“คุณศรีริต้า เจนเซ่น เล่นทำผมนอนไม่หลับ” “ช่างมีเสน่ห์เหลือร้าย” “เธอคือส่วนผสมของความสวยงามที่สมบูรณ์แบบ” “ผู้หญิงอะไร ยิ่งมอง ผมยิ่งหลงรักคุณ”...
นี่คือเสียงสะท้อนความนิยมสูงสุดในวินาทีนี้ของเธอ ความน่าหลงใหลที่ปรากฏอยู่บนจอแก้ว ส่งให้ดาวค้างฟ้ายิ่งทอแสงงดงาม ใครๆ ต่างอยากรู้จักตัวจริงของผู้หญิงคนนี้ว่าจะแสนดี มีเสน่ห์ และน่าค้นหาเหมือน “เกนหลง” ในละครหรือไม่ และบทสนทนานี้เองที่จะทำให้หลายคนเพิ่มดีกรีความหลงใหลในเธอจนยากจะถอนตัว...
ลืมไม่ลง “เกนหลง-อย่าลืมฉัน”
ถึงแม้ว่าจะฉายตอนสุดท้ายไปแล้ว แต่คอละครหลายๆ คนก็ยังไม่อาจลืม “อย่าลืมฉัน” ไปได้ โดยเฉพาะตัวละครที่ชื่อ “เกนหลง” ซึ่งได้นางเอกแถวหน้าอย่าง “ศรีริต้า เจนเซ่น” มารับบทจนทำให้ผู้ชายหลงเสน่ห์กันทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อได้เจอตัวจริง ผู้สัมภาษณ์จึงอดไม่ได้ที่จะส่งต่อความรู้สึกของแฟนๆ ไปยังคนที่ถูกชื่นชมอย่างล้นหลาม ณ วินาทีนี้ เล่นเอาคนที่อยู่ตรงหน้ายิ้มไม่หุบกับคำว่า “มีเสน่ห์” ที่ได้รับ เธอยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลละมุนหู และแฝงไปด้วยท่าทีถ่อมเนื้อถ่อมตัวว่า “ก็รู้สึกดีนะคะ รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ” หลังปล่อยให้เวลาละลายความอายสักพัก ดาวค้างฟ้าจึงเริ่มปรุงบทสนทนาให้ออกรส
“ริต้าว่าคงเป็นเพราะเรื่องนี้คนดูรู้สึกจับต้องได้มากกว่าค่ะ อย่างเรื่องอื่นๆ ริต้าจะได้บทที่เป็นเจ้าหญิงบ้าง หรือเกี่ยวกับผีบ้าง อย่างเช่นเรื่อง “บ่วง” ก็จะต้องเจอผีทั้งเรื่อง (ยิ้ม) หรืออย่างเรื่อง “มณีสวาท” จะเกี่ยวกับจินตนาการ มันจับต้องไม่ได้ ไม่ได้แสดงเป็นคนจริงๆ แต่เรื่องนี้ (ละครเรื่อง “อย่าลืมฉัน”) ริต้าได้เล่นเป็นคนจริงๆ คนดูก็เลยรู้สึกว่าเราจับต้องได้ และด้วยความที่บทประพันธ์ดีมากๆ ด้วยค่ะ ตัว “เกนหลง” ที่พี่ดา (หทัยรัตน์ ซึ่งเป็นผู้จัดละคร) ทำออกมาดูดีมาก ได้แต่งหน้าทำผมสวยๆ ก็เลยถือว่าโชคดีค่ะ คนดูก็เลยได้เห็นเราในอีกแบบนึง
ส่วนมากคนที่เข้ามาทักเราเวลาไปไหนมาไหนตอนนี้ จะเรียกว่า “เกนหลง” หมดเลยค่ะ แล้วก็สายตาที่เขามอง หรือว่าวิธีที่เข้ามาขอถ่ายรูป ทุกอย่างน่ะค่ะที่เราสัมผัสได้ ก็ต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะในฟีดแบ็กที่เกิดขึ้น เสียงติ-ชมทุกอย่าง มันเกินความคาดหมายของเรามากๆ ตอนแรกเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่เสียงตอบรับที่มีเข้ามามันเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้มาก ก็ต้องขอบคุณจริงๆ รู้สึกดีใจแล้วก็หายเหนื่อยเลย ดีใจมากๆ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ” เธอพูดไปยิ้มไปด้วยแววตาที่สะท้อนให้เห็นว่ารู้สึกประทับใจจริงๆ
คิดว่าตัวเองเป็นคนมีเสน่ห์มั้ย? คนถูกถามยิ้มเขินๆ แล้วตอบสั้นๆ ว่า “ริต้าก็มองว่าตัวเองก็มีนะ” จากนั้นก็ตัดบทไปพูดถึงเรื่องผลงาน ดูก็รู้ว่าเธอค่อนข้างขี้อายและไม่ค่อยชอบพูดชื่นชมตัวเองเท่าไหร่นัก
“จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายบทที่ริต้าอยากเล่นนะคะ แต่มันมาไม่ถึงเราอ่ะค่ะ บทที่มันได้แสดงหลากหลายอารมณ์ เราอยากสัมผัสมาก สำหรับริต้าในฐานะนักแสดง การที่เราได้เล่นละครเรื่องนี้ ได้ทำงานกับคนที่เราชื่นชอบหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็น พี่ดา (หทัยรัตน์) ป้าแจ๋ว (ยุทธนา) เอง ริต้าก็ไม่เคยร่วมงาน พี่ติ๊ก (เจษฎาภรณ์) พี่แอน (ทองประสม) ด้วย (น้ำเสียงตื่นเต้น) แค่นี้ริต้าก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้วค่ะสำหรับการที่เราเป็นนักแสดงคนนึงแล้วได้ร่วมงานกับไอดอลของเรา คนที่เขามีความเป็น Professional มากๆ คือริต้าทำงานตรงนี้มาเกือบ 20 ปีแล้วนะคะ แต่ไม่เคยได้เจอกันเลย เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงาน เราก็เลยตอบตกลงเพราะทีมนี่แหละค่ะ”
ไหนๆ ก็เปิดประเด็นไอดอลในดวงใจแล้ว จึงขอให้ริต้าพูดพระ-นางแถวหน้าของวงการ ในฐานะที่ออกกองถ่ายร่วมกันมานานถึง 9 เดือนเสียหน่อย เธอจึงช่วยเล่าความทรงจำบางส่วนผ่านสายตาของตัวเองให้ฟัง
