xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ "พระอาจารย์คึกฤทธิ์" เจ้าแห่งวาทะ "พุทฺธวจน" ผู้เปิดธรรมที่ถูกปิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี พระที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งวาทะ พุทฺธวจน
"พุทฺธวจน" คำนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว แต่หนึ่งในจำนวนหลายคนของประโยคก่อนหน้า เชื่อว่ายังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำๆ นี้อย่างลึกซึ้ง

เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ได้มีโอกาสไปนั่งฟังสนทนาธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมี พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี พระที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งวาทะ "พุทฺธวจน" มาไขข้อสงสัย ในงานเปิดตัวโรงเรียนนานาชาตินอริช ซึ่งเป็นสถานศึกษาแห่งแรกของโลกที่นำหลักสูตร พุทฺธวจน มาเป็นหนึ่งในหลักสูตรการเรียนการสอน

ต่อจากนี้คือบทสัมภาษณ์ถาม-ตอบ ซึ่งเป็นข้อมูลอีกด้านที่นำมาให้พิจารณา และอยากให้ลองเปิดใจอ่าน ไม่ได้มีเจตนาต่อว่าต่อขาน หรือหักล้างว่าใครถูก หรือผิด

คำว่า พุทฺธวจน คืออะไร

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : พุทฺธวจน คือ ธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะคำพูดของพระองค์สอดรับ ไม่มีการขัดแย้งกัน เป็นคำพูดที่ใช้ได้ตลอดกาล อดีตจริง ปัจจุบันจริง อนาคตจริง|

คำคำนี้ มีการแปลความหมาย หรือตีความหมายมาแล้วหลากหลายภาษา คำสากลที่ใช้เรียก แท้จริงแล้วคืออะไร

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : เป็นคำที่พระศาสดาของเราเรียกมาตั้งแต่ต้นว่า พุทฺธวจน คนชาติไหนที่นำไปแปลเป็นภาษาอะไรก็ตาม จะใช้เรียกแบบนี้ทั้งหมด หรือการจะนำคำสอนไปแปลเป็นภาษาใดก็ตาม เวลาแปล หลายสำนวนจะคาดเคลื่อนอย่างไร เราจะนำมาตรวจกับพุทฺธวจน อย่างพระศาสดา พูดว่า ปาณาติปาตา เวระมะณีสิขาปะทังสะมาทิยามิ ฝรั่งเขียนมา ก็ต้องเขียนให้อ่านออกว่า ปาณาติปาตา เวระมะณีสิขาปะทังสะมาทิยามิ คนจีนก็ต้องอ่าน ปาณาติปาตา เวระมะณีสิขาปะทังสะมาทิยามิ นี่แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของ พุทฺธวจน ที่มีทั่วโลก

พุทฺธวจน มีส่วนสำคัญต่อชาวพุทธ หรือมนุษย์โลกอย่างไร

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : มีส่วนสำคัญมาก คือ เป็นสิ่งที่เรียกว่า สัจจะความจริง และไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด วรรณะใด นับถือศาสนาใดก็จะจริงเหมือนกันหมด สิ่งที่เหมือนกันหมด และเป็นสากลแบบนี้ เป็นสิ่งที่พระศาสดาเข้าไปค้นพบ เรียนรู้สิ่งนี้ขึ้นมา เช่น ถามว่าฝรั่งมีความอยากไหม มี คนไทยก็มี คนจีนก็มี มีความสุข มีความทุกข์ไหม ก็ต้องบอกว่ามี แล้วความอยาก ความสุข ความทุกข์เกิดจากอะไร พระศาสดาบอกไว้เลยว่า เกิดจากผัสสะ หรือสัมผัส (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เมื่อมีสัมผัสเกิดขึ้น สุข ทุกข์ก็จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้น ความอยากก็จะเกิดขึ้นตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้มีในคนทุกเชื้อชาติ มันจึงเป็นสิ่งสากล

