เรื่องที่เป็นกระแสวิจารณ์สนุกปากในตอนนี้ คงไม่พ้นประเด็นของ “หมาก ปริญ สุภารัตน์” ที่เขียนด่าแม่ของ “มิ้นต์ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง” ผ่านไลน์กรุ๊ป จนกลายเป็นที่วิพากวิจารณ์สนั่นโซเซียลเน็ตเวิร์ก
กรณีที่แม่ของมิ้นต์ออกมาตอบโต้ว่าผู้จัดการหมากเป็นตัวเสี้ยมให้ทะเลาะกัน ก็อาจเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่ายุคนี้ผู้จัดการดารามีอิทธิพลต่อดารามาก สามารถมีส่วนทำให้ดารา “เกิด” และ “ดับ” ได้ง่ายๆ ในขณะเดียวกันถ้าเดินเกมไม่ดี ก็อาจทำให้ภาพลักษณ์ดาราแย่และมีสิทธิ์เจอกระแสแอนตี้จากแฟนคลับได้เช่นกัน
ผู้จัดการดาราในยุคนี้
แหล่งข่าวที่เป็นนักข่าวรุ่นเก๋าคนหนึ่ง คว่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปีได้ให้นิยามของคำว่า “ผู้จัดการดารา” ว่าคือคนที่มีหน้าที่ดูแลดาราทุกอย่าง ซึ่งดูแลในที่นี่คือ การดูแลภาพลักษณ์ชื่อเสียง ทำหน้าที่หางานให้ คอยดูแลสารทุกข์สุขดิบในชีวิตประจำวันต่างๆ เช่น กินนอนที่ไหน พักอย่างไร ละครเรื่องไหนควรเล่น ละครเรื่องไหนไม่เล่น ช่วยต่อรองค่าตัว เรียกว่าเป็นปากเป็นเสียงแทนดาราในทุกเรื่อง อีกทางหนึ่งก็เป็นเหมือนกันชน ในขณะเดียวก็เป็นเหมือนพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะดาราบางคนพ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด พอต้องมาอยู่กรุงเทพ คนที่อยู่ดูแลใกล้ชิดที่สุดคือ ผู้จัดการดารา ที่คอยพาไปโน่นไปนี่ กลายเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก
ซึ่งหากจะแบ่งประเภทของผู้จัดการดารายุคนี้ อาจจะแบ่งได้ 4 ประเภทคือ
ผู้จัดการที่เป็นในรูปบริษัท ซึ่งปกติจะมีแผนกดูแลศิลปิน หรือแผนกประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่ดิวกับดาราเป็นหลัก บางบริษัทอาจใช้วิธีการให้พีอาร์ของบริษัทเป็นคนดูแลดารา เช่น เอ็กแซ็กท์, แกรมมี่, ฯลฯ จะเป็นคนคอยดิวกับสื่อ เวลาที่สื่ออยากสัมภาษณ์ ข้อดีของการมีดาราในรูปแบบบริษัทคือ เวลามีข่าวเสียหายเกิดขึ้นกับดารา บริษัทจะออกมาปกป้องหรือแก้ข่าวให้ เพราะถือเป็นภาพลักษณ์ขององค์กรด้วยเช่นกัน
