xs
xsm
sm
md
lg

นางรองรอวันจรัสแสง “พลอย -ภัทรากร” ดาหลางามจากเวียงร้อยดาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ท่ามกลางกระแสฟีเวอร์สุภาพบุรุษจุฑาเทพในช่วงปีที่ผ่านมา เธอคือนางรองคนหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาจากความน่ารัก สวยใส ทั้งยังเก่งจนเป็นที่ชื่นชอบใครหลายคน ล่าสุดกับบท “ดาหลา” ในละครเรื่องล่าสุดอย่าง “เวียงร้อยดาว”

จากบท จันทา ใน คุณชายรัชชานนท์ ส่งให้ “พลอย - ภัทรากร ตั้งศุภกุล” เป็นชื่อที่หลายคนถามถึง เพราะนอกจากความสวยที่มาพร้อมบุคลิกที่ดูเรียบร้อย เธอยังมีดีกรีเกียรตินิยมอันดับสองจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีกด้วย

“จากจันทามาเป็นดาหลา เขาเป็นผู้หญิงเรียบร้อยเหมือนกัน พลอยก็ไปถามว่าพี่อ๊อฟ(พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง)เล่นยังไงไม่ให้เหมือนเดิม ก็พบว่า มันมีรายละเอียดที่เรารู้สึกสนุก จะเล่นยังไง สื่อสารยังไงไม่ให้เหมือนเดิม ไม่ให้กลายเป็นจันทาในชื่อดาหลา” เธอเอ่ยยิ้มเมื่อพูดถึงผลงานล่าสุด

วันนี้ทีมงาน M-lite พบเธอในชุดขาวเรียบร้อย รอยยิ้มดูเป็นธรรมชาติแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าเธอเป็นระยะระหว่างพูดคุย กับบทสนทนาที่สนุกพร้อมสุ้มเสียงติดสำเนียงเหนือเล็กน้อย กลายเป็นภาษาดอกไม้ที่ชวนให้ฟังได้ไม่รู้เบื่อ

ธิดาลำไย

หลายคนคงรู้แล้วว่า ผลงานละครเรื่องแรกของเธอคือ คุณชายรัชชานนท์ มากไปกว่านั้น หลายคนอาจรู้แล้วว่า เธอเข้าวงการจากการได้ตำแหน่งนางงามธิดาลำไยในช่วงที่แดง- ธัญญา และอ็อฟ - พงษ์พัฒน์ ถ่ายละครเรื่องรอยไหมพร้อมกับแคสหานักแสดงในซีรีส์คุณชายอยู่พอดี

“ตอนนั้นก็เป็นผู้ใหญ่ที่พี่อ๊อฟรู้จักกัน เขาแนะนำให้เราไปเจอจากนั้นก็ได้เข้ามาแคสที่กรุงเทพฯ”

แต่ก่อนหน้านั้นเธอไม่ได้เป็นนางงามประเภทเดินสายประกวดแต่อย่างใด เป็นเด็กประเภทไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ตอนนั้นตั้งใจเรียนอย่างเดียว กิจกรรมที่โรงเรียนไม่เคยทำเลย ไม่ได้เต้น ไม่ได้เป็นลีด งานแสดงประจำปีก็ไม่ได้ทำอะไร ก็เรียนอย่างเดียว พอเข้ามหาวิทยาลัยพลอยเลือกเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ เราก็เรียนอย่างเดียว(หัวเราะ) เป็นลีดไม่ได้เป็นสักอย่าง”

และก็เป็นพ่อของเธอเองที่เอ่ยชักชวนให้เธอลองลงสมัครประกวดนางงาม แต่ก็นานครั้งที่ลงประกวด เธอจะแบ่งเวลาเอาจากเวลาว่าง โดยการประกวดส่วนใหญ่ก็จะแบบที่ใส่ชุดไทย อย่างการประกวดเวทีขี่รถถีบกางจ้อง แต่งกายงามล้านนา และธิดาลำไย ทุกครั้งที่ประกวดสิ่งที่เธอเตรียมตัวมีเพียงเช่าชุดพื้นเมืองตามคอนเซ็ปต์ของเวทีประกวด แต่งหน้าทำผมแล้วลงประกวดเท่านั้น

“สมัยก่อนคุณพ่อจะไม่ค่อยอยากให้ทำอะไรเท่าไหร่ เหมือนอยากให้เราตั้งใจเรียนอย่างเดียว พอการเรียนเราเริ่มคงที่แล้ว เขาเลยอยากให้เราลองทำดูแต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเข้ามาวงการบันเทิงแบบนี้”

