xs
xsm
sm
md
lg

เปลือยหัวใจ! สาวห้าวสุดเซ็กซี่ “ปุยฝ้าย – ณัฏฐพัชร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้า จะไปไขว่คว้าเอามาดังใจฝัน จะไปให้ถึงปลายทางในวันนั้น จะเป็นคนดังจะอยู่ในแสงไฟ...

ทันที่สิ้นสุดบทเพลงแห่งฝันของการประกวดเรียลิตี้โชว์ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชียเมื่อปี 2550 เธอได้รับนามสกุลต่อท้ายในวงทันที และกลายเป็นชื่อคุ้นเคยที่หลายคนรู้จัก “ปุยฝ้าย เอเอฟ” แฟนคลับห้อมล้อม มันกลายเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ในวงการของเธอ เธอกลายเป็นดาวที่สุกสกาวดวงหนึ่งของวงการ

“ปุยฝ้าย - ณัฏฐพัชร วิพัธครตระกูล” ในปี 2557 ก็ยังคงเป็นดาวที่ทอแสงเจิดจรัญด้วยความสามารถที่พรั่งพร้อม ไม่ว่าเวลาที่ผันผ่านจะทำให้ผู้คนติดตามเธอน้อยลงเพียงใดก็ตาม

“มันมีจุดที่คนติดตามเราน้อยลงด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่างซึ่งเราก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราต้องทำคือเราต้องตั้งใจทำงานของเราให้ออกดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะมีคนรอดูเราติดตามเรามากน้อยแค่ไหนก็ตาม”

หลังแสงไฟแห่งฝัน

หากยังจำกันได้ การประกวดเรียลิตี้โชว์ถือเป็นรายการแข่งขันยอดนิยมในยุคสมัยหนึ่ง ความนิยมพุ่งสูงถึงขั้นมีผู้ติดตามแบบ 24 ชั่วโมง เฝ้าดูชีวิตในบ้านของผู้แข่งขันที่ตนเองชอบ นั่งโหวตนั่งลุ้นจนกลายเป็นหัวข้อพูดคุยยอดนิยม การประกวดทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชียถือเป็นการประกวดยอดนิยมที่สุดรายการหนึ่งของประเทศไทย แม้จะล้วงเลยมาถึงซีซันที่ 4 แล้วก็ยังคงมีผู้ติดตามอย่างต่อเนื่อง

ทว่าปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้แข่งขัน หลังม่านไฟของแห่งฝันปิดฉากลง หลังผู้ชนะได้ชูรางวัลของตนเองอย่างภาคภูมิ หลังจุดสูงสุดจุดหนึ่งในชีวิต พวกเขาหลายคนหายไปจากวงการบันเทิง เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย เสียงปรบมือที่เคยกู่ก้อง ความรักของแฟนคลับ จำนวนโหวตที่เคยพุ่งสูง เพียงไม่นานก็ลดหายลงจนน่าใจหาย
กับเธอก็มิใช่ข้อยกเว้น!

“ช่วงแรกๆที่ออกจากบ้าน เราตกใจมากกับแฟนคลับที่มารักมาชอบเราโดยที่เราไม่รู้จักเขาเลย ตอนที่แฟนคลับทำเว็บไซต์ให้ ฝ้ายก็เข้าไปอ่านทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจที่ส่งให้กันเลย รู้สึกประทับใจมากที่มีคนมาให้ความรักเรามากขนาดนี้” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงแรกหลังออกจากบ้านอะคาเดมี่

แต่หลังจากนั้นแฟนคลับก็ค่อยๆ ลดจำนวนลง จากการประกวดที่จบลงไปแล้ว ซีซันใหม่ของการประกวดที่กำลังจะมาถึง เมื่อรวมกับความเป็นศิลปินหญิง เธอมองว่า แฟนคลับอาจจะไม่ได้เหนียวแน่นเท่าศิลปินชาย หลายเหตุผลจึงทำให้แฟนคลับที่ติดตามเธอเริ่มลดจำนวนลงจนรู้สึกได้

