน เธอดูเป็นตัวของตัวเองมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“เราไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดาราหรือซัมบอดี้อยู่แล้ว เราก็เป็นคนปกติ ประกอบอาชีพหนึ่ง มีผลงานหรือไม่มีจึงไม่มีผลอะไรกับเรามากนัก คนรอบข้างก็ไม่มีอะไร มีแค่เมื่อก่อนจะถูกแซวเวลาเห็นอยู่ในหนังสือหรือในทีวีเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยว่าจะแสดงตัวออกมายังไง ชีวิตที่ผ่านมา มีหรือไม่มีผลงานก็เลยไม่ต่างกัน ยังเป็นชีวิตปกติเหมือนเดิม เพราะเราทำงานก็คือทำงาน เสร็จแล้วก็แค่นั้น”
การกลับมารับงานภาพยนตร์อีกครั้ง ทั้งเนื้อหาซีเรียสอย่าง “ที่ว่างระหว่างสมุทร” และแกนแก่นตลกเบาสมองอย่าง “บ้านสุดป่วน ก๊วนต่างวัย” ทำให้พบกับการทำงานที่แตกต่าง
“แต่ละทีมก็ไม่เหมือนกันนะ ทีมของที่ว่างระหว่างสมุครจะเหมือนการทำงานกับพี่วิสิทธิ์(ศาสนเที่ยง เคยร่วมงานกับเธอในภาพยนตร์เรื่อง หมานคร) มันจะซีเรียสดรามาหนักเลย ค่อนข้างเครียด คือคิดเองพูดเองในใจ จะทำอะไรก็คิดเองคนเดียว เวลาเศร้าๆ ก็น้ำตาเหมือนจะเอ่อจะร้องไห้ แต่อีกเรื่อง บ้านสุดป่วน ก๊วนต่างวัยก็จะอีกขั้วไปเลย ขำมาก ขำจนไม่เป็นบทเลย เล่นกับพี่ต๊อก - ศุภกรซึ่งเป็นคนขำมากจริงๆ”
ทว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดร่วมที่เหมือนกันโดยบังเอิญก็คือ ความเกรงกลัวของคนในกองถ่ายที่เกิดขึ้นกับเธออย่างมิได้นัดหมาย อันนำมาซึ่งคำถามสำคัญข้อหนึ่งที่ผุดขึ้น
“ที่เขาปฏิบัติต่อเราแบบนี้ นี่คือความแก่ใช่มั้ย” เธอเอ่ยพลางหัวเราะ “คนในกองถ่ายดูจะเกรงกลัวเรามากขึ้น เหมือนเขารู้สึกว่าเราอยู่ในวงการมานาน จากเมื่อก่อนเรียก น้องจี๊ดๆ มาตอนนี้พี่จี๊ดๆ เอานี่มั้ย รับนั่นมั้ย เขาจะเกรงใจเรา เราก็ว่า ทำไมต้องเราด้วย กลายเป็นเราเป็นผู้ใหญ่ในที่ทำงานไปแล้ว เหมือนข้ามขั้นแล้ว”
แต่แม้จะถือเป็นรุ่นใหญ่ในกองถ่าย การทำงานของเธอก็ยังคงเป็นไปตามการแสดงที่ทำตามคาแรกเตอร์ และยังมีความประหม่าเมื่อต้องทำงานกับเด็กและผู้ใหญ่ กระทั่งการรับมุกตลกที่อาจยิงมาอย่างไม่ทันคาดคิด
“ตอนเข้าฉากก็ทำตามคาแรกเตอร์ก็คิดอยู่ในหัว เล่นกับเด็กแล้วหลายเทคจะทำยังไงดีนะ(หัวเราะ) คือมันก็จะมีความประหม่าและทำงานกับผู้ใหญ่ กับอาสมบัติ (เมทะนี) อย่างนี้ กับพี่ต๊อก ศุภกร คือเราเคยดูหนังและชอบที่เขาแสดง แต่เคยมีคนมาบอกว่า พี่ต๊อกเวลาเขาจะมีมุกเขาจะไม่บอก จี๊ดเลยต้องบอกพี่เขาว่าจะเล่นอะไรเตี๊ยมหนูก่อนนะ เพราะหนูรับมุกคนไม่ทัน มันมีอะไรที่ต้องฝึกไหวพริบ และได้ท้าทายตัวเองดี”
ที่ว่างระหว่างสมุทร