“พี่ก้องก่อนนะคะ พี่ก้องเป็นพระเอกคนเดียวที่ริต้าเคยร่วมงานด้วยมาก่อนในเรื่อง “จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า” กับเรื่อง “ก็ว่าจะไม่รัก” และครั้งนี้ก็มาเจอกันอีก ก็เลยรู้สึกว่าจะสนิทใจกับพี่ก้องที่สุดเพราะเราเคยเจอกันมาก่อน แต่ก็ไม่ได้เจอกันนานมากแล้วนะคะ เป็น 10 ปีกว่าจะได้กลับมา
กับพี่ติ๊ก บอกเลยว่าเขาเป็นคนขี้เล่นมาก เป็นกันเองมากๆ เป็นคนง่ายๆ จะถามสารทุกข์สุกดิบเราตลอดว่าเป็นยังไง สบายดีมั้ย แล้วก็จะเป็นอย่างนี้กับทุกคนค่ะ เป็นคนมีเสน่ห์มากเลยค่ะ
พี่แอนก็เหมือนกันค่ะ ระหว่างทางพี่แอนก็คอยช่วยเหลือ เป็นคนน่ารักค่ะ คอยให้กำลังใจเราตลอด แล้วก็ขี้เล่น เวลาเห็นเราเกร็งช่วงแรกๆ พี่แอนก็จะเข้ามาพูดกับเราว่า ไม่เกร็งนะ (น้ำเสียงเอ็นดู) ให้เรารู้สึกว่าเป็นกันเอง ริต้าว่าริต้าโชคดีมากเลยค่ะที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้ เพราะนักแสดงน่ารักมาก ริต้าตกหลุมรักทุกคนเลย ตกหลุมรักทีมงาน ตกหลุมรักทุกอย่างเลยค่ะ โชคดีมากเลยที่ได้มีส่วนร่วมในละครเรื่องนี้”
ลองให้มองย้อนกลับมาที่ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เปรียบเทียบกันแล้วระหว่าง “เกนหลง” กับ “ริต้า” หลายต่อหลายคนอยากรู้ว่ามีส่วนเหมือนหรือต่างกันมากน้อยแค่ไหน? และนี่คือคำตอบของเธอ
“คล้ายกันนะคะ อย่างเช่น ริต้าเป็นคนค่อนข้างมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นเขานะคะ (ยิ้ม) เพราะเขาเป็นตัวละคร แต่ในเรื่องมุมมองชีวิตก็เป็นคนง่ายๆ สบายๆ คล้ายๆ เกนหลงเลยค่ะ ความขี้เล่นของเขาก็จะเหมือนริต้า ส่วนที่ต่างกันกับเกนหลง ริต้าไม่ค่อยได้คิดเท่าไหร่ค่ะ คือเราจะมองว่าอะไรที่เหมือนกับเราแล้วเราเอามาใช้ได้ แต่จุดไหนที่เราต่อต้าน เราจะไม่คิดถึงเลย เพราะเดี๋ยวจะไม่อิน”
ช่วงชีวิตที่ “เลือกได้”
ตลอดบทสนทนาที่มีมา รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นคนจริงจังมากคนหนึ่งเลยทีเดียว เพียงแค่สังเกตจากวิธีการตอบคำถามก็รู้แล้วว่าเธอมักจะคิดก่อนพูดเสมอ ถึงแม้จะยอมตอบทุกคำถามที่ถามไปโดยไม่เลี่ยงสักประเด็น แต่ก็เป็นการตอบที่ชาญฉลาด และคงฉลาดพอๆ กับวิธีการเลือกรับงานของเธอ
“ริต้าอยู่ในช่วงที่ริต้าเลือกทุกอย่างน่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ถ้ามีคนติดต่อมา เราก็ดูตรงนั้นเลยน่ะค่ะว่าน่าสนใจที่บท น่าสนใจที่ทีมงาน ริต้ารู้สึกว่าคนเราก็ควรจะทำอะไรในสิ่งที่เราอยากทำ เล่นอะไรที่เราอยากเล่น เพราะเวลาเราทำแล้วเราแฮปปี้ งานก็จะออกมาดี ทีมงานทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวเราก็จะอารมณ์ดีไปกับเราด้วย เพราะเราอารมณ์ดี เพราะฉะนั้น นั่นก็คือหลักการทำงาน หลักการใช้ชีวิตของริต้าเลยค่ะ คือเลือกทุกอย่างที่เรารู้สึกว่าเราอยากทำ และพอเราทำแล้ว เราก็ต้องทำให้เต็มที่แล้วก็มีความสุขกับมันให้มากที่สุด
แต่ถ้าเราทำไปเพราะเราไม่ได้อยากทำ รับรองว่ามันต้องออกมาแบบไม่ดี แล้วละครเรื่องนึงใช้เวลาเกือบปี ตั้ง 8-9 เดือน เพราะฉะนั้น เราต้องคิดดีๆ ค่ะในการรับแต่ละเรื่อง ถามว่าริต้าจริงจังกับทุกเรื่องที่ทำมั้ย ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะคะ จริงๆ ริต้าเป็นคนสบายๆ ง่ายๆ แต่เวลาทำอะไรแล้ว เราค่อนข้างที่จะมุ่งมั่น ทำแล้วก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ให้เต็มที่ ริต้าเป็นคนที่จะไม่เบี้ยวงานเลยค่ะ
ริต้าว่าริต้าโตแล้วค่ะ ริต้าอยู่ตรงนี้มานานมาก เราก็อยากจะถ่ายทอดในสิ่งที่เราอยากจะถ่ายทอดออกไป แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน เราก็เคยมีเหมือนกันค่ะที่ต้องฝืนใจทำบ่อยๆ แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คงไม่ได้เนอะ แต่เราก็ได้เรียนรู้จากตรงนั้นค่ะ เป็นประสบการณ์ว่าบางทีเราต้องทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ แต่เราก็ต้องทำมันให้ดีที่สุด แล้วก็โอเค จบไป
ถามว่าเราข้อแม้เยอะมั้ย ข้อแม้เราไม่เยอะนะเวลาเราตัดสินใจทำแล้ว อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ให้เราทำอะไรก็ได้เลย แต่ถ้าเรายังไม่ได้ตัดสินใจ เราจะไม่ทำเลย คือริต้าจะไม่เอาตัวเองไปอยู่กับเรื่องที่ไม่อยากทำ เพราะถ้ามาทำแล้วเกิดปัญหาขึ้นมา เราไม่เอาอย่างนั้นดีกว่า แต่ถ้าเราตัดสินใจแล้ว ใครจะให้เราทำอะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ค่ะ เพราะนั่นคือเราตัดสินใจรับแล้ว”
