“8.82” คือคะแนนนิยมที่ประชาชนให้ไว้ในเดือนแรกที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ ถึงวันนี้ ครบ 6 เดือนของการทำงาน คะแนนนิยมกลับร่วงหล่นเหลือ “8.49”
ยิ่งเกิดเหตุ “ชู 3 นิ้ว ต้านรัฐประหาร” แล้วรัฐบาลเข้าจัดการด้วยการลากนักศึกษาไปปรับทัศนคติ ก่อนย้ายนายตำรวจ 5 เสือผู้คุมพื้นที่เกิดเหตุเพื่อเชือดไก่แสดงอำนาจ อาจยิ่งทำให้ผู้คนระอา นักวิชาการชี้ยังถือว่าประชาชนเมตตา เพราะที่จริง คะแนนนิยมควรลดฮวบหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ!!
ยิ่งทำยิ่งร่วง เหตุเพราะ “3 เบื่อ” คสช.
“8.82, 8.87, 8.80, 8.57, 8.52, และ 8.49” ตัวเลขเหล่านี้คือผลการสำรวจที่มีชื่อว่า “ประเมินผลงาน 6 เดือน คสช.” ซึ่งจัดทำโดย “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,689 คน ระหว่างวันที่ 20-23 พ.ย.2557 สะท้อนให้เห็นว่าคะแนนนิยมของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” ลดลงอย่างต่อเนื่อง และบรรทัดต่อจากนี้ไปคือรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับผลโพลในครั้งนี้
เมื่อถามถึงระดับความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ผลการสำรวจระบุว่า อันดับหนึ่ง ร้อยละ 54.46 “ค่อนข้างพึงพอใจ” เพราะให้ความสำคัญในการดูแลและช่วยเหลือประชาชน ลดค่าครองชีพ มีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร, อันดับสอง ร้อยละ 29.85 “พึงพอใจมาก” เพราะทำงานเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ มีการจัดระเบียบสังคมด้านต่างๆ บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น, อันดับสาม ร้อยละ 10.93 “ไม่ค่อยพึงพอใจ” เพราะแก้ไขปัญหาต่างๆ ยังล่าช้า เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น การชี้แจงยังไม่ชัดเจน เข้าใจยาก และอันดับสี่ ร้อยละ 4.76 “ไม่พึงพอใจเลย” เพราะประชาชนควรมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ยังไม่เป็นประชาธิปไตย
ส่วนเรื่องปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานที่ทำให้ผลออกมาอย่างที่เป็นอยู่ อันดับแรก ร้อยละ 40.14 คิดว่าเป็นเพราะเริ่มมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ มากขึ้น มีกระแสโจมตีการทำงานของ คสช., ร้อยละ 34.32 คิดว่าเป็นเพราะปัญหาระหว่าง คสช. กับ สื่อมวลชนที่มีออกมาเป็นระยะ และร้อยละ 25.54 มองว่าเป็นเพราะบ้านเมืองประสบปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองมานาน ต้องอาศัยเวลาในการแก้ปัญหา
(“ประเมินผลงาน 6 เดือน คสช.” จัดทำโดย “สวนดุสิตโพล”)
เหตุใดคะแนนนิยมของ คสช.ในช่วงหลังๆ จึงค่อยๆ ร่วงหล่นลงอย่างต่อเนื่องขนาดนี้? เป็นเพราะเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมาหรือเปล่า? ที่มีนักศึกษากลุ่ม “ดาวดิน” บุกหน้าเวทีที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ และชู 3 นิ้ว พร้อมโชว์เสื้อที่มีตัวอักษรเขียนว่า “ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร” กระทั่งลามมาถึงพื้นที่กรุงเทพฯ “กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย” รวมกลุ่มชู 3 นิ้วและใช้ภาพยนตร์เรื่อง “The Hunger Games: Mockingjay Part1” มาเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง จนส่งให้วุ่นวายไปทั่วบริเวณโรงหนังสกาลาจนถึงภายในโรงภาพยนตร์ของสยามพารากอน