“ฝ้ายค่อนข้างปรับตัวง่ายตรงที่ว่า เรายึดหลักไม่ว่าจะมีคนมาดูเรากี่คนก็ตาม จะมีแฟนคลับเรามั้ย เราก็ต้องทำงานให้ออกมาดีที่สุด แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ได้โฟกัสว่า วันนี้มีคนตามเราเยอะแค่ไหน ฝ้ายจะโฟกัสที่วันนี้เจ้าของงานเขาจ้างเรามา เราก็ต้องทำงานของเราให้เต็มที่ คือเราอยากร้องเพลงให้คนที่เดินไปเดินมาที่ไม่ใช่แฟนคลับหันมามองมากกว่า

“เพราะแฟนคลับเราเขามาเชียร์เราอยู่แล้ว เราร้องเพลงเขาก็กรี๊ดปรบมือให้ แต่เราอยากให้คนที่เดินไปเดินมาไม่ใช่แฟนคลับได้หันมาชื่นชมในสิ่งที่เราทำด้วย กระแสคนมันมีขึ้นลงเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่เราต้องทำคือต้องตั้งใจทำงานทุกอย่างให้ดี ถึงมีคนดูแค่คนเดียวก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพราะเขาก็ตั้งใจมาดูเรา”

นี่เองคือเหตุผลที่ทำให้เธอยังคงอยู่ในวงการ

ทว่าแฟนคลับที่น้อยลงมิใช่ความท้าทายเดียวหลังม่ายปิดลง อีกสิ่งที่ท้าทายสำหรับเธอในวัย 19 ปีคือการปรับตัว ปรับชีวิตให้มาอยู่ในวิถีทางของคนทำงานบันเทิงที่ทั้งต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย และยังต้องรับมือกับกระแสข่าวที่มีขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน

“ช่วงแรกก็ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ มันมีทั้งเรื่องของข่าวและการทำงานที่หนักหน่วงพอสมควร พอเจอข่าวเข้าไปเราก็รู้สึกว่า ทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ตอนนั้นอายุ 19 อยู่ เรายังเด็กมากและไม่มีภูมิต้านทาน แล้วเราก็ต้องเรียนไปด้วย พอทำงานเยอะๆ เรารู้สึกเราแบ่งเวลาลำบาก เหนื่อย แต่ผ่านไป 1 ปีเราก็ปรับได้ไม่มีปัญหา”

ความยากลำบากของชีวิตในวงการกลายเป็นความท้าทาย ข่าวที่ค่อนข้างแรงกลายเป็นสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์เมื่อเวลาผันผ่าน ความเหนื่อยหน่ายของการต้องตื่นเช้าแปรเปลี่ยนเป็นความสนุกที่ได้แข่งกับตัวเอง ความทดท้อจากการต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยถูกแทนที่ด้วยความมีชีวิตชีวาจากการได้ทำสิ่งที่หลากหลายในชีวิต

“มันท้าทายตัวเอง เหมือนเล่นเกมกับตัวเองว่า เราจะลองทำทั้ง 2 อย่างได้ดีไปด้วยกันได้มั้ย? ทั้งเรียนด้วยทำงานด้วย”

กล้าจับไมค์แต่ใจยังสั่น

โคราชคือบ้านเกิดของเธอ การวิ่งเล่นซนคือกิจกรรมประจำวัน เธอเป็นเด็กหญิงสุดที่มีชีวิตวัยเด็กโลดโผนไม่แพ้เด็กผู้ชาย เล่นหุ่นยนต์ เล่นมีดดาบ แทบไม่แตะต้องตุ๊กตา วีรกรรมวัยเด็กของเธอคือ ปีนต้นไม้ขโมยขนุนมา 8 ลูกก่อนเอาให้ไปยายข้างบ้านทำตำขนุนปลาร้า ยังมีแอบจุดประทัดเล่นในตรอกซอยบ้านจนโดนดุใหญ่โต ทั้งยังเคยแอบเข็นรถมอเตอร์ไซค์ของแม่ออกมาหัดขับจนได้แผลถลอกทั่วตัว