ผู้จัดการที่เป็นพ่อแม่ คือคนที่เป็นพ่อแม่ของดาราและทำหน้าที่ดูแลลูกโดยเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ เช่น แม่ของแพนเค้ก -เขมนิจ,แม่ของเก้า- จิรายุ ซึ่งส่วนใหญ่ดาราที่มีพ่อแม่เป็นผู้จัดการ มักจะเกิดจากพ่อแม่ส่งประกวดเอง หรือผลักดันเข้าวงการเอง ข้อดีคือเงินทองไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องหักเงินให้ผู้จัดการที่เป็นคนอื่น แต่ข้อเสียคือ เวลาดาราโดนด่าปุ๊บ พ่อแม่จะโดนด่าเต็มๆ เพราะไม่มีใครเป็นกันชน หรือเวลาแม่ต่อรองราคา ก็อาจทำให้ถูกด่าได้ว่างก เพราะไม่มีคนกันให้
ผู้จัดการที่เป็นคนปลุกปั้น ผู้จัดการประเภทนี้ที่ดูตัวอย่างได้ง่ายสุด คือ เอ- ศุภชัย ซึ่งเป็นคนที่เจอเด็กตามที่ต่างๆ แล้วเอาเด็กมาปั้นเป็นดาราและเป็นผู้จัดการให้ ผู้จัดการกลุ่มนี้จะปลุกปั้นดารามาตั้งแต่อ้อนแต่ออกเลยจะมีอิทธิพลมาก ถ้าอยากให้เด็กไปในทิศทางไหน เด็กก็ต้องทำตาม เช่น ห้ามมีความรัก พาไปทำศัลยกรรม ให้ไปออกกำลังกาย
ผู้จัดการที่ถูกว่าจ้างโดยดารา ผู้จัดการกลุม่นี้จะไม่มีอิทธิพลกับดารามากนัก เช่น ชมพู่ อารยากับ- หวานเจี๊ยบ ที่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็เลยว่าจ้างให้มาดูแลเป็นผู้จัดการให้โดยรับเป็นเงินเดือนไป แต่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อดารามากนัก แค่ช่วยเป็นกันชนในบางที หรือช่วยต่อรองเรื่องเงินทอง เพราะถ้าดาราพูดเรื่องเงินมากๆ ก็จะดูน่าเกลียด
การสร้างอิทธิพลของผู้จัดการดารามือทอง
หากจะให้พูดถึง “ผู้จัดการดาราตัวแม่” ของวงการบันเทิงไทย หลายคนคงจะนึกถึง “เอ-ศุภชัย” ที่มีดาราสังกัดระดับต้นๆ ของวงการทั้งนั้น เป็นที่รู้กันว่าความประสบความสำเร็จของดาราหลายคนในสังกัด ล้วนเกิดจากการผลักดันของผู้จัดการคนดังคนนี้ มีเรื่องที่เป็นที่รู้กันในแวดวงผู้จัดการว่า เอ-ศุภชัยมีคนรู้จักที่สนิทสนมในบริษัทเอเยนซี่โฆษณา และคนเหล่านี้เองที่เป็นคนช่วยให้เด็กของเขาได้งานพรีเซ็นเตอร์ดังๆ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และการมีเด็กเป็นดาราดังทำให้เอ-ศุภชัยมีอำนาจต่อรองในการหางานให้เด็กด้วย เช่น ชอบหางานแพ็กคู่โฆษณาให้เด็กตัวเอง ถ้าไม่ได้อีกคนเล่นด้วย ก็ไม่ยอมถ่าย หรือแม้กระทั่งการที่สามารถมีอำนาจต่อรองว่าควรจะให้ใครเล่นละครประกบคู่กับเด็กของตัวเอง อย่างกรณีที่ริชชี่-อรเณศได้เล่นภาพยนตร์คู่กรรมประกบณเดชน์ ก็เพราะเป็นแผน “ขายพ่วง” ของเอ- ศุภชัย ทั้งสิ้น