(เมื่อความวุ่นวายทางการเมือง ลามมาจนถึงเรื่องหนัง)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ดร.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ว่าผลการจัดการเหตุการณ์ความวุ่นวายดังกล่าวของรัฐบาลด้วยวิธีเชิญกลุ่มต่อต้านเหล่านั้นไป “ปรับทัศนคติ” อย่างเป็นทางการ อาจมีผลต่อความรู้สึกเรื่องเสรีภาพของประชาชนอยู่บ้าง แต่คิดว่าที่ทำให้คะแนนนิยมร่วงจริงๆ จังๆ น่าจะเป็นเพราะประชาชนเกิดอาการ “3 เบื่อ” ต่อ คสช.มากกว่า
“เรื่องคะแนนความนิยมลดลง อาจจะมาจากสาเหตุอื่นๆ รวมด้วยครับ ผมมองพื้นๆ จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย ขอวิเคราะห์ว่าถ้าเราปกครองมาได้สักระยะหนึ่งแล้วมันไม่มีอะไรเป็นพิเศษเกิดขึ้น หรือช่วยพลิกเหตุการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือให้คนรู้สึกประทับใจ คนก็ต้องเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา ฉะนั้น ที่คะแนนนิยมร่วงลงอาจจะเป็นเพราะคนรู้สึกเบื่อหน่าย ก็เหมือนคู่สามี-ภรรยาแหละครับ อยู่กันนานๆ เข้า ก้นหม้อดำแล้วก็เบื่อกัน
ถ้าให้เจาะลึกรายละเอียด เรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเบื่อหน่ายตอนนี้ พูดตรงๆ ก็น่าจะมีอยู่ 3 เรื่องหลักๆ คือ “เบื่อที่หนึ่ง” เบื่อเรื่องคดีความของคุณทักษิณที่ดูยึกๆ ยักๆ คนดูถึงไม่ได้ แตะไม่ได้ ห้ามนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ อันนี้ก็เป็นเรื่องน่าเบื่อ “เบื่อที่สอง” คือลีลาท่าทางของท่านประยุทธ์เอง ท่านพยายามที่จะออกมาต่อสู้ฝ่าฟันพบกันทุกวันศุกร์ คืนความสุขแก่ประชาชน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง ทำให้เกิดการเบื่อขึ้นมา และเบื่อสุดท้ายคือ “เบื่อที่สาม” เกิดจากการเบื่อผลงานของรัฐบาลที่ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไร แต่ข้าวของก็เริ่มแพงขึ้นพอสมควร โดยเฉพาะพลังงานเชื้อเพลิงอย่างแก๊สหุงต้ม, น้ำมันดีเซลก็ค่อยๆ ขึ้นมา แล้วก็มีปัญหาเรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ต่ำจนเกือบจะติดลบ
สิ่งเหล่านี้กระทบตั้งแต่ชาวบ้านร้านตลาดจนถึงระดับนักธุรกิจส่งออกร้อยล้านพันล้าน ทุกคนเกิดภาวะ “เบื่อ” กันหมด จริงๆ แล้วผมว่าผลสำรวจเรื่องคะแนนนิยมที่ออกมาที่ว่าร่วงลง ผมว่าคะแนนยังตกลงไม่มากเท่าไหร่ด้วยซ้ำ เพราะจริงๆ แล้วถูก “3 เบื่อ” แบบนี้คะแนนต้องตกมากกว่านี้เสียอีก ถือว่าคนไทยยังเมตตา”
เสียรังวัด! ตกหลุมพราง “ชู 3 นิ้ว”
1.พ.ต.อ.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น
2.พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น
3.พ.ต.ท.อนุศักดิ์ ศักดาวัชรานนท์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองขอนแก่น
4.พ.ต.ต.จีรัชติกุล จรัสกมลพงษ์ สวป.เมืองขอนแก่น
5.พ.ต.ต.ชาติชาย ทิมินกุล สว.สส.เมืองขอนแก่น