ดังนั้น การมาศึกษา พุทฺธวจน เราจะได้ความเป็นสากล ได้ความจริง จริงๆ และความจริงนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อดีต คนที่เกิดมาแล้วกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม ล้วนมีสัมผัส มีสุขทุกข์ มีความอยากเหมือนกัน ปัจจุบันเราก็มี และคนที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคตอีกกี่พันกี่หมื่นปีก็ตาม เราก็รู้เลยว่า คนนั้นจะต้องมีสัมผัส มีสุข ทุกข์ มีความอยากเหมือนกับพวกเรา ณ ปัจจุบันนี้ และลำดับการเกิดขึ้นของมันก็จะเป็นไปตามหลักฐานนี้

หลักที่ว่านี้ จะนำเข้ามาสอดแทรกในชีวิตของเด็ก และผู้ใหญ่ ทำให้รับรู้เรื่องจริง เรื่องแท้ที่ออกจากภูมิปัญญาของพระศาสดา ซึ่งเป็นสัจจะที่พระศาสดาบอกว่า เป็นสิ่งควรรู้เป็นอันดับแรกของชีวิต

ทราบมาก่อนหรือไม่ว่าจะมีหลัก สูตรพุทฺธวจน ในโรงเรียนนานาชาติ

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : นับเป็นเหตุปัจจัยที่ดีว่า มีคนที่เห็นความสำคัญในคำของพระศาสดาแล้วนำออกไปใช้ได้ รวมถึงเห็นว่า คำของพระศาสดานั้นมีประโยชน์ ทำให้รู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ดีมาก สมเจตนารมณ์ของพระศาสดาที่ตรัสรู้ และต้องการเผยแผ่ โดยเฉพาะโรงเรียน ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ เป็นแหล่งสร้างคน เพื่อให้เด็กนักเรียนได้ข้อมูลจริง ข้อมูลตรง และผลิตคนให้มีปัญญาโดยใช้หลักของพระศาสดา

เริ่มจากวางความคิดอกุศลออกไป เช่น การทำสมาธิ หรือการวางความคิดอย่างไรแล้วจะทำให้คนมีปัญญาขึ้น หรือกระทำอย่างไรแล้วกรรมนั้นจะส่งผลในปัจจุบัน เด็กก็จะมีองค์ความรู้เหล่านี้ในการดำเนินชีวิต ไม่ไปพึ่งพา หรืองมงายสิ่งที่ผิด แต่พึ่งพาสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่เด็ก

เด็กๆ จะเรียนรู้ พุทฺธวจน ได้อย่างไรบ้าง

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : เด็กๆ สามารถเรียนรู้และสัมผัสได้เลย อันดับแรก ถ้ายังไม่รู้อะไร พระศาสดาบอกให้จำไปก่อน เพราะการทรงจำมีอุปการะมากต่อการใคร่ครวญ การจะใคร่ครวญ พินิจพิจารณาเรื่องอะไรก็ตาม ต้องจำให้ได้ก่อน และก่อนจะจำต้องได้ยินได้ฟัง เช่นเดียวกับการจำธรรมของพระพุทธเจ้า หรือพระศาสดา

ชาวพุทธจะมีวิธีการฝึกให้คิดเป็นระบบ โดยนำ พุทฺธวจน มาช่วยได้อย่างไรบ้าง

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : ความคิดที่เป็นระบบระเบียบ เกิดขึ้นได้จากคนที่มีสมาธิ ดังนั้น พระศาสดาจึงบอกให้คนเรามีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นเอง และการคิดอย่างเป็นระบบจะค่อยๆ เกิดขึ้นเอง ทางที่ดี เราต้องสร้างเหตุเพื่อให้เกิดการคิดที่เป็นระบบขึ้นมาก่อน นั่นก็คือ การมีจิตที่ตั้งมั่นจนเกิดเป็นสมาธิ บางคนนั่งเรียนอยู่แต่ใจไม่ได้นั่งเรียนด้วย ถามว่า จะทำอย่างไรให้ใจเขามาอยู่กับปัจจุบัน สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือ ทำให้เขามีสมาธิ ถ้าฝึกทำบ่อยๆ จะทำให้จิตตั้งมั่นกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้ ยิ่งไปบวกกับพลังสมองของเขา ภูมิปัญญาของเขาก็จะยิ่งทำให้เขามีศักยภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้น

หลายคนเรียนพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก แต่จะแยกให้ออกอย่างไรว่านี่คือวิถีพุทธ และนี่คือ พุทฺธวจน