“แมนมาก” คือคำที่ผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่ได้ฟังหลายๆ ทัศนคติที่สุดแสนจะชัดเจนของเธอ ผู้สัมภาษณ์ตั้งข้อสงสัยว่าคุณลักษณะข้อนี้คงเป็นจุดเด่นของ “ความเป็นฝรั่ง” ที่มีอยู่ในตัว ลองให้วิเคราะห์ตัวเองว่าจริงๆ แล้วริต้ามีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไทยหรือฝรั่งมากกว่ากัน เจ้าตัวจึงให้คำตอบแบบทันควันโดยแทบไม่ต้องคิด
“เป็นทั้งคู่เลยค่ะ แปลกมาก คนเดนมาร์กนิสัยเหมือนคนไทยมากนะ จะรักสงบ เรียบง่าย สบายๆ แล้วก็จะไม่ได้เซ็กซี่หรือ Sex Appeal อะไรขนาดนั้น ริต้าก็เลยติดความเป็น Conservative มานิดนึง คือเราก็มีความเป็นฝรั่งนะคะ แต่ความเป็นไทยก็มีเยอะเหมือนกัน ด้วยความที่โตที่เมืองไทยด้วยค่ะ”
ทุกวันนี้ ริต้าพยายามสมดุลระหว่าง “ชีวิตการงาน” กับ “ชีวิตครอบครัว” อยู่ “เพราะตอนเด็กๆ ก็จะมีช่วงที่เราทำงานเยอะ อยู่กับครอบครัวน้อย เราก็ไม่ทำอย่างนั้นแล้วค่ะ คิดไว้เลยว่าเราต้องมีเวลาให้กับตัวเอง ทำสิ่งที่เราชอบ รับงานช่วงนึง แล้วก็มีเรื่องธุรกิจส่วนตัวที่ตั้งใจจะทำมา 3 ปีแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างแล้วค่ะ” ส่วนจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอะไร เธอให้รายละเอียดได้แต่เพียงว่า “มีแบรนด์ตัวเองค่ะ แต่ไม่ใช่แบรนด์เสื้อผ้า” เมื่อพยายามถามให้ลึกไปกว่านั้น คนถูกถามก็ได้แต่ยิ้มแบบรักษามารยาทแล้วบอกว่า “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้จริงๆ ค่ะ ขอเอาไว้บอกทีเดียวนะคะ” มีความลับเยอะแบบนี้นี่เองถึงได้มีเสน่ห์น่าค้นหาจนชวนให้ใครต่อใครหลงใหลไปตามๆ กัน
เปลี่ยนมุมมองเพราะ “นิวยอร์ก”
พอจะคาดเดาได้เลาๆ ว่า “ธุรกิจส่วนตัว” ที่ริต้าเกริ่นเอาไว้น่าจะเกี่ยวกับแวดวงแฟชั่น เพราะเธอสนใจด้านนี้อย่างมากถึงขนาดเคยลงทุนไปเทกคอร์สเรียนเฉพาะทางกันถึงเมืองนอกเมืองนาเลยทีเดียว
“ริต้าเคยไปเรียนแฟชั่นค่ะ ริต้าชอบเรียนสายอาชีพนะจริงๆ แล้ว หมายถึงริต้าจบ ม.กรุงเทพ ก็จริง แต่เป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่ของริต้าอยากให้จบปริญญาค่ะ แต่จริงๆ แล้วโดยส่วนตัว ริต้าชอบเรียนอะไรมุ่งไปเป็นอย่างๆ แบบเฉพาะทางมากกว่า เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ต้องหาอะไรเล่น หาอะไรเรียน
อย่างเช่นตอนที่ริต้าไปเรียนอยู่ที่นิวยอร์ก ริต้าก็ไปเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ตอนช่วงเช้า แล้วพอเวลาเหลือก็เรียนด้านแอ็กติ้งตอนเย็นค่ะ อย่างแฟชั่นดีไซน์ที่เลือกเรียน มันไม่ได้เรียนแค่เรื่องแฟชั่นนะ แต่เราจะเรียนถึงเรื่องของสี วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของแฟชั่น เรียนเรื่องวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ริต้าสนใจอะไรแบบนี้มากค่ะ พออะไรที่เราชอบ เราสนใจ มันก็จะน่าสนุก ริต้าก็เลยอยากหาความรู้ให้ตัวเองเกี่ยวกับด้านนี้อยู่ค่ะ พอได้ทำ Research ต้องส่งการบ้าน มันก็สนุกทุกอย่างเลย (พูดไปยิ้มไปด้วยท่าทีกระตือรือร้น)
ส่วนแอ็กติ้งที่ริต้าไปเรียน ก็ไปเรียนกับ Susan Batson ค่ะซึ่งเขาเก่งมาก เราได้ยินชื่อเขามานานแล้ว เพราะเขาดังมาก เป็นคนเดียวกับที่สอนให้ Nicole Kidman ระดับฮอลลีวูดเลยค่ะ ริต้าว่าก็ได้อะไรกลับมาเยอะนะคะ มันทำให้มุมมองอะไรหลายๆ อย่างของเราเปลี่ยนไปด้วย
ปกติเราก็ชอบเรียนรู้อยู่แล้ว แต่พอไปเรียนแอ็กติ้งที่นั่น เราก็อยากรู้ว่าฝรั่งเขาสอนอะไร เพราะเรารู้แล้วว่าคนไทยสอนอะไร พอไปปุ๊บ โอ้โห! ริต้าเจอนักเรียนทุกคนที่เขารักการแสดงจริงๆ น่ะค่ะ เขาทุ่มเทจริงๆ เราเลยรู้สึกว่า โอ้โห! เราโชคดีมากเลยอ่ะ ดูเขาสิ เขารักการแสดง เขาอยากแสดงกันขนาดนี้ มันยังไม่มีพื้นที่ให้เขาเลย เราเลยมามองว่า โหย...เราโชคดีอ่ะที่เราได้รับโอกาสขนาดนี้”
ใครเป็นคอละครคงจะทราบดีว่าช่วงก่อนหน้านี้หลายปี ริต้าเคยเป็นนางเอกที่ถูกติเรื่องพูดไม่ชัด ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นจุดด้อยที่ถือว่าลดทอนเสน่ห์ทางการแสดงของเธอลงไปมาก แต่ในวันนี้เธอกลับสวยสง่า พูดจาชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงนุ่มนวล และแสดงอารมณ์ผ่านบทละครออกมาได้อย่างจับใจ ถือว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ที่มีพัฒนาการมากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว และที่ทำให้เธอก้าวข้ามผ่านทุกคำติมาได้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ “ความยาก” ที่เจอมาเมื่อครั้งเรียนที่นิวยอร์กนี่เอง
