xs
xsm
sm
md
lg

สุด(บั้น)ปลายสตั๊ดของ “ลีซอ – ธีรเทพ วิโนทัย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย่าพูดคำว่า “ไม่” ในวงการฟุตบอล นี่คือสัจธรรมอย่างหนึ่งของวงการลูกหนัง กับชีวิตบนหนทางค้าแข้งที่เดินมาถึงเลข 29 ของ “ลีซอ - ธีรเทพ วิโนทัย” หลายคนอาจมองว่าขวบปีที่ 29 คือช่วงขาลงในชีวิตเชิงลูกหนังแล้ว หรืออาจบอกว่า นี่คือบั้นปลายชีวิตค้าแข้งของเขา

“อายุ 29 ปีผมว่านี่คือช่วงพีคของชีวิตการค้าแข้งมากกว่า ผมมั่นใจว่าตัวเองดูแลร่างกายดีพอที่จะอยู่บนจุดนี้ได้อีกระยะหนึ่งนะ และผมคิดว่าตัวเองน่าจะก้าวไปได้ไกลกว่านี้” เขาเอ่ยพร้อมแย้มยิ้ม ดวงหน้ายังคงฉายแววความเป็นดาวรุ่งไม่ต่างจากเมื่อครั้งหลายปีก่อน

ในช่วงที่กระแสบอลไทยกลับมารุกโหมจากฟอร์มการเล่นที่เร้าใจ ทว่าหลายครั้งกองเชียร์ก็หลงลืมซูเปอร์สตาร์ที่เคยสร้างผลงานกับทีมไว้อย่างโดดเด่น และเขาคือหนึ่งในนั้น

ในช่วงเวลาที่ชีวิตเจิดจรัสจนถึงที่สุด ผ่านหยาดเหงื่อในสนาม ผ่านเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ ต่อไปนี้คือบทบันทึกถึงความเปลี่ยนแปลงในฐานะนักฟุตบอลที่มากไปด้วยสีสันที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย

มุทะลุสู่ความทุ่มเท

อาทิตย์เริ่มตกดินเป็นเวลาเหมาะแก่การลงฝึกซ้อม ลีซอปรากฎตัวพร้อมรถคันใหม่และผมทรงใหม่ทันทีที่ก้าวลงจากรถ เมื่อไม่นานมานี้เขาเองก็เพิ่งย้ายต้นสังกัดใหม่จากบางกอกกล๊าส (Bangkok glass) สู่เพื่อนตำรวจ (Police United) ดูเหมือนหลายสิ่งหลายอย่างที่แปลกใหม่กำลังเข้ามาสู่ชีวิตค้าแข้งของเขา ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่แปรเปลี่ยนคือความมุ่งมั่นที่เขายังคงทุ่มเทอย่างเต็มร้อยทุกครั้ง

“ผมพยายามก้าวเท้าซ้ายเข้าเส้นสนามทุกครั้ง มันเป็นเคล็ดที่แม่ผมบอกมาอีกที เหมือนเวลาออกจากบ้านก็ก้าวเท้าซ้ายออกจากบ้านเสมอ นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำมาตลอด” เขาเผยถึงบางอย่างที่ทำอยู่เสมอในฐานะนักเตะ “แล้วก็อาจจะมีเหมือนเราเคารพสถานที่ก็อาจจะมีไหว้สนามก่อน บอกเขาก่อนว่าเรามาดีนะ ขอให้บุญบารมีช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการแข่งขันวันนี้ด้วย เหมือนเป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวพุทธอย่างเรา”

ในทางเทคนิคเชิงลูกหนังแล้ว การเล่นของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป จากศูนย์หน้าตัวเป้าสู่กองกลางริมเส้น ความตั้งใจเต็มร้อยในสนามยังคงเต็มเปี่ยม แต่ก็ลดดีกรีความร้อนแรงของอารมณ์วัยรุ่นที่เป็นปัญหาลง จากมุทะลุมาสู่ความมุ่งมั่นแทน