“ตอนหลังจึงเห็นได้ว่าช่อง 3 พยายามเขี่ยเอ -ศุภชัยออก เพราะเห็นว่าเริ่ม “เยอะ” เกิน เช่น ชอบเรียกร้องว่าพระเอกนางเอกก็ต้องเป็นเด็กฉัน ไม่ยอมให้เด็กตัวเองไปดันเด็กใครทั้งสิ้น นี่เป็นการใช้อิทธิพลของความเป็นผู้จัดการดาราที่อาจทำให้คนเริ่มหน่าย” แหล่งข่าวใกล้ชิดของเอ-ศุภชัยกล่าว
ผู้จัดการดารามือทองอีกคนในวงการบันเทิงตอนนี้คือ “แพร- ภรณ์มณี เมษสิทธิสิริ” ผู้จัดการของหมาก-ปริญ คนเดียวที่แม่ของมิ้นต์- ชาลิดา ให้สัมภาษณ์ว่าเป็น “ตัวเสี้ยม” ให้ผิดใจกันกับหมาก-ปริญ
จะว่าไปแล้วผู้จัดการคนนี้แจ้งเกิดจากการที่เอ-ศุภชัยให้โอกาส มีเรื่องเม้าท์จากวงในว่าความที่มีดาราสังกัดมาก เอ-ศุภชัยจึงไม่ค่อยมีเวลาดูแล เขาเลยต้องจ้างคนที่เป็นมือซ้ายมือขวาให้ไปดูแลดาราคนนั้นๆ เช่น แพร- ดูแล หมาก, โช- ดูแลมาริโอ้ ฯลฯ แต่ข้อเสียคือเอห้ามไม่ได้ที่จะให้เด็กของตัวเองสนิทกับผู้จัดการที่ตัวเองจ้างไป เลยทำให้เกิดเป็นเรื่องลับลวงพรางขึ้น เพราะพอแพรที่เป็นผู้จัดการหมากไปรับรู้ในเรื่องเงินทองขึ้นมาว่า เอมักจะพยายามขายณเดชน์ให้แก่ลูกค้ามากกว่า ทำให้หมากใม่พอใจ พอปรึกษากันไปมากับผู้จัดการ ประจวบกับหมดสัญญากับเอ-ศุภชัย หมากเลยไม่เซ็นสัญญาต่อและหันไปให้แพรเป็นผู้จัดการแทน ทำให้แพรมีโอกาสเป็นผู้จัดการดาราของหมากเต็มตัว อาศัยคอนเนกชันที่เป็นผู้จัดการดังอย่างหมาก ก็สามารถทำให้แพรสร้างอิทธิพลด้วยการปั้นเด็กใหม่ๆ ขึ้นมาประดับวงการบันเทิงได้อีก เช่น เบลล่า-ราณี แคมเปน,พรีม-รณิดา เตชสิทธิ์ ฯลฯ
เป็นธรรมดาว่าเมื่อมีดาราในสังกัดที่โด่งดังแล้ว ก็สามารถทำให้ผู้จัดการดาราเหล่านี้สามารถ “เล่นเกมใต้โต๊ะ” หรือสร้างอำนาจต่อรองได้ เช่น พยายามดันเด็กของตนเองแทนดาราคนอื่น อย่างกรณีของแพร ผู้จัดการของหมากนี้ก็ถูกแม่ของนางเอกมิ้นต์- ชาลิดากล่าวหาว่ากีดกันไม่ให้หมากมาเป็นคู่จิ้นกับมิ้นต์ ถึงขั้นปฏิเสธรับงานที่คู่กับมิ้นต์ และพยายามดันเด็กของตนเองให้รับงานแทน
เบื้องหลังของเรื่องผิดใจกันนี้ แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าวว่าเกิดจากแพรผิดใจกับ “เหมียว” ซึ่งเป็นผู้จัดการของมิ้นต์- ชาลิดา เพราะตัวเองเคยร่วมหุ้นทำบริษัทโมเดลลิ่งด้วยกันมาก่อน แต่พอมาผิดใจกันเรื่องผลประโยชน์ เลยแตกคอกัน พอแพรดึงมิ้นต์มาอยู่ด้วยไม่ได้ เลยไม่พอใจและพยายามกีดกันงานมิ้นต์มาตั้งแต่นั้นมา แต่ล่าสุดแพรได้ปฏิเสธเรื่องกีดกันงานกับทีมข่าวบันเทิงของหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการว่า ยอมรับว่าการฟิทชิ่งงานแข่งกันเป็นเรื่องธรรมดา และเมื่อมีที่ว่างก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ตนจะเสนอดาราคนอื่นให้ลูกค้าเลือก แต่ความขัดแย้งทั้งหมดว่าน่าจะเกิดจากการเข้าใจผิดและไม่ได้เคลียร์กัน ทำให้เรื่องบานปลายมากกว่า