ทั้งหมดนี้คือรายชื่อนายตำรวจยศใหญ่ทั้ง 5 นายที่ถูกสั่งย้ายออกจาก “โรงพักขอนแก่น” ไปประจำ “ศูนย์ปฏิบัติการ ภ.4” โดยลงนามคำสั่งจาก “พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ” ผบช.ภ.4 การสั่งย้ายโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบยกก้อนในครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เพื่อทดแทนความบกพร่องในหน้าที่จากเหตุที่ปล่อยให้นักศึกษากลุ่ม “ดาวดิน” 5 รายเข้าไป “ชู 3 นิ้ว” จนเป็นประเด็นเดือดในพื้นที่รับผิดชอบในช่วงที่ผ่านมา
(กลุ่ม "ดาวดิน" ผู้บุกชู 3 นิ้วจนส่งผลมาถึงนายตำรวจให้ถูกย้าย)
แค่ยกมือแสดงสัญลักษณ์ธรรมดาๆ ไม่มีอาวุธติดตัวยังถูกรวบตัวเชิญไปปรับทัศนคติ แถมยังพ่วงมาด้วยการย้ายเสือเพื่อเซ่นแบบนี้อีก หลายคนจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “สิทธิเสรีภาพ” อยู่ตรงไหน? เหมาะสมมากน้อยเพียงใดที่รัฐบาลตัดสินใจใช้วิธีนี้เข้าสยบกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์? เรื่องนี้ อาจารย์ทวี นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์การเมืองมีคำตอบให้ผ่านทัศนะส่วนตัว วิเคราะห์ชัดเจนว่างานนี้ผู้ปกครองอาจกำลังเดินเกมผิด!! โดยเฉพาะเรื่องการจัดการกับผู้ต่อต้านที่ชู 3 นิ้ว
“อาจจะพอดีกับว่าวันนั้น (ที่เกิดเหตุนักศึกษากลุ่ม “ดาวดิน” บุกชู 3 นิ้วหน้าแท่นเวทีที่ จ.ขอนแก่น) ทางคนดูแลการจัดงานคงไม่ได้ตรวจตราผู้เข้าร่วมให้ดี ครั้งหน้าทางตำรวจคงจะมีการตรวจสอบกันให้มากกว่านี้ แต่ถ้าเกิดมาดำเนินการจัดการแบบโฉ่งฉ่างแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่สาธารณชนจับตามองและจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จากเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ครับ
ผมมองว่าจริงๆ แล้วไม่น่าทำนะ ไม่น่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ การที่รัฐบาลไปเอาใจใส่ในเรื่องที่คนออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในแบบไม่ได้รุนแรง แต่พอมาจัดการ มาแหย่เรื่องนี้เข้า มันก็จะกลายเป็นกระแส พอเป็นกระแสขยายไปมันก็จะยาก จะใช้อำนาจกี่ร้อยกี่พันเท่ามันก็สู้กระแสไม่ได้ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่แพร่ขยายและเติบโตอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีผมว่าอย่าไปแตะต้องดีกว่า ปล่อยให้เงียบหายไปเอง พอรัฐบาลมาจัดการกับเรื่องนี้ก็ถือว่าเสียรังวัดไปพอสมควร
ตอนนี้มีฝ่ายที่มองคำว่า “เสรีภาพ” กันคนละมิติ ผู้ที่กระทำซึ่งหมายถึง ประชาชน, นักศึกษา เขาก็ไปมองมิติ “เสรีภาพ” ตามระบอบประชาธิปไตย ส่วนผู้ปกครองหรือรัฐ เขากำลังมองในมิติของการใช้อำนาจเด็ดขาด มันก็เลยเป็นการมองกันคนละมุม วิธีการรับมือเพื่อป้องกันเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพแบบนี้มันไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง แต่การที่ผู้ปกครองต้องทำก็เพื่อให้กฎหมายมันศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่ยังใช้กฎหมายอยู่ ก็ต้องทำแบบนี้แหละครับ ลองถ้าเป็นสภาวะบ้านเมืองปกครองแบบปกติสิ อย่าว่าแต่ชู 3 นิ้วเลย จะชูนิ้วเดียวให้ก็ยังแทบไม่เป็นอะไรเลยครับ”
ส่วนเรื่องการสั่งย้ายนายตำรวจยศใหญ่ที่หลายคนคาดว่าน่าจะเป็นการเซ่นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น อาจารย์ไม่มองเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะน่าจะเป็นละครอีกบทหนึ่งที่วางเอาไว้เสียมากกว่า