“ฝ้ายไม่ค่อยเหมือนเด็กผู้หญิงสักเท่าไหร่ เป็นเด็กแสบมากคะ แต่ก็เป็นเด็กกิจกรรมด้วย เป็นหัวหน้าตั้งแต่อนุบาลยาวมาจนถึงมัธยมแต่ก็เป็นคนโผงผางมากๆ เราจะพยายามทำทั้ง 2 อย่างให้ดีทั้งกิจกรรมและเรียน”

ทว่ากิจกรรมในช่วงวัยเด็กของเธอกลับไม่ใช่การร้องเพลง เธอยังคงเก็บงำการร้องเพลงไว้เป็นกิจกรรมยามว่าง ฝึกหัดร้องเล่นอย่างไม่จริงจังมากนัก การรำ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ถือป้ายกิจกรรม ถือพานตามงานพิธีเป็นสิ่งที่เธอได้รับมอบหมายในแทบทุกปีแทบ

“ตอนนั้นยังรู้สึกเขิน เราจะทำแต่กิจกรรมที่เป็นกลุ่มๆมากกว่า ยังไม่กล้าทำอะไรที่ต้องออกไปคนเดียวแล้วทุกคนจับจ้องมาที่เราอย่างการร้องเพลง”

กระทั่งย่างเข้าสู่ช่วงม. 6 แล้วนั่นเอง กว่าเธอจะเริ่มนับก้าวแรกของการร้องเพลง แน่นอน สำหรับนักร้องอาชีพหลายคนมองว่า การเริ่มที่วัยนี้อาจเป็นก้าวที่ช้าไปเกินไปเสียแล้ว ทว่าเธอก็จริงจังกับการร้องเพลงมากเสียจนสามารถพัฒนาตัวเองไปได้อย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาสั้นๆ

จากที่ชอบร้องเพลงคนเดียว ไม่เคยก้าวขึ้นเวทีไหนเลย เพียงเวทีแรกในชั้นม. 6 ที่ครูบอกให้เธอเข้าร่วมประกอบเป็นกิจกรรมโรงเรียน ณ เวลานั้นเธอยังกอดอกร้องเพลงด้วยท่าทีขวยเขินอยู่เลย แต่นั่นแหละ เธอก็เอาชนะการประกวดครั้งนั้นได้ จากชนะภายในโรงเรียนสู่การแข่งขันระหว่างโรงเรียน จุดนี้มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตเธอ
จากนั้นเธอได้ไปประกวดร้องเพลงที่ห้างเดอะมอลล์โคราชจัดขึ้น เมื่อได้ตำแหน่งชนะเลิศและต้องเข้าไปแข่งขันต่อที่กรุงเทพฯ ที่เดอะมอลล์บางกะปิ การร้องเพลงของเธอก็จริงจังขึ้น

“ตอนนั้นรู้สึกต้องมากรุงเทพฯ แล้วเหรอเนี่ย ฝ้ายตัดสินใจไปเรียนร้องเพลงเพิ่มเติมเพื่อมาใช้ในการประกวดครั้งนี้ พอมาประกวดที่กรุงเทพฯ ดันชนะอีก เราก็เลยรู้สึก เออ มันสนุกดีเหมือนกันแฮะ เราเลยทำให้มันเป็นกิจกรรมพิเศษๆ ของเรา คือมีเรียนหนังสือและร้องเพลง แล้วถ้ามีเวทีที่น่าสนใจก็ไปประกวด ช่วงนั้นฝ้ายก็ถือว่าดวงดี ประกวดเวทีไหนก็ได้หมดเลย”

ทว่าเพียงปีเดียวเธอก็สามารถคว้ารางวัลถ้วยพระราชทานได้สำเร็จจากเวทีพานาโซนิคสตาร์ชาเลนจ์ เธอเผยว่า ในการประกวดร้องเพลงหากใครได้ถ้วยพระราชทานถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดแล้ว และมักจะไม่ประกวดอีก เธอจึงเลิกประกวดนับจากนั้น

เรื่องราวต่อจากนั้นหลายคนคงรู้แล้ว เธอได้เข้าประกวดทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชียและเป็นที่รู้จักในที่สุด