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดการดารายุคนี้ไม่ใช่คนแค่ “คนถือคิวงาน” เหมือนเมื่อก่อน หากแต่เป็นคนที่มีอิทธิพล สามารถสร้างอำนาจต่อรองหรือดันดาราให้แจ้งเกิดได้ ยิ่งถ้ารู้จัก “เล่นเกมเป็น” ก็สามารถแจ้งเกิดดาราของตนเองได้ไม่ยาก ปัญหาที่ตามมาคือทำให้คนนอกๆ อย่างเราไม่รู้ว่าใคร “ตอแหล” หรือ “ไม่ตอแหล” กันแน่ เพราะอย่างที่รู้กันว่าบางครั้งการสร้างภาพลักษณ์ก็ต้องอาศัยการ “รักษาภาพ” ซึ่งบางครั้งทำให้พูดความจริงไม่ได้ทั้งหมด
นักข่าวสายบันเทิงรุ่นเก๋าคนหนึ่งอธิบายว่าตอนนี้ผู้จัดการดาราก็ทรงอิทธิพลเหมือนดารา เพราะความที่อยู่กับดารา เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กก็ทำให้คนเห็นได้ว่าคนนี้เป็นผู้จัดการ ทำให้ผู้จัดการเป็นที่รู้จัก จึงทำให้ผู้จัดการสามารถสร้างอิทธพลต่อแฟนคลับของดาราตัวเองได้อีกทางหนึ่ง แม้ว่าบางครั้งตนเองจะไม่ค่อยชอบแฟนคลับเท่าไหร่ก็ตาม แต่เพราะผลประโยชน์ของตนเองก็ต้องทำ
“ถามว่าทำไมดาราจำเป็นต้องมีแฟนคลับ คำตอบคือเพราะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ตัวเองได้ในเชิงธุรกิจ เช่น เวลาดาราออกงานอีเว้นต์ ถ้าจะประสบความสำเร็จได้ หรือสร้างบรรยากาศงานให้สนุก ก็ต้องดึงแฟนคลับมาคอยกรี๊ดๆ ดารา เพื่อทำให้งานดูสนุกขึ้น สิ่งนี้เองทำให้ดาราไม่สามารถปฏิเสธแฟนคลับได้ และคนที่ทำหน้าที่โยงระหว่างแฟนคลับและดาราคือ ผู้จัดการคือ เช่น ปล่อยคิวดาราคนนั้นตามอินเทอร์เน็ตว่ามีคิวไปโชว์ตัวที่ไหน เพื่อให้แฟนคลับไปรอหรือถือป้ายไฟให้ ถามว่าผู้จัดการชอบแฟนคลับไหม เขาก็ไม่ชอบหรอก แต่เขาก็ต้องทำ เพื่อสร้างฐานเสียง”
ทำงานไม่ดีมีสิทธิ์เจอแอนตี้ เจอแฉ
การทำงานของผู้จัดการดาราดัง หากทำได้ไม่ดี ก็จะทำให้ภาพพจน์ดาราเสีย และมีสิทธิ์เจอกระแสแอนตี้ได้ ดังเช่นกรณีของแฟนคลับหมาก-ปริญ ที่เริ่มไม่พอใจในตัวของแพร ผู้จัดการหมาก ถึงขั้นทำไอจีแอนตี้แพรขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “ANTI_PEAR” พร้อมใส่บรรยายใต้ภาพของแพร ว่า “ผจก.มหันตภัย FC: หมาก ต่อต้านคนที่ทำให้หมากเสียชื่อ Anti แพร & เมย (อ้วนดำ ผู้ใหญ่รังแกเด็ก) :-p”