“ยากมาก (เน้นเสียงหนักเพื่อให้สมกับความรู้สึกหนักๆ ที่เคยเจอ) ตั้งแต่เราเป็นนักแสดงมา เรายังรู้สึกว่าแอ็กติ้งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเราจนเราได้ไปเรียนน่ะค่ะ เห็นทุกคนเขาเต็มที่มาก เด็กๆ ด้วยค่ะ เราก็แบบ โห! นี่มาเล่นแล้วไม่ได้ตังค์นะ เสียตังค์มาเรียนอีก (หัวเราะ) ทำไมต้องทุ่มเทขนาดนี้
เขาจะมีโจทย์ให้เราว่าเราต้องแสดงอะไร คลาสนี้เราต้องทำอะไร เราต้องไปแสดงหน้าห้อง ฝรั่งมาจากทั่วโลก พอเราแสดงเสร็จคนทั้งห้อง นักเรียนทุกคนคือกรรมการที่ต้องมานั่งวิพากษ์วิจารณ์เรา เป็นเหมือน Commentator เลยค่ะ แล้วเขาก็ไม่แคร์เราด้วยเพราะเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เขาก็บอกว่านี่เรากำลังรู้สึกอะไร นี่เราไม่จริงนี่หว่า เราโอเวอร์แอ็กติ้งไปนะ เขาจะวิจารณ์กันทุกอย่างเลยค่ะตั้งแต่การย่างก้าว สายตา เขามองกันละเอียดมาก แล้วเราก็วิจารณ์คนอื่นด้วยค่ะ มันเป็นหน้าที่”
ถูกรุมวิจารณ์แบบนี้ หลายคนที่กระดูกไม่แข็งพอคงเสียศูนย์หรือขาดความมั่นใจไปเลย แต่สำหรับริต้า เธอกลับยิ่งมองว่าเป็นความท้าทายสำหรับผู้หญิงที่ชอบผจญภัยอย่างเธอ
“แต่ละคนเขาจริงจัง เขาเต็มที่ และเขาไม่รู้จักเรา เราจะทำอะไรก็ได้ แสดงอะไรก็ได้ ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีความกดดัน นั่นคือสิ่งที่ริต้าชอบ และเราก็ได้ไปเห็นและได้อะไรหลายๆ อย่างกลับมาด้วย คือเราไม่ได้เอาเทคนิคมาใช้นะคะ แต่เราเอาอุดมการณ์มาใช้มากกว่า เพราะถ้าเป็นเรื่องเทคนิค มันไม่น่าจะได้อะไรกลับมาเท่าไหร่ เพราะเราเรียนกับคนเยอะมาก แต่เราจะได้อุดมการณ์ ทำให้เห็นว่า เอ้อ...เราโชคดีนะ เราต้องตั้งใจแล้วนะ และอีกอย่างนึงที่ริต้าได้คือ ริต้าจะไม่โอเวอร์แอ็กติ้งค่ะ จะพยายามแสดงทุกอย่างให้จริงแล้วก็เชื่อกับมันที่สุด นั่นคือสิ่งที่ริต้าได้จากตรงนั้นค่ะ”
“ติสต์” โดยสายเลือด
เป็นนักแสดง, นางแบบ, หลงใหลแฟชั่น, ชอบแต่งบ้าน, ชอบวาดรูป, ต่อยมวย, เล่นกีฬาเอ็กซ์สตรีม ฯลฯ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะรวมอยู่ในตัวผู้หญิงเพียงคนเดียว แสดงให้เห็นว่าเธอมีทั้งมุมที่อ่อนหวานและลุยแหลกอยู่ในคนเดียวกัน
“ริต้าเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมน่ะค่ะ ตรงนี้แหละที่จะคล้ายๆ “เกนหลง” ค่ะ มีกิจกรรมเยอะมาก (ยิ้มสดใส) เป็นคนต้องทำอะไรสักอย่างตลอดเวลา Energy สูงมาก ต้องไปต่อยมวย, เล่นสควอตช์ ฯลฯ นี่มันคือริต้าหมดเลยค่ะ ตัว “เกนหลง” เลยเป็นบทที่จูนกับริต้ามากๆ ริต้าเล่นสควอตช์อยู่แล้ว ริต้าต่อยมวยอยู่แล้ว ริต้าวาดรูปอยู่แล้ว คือทุกอย่างเราทำอยู่แล้ว มันก็เลยง่ายกับบทนี้มากๆ เลยอ่ะค่ะ
อย่างเรื่องวาดรูปก็ไม่ได้ไปเรียนที่ไหนเลยค่ะ คือหยิบมาแล้วเราอยากวาดอะไรเราก็วาด เวลาว่างเรามี เราก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างบางที ริต้าไปเยี่ยมคุณพ่อ ไปเยี่ยมญาติๆ ริต้าที่เดนมาร์ก ตกกลางคืนไม่มีอะไรทำละ ริต้าก็จะทำหน้ากากบ้าง ทำออกมาเป็นซิลิโคนเลยนะคะ (ยิ้มไปพูดไป แววตามีความกระตือรือร้นเจือปนอยู่อย่างเต็มเปี่ยม) ทำนู่นนั่นนี่ มี Activity ตลอด ประดิดประดอย เวลาว่างๆ เราก็ไม่อยากจะนั่งเฉยๆ เราก็พยายามวาด ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย สีน้ำก็วาด สีน้ำมันก็วาด สีอะไรแล้วแต่เราเลือกเลยค่ะ วาดได้หมด”
ริต้าบอกว่าเธอหยิบพู่กันมาวาดเส้นเล่นตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว ไม่รู้และไม่เคยเรียนภาคทฤษฎีว่าต้องจับแบบไหน ละเลงสีอย่างไรจึงจะถูกต้อง รู้แค่ว่าถูกใจแบบไหนก็ทำแบบนั้น “ส่วนมากจะเป็นแบบว่า เอ้อ...ตรงนี้ว่างอยู่ เดี๋ยววาดอะไรใส่ดีกว่า (หัวเราะ) ริต้าจะเป็นคนชอบสีหนักๆ เหมือน Contrast ของสีเยอะๆ”
ถามว่าติสต์มั้ย? นางเอกสาวสวยให้คำตอบในทันทีแบบไม่ต้องคิดเยอะว่า “ก็ติสต์นะคะ” และที่ติสต์ได้ขนาดนี้ น่าจะเป็นผลมาจาก DNA ทางฝั่งคุณพ่อ “คุณพ่อริต้าเป็นวิศวกรค่ะ เขาก็จะชอบศิลปะ และทางครอบครัวของริต้าก็จะเป็นศิลปินกันหมดเลยค่ะ คุณปู่ด้วย ครอบครัวของริต้าที่เดนมาร์กเป็นเจ้าของแกลอรี่ด้วยค่ะ ตั้ง Museum ขึ้นมาแสดงผลงานของเขาเลย เขาเป็นศิลปินค่ะ ทางครอบครัวก็จะชอบวาดรูป เราก็เลยซึมซับตรงนี้มา อยากวาดก็วาด ไม่เคยเรียนเลยค่ะ ใช้พู่กันก็ไม่ถูก (ยิ้มบางๆ) ก็วาดตาม Feel ไป”