ระหว่างช่วงว่างที่เธอออกท่องเที่ยว ช่วงหนึ่งเธอได้เดินทางไปยังจังหวัดระนอง และเริ่มตกหลุมรักกับบรรยากาศของที่นั่น ตอนนั้นเองที่โปรเจกต์ the isthmus ที่ว่างระหว่างสมุทร ของโสภาวรรณ บุญนิมิตร และพีรชัย เกิดสินธุ์ 2 อาจารย์ภาควิชาภาพยนตร์ได้ติดต่อเธอมา พร้อมเปรยว่าจะมีการถ่ายทำยังที่แห่งนั้น ผลคือเธอตกปากรับคำทันที
“ที่ระนองมันจะมีเกาะพยามซึ่งสวยมากแล้วจี๊ดไปบ่อย พออาจารย์(ผู้กำกับ)บอกถ่ายที่ระนอง เกาะพยาม จี๊ดชอบมาก บอกรับบททันที อาจารย์ก็บอก ใจเย็นๆ ฟังบทอาจารย์ก่อน”
และแรกเริ่มเมื่อได้ทราบบทโครงเรื่อง คำถามแรกที่ผุดขึ้นคือ จะเล่นได้หรือไม่? เพราะเธอต้องข้ามขั้นรับบทเป็นแม่แล้ว
“ตอนแรกก็ประหม่าถามตัวเองว่าจะลองดูดีมั้ย? เพราะต้องเล่นเป็นแม่ เลยถามอาจารย์มั่นใจหรือจี๊ดจะเป็นแม่ได้เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยรับบทแบบนี้ อาจารย์ก็บอกว่าได้ เพราะบทแม่ในเรื่องมีลูกตั้งแต่ยังวัยรุ่น มันไม่จำเป็นต้องดูอบอุ่น เขาเลือกจากคาแรกเตอร์ของเราอยู่แล้ว แต่ก็ต้องมาปรับนิดนึง จากปกติที่เราเป็นคนที่กระโดกกระเดก ก็ต้องทำทุกอย่างให้ช้าลง”
หนังที่พูดประเด็นซีเรียสอย่าง วิถีชีวิตของแรงงานพม่าในจังหวัดระนองผ่านมุมมองของเธอซึ่งแสดงเป็นสาวออฟฟิศชนชั้นกลาง ความยากของเนื้องานก็ดูจะมากขึ้น
“ตอนแรกก็คิดว่ามันจะยากเหมือนกันแต่เอาเข้าจริงๆแล้วดูง่าย คือมันพูดถึงประเด็นที่สากลมากๆ ทุกคนจะมีราก อย่างคนต่างจังหวัดมาทำงานกรุงเทพบางทีบางคนจะลืมกลับบ้าน ลืมว่าเรามีครอบครัว ทุกบ้านจะมีคนรออยู่ ยังมีพ่อแม่มีคนที่บ้านรออยู่ เรื่องนี้พูดถึงรากเหง้าของเรา กระทั่งคุณทำงานในกรุงเทพบางทีคุณลืมกลับบ้านด้วยซ้ำแต่ที่บ้านมีคนรอคุณอยู่ ดังนั้นมันเกี่ยวกับทุกคน ทุกคนมีรากเหง้าของตัวเองที่รอเราอยู่ แต่เราจะขุดมันขึ้นมาหรือตอกย้ำตัวเองยังไงว่าเรามีตรงนี้อยู่นะ ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว คือถ้าตีให้ลึกก็ลึกแต่ดูง่าย”
พื้นที่ถ่ายทำที่จังหวัดระนอง ส่วนหนึ่งที่เกาะสองข้ามที่ว่างระหว่างสมุทรไปยังพม่าเป็นกองถ่ายแบบกองโจร เธอเผยถึงภูมิอากาศของระนองในชายขอบติดพม่า แรงงานพลัดถิ่นลงรากฝังเรือนต่อพาสปอร์ตกันเป็นกิจวัตร ฝนแปดแดดสี่คืออุปสรรคของเมืองที่อยู่ในหุบเขาแห่งนั้น
“บทจะร้อนก็ร้อน จะฝนก็ฝน เมฆมาเราก็นั่งรอ ช่วงนั้นเป็นช่วงเมษายนเป็นช่วงฝน ท้องฟ้าแดงมาไกล ระนองมักจะมีปรากฎการณ์ประหลาดๆ เยอะมาก ตอนนั้นก็มีข่าวสึนามิด้วย นกบินออกมาจากดงโกงกาง พวกเราถ่ายทำกันอยู่ริมทะเลไม่รู้เรื่องกระทั่งมีโทรศัพท์เข้ามา เตือนสึนามิกันแล้วลูก สองทุ่มสึนามิจะถึง มันมีเรื่องอะไรตื่นเต้นๆ ตลกดี และเราถ่ายทีเดียว 15 วันเสร็จเลย”