ในขณะที่คนสนิทของเอ-ศุภชัยอย่าง “เซ้ง ขอนแก่น” ที่ทำหน้าที่แมวมองหาเด็กให้แก่เอ-ศุภชัยมาแล้วหลายคน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะร่วมจวกผู้จัดการดาราที่ทำตัวไม่ดีไปด้วยอีกคน โดยเขาได้โพสต์ข้อความลงในไอจีแฉพี่น้องผู้จัดการดาราคู่หนึ่งว่า
“ล่าสุดสองพี่น้อง มิสพี-มิสพี ที่หาสภาพเพศไม่เจอ ซึ่งปวารณาตัวเป็นคนดูแลดารา ยามนี้คนในวงการก็รู้จัก แต่การก้าวมาสู่องครักษ์ดารานั้น ไม่ได้มาอย่างน่าชื่นชม แต่เป็นการสร้างความอกตรมให้กับคนที่ร่วมงานด้วย เริ่มจากหักหลังผู้ใหญ่ที่ให้การหนุนหลัง เหยียบหัวขึ้นทางด่วนนรกมาสร้างผลงานของตัวเองทั้งคู่
“เด็กในสังกัดต่างกลืนเข้าคายไม่ออกกับพฤติกรรมเหลือทน โดยเฉพาะการหักเงินค่าตัวเด็กจะหัก 2 รอบ รายได้จริงกับรายได้ปลอม รับมา 100,000 บาท ก็จะบอกเด็กรับมาแค่ 60,000 บาท ส่วนต่าง 40,000 บาทเข้ากระเป๋า และหักเปอร์เซ็นต์อีก 20 เปอร์เซ็นต์ รับ 2 ต่อเหนาะๆ
“ยามนี้อัพตัวเองเป็นไฮโซด้วยการซื้อสินค้าแบรนด์เนม แต่ประทานโทษส่วนใหญ่มาจากจีนทั้งนั้น แถมยังตระเวนจิกเด็กตามศูนย์การค้าและมหาวิทยาลัยชื่อดัง และชอบทำตัวเป็นหมอศัลยกรรม สั่งให้เด็กไปทำหน้าตา บางคนโดนไป 3-4 รอบ หน้างอมพระราม บางคนไปทำมาก็ไม่เอาเขาอีก เพลียจริ๊งแม่คุณ
“เด็กที่ดูแลคนไหนเลี้ยงไม่เชื่อง หนีตายเพราะทนนิสัยแย่ๆ ไม่ไหว ก็จะแทคทีมกันใส่สีตีไข่เด็กแบบให้ตายไปเลย ที่อยู่ก็สอนให้โกหกกองถ่ายละครด้วยมุกที่ว่า ติดเรียนติดสอบหรือป่วย จริงๆ แล้วแอบไปรับงานอีเว้นท์ ซึ่งเรื่องนี้ปิดไม่มิด เด็กเป็นแพะรับบาปถูกขึ้นบัญชีดำ เท่านนั้นยังไม่พอ ชอบสร้างสถานการณ์เพื่อเป็นกระแสข่าว ให้เด็กตัวเองเป็นข่าวเรื่องความรักบ้าง อุบัติเหตุบ้าง แล้วหากใครเป็นศัตรูก็ไปให้หมอเขมรทำคุณไสยใส่ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นให้เด็กในสังกัดอัพยาด้วยนี่สิ
“เฮ้อ เวรกรรมมันมีจริง ไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้แหละจะติดจวดมาหา ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะหล่อน”
หากข้อความที่เซ้งโพสต์เป็นความจริง ก็คงทำให้เราเห็นภาพของวงการผู้จัดการดาราได้บ้างว่า "ไม่ใช่ธรรมดา" และลับลวงพรางมากกว่าที่เราเห็น
ผู้จัดการดาราควรวางตัวอย่างไร?