แต่...เพียงปีเดียวเท่านั้นคือจุดเริ่มร้องเพลงของเธอ เพียงก้าวขึ้นเวทีประกวดและชนะ ชนะ ชนะคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เธอมองย้อนกลับไปในช่วงการฝึกซ้อมในแรกเริ่มของการร้องเพลง มันคือช่วงเวลาที่เธอจริงจัง ฝึกซ้อมเพลงเดียวไม่ต่ำว่า 3 - 4 ชั่วโมง และฝึกทีละคำอย่างเจาะลึก แน่นอนว่าส่วนหนึ่งตัวเธอเองก็มีพรสวรรค์อยู่บ้าง แต่พรสวรรค์ก็สู้การฝึกซ้อมไม่ได้

“ก็พอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ร้องพวกลูกคอ ร้องได้ทุกแนวตั้งแต่เด็กได้ แต่ที่สุดแล้วมันก็สู้ความขยันไม่ได้ มันต้องฝึกตัวเองเรื่อยๆ ตอนนั้นฝ้ายต้องมีวินัยกับตัวเองพอสมควร ครูสอนเราจด กลับบ้านมาทำการบ้านก็ร้องเพลง ท่อนไหนร้องไม่ได้เราไม่ปล่อยผ่านเลย ฝ้ายโทรศัพท์หาอาจารย์ทันที ตอนนั้นเราเรียนรู้ได้ไวเพราะเราขยันมากกว่าคะ”
สมัยประกวดอะคาเดมี
ส่องแสงได้ด้วยตัวเอง

เธอเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 17 ปีโดยเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยด้วยทุนที่เธอสอบได้ เธอจึงรบกวนเงินของทางบ้านเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น เพราะเมื่ออายุ 19 ปีเธอสามารถทำงานดูแลตัวเองในชื่อของปุยฝ้าย เอเอฟ
และแม้จะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว อายุยังน้อยแต่พ่อแม่ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเธอมากนัก เพราะตั้งแต่เด็กเธอถูกเลี้ยงให้สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง

“แม่ฝ้ายค่อนข้างเลี้ยงดูแบบให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่เด็กๆ เขาจะไม่โอ๋ เวลาอยากได้อะไรก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง กินข้าวเสร็จฝ้ายต้องเอาจานไปล้างเอง อันนี้ผ้าของฝ้ายเอาไปซักเองนะ แม่จะสอนให้เราช่วยเหลือตัวเอง เวลาทำผิดแม่จะถามว่า ทำไมถึงทำแบบนี้ ให้เราได้คิด เขาจะไม่ได้ตีเราอย่างเดียวโดยที่ไม่มีเหตุผล ส่วนใหญ่จะให้รับผิดชอบตัวเองให้ดีที่สุด”

ทุกวันที่ผันผ่านของชีวิตในกรุงเทพฯ เธอคุยกับแม่ทุกวันไม่เคยขาดหาย และแม่ก็คุยกับเธอเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่สามารถคุยได้ทุกเรื่อง เธอจึงไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง ทั้งยังไม่เคยสร้างเรื่องกลุ้มใจใดๆ

“พ่อแม่ก็ไม่เป็นห่วง เขาค่อนข้างเชื่อใจ เพราะว่าที่ผ่านมาเอาจริงๆ เราไม่ได้เกเร เราคอยรายงานเขาตลอด สมัยอยู่โคราชฝ้ายเป็นคนไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหน ไม่ชอบไปเที่ยว เป็นเด็กติดบ้าน ชอบอยู่บ้าน มาอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยไปไหนเท่าไหร่ อยู่แต่คอนโดไม่ชอบเที่ยวกลางคืนก็เลยไม่มีอะไรน่าห่วง”

หลังจากเธอเข้าวงการเธอก็ให้แม่ออกจากงานที่ทำและส่งเงินเลี้ยงดูที่บ้านมาโดยตลอด สิ่งนี้คือเป้าหมายหนึ่งในชีวิตของเธอ ในช่วงวันว่างหากเธอมีเวลา มีกิจกรรมให้ทำร่วมกับแม่ เธอก็จะให้แม่ขึ้นมาหา แต่หากเธอว่างก็มักจะเป็นเธอที่ขับรถไปหาครอบครัวที่โคราชเป็นครั้งคราว