นอกจากเธอและมาลิสา คิดด์ เด็กสาวลูกครึ่งผู้เล่นเป็นลูกสาว มาวาลัส (Saw Marvellous Soe) นักร้องชาวพม่าเป็นนักแสดงหลักอีกคนที่เข้ามาสร้างสีสัน และแทบเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง การร่วมงานกับชาวพม่าจึงเป็นอีกก้าวที่ทำมุมมองเกี่ยวกับเพื่อนบ้านของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เพื่อนบ้านที่เปลี่ยนไป
“เปลี่ยนเยอะมาก คนพม่าที่ระนองน่ารักมาก คือตอนแรกเราไม่เข้าใจว่าทำไมข่าวที่ตีออกไป หรืออะไรที่เราเห็นเกี่ยวกับคนพม่าถึงเป็นข่าวแบบ ทำร้ายคนอื่น มันเหมือนเขาเป็นคนละชั้นกับคนไทย แต่จริงๆ ไม่ใช่”
เธอมองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านแสนใกล้ชิดนี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มองในมุมกลับ บางทีหากคนไทยไปอยู่พม่าก็อาจโดยทำแบบเดียวกัน อาจมองด้วยท่าทีไม่ดีนัก กระทั่งครั้งที่เคยไปลาว ได้ฟังคนลาวพูดกันว่า ไม่เข้าใจคนไทย ทำไมถึงใช้คำด่าว่าเป็นชื่อประเทศลาว อีลาว ไอ้ลาว กลายเป็นคำดูถูกที่ไม่ดีนัก
“คนไทยอาจจะคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งแต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้สูงส่งมาจากไหน มันก็คือคนปกติเหมือนกัน เหมือนคนไทยไปเป็นแรงงานของประเทศอื่น ปัญหาที่มันเกิดขึ้น คำเหล่านี้มันมาจากชนชั้นกลาง จริงๆ เขาเป็นคนกลุ่มๆ หนึ่งที่ก็น่ารักเหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาน่ารัก เขาก็น่ารักกับเรา
“มีผู้ใหญ่คนแก่ที่น่ารักมาก มีความซื่อๆ เหมือนเราไปต่างจังหวัดบ้านเรา เขาก็เป็นคนปกติเหมือนเราแต่มันเป็นความนิสัยเสียของคนไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ที่ชอบไปจิ้มแล้วเหมือนไปชี้ว่าคนละแบบกัน ไม่ใช่ เหมือนจะชอบดูถูกคนเอเซียด้วยกัน แต่ดันไปยกย่องคนตะวันตกอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นหน้าฝรั่งขึ้นมาหน่อยแทบจะยกมือไหว้ ไม่เข้าใจจริงๆ”
เธอมองทัศนคติฝังหัวบนเส้นแบ่งพรมแดนแบบเพื่อนบ้านที่มีความเกลียดชังฝังลึกว่า อาจเป็นอุปทานหมู่ เป็นสิ่งที่ทำตามต่อกันมาเท่านั้น ความคาดหวังหนึ่งหลังจากหนังเรื่องนี้เข้าฉายจึงเป็นการให้ผู้คนได้เปิดเปลี่ยนความคิดและมุมมอง
“อยากให้เปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนความคิดว่าบางทีความสุขกับอะไรง่ายๆ กับธรรมชาติกับความเป็นอยู่ของคนอื่นมันก็เหมือนๆ กัน ถ้าเราไม่ลืมว่าเรามาจากไหน เราเป็นใคร ไม่ใช่ว่าคุณมีลูกทำงานที่นี่แล้วคุณจะดูดีกว่าคนนั้น สุดท้ายแล้วจิตใจคุณไม่ได้ต่างจากคนอื่น หากจิตใจคุณไม่ได้คิดอย่างเป็นกลาง จิตใจความคิดการดูถูกคน มันเกิดขึ้นกับตัวเรามันส่งผลกับคนอื่น มันก็เท่ากับเราไม่ได้สูงส่งไม่ได้ดีกว่า การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ให้โอกาสกันอย่างนี้ มันคือมนุษย์และมันคือคนจริงๆ”