“อธิษฐ์พัชร นิพิษฐาภัทร“ Image Maker ชื่อดัง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลภาพลักษณ์ให้เหล่าเซเลบริตี้ต่างๆ ได้แสดงความคิดเห็นถึงบทบาทของผู้จัดการดาราที่ดีว่า
“ผู้จัดการดาราเป็นคนที่ใกล้ชิดกับศิลปินที่สุด เรียกว่าเป็นหน้าตาและตัวแทนศิลปินก็ว่าได้ ดังนั้นผู้จัดการจึงมีสำคัญมากๆ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เป็นโลกของโซเชียลมีเดีย การเข้าถึงดาราจึงง่ายมาก หน้าที่ของผู้จัดการดาราจึงไม่ใช่แค่ดูคิวดารา และหักค่าคิวไป แต่ต้องเป็นทั้งพ่อแม่และผู้จัดการไปในตัวด้วย ดังนั้นผู้จัดการดาราที่ดีควรจะต้องมีวุฒิภาวะที่สูง จะเอานิสัยส่วนตัวมาใช้กับการทำงานไม่ได้ ต้องทำให้ภาพลักษณ์ของศิลปินดูดีที่สุด เพราะเราเป็นคนที่อยู่เคียงข้างดารา ไม่ว่าศิลปินดาราจะดีหรือไม่ดี หน้าที่คือต้องปกป้อง และควรจะมีหน้าที่ในการเกลี่ยความสัมพันธ์เชิงบวก อย่าให้เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ บานปลายจนเกิดผลเสียศิลปินและบริษัท”
อย่างกระแสข่าวที่หมาก- ปริญ ไปไลน์ต่อว่าแม่ของมิ้นต์ -ชาลิดา นั้น อธิษฐ์พัชรได้แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า
“เรื่องนี้เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มากของหมาก เพราะเวลาที่มีภาพลักษณ์แบบนี้ที่ไม่ดีออกไป มันค่อนข้างจะเรียกกลับมายาก เวลาที่เยาวชนหรือผู้ปกครองเสพข่าวที่ออกไป เขาจะรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีเลย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ คุณต้องออกมาขอโทษในการกระทำของคุณ แม้สิ่งที่คุณพูดจะเป็นการพูดส่วนตัวก็ตาม แต่คุณต้องยอมรับว่าตัวเองคือบุคคลสาธารณะ จึงควรต้องออกมาชี้แจงและขอโทษประชาชน
“นอกจากนั้นผู้จัดการของหมากควรจะมีหน้าที่ไปคุยกับศิลปินตัวเองว่าการใช้คำพูดหรือการระงับสติอารมณ์ คุณควรจะมีมากกว่าคนทั่วไป เพราะดาราคือแบบอย่างของเยาวชน เป็นบุคคลสาธารณะ ไม่ใช่บอกว่านี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะตอนนี้การสื่อสารค่อนข้างไว เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ก็จะเกิดผลกระทบอย่างรวดเร็ว แล้วผู้จัดการก็ต้องกลับมาดูตัวเองว่ามีวิธีการดูแลศิลปินอย่างไร คุณมีการสั่งสอนหรือบอกว่าอะไรถูกอะไรควร อะไรคือกาลเทศะหรือเปล่า และการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนเป็นยังไงบ้าง ถ้าเกิดตัวผู้จัดการไม่มีพื้นฐานตรงนี้ก็ถือว่า คุณแค่เห็นผลประโยชน์ ไม่มีจริยธรรม ไม่สามารถที่จะเป็นพ่อแม่คนที่สองของศิลปินดาราได้
“ความที่ผู้จัดการคือหน้าตาของศิลปิน ถ้าหากผู้จัดการไม่มีความจริงใจ ศิลปินก็จะแย่ตามไปด้วย นอกจากนั้นผู้จัดการที่เห็นผลประโยชน์ตัวเอง จนไปสกัดดาวรุ่งคนอื่นนั้น พฤติกรรมแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในวงการ เพราะในวงการควรจะต้องมีการช่วยเหลือเผื่อแผ่ มีความรักซึ่งกันและกัน แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าวงการคือการต่อสู้ แก่งแย่งชิงดี นอกจากจะทำให้คุณเครดิตไม่ดีแล้ว จะทำให้คุณทำงานกับใครไม่ได้เลย นอกจากนั้นยังจะกระทบต่อศิลปินที่คุณดูแลอยู่ด้วย ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องรอบคอบให้มากที่สุด”
เรื่องโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754