“เมื่อก่อนเราจะมุทะลุไปหน่อยอารมณ์ร้อนใจร้อน แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วจะไม่มุทะลุดุดันจนทำให้เกิดผลเสียกับทีม เราสุขุมและมีสมาธิกับเกมมากขึ้น วิธีการเล่นของเราก็ช่วยเหลือเพื่อนได้มากขึ้น

“ตำแหน่งในทีมมันก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่ได้เล่นกองหน้าตำแหน่งที่รอยิงประตูอย่างเดียว เราลงมาเล่นมิดฟิลริมเส้นเพื่อช่วยเพื่อนทั้งเกมรุกและเกมรับด้วย เหมือนหลายๆ อย่างมันก็เปลี่ยนไป มันก็ทำให้เรามีหน้าที่มีภาระมากขึ้นด้วย”

อีกด้านที่หลายคนพูดถึงเขาคือความเป็นสีสันที่ไม่เคยห่างหายไปจากความสนใจของแฟนบอล ในช่วงชีวิตการค้าแข้งที่ผ่านมา ตั้งแต่ดาวรุ่งโด่งดังจนถึงปัจจุบัน เขายังมองว่า เป็นเส้นทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามสเต็ป ตามเส้นทางนักเตะแม้จะไม่ได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบและพบกับช่วงที่ไม่ดีบ้างก็ตาม แต่เขาก็ยังคงก้าวไปบนสนาม วิ่งไปด้วยฝีเท้าที่มุ่งมั่นกับอาชีพของเขาอยู่เสมอ

“ผมเป็นคนที่มุ่งมั่นกับตรงนี้พอสมควรเพราะอยากให้มันประสบความสำเร็จ ให้มันอยู่ในเส้นทางที่ดีอยู่เรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมามันก็ดีแต่ก็อาจจะมีบางช่วงที่โชว์ผลงานไม่ดีบ้าง ฟอร์มตกบ้าง แต่เราก็ยังพอจะอยู่ในเส้นทางของเรา อาจจะมีท้อแท้บ้างแต่เราไม่ไขว้เขวและเราไม่เคยหลุดออกมาจากกรอบที่เรามีอยู่หรือตั้งเป้าเอาไว้”

ความหนักหน่วงของปลอกแขนกัปตัน

ในช่วงชีวิตของนักฟุตบอลคนหนึ่งต้องเปลี่ยนผ่านจากนักเตะดาวรุ่งน่าจับตา ความหวังใหม่ของวงการสู่การเล่นที่ถูกวิพากษ์กระทั่งกลายเป็นความหวังของทีม หากไปต่อได้พวกเขาจะกลายเป็นตำนาน หลายคนหากมีความเป็นผู้นำก็จะก้าวไปสู่ตำแหน่งกัปตันทีม!

ลีซอก็เป็นนักฟุตบอลคนหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำที่กระหายในชัยชนะ ปลอกแขนกัปตันจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกสวมให้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการทำงานหนักเหล่านั้น จากบางกอกกล๊าสสู่เพื่อนตำรวจ เขาได้ชื่อว่ากลายเป็นกัปตันทีมเต็มตัวแล้ว

“อันดับแรกคือได้รับเกียรติจากผู้ใหญ่ มันทำให้รู้ว่า อ๋อ ผู้ใหญ่เขาก็ไว้ใจเราตรงนี้ เขาก็เห็นว่าเรามีความเป็นผู้นำ สามารถดูแลเพื่อนๆได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ”

อย่างไรก็ตาม เขายังคงถ่อมตัวและมองว่าในเกมฟุตบอลนั้นผู้เล่นทั้งทีมสามารถเป็นกัปตันได้หมด

“ฟุตบอลจริงๆทุกคนก็สามารถเป็นกัปตันทีมได้หมดแหละ ผู้ใหญ่อาจจะไว้ใจเราซึ่งเป็นสิ่งที่ดี อีกเหตุผลอาจจะเป็นเพราะในเกมฟุตบอลมันต้องมีการพูดคุย สื่อสาร สั่งการกัน เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่พูดคุยภาษาไทย - อังกฤษได้ด้วย เลยสามารถสื่อสารได้หลายๆอย่าง และด้วยความที่เรามีประสบการณ์ผ่านอะไรมาเยอะ เราก็อาจจะช่วยเพื่อนๆหรือน้องๆในทีม เวลาที่เขามีช่วงเวลาที่ไม่ดีอะไรก็สามารถช่วยดึงเขาขึ้นมาได้”