ลองให้ขยายความคำว่า “ติสต์” เสียหน่อย ริต้าจึงช่วยอธิบายตามความรู้สึกของตัวเอง “เป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัว มีแนวคิด มีมุมมองของตัวเองค่อนข้างสูงค่ะ แล้วก็เป็นคนที่ไม่ค่อยตามใครง่ายๆ เหมือนมีอุดมการณ์ของตัวเอง คำว่าอุดมการณ์สำหรับริต้าก็คือทุกอย่างในการใช้ชีวิตเลยค่ะ หลักการใช้ชีวิต เรามีความสุขกับอะไรบ้าง ทุกอย่างที่สร้างให้เราเป็นแบบนี้ ทั้งในเรื่องวัฒนธรรมด้วย ทั้งที่คุณพ่อ-คุณแม่ และครอบครัวหล่อหลอมมาด้วย
ถ้าเป็นในส่วนของความเป็นศิลปินจะได้มาจากคุณพ่อหมดเลย คุณพ่อเขาเป็นวิศวกร จะเดินทางบ่อยมาก สิ่งที่เขาสอนก็คือ เขาจะสอนเรื่องความสุข หมายถึงว่าทำอะไรก็ต้องมี Passion ต้องมั่นใจว่าเราชอบมันจริงๆ เราก็ต้องทำมันให้เต็มที่ ไม่ใช่ว่าทำแล้วต้องฝืนตัวเองในการทำอะไร เพราะว่าชีวิตมันไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็จะแคร์คนอื่นหมดเลย ตอนที่เขามาทำที่เมืองไทย ทุกคนในบริษัทรักเขาหมดเลย เราก็ภูมิใจมากที่พ่อเราเดินเข้ามาในออฟฟิศ ทุกคนเรียกทักทาย รักเขาหมดเลย (แววตาปลื้มปริ่ม) นั่นคือสิ่งที่ริต้ารักในตัวคุณพ่อค่ะ
ส่วนที่ได้มาจากคุณแม่ คุณแม่เขาจะเป็นคนสอนวัฒนธรรมไทยให้เราค่ะ เพราะคุณแม่เป็นคนไทยแท้ ไทยมาก (ลากเสียง) ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยค่ะ สมมติว่าริต้านั่งดูทีวีอยู่แล้วเอาขามาวางบนโต๊ะแบบนี้ (ชี้ไปที่โต๊ะสูงระดับโซฟาที่อยู่เบื้องหน้า) เราก็นั่งกินขนมอยู่ในบ้านตามปกติ คุณแม่ก็จะตบขาพลั๊วเลย (ทำท่าประกอบ) บอกว่าต้องนั่งให้เรียบร้อยนะ ถูกสอนมาแบบนี้ คือเราจะต้องเรียบร้อยตลอดเวลา” เมื่อเห็นว่าผู้สัมภาษณ์มีท่าทีสนใจรายละเอียดในเรื่องนี้ ริต้าจึงช่วยขยายความต่อ
“เมื่อก่อนริต้าไม่สามารถที่จะถ่ายรูปกับผู้ชายได้เลยค่ะ คุณแม่จะเป็นขนาดนั้นเลย (เมื่อผู้สัมภาษณ์ชักสีหน้าไม่เชื่อว่า “ถึงขนาดนั้นกันเลย” เธอก็ย้ำอีกครั้งด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงนิสัยขี้เล่นของคนที่พูดอยู่) ขนาดนั้นเลยค่ะ (ยิ้ม) จะต้องเป็นผู้หญิงไทย รักษาวัฒนธรรมไทย ห้ามใครแตะต้องตัว จับมือก็ไม่ได้เลยค่ะ คุณแม่จะบอกว่า ไม่ได้นะลูก ไปถ่ายแบบแบบนี้ โป๊แบบนี้ก็จะโดน
แต่ว่าพอเราโตขึ้น ด้วยความเป็นเด็ก เราก็อยากลองนู่นนั่นนี่ แต่พอมาถึงจุดนึงที่เราได้ลองทุกอย่างแล้ว ริต้าคิดว่าริต้าได้ลองทุกอย่างแล้วนะคะ (เธอย้ำอีกครั้งด้วยความมั่นใจ) ไม่ว่าเป็น ละคร, ละครเวที, ถ่ายแบบก็ถ่ายมาทุกแบบแล้ว จนทุกวันนี้มันไม่ใช่การลองแล้ว มันคือตัวริต้าจริงๆ ที่ได้คัดสรรกลั่นกรองจากการทดลองทุกอย่าง นี่คือตัวริต้าที่กำลังถ่ายทอดออกไป ชอบอะไรก็ทำ ไม่ชอบก็คือไม่ทำ ไม่ทำคือ ไม่ทำให้ใครลำบากใจ แล้วก็จะได้อยู่ในจุดที่เรามีความสุขด้วย”
“จริงใจ” ใน “มายา”
ถามมา-ตอบไป คือปฏิกิริยาที่ได้รับจากเธอคนนี้ตลอดบทสนทนา สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงที่ชื่อ “ศรีริต้า เจนเซ่น” ช่างเป็นคนง่ายๆ สบายๆ และมีความ “จริงใจ” อยู่ในตัวสูงมาก จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอรอดมาจาก “วงการมายา” จนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร คนถูกถามได้แต่ยิ้มใสๆ ตอบกลับแล้วบอกว่า
“เราต้องเลือกอยู่ในจุดที่เราแฮปปี้น่ะค่ะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ เพราะในวงการนี้มันมีหลายอย่าง แต่เราก็ต้องเลือกค่ะ กว่าเราจะรู้ตัวว่าเราอยู่ตรงไหนมันก็นานเหมือนกัน แต่พอเราเจอจุดที่เราสบายใจ เราก็อยู่ได้อย่างมีความสุขค่ะ ริต้าว่าเราคงไปสู้ความเป็นมายาไม่ได้หรอก แต่เราเลือกจุดที่เราอยู่แล้วแฮปปี้ได้ค่ะ เพราะริต้าเป็นคนแบบ... (สูดหายใจเข้าก่อนพูดออกมา)
ริต้าเป็นคนจริงใจน่ะค่ะ ริต้าเป็นคนไม่เสแสร้ง ไม่โกหก ไม่ให้ร้าย ไม่ว่าใคร ริต้าเป็นคนจริงใจมาก เราก็เลยกลายเป็นจุดที่มันแปลกแยก เราก็เลยเลือกถอยออกมาอยู่ในจุดที่เราสบายใจ ถ้าใครจริงใจ ดีกับเรา โหย...ริต้าเก็บไว้อย่างดีเลยนะ เราก็พยายามจะเก็บให้ดีที่สุด อยู่กับเขาให้มากที่สุด”