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : วิถีพุทธที่เราใช้กันอยู่ เราไม่เคยกลับไปตรวจสอบเลยว่า เป็นพุทธในแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นพุทธที่แตกต่าง ส่วนใหญ่ที่เอาไปตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นพุทธที่แตกต่างตามความเห็นของคนนี้ คนนี้ และคนนี้ เพราะฉะนั้น พุทฺธวจน ก็คือเป็นเนื้อแท้ เป็นเนื้อแท้ของพุทธแท้ๆ ที่มีหลักฐานอยู่ในทางโลก ซึ่งยังปรากฏอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน หลักฐานนี้มีมา 2,000 กว่าปี สืบทอดกันมาอย่างไร เรามีเส้นทางตรวจสอบ และแยกแยะ

โดยปกติ ข้อมูลตรงนี้จะแยกแยะไว้ให้แล้วระดับหนึ่งว่านี่เป็นข้อมูลแต่งใหม่ นี่เป็นข้อมูลเดิมของพระศาสดา แต่เพราะความที่การเข้าไปเห็นความสำคัญในทางออก ทำให้เกิดการเบี่ยงเบน และพลัดหลงไปหาธรรมของคนแต่งใหม่ อธิบายใหม่ เราจึงเดินตามความเห็นของคนแต่งใหม่ อธิบายใหม่ เหมือนหรือไม่กับสิ่งที่พระศาสดาบอก เราก็ไม่รู้ แต่วันดีคืนดีลองไปอ่านธรรมที่มาจากพระศาสดาดูสิ ขัดกันเยอะเลย

จริงๆ แล้วหลักของ พุทฺธวจน คืออะไร

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : คือหลักของการเข้าใจตัวเอง และการที่จะพ้นทุกข์ได้ ไม่ต้องวิ่งออกไปข้างนอก แต่พระพุทธเจ้าให้กลับมาเรียนรู้ภายใน และการที่คนจะมีศักยภาพ มีบุญ มีบารมี มีความสามารถเพิ่มขึ้นทุกอย่าง ต้องกลับมาเรียนรู้ตัวเอง ทำตัวเองให้มีศักยภาพ วิธีทำตนให้มีศักยภาพ พระพุทธเจ้าอธิบายไว้หมดแล้ว ดังนั้น ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ด้วยการที่เราพึ่งตน และธรรมะ พึ่งข้อมูลที่ถูกต้องว่าจะฝึกตนอย่างไร แล้วก็อาศัยตัวเอง

คนที่มาเรียนรู้ธรรมะ พระศาสดาจะจัดว่าเป็นปุถุชนผู้ได้สดับ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง แล้วถ้าเขานำคำสอนของพระศาสดาไปใช้ ความเจริญจะเกิดขึ้นกับเขา การที่คนคนหนึ่งจะเจริญขึ้นมาได้ พระศาสดาบอกเหตุปัจจัยของการสมปรารถนา ความเจริญในทางโลกทุกด้าน เริ่มจาก ศรัทธา ต้องดูว่าใครรู้จริงเรื่องนี้ พระศาสดายืนยันว่า ตถาคตรู้จริง

ตามมาด้วย
ศีล พระศาสดาบอกฝึกกายดี วาจาดี เวลากายดี วาจาเราดี ไม่กระทำผิดศีล มันก็จะไม่เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ ถัดมาคือ สุตตะ ต้องสะสมข้อมูลจริงให้มากๆ โดยเฉพาะธรรมะของพระศาสดา เวลาเกิดปัญหา ธรรมะของพระศาสดาจะช่วยได้ ส่วน จาคะ คือ ความเสียสละ แบ่งปัน ละความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่น

สุดท้ายคือ การมี ปัญญา พระศาสดาจัดไว้ 2 ประเภท คือ 1. ปัญญาที่เกิดจากการละอกุศลต่างๆ ในชีวิต เช่น การคิดพยาบาท เบียดเบียนคนอื่น ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนปัญญาอย่างมาก 2. ปัญญาที่เห็นความจริงจากการเกิดขึ้น และดับไป ยอมรับในความไม่เที่ยง เช่น เขาไม่รักเราเพราะมันไม่เที่ยง หรือถ้าเขารักเรา มันก็ไม่แน่อยู่ดี คนที่มีปัญญา เวลาเขาเปลี่ยนไปจะได้ไม่หนักใจ หรือคิดมาก