กับการแคสบทครั้งแรก เธอเผยว่า ไม่ได้รู้สึกประหม่าแต่อย่างใด ด้วยเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการทดสอบบท เธอต่อบทกับเพื่อนที่มาร่วมคัดตัวด้วยอีกคน และก็เป็นเธอที่ผ่านการคัดเลือกครั้งนั้นมาได้

“ตอนเข้ามาแคสครั้งนั้นเจอนักแสดงเยอะมาก ทุกคนสวยหล่อแบบละลานตาเลย ความสามารถก็งัดออกมาโชว์กันเต็มที่ เราก็คิดว่า เราคงไม่ได้ชัวร์ แอบคิดว่า อย่างน้อยครั้งหนึ่งเราได้มาเหยียบตึกมาลีนนท์เท่านั้นเอง”


สาวเหนือเข้ากรุงเทพฯ

ตั้งแต่เด็กจนโตเธอเรียนอยู่ที่เชียงใหม่มาตลอด มีเพียงช่วงฝึกงานสั้นๆเท่านั้นที่เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเด็กเชียงใหม่มาใช้ชีวิตอยู่เมืองกรุงเทพฯ และจากว่าที่ทนายสู่นักแสดงหน้าใหม่ของวงการ

“เพื่อนก็งงกันค่ะ ไม่รู้ว่าเรามาได้ไง” เธอเอ่ย “เพราะว่าปกติเราก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนมากกว่า อย่างเวลาไปประกวดถ้าตรงกับสอบหรือเลกเชอร์ที่มันสำคัญๆเราก็จะไม่ไป การประกวดเหมือนเป็นงานอดิเรกเท่านั้น”

โดยบ้านที่เชียงใหม่ของเธอนั้นเป็นครอบครัวใหญ่แบบคนจีนที่อยู่กันพร้อมหน้า มีพื้นที่กว้างให้อยู่กันเป็นครอบครัวโดยมีลูกพี่ลูกน้อง 9 คนเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ทำให้วัยเด็กของเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสนุกตามประสาเด็กต่างจังหวัดที่ได้เล่นปั่นจักรยาน กระโดดหนังยาง หรือตั้งเต

ในส่วนของชีวิตวัยเรียนนั้น แม้เธอจะเป็นเด็กเรียนแต่เธอก็เป็นคนติดเพื่อนด้วย ทำให้ช่วงเวลาที่อยู่โรงเรียนเธอจะเป็นคนสนุกสนานเฮฮากับเพื่อน แต่หลังเลิกเรียนเธอจะอ่านหนังสือ ท่องตำรา เข้าเรียนพิเศษ

“จริงๆ แล้ว ตอนเด็กขี้เกียจมาก มีคนบอกว่าถ้าตั้งใจเรียนเกรดจะดีกว่านี้ แต่พลอยเป็นคนติดเพื่อน ชอบอยู่ ชอบเล่น ชอบเมาท์กับเพื่อน มาเก่งเอาตอนมัธยมเพราะตั้งใจว่า เฮือกสุดท้ายของชีวิตการเรียนแล้ว” เธอเอ่ยพลางหัวเราะ

และหลังจากเธอเป็นที่รู้จักทั้งงานละครที่ถ่ายทำและงานอื่นๆที่เข้ามา ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ เมืองที่แตกต่าง วิถีชีวิตที่แตกต่างทำให้เธอได้เปิดหูเปิดตากับใช้ชีวิตมากขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็ยังคงคิดถึงคนที่บ้านอยู่เสมอ

“ได้เปิดหูเปิดตาดีค่ะ” เธอเอ่ยขึ้น “สิ่งที่ต่างกันมากก็มีเรื่องรถติด อยู่กรุงเทพฯใน 1 วันจะไปได้แค่ 2 ที่เท่านั้น และมันกะเวลาไม่ได้ ดังนั้นจะทำอะไรต้องวางแผนให้มากกว่าเดิม”

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวจะอยู่กรุงเทพฯแต่ใจของเธอก็ยังคงคิดถึงหลายคนที่บ้านเกิด

“คิดถึงค่ะ เพราะครอบครัวหรือเพื่อนสนิทก็อยู่ตรงโน่นหมด อยากกลับไปอยู่กลับไปใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ คิดถึงคุณแม่ คิดถึงแมวที่บ้านด้วย”