แต่ก็สิ่งที่เขาทำอยู่ตลอดเวลาในสนามนั้น กลับยังคงเป็นสิ่งเดิมทั้งการมีส่วนร่วมในฐานะนักเตะที่ทุ่มเท และมีส่วนในการคอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม ทั้งหมดนี้เป็นบุคลิกในสนามของเขาอยู่แล้ว

“หน้าที่มันก็มีเพิ่มขึ้นบ้างนิดหน่อยแต่ก็เป็นสิ่งที่เราทำประจำอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เป็นกัปตันทีมเราก็จะเป็นคนกระตุ้นเพื่อนๆในสนามอยู่แล้ว มันเป็นคาแรกเตอร์ของเราในสนาม”

รถยนต์ - โลกใบที่สองของลีซอ

จากชีวิตวัยเด็กเป็นนักเตะฝึกหัดที่ประเทศอังกฤษ ความเก่งกาจในเชิงลูกหนังคือสิ่งหนึ่งที่เขาเก็บเกี่ยวกลับมา ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังกลายเป็นแรงผลักดันในเวลาต่อมาของชีวิตเขาก็คือ ความรักในรถยนต์!

ยานยนต์ความเร็วสูง รูปทรงงดงามกลายเป็นสิ่งที่เขารักและหลงใหล จากความหวือหวาในการเล่นบอลแบบกองหน้าสู่ความชอบในความรวดเร็วของรถสปอร์ต การไปให้ถึงเป้าหมายในการไขว่คว้าในสิ่งที่รักกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เขาทำผลงานให้โดดเด่นในสนาม

“ชอบมาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ ตั้งแต่เล่นในอังกฤษเราจะเห็นนักฟุตบอลเขาใช้รถหรูๆดีๆกัน เราก็อยากได้บ้าง มันเป็นแรงบันดาลใจของเรา มันเป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งด้วยให้เราขยันให้เรามุ่งมั่นเพื่อที่จะหาเงินมาซื้อตรงนี้”

ความหลงใหลคลั่งไคล้ในรถยนต์ของเขาเป็นเสมือนอีกโลกหนึ่งตัดจากโลกลูกหนัง เมื่อมีเวลาว่างเขาจึงมักจะศึกษาข้อมูลรถจากเว็บไซต์ต่างๆ และจากคนรอบข้างที่อยู่ในแวดวงนี้ และรถสไตล์สปอร์ตแบบ 2 ประตูก็เป็นรถในแบบที่เขาชื่นชอบ

“ถ้าซื้อรถจะต้องตอบโจทย์การใช้งานที่สามารถใช้การได้ทุกวันครับ เพราะว่าผมซื้อรถมาด้วยเงินเท่านี้ มันควรจะต้องสามารถพาผมไปไหนได้ทุกวัน สามารถอยู่กับผมได้ทุกวัน ไม่ใช่ใช้ 2 - 3 วันต้องพัก หรือต้องเปลี่ยนรถเป็นคันอื่น อีกเรื่องหนึ่งคือรูปร่างหน้าตา มันต้องมีมิติของรถที่ดูสวย สุดท้ายคือต้องสามารถขนของได้และมีที่นั่งโดยสารที่กว้างพอด้วย”

สำหรับรถคันล่าสุดของเขา “Chevrolet Camaro ZL1” คันสีเหลืองโดดเด่นที่หลายคนคุ้นหน้าตาจากภาพยนตร์แอกชั่นเรื่องดังอย่าง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส

“คันนี้ชอบมากครับ ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของสมรรถนะ การขับขี่ก็สบาย เพื่อนๆ พอได้นั่งก็รู้สึกว่ามันนั่งสบาย ล่าสุดขับไปเที่ยวก็ขับง่ายสบาย ที่ใส่ของข้างหลังอาจจะดูเล็กแต่ลึกเข้ามาหน่อยก็ใส่ของได้เยอะ เครื่องเสียงไม่เยอะแต่ก็สามารถที่จะใช้ได้ทุกอย่าง คือทุกอย่างมันใช้งานได้อย่างเหมาะสม”

ดอกไม้และก้อนอิฐ

ในเกมกีฬามักมีวันที่ดีและย่ำแย่เสมอ...ยิ่งกับกีฬายอดนิยมอย่างฟุตบอล ความคาดหวังของกองเชียร์ก็ยิ่งสูงและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งรุนแรง ไม่ว่าในทางดีอย่างการเฉลิมฉลองหรือในทางร้ายอย่างการก่นด่า ที่หลายครั้งสาดเสียเทเสียรุนแรงจนนักเตะหลายคนหมดกำลังใจ เขาเองที่เป็นศูนย์ดาวรุ่งขึ้นมาก็ต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน
ความรุนแรงของกระแสลบจากกองเชียร์ในบางยุคบางสมัยของบอลไทยที่ตกต่ำลง ผลงานย่ำแย่ลง ตัวเขาเองก็รู้สึกหมดกำลังใจถึงขั้นคิดที่จะออกจากเส้นทางชีวิตสายลูกหนังไปแล้ว

“อาจจะเป็นช่วงที่ฟอร์มไม่ดีนัก คนวิจารณ์เราในทางไม่ดี มันเป็นช่วงเด็กๆ ที่พึ่งเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่ๆ ซึ่งเราไม่คุ้นเคยทำให้รู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ เรามาเปลืองตัวให้เขาด่าทำไม เราไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ย? แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆ นิดเดียว เพราะเป้าหมายเราชัดเจนกับชีวิตมากๆ”

โดยช่วงชีวิตที่เขาหวนกลับมาจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็คือวันที่เขาทำประตูได้ ในฐานะกองหน้าไม่มีสิ่งใดที่จะยอดเยี่ยมไปมากกว่านี้ ประตูนั้นเกิดขึ้นใน 2548 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลซีเกมส์ครั้งที่ 23 ที่จัดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ เขาลงไปในสนามในฐานะตัวสำรองและสามารถทำแฮตทริก ยิงได้ 3 ประตู พาทีมชาติไทยเอาชนะเวียดนามและคว้าแชมป์ได้สำเร็จ!

“จากช่วงต้นๆ ทัวร์นาเมนต์เหมือนเราโดนวิจารณ์เยอะเพราะเรายิงประตูไม่ได้ แล้วพอเรากลับมายิงได้อีกครั้งหนึ่ง และทำประตูได้เยอะด้วย ได้เป็นดาวซัลโวร่วมด้วย แถมยังพาทีมคว้าแชมป์ เราก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจกับมันมาก”

บั้นปลายสตั้ดวัย 29

หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เมื่อตัวเลขอายุเคลื่อนคล้อยมาถึง 29 ความหมายของชีวิตการค้าแข้งก็เปลี่ยนแปลงไป ทั้งทัศนคติในการเล่น ตำแหน่งแห่งที่ในสนาม ทว่าบางอย่างก็ยังไม่เปลี่ยน สำหรับเขาความคาดหวังต่อเส้นทางชีวิตยังคงเป็นไฟที่ร้อนแรงอยู่ในใจอย่างไม่มีวันดับเสมอ

“ผมมีเบ็คแฮมเป็นไอดอล ก็อยากเป็นให้ได้อย่างเขา มีให้ได้อย่างเขา” ลีซอเอ่ยน้ำเสียงยังคงคุกรุ่นด้วยความมุ่งมั่นไม่ต่างจากนักเตะดาวรุ่ง “คือเบ็คแฮมเขาเก่งทั้งในและนอกสนาม ประสบความสำเร็จในฐานะนักฟุตบอล มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเงินเยอะและเขามีทุกอย่างที่ประสบความสำเร็จอย่างรอบด้านซึ่งเขาได้มาด้วยฟุตบอลล้วนๆ เราก็เลยอยากเป็นให้ได้อย่างเขา อย่างน้อยเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี”