ถึงตอนนี้ ริต้ามองทุกอย่างแบบปลงตกไปแล้วเพราะเจอ “มายา” ในวงการนี้มาหลากหลายรูปแบบ “โอ๊...ริต้าเจอมาหมดทุกอย่างแล้วค่ะ จนริต้ารู้สึกเฉยๆ ไปแล้ว ทุกวันนี้ต่อให้ข่าวเขียนอะไรถึงเราอีก ริต้าก็เฉยๆ แล้ว จริงๆ นะคะ มันเกินจุดนั้นไปแล้ว (ยิ้มสบายๆ) อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนมองมุมบวกด้วยมั้งคะ จะเขียนอะไรอีก เราก็เฉยแล้วอ่ะค่ะ
ถ้ามีรุ่นน้องที่กำลังเจออะไรอยู่แบบนี้ เราก็จะบอกเขาอย่างนี้แหละค่ะ เพราะเราเคยเป็นคน Sensitive มาก่อน อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็จะคิดมาก เพราะฉะนั้น เราเข้าใจค่ะ บางทีเราเจอรุ่นน้อง เราก็จะสอนเขาได้เยอะเลยค่ะกับเรื่องนี้ ก็จะบอกเขาว่ามันปกติ มันธรรมดา วันนี้มา วันพรุ่งนี้ก็หายไป ทุกวันนี้คนไทยลืมง่ายมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ เพราะว่าเราอยู่ในโลกของ Social Network วันนึงเราดูรูปเป็นพันกว่ารูป รับข่าวเป็นพันกว่าข่าว เราก็ต้องปล่อยวางอ่ะค่ะ
อะไรที่มีเข้ามาแล้วมันไม่จริง เราก็ปล่อยวาง ถ้ามันจริง เราแก้ไขอะไรได้มั้ย ก็แก้ไข ถ้ามันไม่ได้เราก็ปล่อยวาง เราอย่าไปยึดติดกับอะไรมาก แล้วก็ทำตัวให้ดีที่สุด ดีกับคนรอบข้างที่สุด ความจริงก็คือความจริง ริต้ายึดถืออะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ และถ้าทำอะไรพลาดมาก็ไปขอโทษ ริต้าคิดว่าทุกปัญหาแก้ไขได้หมด เวลาริต้าทำอะไรผิด ริต้าก็จะขอโทษตลอดค่ะ ริต้าจะไม่อีโก้
แล้วก็ไม่ชอบนินทา ไม่ชอบว่าร้ายใคร ใครมาพูดเราก็ไม่ค่อยชอบ รู้สึกว่า เอ๊...เมื่อกี๊ยังดีๆ กันอยู่เลย ทำไมเดินออกไปปุ๊บก็ด่ากันแล้ว ริต้าก็จะโอ๊ย... (เอามือกุมขมับ) เราเลยเลือกอยู่ในจุดที่เราแฮปปี้ดีกว่า ริต้าถึงบอกว่าทุกวันนี้เป็นช่วงอายุที่เราแฮปปี้ที่สุดแล้ว เป็นช่วงที่เราใช่ที่สุดแล้ว
ก็ต้องขอบคุณทุกเสียงตอบรับเลยค่ะ ไม่ว่าจะติ-ชมอะไร เราก็ขอบคุณค่ะ ริต้าอยู่ในวงการนี้มา 20 ปี ริต้าก็ค่อยๆ โตขึ้น หลายๆ คนก็โตไปพร้อมกับริต้า ก็รู้สึกขอบคุณทุกอย่าง ทุกคนเลย ผู้ร่วมงาน, ผู้ใหญ่ที่ริต้าเคยร่วมงาน ริต้าจำได้ ไม่เคยลืมบุญคุณของใครเลย มาอยู่ตรงนี้ได้เพราะใคร ริต้าก็จะพยายามรำลึกถึงเสมอ แล้วก็ต้องขอบคุณทุกเสียงตอบรับ ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส
แล้วก็ต้องขอบคุณพี่ดามากค่ะที่ให้ริต้ามาเล่นเรื่องนี้ นี่ริต้าก็พยายามโทร.อ้อนพี่ดาอยู่ทุกวันนะคะ (ทำท่ายกหูโทรศัพท์แล้วสมมติว่าคุยให้ดู) พี่ดาคะ หนูอยากเล่นกับพี่ดาอีกได้มั้ยคะ (ยิ้มหวาน) เพราะเราแฮปปี้มาก นี่ก็พยายามโทร.ไปอ้อนทุกวันค่ะ (หัวเราะ) ริต้าคลิกกับพี่เขา แต่ไม่รู้พี่เขาคลิกกับริต้าหรือเปล่า (ยิ้มขี้เล่น) ริต้ารู้สึกอบอุ่นน่ะค่ะ อยู่กับพี่ดา พี่ดาเป็นคนจริงใจมาก จริงใจกับเราน่ะค่ะ เรารู้สึกได้”
ถามว่าจะรับงานในวงการบันเทิงไปอีกนานแค่ไหน วางอนาคตไว้อย่างไรบ้าง ริต้าก็ให้คำตอบอย่างรวดเร็วเช่นเคย “ไม่ได้วางไว้นะคะ แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะวางตัวเองไว้นานด้วยค่ะ ก็คงอยู่ตรงนี้ให้ดีที่สุด เราไม่คาดหวังค่ะ ถ้ามีงาน มีโอกาสดีๆ ติดต่อมา ริต้าก็จะทำให้เต็มที่ เราอยากได้บทที่มันแตกต่างออกไป อยากให้คนเห็นเราในหลายๆ รูปแบบ แต่ในอนาคตอันยาวไกล ริต้ายังมองไม่ออกนะ อยากมองแค่ปีนี้กับปีหน้าก่อนดีกว่า”
“เติมเต็ม” กันและกัน
และเรื่องที่ทุกคนอยากรู้มากที่สุดเกี่ยวกับนางเอกสาวที่ดูแสนจะเพียบพร้อมคนนี้ก็คือ เรื่องของ “อกข้างซ้าย” ว่ามีใครอยู่ในนั้นแล้วหรือยัง? ถ้าคนติดตามข่าวคราวในวงการบันเทิงบ้างก็จะรู้ว่าหนุ่มรู้ใจคนนั้นคือ “ขัน-ขันเงิน เนื้อนวล” หรือ "ขันเงิน” แห่งวงฮิปฮอปชื่อดัง “ไทยเทเนียม" ที่อาศัยลูกตื๊อจนมาพิชิตใจฝ่ายหญิงไปได้
จากที่เคยอุบเรื่องหัวใจไว้เป็นความลับแค่สองเรา ถึงตอนนี้ริต้าก็ยอมเปิดปากยอมพูดถึงความสัมพันธ์กันมากขึ้นแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า “ก็คนถามเยอะมากเลยอ่ะค่ะ ถ้าไม่พูดเขาก็ด่าริต้าอีก (ทำหน้าปลงๆ แกมขี้เล่นนิดๆ) ริต้าก็เลยต้องพูดบ้าง (เสียงแผ่ว)”
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ริต้าก็คือริต้า คนที่มี “พื้นที่ส่วนตัว” สูง จึงต้องถามเรื่องนิยามความรักของเธอแบบกว้างๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ เปิดบทสนทนาให้เธอยอมเปิดใจ เพื่อจะได้คำตอบแบบลงลึกรายละเอียดไปเรื่อยๆ และนี่คือบทสนทนาที่เกิดขึ้น