ฝาแฝดกับพี่สาว

นอกจากความสวยน่ารัก สิ่งหนึ่งทำให้หลายคนหันมามองเธอคือความเก่งที่การันตีด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาวเหนือยิ้มอย่างภาคภูมิก่อนเผยถึงความสำเร็จครั้งหนึ่งในชีวิตว่า มาจากความต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเอง

“ทุกคนจะคิดว่าพลอยเป็นเด็กขี้เกียจคะ” เธอยิ้มบางๆพร้อมเสียงหัวเราะ “เพราะว่าพลอยเป็นคนขี้เกียจแต่ชอบมาลักไก่เอาตอนใกล้ๆสอบ พลอยจะมาแอบปั่นแอบสุ่มเงียบมากกว่า บางช่วงเราขี้เกียจคุณแม่เห็นก็บอกว่า แกไม่ไหวแน่ ถึงขั้นบอกให้พลอยซิ่วไปเรียนเอาคณะอื่น แต่พอแม่เห็นเกรดก็เริ่มไว้วางใจว่าเราน่าจะเรียนจบได้”

โดยวิธีการเรียนแบบม้าตีนปลายที่ควบเข้าเส้นชัยในช่วงท้ายของการแข่งขัน เธอเผยว่าเป็นวิธีที่เหมาะกับตัวเอง เพราะหากให้เร่งดูหนังสือตั้งแต่เปิดเทอม เธอคงลืมหมดก่อน ดังนั้นช่วงเวลาที่คนอื่นดูหนังสือ ยิ่งกับคณะนิติศาสตร์ที่มีหนังสือเล่มหนาหนัก หลายคนเลือกจะอ่านก่อนตั้งแต่ยังไม่เริ่มเรียนแต่เธอเลือกที่จะเข้าเรียน เข้าใจ ก่อนเริ่มทวนอ่านในช่วงใกล้สอบ

“พลอยเน้นว่า ถ้าในห้องเลกเชอร์ต้องจดให้เข้าใจตลอดห้ามหลุด พอกลับมาอ่านอีกรอบเราจะอ่านเร็วขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และพลอยเป็นสไตล์ 2 อาทิตย์ก่อนสอบจะอ่านหนังสือไม่ไปไหนเลย เก็บตัวเงียบ ถ้าเกิดให้อ่าน 1 เดือนก่อนสอบจะหมดแรงก่อน”

แรงบันดาลใจในการเรียนของเธอมาจากพี่สาวและหลายคนก็มองว่า พวกเธอนั้นแทบจะเป็นฝาแฝดกัน การเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ ความชอบในการอ่านหนังสือ หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเธอได้มาจากการเอาอย่างพี่ที่เป็นเหมือนไอดอลคนหนึ่งของเธอ

“เขาเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก เหมือนเขาดูแลตัวเองได้ เป็นที่ปรึกษากฎหมายอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวสาทร เขาเก่งตั้งแต่เด็กเลย เล่นกีฬาก็ได้ วาดรูปก็สวย ทำได้ทุกอย่าง เขาเคยวาดรูปส่งอาจารย์แล้วอาจารย์ไม่เชื่อ หาว่าไปซื้อมาส่งนอกจากนี้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษเก่งหมดเลย”

เธอพูดถึงพี่สาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ยังบอกอีกด้วยว่า เธอแทบจะเป็นฝาแฝดกับพี่สาวด้วยหน้าตาที่เหมือนกัน มีเพียงดวงตาที่เธอบังเอิญเหมือนกับคุณย่าที่เป็นคนเชียงใหม่เลยมีตาโตเหมือนคนไทย ขณะที่พี่สาวจะมีตาชั้นเดียว

“แล้วเขาก็เป็นคนดุมากด้วย เป็นคนเป๊ะ พอเราทำอะไรเลอะเทอะในห้อง เขาก็จะบอกเก็บให้หมด เหมือนเป็นแม่คนที่ 2 (หัวเราะ) ดังนั้นเวลามีอะไรเราก็จะปรึกษาพี่ตลอดเพราะเขาเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เป็นคนอ่านเกมขาดค่ะ”

บทเรียบร้อยแต่มีรายละเอียด

จากจันทาแห่งคุณชายรัชชานนท์ สู่บทดาหลาแห่งเวียงร้อยดาว แม้ตัวบทนั้นจะเป็นบทเรียบร้อยเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่งานง่ายสำหรับเธอ โดยการแสดงครั้งนี้เธอรู้สึกดีที่ได้ร่วมงานกับนางเอกคนเดิมอย่างแต๋ว - ณฐพร เตมีรักษ์ ทั้งยังคู่รองคนเดิมอย่างท็อป - จรณ โสรัตน์