“แม่ฝ้ายอยู่โคราชถ้าแม่เขาว่างแล้วฝ้ายมีกิจกรรมที่ให้เขาขึ้นมาสนุกสนานด้วยกันได้ ฝ้ายก็จะให้แม่ขึ้นมาหา แต่ส่วนใหญ่ถ้าฝ้ายต้องทำงานก็จะไม่ให้เขาขึ้นมา เพราะเขาต้องอยู่ห้องคนเดียวฝ้ายเป็นห่วง หรือถ้าฝ้ายว่างก็จะขับรถไปที่โคราช แต่ยังไงเราก็พูดคุยกันทุกวัน

“ตอนนี้มาอยู่กรุงเทพฯ 10 ปีแล้วก็คุยทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่คุย อย่างเพื่อนคนอื่นๆ พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดอาจจะคุยกันอาทิตย์ละครั้ง แต่ฝ้ายจะคุยทุกวัน มันก็ทำให้รู้สึกไม่ได้ห่างไกลกันมาก”

ความห่วงใยที่เติมเต็มผ่านสายโทรศัพท์ทุกวันนั้นมาพร้อมกับคำสอนที่ส่งผลถึงชีวิตเธอในปัจจุบันด้วย แม่มักจะสอนให้เธอรักตัวเองอยู่เสมอ

“หลักๆ แล้วแม่จะสอนให้เรารักตัวเองและรับผิดชอบตัวเอง เมื่อไหร่ที่เรารักตัวเองเราจะคิดได้ว่าอะไรไม่ดีกับชีวิตแล้วเราก็จะไม่ทำ เราจะมีจิตสำนึกขึ้นมาเลยว่า ที่เราไม่ทำเพราะมันไม่ดีกับตัวเรานะ เดี๋ยวแม่จะเสียใจ เมื่อคิดได้แบบนั้นมันก็ทำให้เราประคองตัวเองอยู่ได้”

ธรรมะเยียวยาจิตใจ

ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวทะเล เล่นกีฬา พักผ่อนคือกิจกรรมยามว่างโดยรวมๆ ของเธอ แต่สิ่งที่เธอรู้สึกมีผลต่อการใช้ชีวิตมากที่สุด และเป็นสิ่งที่เธอทำเป็นงานอดิเรกก็คือการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจุดเริ่มจะเป็นอะไร กระแสคนดังรักธรรมะหรือไม่ แต่เธอเริ่มศึกษาธรรมะตั้งแต่ปี 2554 จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติธรรม แม้จะไม่บ่อยนักด้วยเวลาที่จำกัดของชีวิตคนทำงานบันเทิง แต่เธอก็นำหลักธรรมเหล่านั้นมาปฏิบัติในชีวิตได้อย่างเห็นผล

“ฝ้ายเริ่มศึกษาธรรมะตั้งแต่ปี 54 แล้วเราก็มีการไปร่วมปฏิบัติด้วย ก็มีประปรายอาจจะไม่ได้บ่อยมาก แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องพวกนี้”

หากมีเวลาเธอก็มักจะปฏิบัติธรรมก่อนนอน ตั้งแต่สวดมนต์ นั่งสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เดินจงกรม โดยจุดเริ่มต้นการศึกษาธรรมะและการปฏิบัติธรรมของเธอนั้นมาจากการอ่านหนังสือ

“เริ่มต้นเราได้อ่านแล้วเรารู้สึกศรัทธา เออ รู้สึกจริงๆ ว่าเราได้เจอของดีแล้ว เราเจอธรรมะแล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นที่สุดของชีวิต พออ่านแล้วเรารู้สึกเชื่อ เราก็อยากพิสูจน์ว่ามันดียังไง พระพุทธเจ้าบอกว่า เราต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนถึงจะเชื่อว่าดี

“จากนั้นก็เริ่มหาสถานที่ปฏิบัติธรรมแล้วก็เริ่มไปปฏิบัติด้วยตัวเอง เราก็นำหลักธรรมมาใช้กับชีวิตได้เยอะมาก ก็รู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ดีที่อยู่ใกล้ตัวและเราไม่ควรทิ้ง”