วิถีชีวิตในชายแดนไทย - พม่า ผู้คนที่สร้างวิถีเป็นไปในแบบของตน เธอได้เข้าไปสัมผัสและส่องสะท้อนมาเห็นเงาภายในตัวเอง ภาพเด็กวิ่งเล่นอยู่ในอู่ต่อเรือ มอมแมมแต่มีความสุข ชาวบ้านอุ้มลูกกับชีวิตยากลำบากแต่ก็ยังไม่ขาดรอยยิ้ม
“มันเป็นการกินอยู่อย่างพอเพียงจริงๆ แบบจริงใจไม่ใช่รู้อย่างเดียว มันพอเพียงกับจิตใจด้วย และเขาอยู่ได้โดยไม่มีอะไร เขาก็มีความสุขของเขาได้ เราไม่ต้องเอาอะไรไปยัดใส่มือเขา เราได้เห็นความพอเพียงของความสุขที่มีอยู่ในความเป็นจริง ความสุขมันขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง คือบางทีเราคิดว่าเราต้องหาความสุขจากคนอื่น ให้คนอื่นทำความสุขให้แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เราต้องทำตัวเองให้มีความสุขก่อน”
ถ่ายนู้ด - ลุยป่า
นอกจากงานถ่ายแบบ อีกผลงานหนึ่งของเธอคืองานถ่ายภาพ หลายปีผ่านเธอเคยจัดเอ็กซิบิชั่นร่วมกับเกจินู้ดเมืองไทย - นิวัติ กองเพียร การถ่ายภาพพร้อมกับการไปท่องเที่ยวจึงเป็นอย่างหนึ่งที่เธอหลงใหล แน่นอนว่า โปรเจกต์ดังกล่าวเธอเป็นช่างภาพถ่ายนู๊ดกับนางแบบคนอื่นนั่นเอง!
“จริงๆ ไม่ค่อยชอบถ่ายดิจิตอล” เธอเอ่ยขึ้น ราวกับเป็นกระแสของวงการถ่ายภาพที่ย้อนกลับไปสู่วิธีการทำงานแบบเก่าก่อน แต่เธอมีเหตุผลของตัวเอง “พอถ่ายดิจิตอลมันทำให้เราเสียสายตาในการถ่ายหลายรูปแล้วเลือกหลายรูป พูดยาก ตอนเลือกบางทีก็ตาดีได้ตาร้ายเสีย มันไม่ค่อยสนุกกับตรงนั้น หลังๆ ก็พยายามพวกพี่ก็ทวง จะอัดรูปแล้ว เราก็รอแป๊บหนึ่ง คือดิจิตอลบางทีทำให้เราไม่อยากถ่ายรูป
“แต่ถ่ายฟิล์มเราจะมีกฎถ่ายทีรูปสองรูปพอ แต่กล้องดิจิตอลถ่ายที 5 รูป ไม่มั่นใจ พอเราจะจับจังหวะคนก็ไม่ได้แล้วเพราะมัวแต่มาดูรูป ระยะหลังเลยกลับมาเล่นโพลารอยด์แทน มันก็สนุกอีกแบบ ตอนนี้พยายามหาจุดของมันให้ได้”
บนเส้นทางช่างภาพ งานหนึ่งที่เธอรู้สึกประทับใจคือการถ่ายปฏิทินในโครงการรักษ์ป่า รักษ์น้ำโดยได้โจทย์ให้ถ่ายภาพฝายกั้นน้ำที่จังหวัดลำปาง ในโครงการนั้นมีเธอพร้อมด้วยศิลปินหลายคนทั้งวาดภาพถ่ายภาพร่วมด้วย
“แต่ตอนที่ไปถ่ายมันเป็นหน้าหนาว ฝายแห้งมีแต่ใบไผ่เต็มฝาย มันเป็นโคลนไผ่ชัดๆ กุมหัวเลย” เธอเอ่ยพร้อมหัวเราะร่วง “แรกก็ไม่รู้จะแก้ยังไง ต้องมาลำปางอีกรอบหรือเปล่า? แต่มาคิดดูป่าทุกที่มันก็คล้ายกัน เราเลยไปถ่ายเขาใหญ่แทนซึ่งมันก็ได้เหมือนกัน และก็ได้เห็นธรรมชาติอีกแบบหนึ่ง”
ระหว่างทางเดินไปถ่ายภาพคือความประทับใจที่เธอชอบ เพราะมันเผยโฉยป่าในแบบที่เธอไม่เคยเห็น ต้องเจอกับหอยทาก ต้องวิ่งหนีฝน สิ่งที่ห่วงที่สุดคือกล้องที่เธอต้องเอาเสื้อกันฝนมาห่อเก็บไว้อย่างดี
“ชุดกันฝนก็เอามาห่อกล้องแล้ววิ่ง ฝนในป่าเราก็เพิ่งรู้ว่ามันไม่ได้ตกแบบซู่ทีเดียวแต่ตกไล่ๆกัน ดังนั้นพอได้ยินเสียงจากไกลๆ มันก็จะค่อยๆ ซู่ลงมา เราก็ต้องออกวิ่งให้ทัน แล้วดินในป่าก็รื่นมาก มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกและมันก็ได้รูปด้วย”