“คู่เดิมก็รู้สึกดีใจค่ะ เพราะว่าได้ทำงานกับคนที่สนิทแล้วพี่เขาก็เก่งคอยช่วยเราตลอด เราก็ดีใจที่พึ่งพาเขาได้ กับแต้วก็ดีใจเพราะแต้วคอยช่วยตลอด”

แต่กับกระแสที่มีหลายคนอยากเห็นเธอขึ้นเป็นนางเอกบ้าง เธอมองว่า ตัวเองยังไม่เก่งกับการแสดงมากพอ โอกาสที่ได้รับเพื่อพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้การแสดงของเธอยิ่งดีขึ้น และบทรองก็ทำให้เธอไม่กดดันตัวเองมากจนเกินไปอีกด้วย

“พี่แดงบอกว่า ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวของนักแสดงมากกว่า ถ้าเกิดเราทำได้ เราพัฒนาฝีมือเราเพื่อที่จะรับบทหนักได้ ผู้ใหญ่เขาก็ยินดีที่จะช่วยอยู่แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา เราทำได้มั้ย รับบทได้มั้ย ฝีมือเราพัฒนาถึงขั้นหรือเปล่า”

การสวมบทนางรองแม้หลายคนจะมองว่า เป็นเพียงฉากหลังให้คู่พระ - นางตัวเด่นของเรื่องเท่านั้น หากแต่กับการทำงานที่ผ่านมา เธอถูกสอนว่า ตัวละครก็คือตัวละคร ทุกตัวมีความสำคัญและมีเรื่องราวของตัวเอง

“พอเราเป็นตัวละครตัวนั้นก็เหมือนเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีรัก โลภ โกรธ หลง พี่อ๊อฟสอนให้มองตรงนี้มากกว่า ให้เราเป็นตัวละครตัวนั้นไปเลย แล้วก็ต้องถ่ายทอดมันออกมาให้คนดูรับรู้ว่า คนๆ นี้เขาเป็นยังไง รู้สึกยังไง สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญ”

แต่กับการรับบทที่คล้ายกัน สิ่งท้าทายคือความแตกต่างในรายละเอียดและด้วยความเป็นนักแสดงหน้าใหม่ สิ่งนี้ทำให้เธอเกิดความสับสนถึงขั้นลองเข้าปฏิบัติธรรมเพื่อทำให้ตัวเองหลุดออกจากความสับสนนั้น

“เราเกิดความสับสนในใจมาก เหมือนเรานอนหลับแล้วหัวเราคิดไม่หยุด ทำยังไงดี? ถามตัวเอง พี่อ๊อฟก็แนะนำให้ลองนั่งสมาธิ พลอยนั่งแล้วแต่เราก็ยังว้าวุ่นอยู่ดี ยังทำการแสดงได้ไม่ดี พลอยเลยลองไปปฏิบัติธรรมเลย”

ในส่วนของอนาคตกับว่าที่ทนายสาวเธอยังคงมุ่งมั่นสอบเนติบัณฑิตเพื่อเดินหน้าตามสายวิชาชีพต่อ กับงานการแสดงเธอก็เริ่มมีความสุข

“ตอนนี้พอทำงานการแสดงเริ่มมีความสุข ก็เริ่มคิดว่า ขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีมากกว่า เลยไม่ได้วางแผนระยะไกล เอาใกล้ๆ ก็คือช่วงนี้ 6 เดือนนี้ต้องทำอะไรบ้าง เหมือนทำหน้าที่ที่ผู้ใหญ่มอบหมายมาไม่ให้เขาผิดหวังที่เขามอบให้เราทำก่อน”

….

กับเส้นทางในวงการบันเทิงของนักแสดง บางคนอาจโด่งดังในช่วงข้ามคืน รับบทเด่นในช่วงข้ามปี แต่กับบางคนชื่อเสียงอาจต้องผ่านวันเวลาในการสั่งสม เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่แม้จะถูกวางตัวให้เป็นนางรอง แต่โอกาสที่คว้ามาได้ก็ไม่หลุดรอยไปอย่างเปล่าประโยชน์ หากเป็นบันไดที่จะพาเธอสู่ความสำเร็จต่อไป

เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์








กำลังโหลดความคิดเห็น