“ความรักเหรอคะ... ความรักเป็นสิ่งที่ดีนะ มันทำให้เรามีความสุข รักคนรอบข้างก็ดี รักไปเลยหลายๆ คนไม่ต้องคิดมาก แต่เราก็ต้องรักตัวเองด้วย สำคัญที่สุดคือรักตัวเอง ต้องเคารพตัวเราเอง ริต้าว่าความรักเป็นสิ่งดีที่ค่ะ ไม่ว่าจะรักแฟน รักพี่น้อง รักครอบครัว (น้ำเสียงสดใส) การมอบความรักให้กันมันเป็นสิ่งที่ดีค่ะ ริต้าว่ามันทำให้เรามีความสุขเนอะ”
เวลาพูดถึงความรัก ริต้าจะตอบแค่ไหน? “ก็บอกได้เท่านี้อ่ะค่ะ ส่วนมากถ้าถามมา เราก็ตอบแค่นี้” ตอบว่า? “(หัวเราะ) ก็ตอบว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีค่ะ ก็อยากให้ทุกคนมีความรักให้กันเยอะๆ” เมื่อเห็นว่าเธอยังคงตอบแบบอ้อมๆ อยู่ ผู้สัมภาษณ์จึงเริ่มตั้งคำถามที่ชัดเจนมากขึ้น
ถ้าให้พูดถึงความรักแบบ “คู่ชีวิต” ริต้ามองคำนี้ยังไงบ้าง? “จริงๆ แล้วมันลึกซึ้งกว่านั้นนะคะ อย่างริต้าก็คบกับ เอ่อ... (นิ่งคิดว่าจะเรียกว่าอะไรดี) แฟนริต้ามา 4 ปีแล้วนะคะ ริต้าว่ามันก็ต้องมีความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการประนีประนอม” อ่านจากสายตาก็รู้ว่า นี่แหละอาการของคนที่กำลังอินเลิฟ
การคบกับคนที่เป็นดาราด้วยกัน มันทำให้จูนกันยาก หรือทำให้เข้าใจกันมากกว่าคู่อื่นๆ? “คือเขาไม่ได้เป็นดารานะคะ แต่เขาเป็นศิลปินจริงๆ เลย เป็น Producer เขาทำเบื้องหลังซะมากกว่าค่ะ เบื้องหน้าเนี่ยมีน้อยมาก จริงๆ เขาอยู่เบื้องหลังหมดเลย เขาทำเพลงโฆษณาหลายโฆษณามาก เขาทำเพลงให้ศิลปินหลายวงมาก เขาแต่งเพลงให้กับวงเขาเอง แถมเขาทำอะไรหลายอย่าง และเรารู้สึกว่าเราชอบคนเก่ง แล้วเขาก็เหมือนเปิดมุมมองให้กับเราในอีกมุมมองนึง ในอีกไลฟ์สไตล์นึง เราก็รู้สึกว่าเราเติมเต็มกันและกันดี เหมือนเขามีอีกมุมนึง เรามาอีกมุมนึง มาเจอกัน มันก็เข้ากันพอดี”
จบประโยคนี้ เห็นได้ชัดว่าท่าทางของเธอดูขัดเขินอยู่มากจริงๆ แต่เมื่อถามมาก็ตอบไป นี่แหละความจริงใจของริต้า นางเอกสาวหน้าหวาน
ดูเป็นคน Activities เยอะทั้งสองคนเลย หาเวลาให้กันยังไงบ้าง? “ก็ต้องพยายามหาอยู่เนี่ยค่ะ (ยิ้มเขินๆ) เราโชคดีค่ะที่เรามี Activities เป็นของตัวเอง ริต้าว่าอย่างนั้นนะคะ ริต้าว่าคนเราต้องมี Activities ที่ตัวเองชอบ ทำให้สิ่งนั้นมันน่าสนใจ เราก็สนใจว่าเขาทำตรงนั้น เขาก็สนใจที่เราทำอันนี้ เราก็มีอะไรที่มาจูนกัน คือเขาก็ทำงานเยอะ เราทำงานเยอะ มันก็เลยโอเคไงคะ”
แต่บางคู่ทำงานเยอะกับเยอะ เลยอาจจะทำให้ห่างกันไปเลย อะไรทำให้คู่ของเรายังจูนกันได้อยู่? “ไม่นะคะ ริต้าว่าถ้าเยอะกับน้อย (อีกคนทำงานเยอะ อีกคนทำงานน้อย) อาจจะจูนยากนิดนึง แต่อันนี้พอเยอะกับเยอะ ต่างคนต่างเสร็จงาน เราก็นัดกันกินข้าว ดูหนังกัน อะไรอย่างนี้ค่ะ”
ความสุขของคำว่า “เรา” ในตอนนี้คืออะไร? “คืออะไร...” เธอนิ่งคิดพักนึง แล้วเริ่มเปิดใจพูดด้วยรอยยิ้ม “คืออยู่ด้วยกันแล้วสบายใจและมีความสุขค่ะ”
จำเป็นต้องไปเที่ยวด้วยกันมั้ย? “ก็ต้องมีบ้างค่ะ”
อะไรคือการเติมความหวานของริต้า? “ก็ไปเที่ยวนี่แหละค่ะ (ยิ้ม) ไปเที่ยว ไปเห็นประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยกัน เหมือนเราไปสร้าง Memory ด้วยกันในที่ต่างๆ ค่ะ มันก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น รู้จักกันมากขึ้น (น้ำเสียงเธออ่อนหวานมากกว่าเดิมเข้าไปอีกเมื่อพูดถึงเรื่องหัวใจ) เราเดินทางมาด้วยกันเยอะมากเลยค่ะ มันก็เลยกลายเป็นว่าเรารู้จักกันมากๆ”
ให้พูดถึงตัวเขาหน่อย เขาเป็นคนยังไง? “เขาเป็นคนเก่งค่ะ เป็นคนโรแมนติก มีน้ำใจ เป็น Gentleman เป็นคนที่เราอยู่ด้วยแล้วเราสบายใจ แล้วก็ให้เกียรติเราเสมอ โทร.ไปรับสายตลอดไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ก็ตาม แล้วก็เป็นคนที่เรารู้สึกว่าเราไว้ใจ”
จะแต่งงานกันมั้ย? “ยังไม่รู้เลย อีก 5 ปีมาถามใหม่นะ (ยิ้มนิดๆ)"
หรือริต้าจะเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝน? “สงสัยจะอย่างนั้นค่ะ (หัวเราะเบาๆ) ยังไม่พร้อม” เธอปิดท้ายด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แบบแผ่วๆ แล้วปล่อยให้บทสนทนาจบลง เดาเอาว่านี่คงเป็นคำตอบว่า ต้องติดตามตอนต่อไปกันเอาเอง
คลิปน่ารักๆ ศรีริต้า อ้อนแฟนๆ
---ล้อมกรอบ---
ไม่เคยอยากเข้าวงการ!
