สร้างความหวาดระแวงไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อแหล่งศิวิไลซ์ใจกลางกรุงเทพฯ อย่างย่านชิดลม กลายเป็นพื้นที่ล่าเหยื่อไถทรัพย์ของเหล่ามิจฉาชีพรุ่นเยาว์ไปแล้ว แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่ภาพและเรื่องราวของผู้ที่ประสบเหตุสู่โลกออนไลน์อย่าง pantip.com ว่า ท่ามกลางบ้านสวย ตึกสูง คอนโดหรู ขนาดเรียกได้ว่าเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจแห่งนี้ มีเยาวชนตั้งตนเป็นมาเฟียอย่างเหิมเกริม!
โดยผู้เสียหายคนดังกล่าวใช้ชื่อว่า "นุ้ย" ได้ส่งต่อภาพเยาวชน 7 คน ขณะกำลังนั่งดมกาว บริเวณท่าเรือคลองแสนแสบ สะพานชิดลม ที่เธอบันทึกไว้ พร้อมทั้งโพสต์ข้อความใต้ภาพว่า "เเก๊งนี้อันตรายมาก เพราะนุ้ยเคยถูกขู่ทำร้ายมาแล้วสองครั้ง"
เจ้าตัวเล่าว่า ระหว่างออกจากคอนโดย่านชิดลมที่เธออาศัยไปทำกิจวัตรประจำวัน เธอพบว่าเด็กกลุ่มนี้ชอบมาป้วนเปี้ยนและรวมตัวดมกาวแถวสะพานชิดลมทุกเย็น ซ้ำยังเคยมารีดไถเงินเธอด้วย หนแรกคือตอนจูงสุนัขไปวิ่งออกกำลังเล่น หนที่สองเกิดเมื่อราวสามวันก่อน ตอนขณะกำลังกลับเข้าที่พัก ซึ่งทั้งสองครั้ง เด็กพวกนี้จะใช้วิธีเข้ามาเป็นกลุ่ม โดยให้ผู้ที่โตสุด คล้ายจะเป็นหัวหน้ากลุ่มมาบอกว่า "ขอเงินซื้อน้ำ 20 บาทดิ"
พอเธอปฏิเสธบอกว่าไม่มี ด้วยรู้ว่าเด็กเหล่านี้คงนำเงินไปซื้อกาว พวกเขาก็จะมีท่าทีไม่พอใจ แล้วพูดว่า "งั้นเอาอีนี่เลย" เมื่อได้ยินอย่างนั้น ด้วยความรักชีวิต เธอจึงรีบควักเงินให้ แล้ววิ่งกลับที่พักเร็วที่สุด
หลังจากเกิดเหตุการณ์การทำนองนี้ถี่ขึ้น เธอจึงตัดสินใจโทร.แจ้งไปยังสน.พญาไท และสน.ปทุมวัน ซึ่งผลปรากฏคือ "แรกๆ เขาก็มีมาดูค่ะ แต่ดูแล้วก็ไป ไม่เห็นทำอะไรได้เลย"
ซ้ำเธอยังเล่าอีกว่า ตลอด 6 เดือน ตนได้ทำ report เอาไว้เดือนละครั้ง แต่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้สักที แก๊งเด็กเร่ร่อนกลุ่มนี้ยังอยู่
อย่างล่าสุดคืนวานเธอได้ยินหญิงสาวกรีดร้อง แม้จะไม่ทราบแน่ว่าเป็นฝีมือของเด็กกลุ่มนี้หรือไม่ แต่เธอก็แจ้งไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งผลก็ออกมาตามเคย ไม่มีผู้รับบ้าง รับบ้างแล้วก็เงียบหายไป
เมื่อได้ข้อมูลเช่นนี้ ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live จึงติดต่อไปยังสน.พญาไท จนได้ความจากดาบตำรวจธนะชัย เกิดมี เจ้าหน้าที่ดูแลและควบคุมผู้ต้องหา ประจำสน.พญาไทว่า
"ทุกครั้งที่มีเหตุรับแจ้ง เราก็ส่งสายตรวจออกไปตลอดนะครับ ไม่เคยมีครั้งไหนที่เราละเลงหน้าที่ แต่จะเจอตัวหรือไม่ อันนั้นต้องดูอีกที ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เจอครับ พอเจ้าหน้าที่ไปถึงพวกเขาก็หนีหมดแล้ว ตรงนี้ผมว่าน่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายมากกว่าที่ชอบไปพูดกับพวกผู้ต้องหาว่า เดี๋ยวจะแจ้งตำรวจนะ เดี๋ยวเอาตำรวจมาจับแน่ พวกเขาก็เลยหนีกันไปหมด รอจนตำรวจกลับ หรือเรื่องเงียบ ก็ออกมาอีก"
นอกจากนี้ดาบตำรวจยัง ชี้แจงอีกว่า ที่ผ่านมาทางสน.พญาไท ก็คุมตัวเด็กเร่ร่อนในพื้นที่ได้จำนวนมาก โดยบางรายถ้าพบว่าเสพยาก็จะส่งตัวเข้าสถานบำบัด ส่วนบางคนที่ชีวิตยากลำบาก ไร้บ้านก็พูดคุย แนะนำแนวทางตามสถานสงเคราะห์ที่เหมาะสมให้ตลอด
อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ตำรวจยังระบุอีกว่า "ปัญหาเด็กเร่ร่อน และคนจรจัด ไม่หมดง่ายๆ ครับ"
แน่นอนว่าคำพูดของเจ้าหน้าที่สอดคล้องกับความเห็นของ ผู้อุทิศตนให้กับเด็ก อย่างครูหยุย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ แห่งมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก เพราะเขากล่าวว่า
"แก้ยากครับ แต่ไม่ใช่แก้ไม่ได้ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ตอนนี้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็เข้ามาดูแลตรงนี้อยู่ อย่างกทม. กระทรวงศึกษา หรือตามมูลนิธิต่างๆ ซึ่งผลก็ดีขึ้นแล้ว จากสถิติเด็กเร่ร่อนปีก่อนๆ ถึง 3 หมื่นคน ตอนนี้ในกรุงเทพฯ เหลือเพียงประมาณหนึ่งหมื่นคนแล้ว"
ทั้งนี้ครูหยุยยังให้เหตุผลต่ออีกว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าวิธีการจัดการกับปัญหานี้เป็นเรื่องยากและอ่อนไหว เพราะเด็กเร่ร่อนมีหลายประเภท คือ 1. เร่ร่อนที่มาตามพ่อแม่ กลุ่มนี้จะติดพันธะครอบครัว เป็นปัญหาใหญ่ของทุกหน่วยงาน เพราะหากเข้าไปช่วยเหลือเด็ก หาสถานสงเคราะห์ให้อยู่ ก็เหมือนการไปพรากลูกพรากแม่ ซึ่งถ้าถามว่าแล้วทำไมไม่ช่วยพ่อแม่ด้วย เรื่องนี้ก็อยู่ที่งบประมาณ และจำนวนสถานที่รองรับ
ส่วนกลุ่มที่ 2 ค่อนข้างไม่น่าเป็นห่วง คือกลุ่มเร่ร่อนชั่วคราว เด็กจะแค่ออกมาเที่ยวเร่ร่อน อยากรู้อยากเห็น แล้ว 2-3 วันก็กลับเข้าบ้าน ซึ่งกลุ่มนี้สิ่งจะน่ากังวลก็มีแต่เรื่องถูกหลอกไปขายบริการ หรือเสพยาเสพติดเท่านั้น
มาถึงกลุ่มสุดท้ายที่ครูหยุย จัดเป็นประเภทเสี่ยงต่อการเกิดเหตุอาชญากรรมมากที่สุด นั่นก็คือ กลุ่มวัยรุ่นที่หนีออกบ้านมาเร่ร่อนถาวร เพราะการไม่มีทางไปของพวกเขา อาจทำให้เข้าใจผิดๆ คิดว่าชีวิตไม่เหลืออะไรแล้วตามประสาเด็ก จึงพลาดพลั้งเข้าสู่สังคมด้านมืด เช่นเสพยา ปล้น รีดไถ ข่มขืน
ซึ่งตรงนี้ครูหยุย อธิบายเสริมว่า จะไปว่าพวกเขาอย่างเดียวก็ไม่ได้ บางรายอาจโดนหลอกให้ทำ บางรายไม่มีทางเลือกอื่น บางคนอาจถูกทำร้ายร่างกายอย่างทารุณเจ็บช้ำ หรือมีปมเรื่องถูกข่มขืนมาก่อน รวมไปถึงการปฏิบัติตัวตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ก็ได้
นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าว ทางหน่วยงานต่างๆ ที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือก็ควรใช้ทัศนคติที่ดีเวลาให้คำปรึกษา ไม่ควรใช้ความรุนแรง ดุด่า ออกบทลงโทษ จนลืมมองความรู้สึกนึกคิด และความเข้าใจของเด็กไป จะเป็นตัวคลี่คลายปมปัญหาได้ดีที่สุด ครูหยุยให้คำแนะแนวทางเสริม
คำกล่าวของพ่อพิมพ์ ชวนให้ย้อนนึกถึงชะตากรรมเด็กไทยเร่ร่อนขึ้นมาฉับพลัน รวมถึงกลุ่มเด็กดมกาวที่ตั้งตนเป็นแก๊งมาเฟียรีดไถเงินจากเหยื่อเชิงสะพานย่านชิดลม ว่าทำไมพวกเขาจึงต้องเอาชีวิตมาลงเอยบนทางสายนี้ แล้วหน่วยงานเกี่ยวกับเด็กในวันนี้จะแก้ปัญหาได้ดีหรือไม่ วิธีใด และลงมือจริงๆ จังๆ หรือยัง ?
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ PANTIP.