ในรอบ 1 ปีนั้นเธอมักจะไปปฏิบัติธรรม 1 ครั้ง อาจจะดูน้อยแต่นั่นคือการเบียดตารางมากที่สุดของเธอ เพราะต้องใช้เวลาปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ครั้งละกว่า 5 วันด้วยกัน อย่างไรก็ตาม หากมีเวลาว่างเธอก็ยังคงปฏิบัติธรรมอยู่เสมอเป็นเรื่องปกติ

หลังจากนำหลักธรรมเข้ามาใช้กับชีวิต เธอเผยว่า มีส่วนช่วยในทั้งการทำงาน และการใช้ชีวิตของเธอ ทั้งเรื่องของสมาธิในการทำงาน การปล่อยวางเมื่อถูกปฏิเสธ กระทั่งความเป็นคนใจร้อนที่เย็นลงมากอีกด้วย ศีลธรรมหลายข้อผุดขึ้นในสำนึกของการมีชีวิตอยู่ของเธอ

“วิปัสสนากรรมฐานทำให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะ หมายความว่า เราทำอะไรก็ให้เรารู้ตัว เรากินข้าวก็ให้เรารู้ว่ากินข้าว เดินก็รู้ว่าเดิน คือคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้เวลาทำอะไรเขาเรียกว่าตามตัวเองไม่ค่อยทัน บางคนขับรถอยู่เท้าเหยียบคันเร่งแต่หัวไปคิดเรื่องอื่น คือเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน พอเราไปปฏิบัติธรรมมันก็ทำให้เรามีโฟกัสในการทำงานมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น

“นอกจากนี้ฝ้ายยังใจเย็นมากขึ้น รู้จักให้อภัย เขาเรียกว่ามันมีความเกรงกลัวต่อบาป แต่ก่อนทำอะไรก็ไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง ตอนนี้ทำอะไรก็คิดว่าทำอย่างนี้มันไม่ดีนะ เดี๋ยวมันมีผลกรรมมาถึงเรา คือฝ้ายก็เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม พอเราไปปฏิบัติธรรมมันก็ทำให้เราได้ศึกษาในเรื่องต่างๆ มันทำให้เราไม่กล้าทำบาป ทุกวันนี้ฝ้ายรับศีลปรมัตถ์หมายถึงรักษาตลอดชีวิต รับมา 3 ข้อแล้วคือเราจะไม่ผิด

“ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราไม่ยึดติดกับอะไร แต่ก่อนเวลาทำงานตรงนี้เราจะรู้สึก ทำไมงานนี้มันไม่ใช่ของเรานะ เราเสียดายงานนี้จัง เราก็เครียด ตอนหลังเราก็รู้สึกว่า อันนี้มันไม่ใช่ของเราก็คือไม่ใช่ อันไหนที่มันเป็นของเราเดี๋ยวมันก็ถึงเราเอง แล้วแต่ก่อนฝ้ายเป็นคนใจร้อนโมโหร้ายมาก โกรธทีทุกอย่างพังตรงหน้าเลย เดี๋ยวนี้โกรธก็ให้รู้ตัวว่า โกรธ แล้วสักพักมันก็จะใจเย็นลงเอง”

จากบทเพลงสู่ละครเวที

บนโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนใบนี้ การเข้าสู่วงการของดารา นักแสดง นักร้อง ผลัดเปลี่ยนเวียนบทบาทกันอยู่เสมอ หลังออกจากบ้านเอเอฟในฐานะนักร้อง เธอกลับได้รับโอกาสแรกในการทำงานละคร จนถึงตอนนี้เธอมีงานละครมากมาย ตั้งแต่นารีเริงระบำทางช่อง 3 ชิงรักหักสวาททางช่อง 8 ยังมีที่ถ่ายอยู่อย่างไม่สิ้นไร้ไฟสวาททางช่อง 7 และใกล้จะเปิดกล้องกับกำไลมาศ และเจ้าบ้านเจ้าเรือนของช่อง 3 แม้จะเป็นบทสมทบแต่เป็นเด่นจนหลายคนจดจำและมีแฟนละครติดตาม

ปีหน้าในเดือนกุมภาพันธ์ก็ยังมีละครเวที วันทอง เดอะมิวสิกคัล!