ด้วยความที่ชอบเที่ยวธรรมชาติทั้งยังชอบถ่ายภาพ ไม่แปลกที่ผลจะออกมาที่เธอชอบถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติ กิจกรรมเชิงอนุรักษ์อย่างหนึ่งที่เธอทำอยู่ทุกปีคือ ทุกวันที่ 13 กุมภาพันธ์วันก่อนวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นวันรักนกเงือก ซึ่งเธอเข้าร่วมงานซึ่งจัดขึ้นใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิทุกปี
“หลังๆเหมือนชอบอนุรักษ์ไปในทางนี้ ไปแล้วมันอิน ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำงานอนุรักษ์หรอก มันเป็นงานการกุศลที่เข้ามาแล้วชอบ ข่าวที่คนเห็นช้างเหยียบรถเมื่อไม่นานมานี้ ใจหนึ่งก็คิดสมน้ำหน้าอยู่ คือพึ่งจะไปถ่ายเอ็มวีบนนั้นมา เลยรู้ว่าตอนนั้นช้างมันจะออกมา มีคนที่เขาใหญ่ซึ่งคอยดูอยู่ว่าช้างมันจะออกมามั้ย
“แต่ตอนเย็นรถมันเยอะมาก กลับกลายเป็นรถติดบนเขาใหญ่ มันไม่ใช่มั้ย? พอเห็นช้างนั่งบนรถช้างไม่ได้ทำร้ายอะไรหรอกนะ ช้างแค่ขึ้นไปนั่ง ช้างมันนั่งอย่างน่าขำน่ะ ก็คนมันขึ้นไปเยอะเกินไป ไปเบียดเบียนสัตว์ปา เบียดเบียนช้าง”
อีกโปรเจกต์ของชีวิตที่ใกล้เข้ามากับเรื่องท่องเที่ยวก็คือรายการทีวี การถ่ายทำที่กำลังดำเนินไป ข้อมูลที่วางแผนเป็นเค้าโครง เธอยังคงยึดถือความสุขของการได้ลงมือทำเป็นสิ่งสำคัญ
“ตอนนี้มีรายการสองรายการที่จะทำเป็นรายการกินเที่ยว แต่ปีนี้วางแผนไว้คือไม่อยากทำอะไรให้มันใหญ่มาก มันเป็นการเริ่มต้นอย่างน้อยคือเราอยากทำและมีความสุขกับมันซึ่งก็เป็นรายการที่เราทำเองหลายๆอย่าง น่าจะสนุก”
ดังนั้น การดำเนินชีวิตในช่วงนี้ของเธอจึงเป็นการหยุดหาแรงบันดาลใจแล้วเริ่มลงมือทำ
“บางทีมันมีความคิดที่อยู่ในตัวเราเยอะ เราเลยต้องบอกตัวเองให้ทำเถอะ เพราะยิ่งหามันยิ่งไม่เจอ เราลงมือทำบางทีจะคิดว่ามันไม่ใช่ คิดว่าเราไม่น่าจะทำได้ แต่ยังไงเราต้องลองทำดู มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทำผิดพลาด”
…
จี๊ด - แสงทองมองเห็นเส้นทางที่มุ่งไป ความเปลี่ยนแปลงคือแก่นแกนหนึ่งของชีวิต จากดารากึ่งนางแบบ นางแบบกึ่งดารา ถึงช่างภาพกระทั่งรับบทแม่ ความจีรังอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งคือมุมมองที่เปลี่ยนไปต่อชีวิตในทุกขณะที่เวลาเคลื่อนผ่าน สิ่งที่อยู่ในที่ว่างมิได้เป็นเพียงความว่างเปล่าแม้คนส่วนมากจะมองไม่เห็น บทสนทนาของเธอเติมเต็มช่วงเวลาเหล่านั้นและความเป็นไปเบื้องหน้าของเธอแล้ว
เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ภาพโดย ปัญญาพัฒน์ เข็มราช
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