โดยตัวเลข 29 ปีนั้น แม้เขาจะบอกว่าจุดนี้ยังไม่ใช่จุดสูงสุดในชีวิตการค้าแข้ง หากแต่ยังคงสามารถก้าวขึ้นไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่เขาก็เริ่มคิดถึงชีวิตในช่วงบั้นปลายไว้บ้างแล้ว

“ก็ต้องคิดๆ ไว้บ้างแล้ว แต่ผมเชื่อว่าด้วยศักยภาพของร่างกายที่เราดูแลมาอย่างดี มันน่าจะอยู่ได้อีกระยะหนึ่งพอสมควร แต่ก็เริ่มๆ คิดไว้แล้วว่า มีทำธุรกิจนอกสนาม มีทำพวกบริษัททีวีโปรดักชันชื่ออะดรีนาลีนโปรดักชั่น ซึ่งพอดีผมมีเพื่อนอยู่ในวงการทีวีเยอะ

“แล้วตอนนี้ก็มีทำสนามฟุตบอลเล็กๆน้อยๆเหมือนให้เช่ากับรุ่นพี่ แล้วก็อาจจะมีเปิดอะคาเดมี่สอนด้วย แต่ยังไงก็ยังอยู่ในวงการฟุตบอลเหมือนเดิม ยังอยากเข้าไปเป็นฝ่ายบริหารของทีมฟุตบอล ไม่ระดับสโมสรก็ทีมชาติ เพราะเรามีประสบการณ์หลายๆอย่างซึ่งน่าจะสามารถทำให้ทีมมันดีขึ้นได้”

กับสิ่งที่ทิ้งไว้ แม้ในช่วงหลายปีหลังเขาจะประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บพอสมควร แต่ความโดดเด่นของเขาก็ยังคงเป็นที่จดจำ ด้วยสไตล์การเล่นที่ทุ่มเท และมาดมั่นใจรวมกับท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ เขาเป็นที่รักของแฟนบอลอยู่เสมอ แม้จะมีบางสุ้มเสียงรู้สึกหมั่นไส้กับท่าทีแบบนั้นก็ตาม

ตำนานของสโมสร นักเตะเจ้าสีสัน หรือฉายาดุดันอย่าง เจ้าชายมังกรไฟ เขายิ้มเรียบๆ พร้อมเผยเพียงว่า ในอนาคตเขาต้องการเป็นที่จดจำเพียงในฐานะนักฟุตบอลที่ทำผลงานได้ดีคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

“ผมอยากจะทำผลงานดีๆ ไว้ทั้งในทีมชาติและระดับสโมสร ถึงตอนนี้ก็ยังพยายามทำให้ได้อยู่ ช่วยทีมให้ได้อันดับดีๆ หรือว่าได้แชมป์ ส่วนทีมชาติทุกครั้งที่ลงสนามก็จะพยายามทำประตูให้ได้ ช่วยทีมให้ชนะให้ได้มากๆ ซึ่งนั่นแหละก็คือสิ่งที่ผมอยากให้คนจดจำ”

ถึงช่วงวัยนี้ความฝันของเขายังคงทะยานอยากที่จะไปค้าแข้งต่างแดน

“ตอนนี้ถ้าเป็นไปได้ก็ยังอยากจะไปเล่นต่างประเทศ ให้เป็น 1 ในคนไทยที่ไปเล่นต่างประเทศ อย่างตอนนี้มีธีรศิลป์ แดงดาไปเล่นที่สเปน เราก็ยังคงอยากไปเล่นอยู่ก็ต้องดูว่ามีโอกาสมั้ย อนาคตเรายังไปได้อยู่ อายุ 29 ปีก็ถือเป็นช่วงพีค ยังไปได้ มันก็ไม่ใช่ช่วงบั้นปลายสักเท่าไหร่หรอก”

เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754








กำลังโหลดความคิดเห็น