งานละครกลายเป็นงานหลักของเธอไปแล้ว เธอเผยว่า จุดเริ่มต้นของงานในสายนี้มาจากการเล่นละครเวทีเรื่อง โจโจ้ซัง เดอะมิวสิกคัลเมื่อหลายปีก่อน จากบทดาวร้าย - ตลกในเรื่องที่ฉายแววไปเข้าตาผู้จัดละคร ชักชวนเธอมาเล่นซิทคอมก่อนจะต่อด้วยละครทีวีเรื่องมนต์รักลูกทุ่ง เพียงเท่านั้นงานละครก็เข้ามาอยู่ในตารางงานของเธออย่างแน่นขนัด

“ละครเรื่องแรกคือมนต์รักลูกทุ่งจากนั้นก็ยาวเลยคะ มีละครเข้ามาต่อเนื่องทุกปี ส่วนใหญ่ผู้จัดจะบอกเราเล่นไม่ห่วงสวย เล่นชัดดี ผู้จัดเขาก็เลยสะดวกใจสบายใจที่จะร่วมงานกับเรา”

แต่จากงานร้องเพลงมาสู่งานละครนั้น เธอต้องฝึกฝนตัวเองแต่ทำให้ได้ค้นพบเสน่ห์ของงานในแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน

“เสน่ห์มันอยู่ที่เรื่องของบทบาทที่มันแตกต่างกันออกไป ถ้ามันตรงกับเราก็เล่น แต่บางอย่างมันไม่ตรง เราก็ได้ปรับตัวเปิดมุมมองใหม่ๆ เราได้ประสบการณ์ชีวิตซึ่งเราไม่ต้องลองเลย

“อย่างมีเรื่องหนึ่งฝ้ายเล่นเป็นผู้หญิงค่อนข้างแรง ทำอะไรผิดๆ แรงๆมาเยอะ ชีวิตจริงเราก็ไม่ต้องลอง เราแค่สมมติตัวเองไปเล่นในละครเราก็รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์

“นอกจากนั้นเราก็สนุกกับการได้ทำงานกับคนอื่นๆ ด้วย มันได้ทะลุกำแพงตัวเองออกมา ได้ท้าทายตัวเอง เพราะคาแรกเตอร์มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย”

ในส่วนของการเข้ามาสู่การแสดงละครเวทีที่เธอมีผลงานออกมาทุกปีโดยมักจะได้รับบทนำเสมอจากประสบการณ์ที่มากขึ้น เธอเผยว่า ละครเวทีเป็นงานที่รักและสนุก แม้จะต้องใช้เวลาฝึกซ้อมอย่างหนัก และได้เงินไม่มากเท่าใดนักก็ตาม

“ละครเวทีเป็นอะไรที่เงินไม่เยอะ ใช้เวลามาก ต้องทุ้มเทแรงกายแรงใจมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็อยู่ที่ความชอบ ความสนุก เพราะบนเวทีทุกอย่างมันอยู่ที่เรา มันไม่ใช่แค่ออกไปพูดบท มันต้องแสดงออก มันต้องจำบล็อกกิ้ง ต้องจำแสงไฟ ต้องจำคิวเองทุกอย่าง

“ฝ้ายว่าถ้าใครผ่านละครเวทีได้ ละครทีวีก็ง่ายเลยคะ และฝ้ายก็ชอบมากกว่าด้วย โดยเฉพาะมิวสิกเคิลเวลาเล่นกับดนตรีสด เราก็ต้องสื่อสารกับนักดนตรีที่เราไม่สามารถเห็นหน้าเขาเพราะเขาเล่นอยู่ด้านหลังเรา เราต้องอาศัยความรู้สึกและการซ้อมซึ่งเราต้องร้องประสานไปกับเขา”
ภาพคู่กับคุณแม่
ความรักและความฝัน