เด็กๆ ควรจะได้ศึกษา "พุทฺธวจน" ตั้งแต่อายุเท่าไร

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : เตรียมตั้งแต่อยู่ในท้องเลยก็ได้ เปิด พุทฺธวจน ให้ลูกฟัง หรือพากันไปศึกษาก่อน ไปฟังก่อนก็ได้

ฝากไปถึงคนที่มีภาวะเครียด บวกกับความกดดันต่างๆ ในชีวิต พวกเขาจะใช้หลัก พุทฺธวจน เข้ามาช่วยได้อย่างไรบ้าง

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ : การที่เราเครียดกับการงาน คือเรากำลังเพลินกับอารมณ์ จิตกำลังผูกติดกับอารมณ์เพราะอำนาจของความเพลิน พระศาสดาบอกให้เอาจิตอยู่กับกายนิ่งๆ เวลามีความเครียด หรือกำลังหมกหมุ่นอยู่กับอารมณ์ใดก็ตาม พระศาสดาบอกให้วางซะ อย่าให้จิตผูกกับอารมณ์นานเกินไป ยิ่งผูกนานก็จะยิ่งเครียด

ดังนั้น ความตั้งมั่นของจิตอยู่ที่เอาจิตอยู่กับกาย ซึ่งจะทำเมื่อไรก็ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งสมาธิ ทุกอิริยาบถทำได้หมด ถ้าเรารู้หลักการตรงนี้ เราจะรู้สึกว่าง่าย ค่อยๆ นึกถึงลมหายใจและรีบดึงจิตกลับมาเข้าสู่ความสงบ เหมือนเราไปทะเล สูดลมหายใจเข้าออกสบายๆ หยุดความคิดสักพักแล้วเราจะรู้สึกสบายขึ้น

ไก่-มีสุข ผู้เดินตาม "พุทฺธวจน"

ปัจจุบัน การศึกษา หลักพุทฺธวจน หรือธรรมวินัยที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพุทธศาสนิกชนหลายท่านเริ่มเปิดใจเข้ามาศึกษามากขึ้น เพราะพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า การศึกษาธรรมะในทุกวันนี้ล้วนแต่มี "คำที่แต่งใหม่" ปะปนอยู่มาก กลายเป็นการนับถือศาสนาพุทธที่ผิดเพี้ยนไป รวมถึงการนำพระพุทธศาสนาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง



ไก่-มีสุข แจ้งมีสุข พิธีกรสาวมากความสามารถ และคุณแม่มือใหม่ คือหนึ่งในผู้ที่ศรัทธา และเดินตามรอย "พุทฺธวจน" ถึงขนาดจัดงานแต่งงานโดยใช้ธีม ธรรมะ มงคลสมรส และนำธรรมะที่เป็นคำสอนของพระศาสดามาบรรยายในงาน เพราะอยากให้บรรดาแขกที่มาร่วมงาน เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาโดยตรง

"แต่ก่อน ไก่มักจะหาเวลาว่างจากการทำงานไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างๆ และมีการโยนเหรียญลงไปในอ่างน้ำ โดยมีความเชื่อว่า ถ้าโยนเหรียญแล้วไม่ลง คือพวกบาปหนัก ส่วนเหรียญก็จะต้องใช้เหรียญสิบ เพราะถ้าใช้เหรียญบาทจะเป็นพวกไม่มีเงิน เป็นแบบนี้มาตลอดค่ะ จนมาค้นพบว่า มีที่ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธเจ้า พอเริ่มศึกษาก็เริ่มสบายใจ และรู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดไม่ถูก" เธอเริ่มเล่า ก่อนจะเผยให้ฟังต่อว่า