“ผมไม่ค่อยถือเป็นเรื่องสำคัญนะ เรื่องตำรวจโดนย้ายเนี่ย เพราะการย้ายแค่เป็นการสร้างภาพว่าเอาจริง แล้วเดี๋ยวก็ย้ายกลับ ให้ไปเดินเล่นอยู่ที่ไหนสัก 30 วัน แล้วเดี๋ยวก็ย้ายกลับมา ไม่มีความผิดอะไรหรอก ในที่สุด ตำรวจที่โดนย้ายก็ต้องชี้แจงผู้บังคับบัญชาว่าเล่นละครกันนั่นแหละ ตรงนี้ผมเลยไม่มองว่ามันสำคัญ
ที่สำคัญคือสาเหตุที่โดนย้ายจากการใช้สัญลักษณ์ “ชู 3 นิ้ว” มันเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ตำรวจเป็นไก่ถูกเชือดให้ประชาชนดู ถือเป็นการปกครองในภาวะกฎอัยการศึก เขาก็ต้องการให้มันมีความศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจเด็ดขาด เมื่อมันดูจะไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้ปกครองเลยต้องแสดงอำนาจให้ดู ซึ่งตรงนี้คงได้ผลในระดับหนึ่งแต่คงไม่ถึงกับมีผลชะงักร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะได้ผลแค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง”
เร่งเปิดเวทีเสรี คสช.ยังมีโอกาส
ประชาชนคิดอย่างไรกับการ ชู 3 นิ้ว ประท้วงรัฐประหาร? ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,302 คน ระหว่างวันที่ 19-22 พ.ย.57 โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จากกรณีที่นักศึกษา ม.ขอนแก่นสวมเสื้อไม่เอารัฐประหาร บุกชู 3 นิ้วต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่าผลตอบรับยังค่อนข้างเป็นไปในทิศทางบวกต่อรัฐบาลมากกว่ากลุ่มผู้ต่อต้าน
อันดับหนึ่ง ร้อยละ 79.26 เห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ ไม่ควรออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้, อันดับสอง ร้อยละ 66.13 คิดว่าควรแสดงออกอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์โดยผ่านช่องทางอื่นๆ ที่เหมาะสม และอันดับสาม ร้อยละ 58.29 มองว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล สามารถทำได้ เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง
เมื่อถามว่าผลจากการชู 3 นิ้วดังกล่าวจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในบ้านเราเป็นอย่างไร ร้อนแรงขึ้นหรือไม่? ผลการสำรวจพบว่า อันดับหนึ่ง ร้อยละ 50.69 ตอบว่า “เหมือนเดิม” เพราะคนเบื่อปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง สนใจเรื่องความเป็นอยู่ปากท้องของตนเองมากกว่า, อันดับสอง ร้อยละ 28.11 เห็นว่าทำให้อุณหภูมิทางการเมือง “ร้อนแรงขึ้น” เพราะมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้น อาจมีผู้ไม่หวังดีออกมายุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวาย และอันดับสาม ร้อยละ 21.20 คิดว่า “ไม่ร้อนแรง” เพราะบ้านเมืองในขณะนี้อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก น่าจะควบคุมได้ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการเมือง
ท้ายสุดกับคำถามเกี่ยวกับ “สิ่งที่อยากฝากบอก คสช. เกี่ยวกับการบริหารประเทศ” ซึ่งระบุเอาไว้ในโพลอีกฉบับจากรั้วเดียวกันที่ชื่อ “ประเมินผลงาน 6 เดือน คสช.” นั้น ระบุเอาไว้ว่าสิ่งที่ประชาชนอยากเห็นจากรัฐบาลชุดนี้ที่สุดคือ อันดับหนึ่ง ร้อยละ 42.01 อยากให้คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ เน้นความยุติธรรมและเสมอภาค, อันดับสอง ร้อยละ 36.06 อยากให้บริหารประเทศต่อไป ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ อดทน และอันดับสุดท้าย ร้อยละ 21.93 อยากให้เร่งสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทยโดยเร็ว
(โพลเกี่ยวกับกรณีนักศึกษา ม.ขอนแก่น บุกชู 3 นิ้วจนเป็นเหตุ)
จากผลการสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยยังคงหลงเหลือความไว้วางใจในการบริหารประเทศของรัฐบาลนี้อยู่ ซึ่งตรงกับความคิดเห็นของ ผศ.ดร.ทวี นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์การเมืองที่มองว่ารัฐบาลยังพอมีทางฉุดคะแนนนิยมจากประชาชนขึ้นมาใหม่ได้ เพียงแค่ต้องเลือกวิธีแสดงออกที่เหมาะสม
“ล่าสุด รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผอ.วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งตอนนี้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เขาออกมาเปิดเผยแล้วครับว่า ตอนนี้นายกฯ เห็นชอบแล้วที่จะเปิดพื้นที่ให้เยาวชนออกมาพูดคุยกัน โดยจะเริ่มประมาณเดือน ม.ค.2558 ซึ่งผมว่าจุดนี้น่าจะช่วยเป็นพื้นที่ระบายกาน้ำร้อนที่ต้มเดือดให้มีที่ออกได้บ้าง ไม่อย่างนั้นน้ำจะล้นออกไปจากกา หลักการคือการเปิดพื้นที่ปฏิรูปประเทศให้เยาวชนมาเสนอความเห็น คงเป็นโอกาสที่ดีครับที่จะมีการรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางจากคนทุกฝ่าย ผมว่าใครอยากจะมาชู 3 นิ้วอะไรก็อาจจะมาชูในงานนี้ได้เลย เขาเปิดพื้นที่กันให้เต็มที่
ให้พูดถึงคำว่า “เสรีภาพ” ในยุคนี้ว่าจะแสดงออกยังไงให้เหมาะสม คงต้องเป็นเสรีภาพตามกฎหมายรองรับครับ ถ้ากฎหมายเป็นยังไง เราก็ควรยึดขอบเขตตามกฎหมาย ณ ช่วงเวลานั้น ถ้าเราเป็นเผด็จการ กฎหมายเผด็จการก็จะถูกกำจัดสิทธิเสรีภาพ ถ้าเราไม่ยอมรับ เราคงอยู่ในสังคมไม่ได้ อาจจะต้องไปหาพื้นที่อื่น หรือถ้าอยากจะแสดงออกมากก็ยังแสดงออกได้ครับ เพราะเหตุการณ์การชู 3 นิ้วที่ผ่านมา เขาก็ไม่ได้จับนักศึกษาเข้าคุกนี่ครับ แค่ตักเตือนกันมากกว่า ถือว่ายังใช้อำนาจแบบยืดหยุ่นกันอยู่ ผมเลยมองว่าคนที่ออกมาต่อต้านอาจจะเป็นกลุ่มที่รู้กฎหมาย แต่ก็ยังอยากทำอะไรที่เกินเลย ซึ่งก็ถือว่าอันตรายนะครับ ผมว่าถ้าไม่ชอบระบบจริงๆ อาจจะมีทางออกอื่น ไปขับเคลื่อนประท้วงเรื่องกฎหมายก็อาจจะดีกว่า
ช่วงนี้ก็มีการพูดคุยกันเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึกกันอยู่ ผมว่าแบบนั้นก็โอเคนะครับ คุยกันด้วยเหตุผล เราก็ให้เหตุผลทางรัฐบาลไปว่ามีกฎอัยการศึกอยู่แล้วมันเสียหายเรื่องการท่องเที่ยวยังไง อย่างผมเดินทางมาพัทยาก็เห็นเขาบ่นเรื่องการท่องเที่ยวกัน เราก็ออกมาต่อสู้แบบนี้กันไปได้ บางที คสช.เขาอาจจะหันมาสนใจบ้าง แต่ถ้าเราไปคิดแต่จะจงเกลียดจงชังกัน จะยิ่งทำให้ประเทศเราแย่ลงไปอีก”
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- เด้งเข้ากรุ 5 โปลิศขอนแก่น เซ่นเหตุบุกชู 3 นิ้ว
- ชู 3 นิ้ว รำกระตั้ว คั่วป๊อปคอร์น นอนโรงพัก ปรับทัศนคติ!!?
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754