“แม็ค - วีรคณิศร์ กานต์วัฒนกุล” คือผู้ร่วมประกวดทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซัน 6 เป็นนักแสดงที่กำลังสมชื่อเสียงคนหนึ่ง และก้าวขึ้นมารับบทพระเอก แต่นอกจากบทบาทในวงการ สถานะปัจจุบัน เขายังเป็นคนรักของเธอด้วย
“ก็เหมือนกันเลย ทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะปฏิบัติธรรมมันจะมีคำว่า เราจะไม่นึกถึงอดีตไม่คาดหวังกับอนาคต ทำทุกวันให้ดีแล้ววันพรุ่งนี้มันจะดีเอง เราก็คิดแต่ว่าทุกวันนี้ก็ดูแลกันให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอแล้ว”

ระยะเวลา 3 ปีที่คบหา ความสัมพันธ์ถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ มีการดูแลกันตามประสาคนรัก และมองเพียงปัจจุบันของการอยู่ด้วยกันเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า แต่ก็มีมองถึงเรื่องแต่งงานไว้บ้างแล้ว

“จริงๆ ก็มีคุยกันบ้าง เพราะเราจะอายุ 30 กันแล้ว แต่มันเป็นการคุยที่ไม่ซีเรียส คิดเสมอว่าอนาคตไม่แน่นอน ทุกวันนี้คบกันก็ชวนกันไปปฏิบัติธรรมนะ หลักธรรมสอนไว้เลยว่า อย่าไปคาดหวังกับอนาคต ให้ทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบันขณะ อนาคตเราไม่รู้

“สักวันหนึ่งเขาอาจจะไปเจอกับคนที่ใช่กว่าเราก็ได้ แต่ทุกวันนี้ขอให้ดีต่อกันก็พอ ฝ้ายยังบอกเลยว่าให้ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก ถ้าวันนี้หันมามองหน้าเราแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ให้พูดมาเลยแบบแมนๆ อย่าหลอกเราด้วยการไปมีคนอื่น พูดตรงๆ เราเชื่อว่าเรายอมรับได้ แต่ถ้าโกหกแล้วหลอกกันอย่างนี้ มันจะเกิดความเกลียด”

ในส่วนของความฝันที่วางไว้ เธอไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนนัก ทุกวันนี้ยังคงจดจ่ออยู่กับการทำงานในทุกวันให้ดีที่สุด และทำตามเป้าหมายที่วางไว้คือการดูแลตัวเองให้ได้ แต่ดูแลที่บ้านไปพร้อมๆ กันด้วย

“ตอนนี้ฝ้ายก็พยายามประหยัดเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อเอาไปต่อยอดในอนาคต แต่จะทำอะไรก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เรายังมีงานตรงนี้ก็ทำให้ดีที่สุด จริงๆ ก็ควรจะคิดได้แล้วแหละแต่ยังไมได้คิดสักทีเพราะไม่มีเวลาเลยคะ”



รายการเรียลิตี้สำหรับหลายคนจบลงเมื่อเวทีสิ้นแสง และผู้ชนะปรากฏตัว แต่กับชีวิตจริงๆ มันเป็นเพียงฉากหนึ่งของบทเริ่มต้น มองผ่านตัวปุยฝ้าย เอเอฟ หรือปุยฝ้าย - ณัฏฐพัชร วิพัธครตระกูล จากชีวิตฝันของดวงดาวอันโดดเด่นบนเวทีประกวดระดับประเทศ ถึงวันนี้ดวงดาวก็ยังคงเป็นดวงดาว เวลาที่ผันผ่านกลายเป็นบทพิสูจน์ และเธอยังคงสุกสกาวแม้จะบางเบาแสงลงหากแต่สว่างไสวได้ด้วยตัวเอง...

เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ขอบคุณภาพจาก นิตยสารมาร์ ฉบับที่ 144
ครอบครัว
ไปเที่ยวทะเลยามว่าง
บทบาทจากละคร ชิงรักหักสวาท
ละครเวทีเรื่องใหม่ วันทอง เดอะ มิวสิคัล
ปฏิบัติธรรมกับคนรู้ใจ แม็ค – วีรคณิศร์




ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754


กำลังโหลดความคิดเห็น