นั่ง Time Machine ย้อนกลับไปในวันวาน ริต้าเริ่มเท้าความตั้งแต่สมัยเข้าสู่โลกมายาใหม่ๆ เพื่อจะบอกว่าไม่เคยอยากเข้าวงการบันเทิง แต่ที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะจับพลัดจับผลูเข้ามาต่างหาก
“ที่ริต้าได้เข้ามาตอนนั้นเพราะมีคนไปเจอริต้าค่ะ ชวนไปแคสต์งาน ริต้าก็โอเค พอไปแคสต์งานแรกก็ได้งานเลย คือทุกอย่างมันเหมือนบังเอิญมาก ริต้าบอกได้เลยว่าริต้าไม่เคยอยากเข้ามาตรงนี้นะ แล้วก็มีหลายครั้งที่ริต้าต่อต้านด้วยว่าทำไมฉันต้องมาทำตรงนี้ด้วย เหมือนกับตอนเด็กๆ เราไม่ได้ชอบไงคะ ก็จะรู้สึกว่าทำไมต้องให้เรามาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย แต่พอเราแคสต์งานแรกปุ๊บ ดังเลย ตอนนั้นเป็นโฆษณา Sea Breeze จากนั้นก็มี MV ติดต่อเข้ามา เราก็ทำๆๆ เอ้อ...ได้ตังค์นะ แล้วเราก็สนุกด้วย (ยิ้ม)
แต่ตอนนั้นยังไม่ได้มองว่ามันคืออาชีพ เราเพิ่งจะมามองและให้ความสำคัญกับมันตอนที่เราโตเองค่ะ เราเพิ่งมาเห็นว่า เฮ้ย! จริงๆ แล้วเราโชคดีมากนะที่ได้อยู่ตรงนี้ และอาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่ดีอ่ะค่ะ สอนอะไรเราได้เยอะ แถมยังทำประโยชน์กับคนอื่นๆ ได้อีกมากมาย เราก็เลยค่อยๆ เก็บความรู้และพยายามใช้ให้เป็นประโยชน์ในหลายๆ ทางอยู่”
ยุคแห่งความฉาบฉวย
มาไว-ไปเร็ว คือธรรมชาติของยุคสมัยนี้ทีริต้ามองอย่างเข้าใจและไม่พยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไร
“ตอนนี้เป็นยุคอีกเจเนอเรชั่นนึงแล้วค่ะ เป็นยุคนี้ความละเอียดอ่อนทุกอย่างจะน้อยลง เป็นยุคที่จะฉาบฉวยมากขึ้น วันๆ นึงจะปุ๊บปั๊บ ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยแคร์อะไรมาก อันนี้หมายถึงเด็กยุคนี้นะคะ ซึ่งเราก็เข้าใจ ไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนอะไร (ยิ้มเย็นๆ) เข้าใจว่ามันเป็นแต่ละยุค และก็จะมีเปลี่ยนอีกเยอะค่ะ อนาคตก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีก ส่วนเรื่อง Social Network เราก็เล่นบ้าง-ไม่เล่นบ้างนะ ส่วนใหญ่จะเล่น IG (อินสตาแกรม) จะมีโพสต์รูปบ้างค่ะ ก็มองว่ามันสนุกดี อย่างเมื่อก่อนอาจจะต้องเขียนจดหมาย แต่สมัยนี้โพสต์รูปไปก็มี Feedback กลับมาแล้ว เราก็รู้ได้เลยค่ะ มันก็จะเป็นยุคที่ดีค่ะ มาเร็ว ดังเร็ว ง่ายดีค่ะ”
ให้ลองเปรียบเทียบอายุการเป็นดาราในวงการบันเทิงบ้านเราที่ดูเหมือนจะสั้นมาก เมื่อเทียบกับวงการฮอลลีวูดซึ่งถึงแม้ตัวเอกจะอายุมากแล้วก็ยังแสดงบทนำได้อยู่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ริต้าก็ยังคงมองอย่างเข้าใจอยู่ดี
“พออะไรที่มันฉาบฉวยมากๆ ความละเอียดอ่อนไม่มี วันนึงคนก็จะโหยหา มันเป็นเรื่องปกติน่ะค่ะ พอมีอะไรที่ละเอียดอ่อน อ่อนหวานขึ้นมา เราก็จะอิ่มอกอิ่มใจ มันก็จะเป็นอย่างนี้ค่ะ อะไรที่มันขาดหาย มันก็จะเติมเต็มของมันเอง เดี๋ยวมันก็จะเป็นของมันเอง ริต้าคิดอย่างนั้นมาเสมอ มันก็เหมือนกับฮอลลีวูดที่เคยมีช่วงอีกแบบนึง สักพักก็กลับมาเป็นอีกแบบ มันเป็นวัฏจักรของทุกอย่างค่ะ ริต้าว่าอย่างนั้นนะ”
น้ำเสียงและความคิดของเธอบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นคนเข้าใจโลกเอามากๆ น่าจะศึกษาธรรมะหรือเข้าวัดเยอะ แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“ริต้าไม่ได้ศึกษาหรือเข้าวัดบ่อยๆ นะคะ แต่ริต้าจะเป็นคนสังเกตวัฒนธรรมอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว ริต้าเรียนมาทางด้านศิลปวัฒนธรรม ส่วนมากก็เป็นแบบนี้ค่ะ อย่างเรื่องแฟชั่นก็ยังวนไปวนมา ทุกอย่างมันวนไปวนมา ความชอบ-ความนิยม พออะไรที่ฉาบฉวยมากเข้ามา สักพักคนก็อยากจะกลับมาละเอียดอ่อน มันก็จะวนอยู่อย่างนี้ค่ะ ความต้องการของคน เราก็มองแค่นั้น”
ดูเป็นคนเข้าใจโลกมาก เป็นเพราะเที่ยวเยอะ เดินทางเยอะหรือเปล่า? “ใช่ค่ะ (ยิ้มรับ) งานอดิเรกของริต้า ริต้าชอบเดินทางมากค่ะ ชอบเดินทางที่สุด ริต้าไม่ค่อยใช้ของแบรนด์เนม เงินมีนะ แต่เอาไว้ใช้เดินทางหมดเลยค่ะ แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้นไปมาแล้วทั่วโลกนะ แต่ก็ไปมาหลายที่แล้วค่ะ แต่ละที่ก็มีจุดเด่นจุดด้อยไม่เหมือนกัน ถ้าจะให้แนะนำตอนนี้เหรอคะ ริต้านึกไม่ออกอ่ะค่ะ ขอนึกก่อนนะ” เธอปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: ริต้า-ศรีริต้า เจนเซ่น
เชื้อชาติ: ลูกครึ่ง เดนมาร์ก-ไทย
วันเกิด: 27 ต.ค. 2524
ผลงานเด่น: ภาพยนตร์เรื่อง 999-9999 ต่อติดตาย, ละครเรื่อง "บ่วง", "มณีสวาท" และล่าสุด "อย่าลืมฉัน"
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม “sriritajensen”
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage ของ "ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
ด้านชีวิตที่อบอุ่นของนางเอกหน้าสวย "ศรีริต้า เจนเซ่น"
อย่าลืมฉัน "แอน ทองประสม" เจ้าหญิงวงการบันเทิงไทย"
“ชีวิตจริงผมก็เหมือนคุณเอื้อ ผู้ชายอบอุ่น” ก้อง- สหรัถ สังคปรีชา