"ตอนนี้ศึกษามาได้ 2 ปีแล้วค่ะ เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลายอย่าง สิ่งที่แรกที่เห็นเฉพาะตนว่ามาถูกทางก็คือ เมื่อก่อนไก่นั่งสมาธิ ไก่จะใช้หลักการภาวนาแบบพุทโธ เวลานั่งสมาธิก็จะต้องเห็นพุทกับโธลอยเข้าลอยออก ทำมาพักใหญ่ๆ แต่พอออกจากสมาธิ เจอใครขับรถปาดหน้า ไก่หันไปมองแล้วก็บอกทันทีว่า แยกหน้าเจอกัน เห็นหน้าตาแบบนี้ นักเลงมากค่ะ ตอนนั้นก็คิดกับตัวเองว่า เราก็นั่งสมาธิ แต่ทำไมออกจากสมาธิถึงได้ยังซ่าส์ขนาดนี้ แถมใจยังร้อนรุ่มอีกด้วย

พอได้มาฝึกจิตอยู่กับลมหายใจตามที่พระพุทธเจ้าบอก ไก่เห็นจิตตัวเองวิ่งไปตลอด แรกๆ ทำยากมาก แต่พอทำไปเรื่อยๆหลังออกจากจากสมาธิแล้วอยู่กับชีวิตประจำวัน พอเจอรถแซง แทนที่จะเป็นเหมือนเดิม ไก่กลับมาอยู่ที่ลมหายใจ พออยู่กับมันได้พักหนึ่ง ไก่ก็ลืมไปแล้วว่าจะแข่งกับรถที่แซง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้อ๋อว่า ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า จิตเราต้องเปลี่ยน เพราะเราก็เป็นมนุษย์ที่มีกิเลส"

ไก่ เล่าต่อไปว่า "ผู้หญิงอย่างไก่ ดูภายนอก หน้าตา ดูเหมือนว่าเป็นคุณแม่ที่ดีได้ แต่ถ้าเอานิสัยจริงๆ ไม่เหมาะกับการเป็นคุณแม่เลยค่ะ จริงๆ แล้ว ไก่เป็นผู้หญิงที่ทำอะไรไว มั่นใจในตัวเอง ไม่ชอบการกำหนดอะไรทั้งหมด ไม่ชอบให้ใครมาวางแผนชีวิต ซึ่งไก่เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แล้วอีกอย่างคือ ไก่ไม่ยอมคน

พอเริ่มตั้งท้อง มันคือความเสียสละทั้งหมด ถ้าไม่มีธรรมะ ไก่คงเป็นคุณแม่ใจยักษ์แน่ๆ พอมาได้ศึกษาพุทฺธวจน และทราบว่าจะมีหลักสูตรพุทธวจนในโรงเรียน รู้สึกดีใจมาก เพราะทุกวันนี้ เราอยู่กับพิธีกรรมและความเชื่อทั้งหมด พอวันหนึ่งมาเจอคำของพระศาสดาที่ถูกต้อง 95 เปอร์เซ็นต์ที่เราเคยรู้มันผิดหมดเลย ทุกข์ที่เราเข้าใจ กับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ก็คนละอย่างกันแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญพอๆ กับที่คุณจะกินยาเพื่อรักษาโรคให้หาย 1 โรค แต่คุณกินยาผิด คุณไม่มีวันหายจากโรค เพราะฉะนั้น ถ้าคุณรู้จักพุทธศาสนาผิด และลูกของคุณก็รู้จักพุทธศาสนาผิด คุณจะไม่มีทางพ้นทุกข์ออกมาจากสังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) ได้เลย

ยกตัวอย่างบทสนทนาที่ลูกคุยกับแม่ 'แม่ๆ วัดนี้เขาทำน้ำมนต์ ขลังมากๆ เลย พาหนูไปรดน้ำมนต์นะคะแล้วหนูจะหายป่วย ส่วนแม่ที่ศึกษา พุทฺธวจน ก็จะบอกว่า 'มันเป็นเดรัชฉานวิชานะลูก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้' ลูกก็เถียงอีกว่า 'ไม่ใช่นะแม่ เขารดน้ำมนต์แล้วหายป่วยจริงๆ' แต่ถ้าแม่กับลูกมีสัมมาทิฏฐิ (มีความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม) ตรงกัน แม่กับลูกก็จะคุยกันรู้เรื่อง"

ผู้ที่สนใจ และต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ "พุทฺธวจน" ติดตามได้ผ่านเว็บไซต์ watnapp.com

ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live




กำลังโหลดความคิดเห็น