“ดาร์ก” คือคำที่เขาใช้จำกัดความชีวิต “แนวดิ่ง” ของตัวเองเอาไว้ ภาพโค้ชที่ยิ้มตาหยี ยิ้มทีสาวแท้สาวเทียมแทบละลาย กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ใครๆ ก็จดจำได้จากรายการ The Voice Thailand นิสัยขี้เล่น เป็นกันเอง ดูอ่อนไหวและใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างคือมุมที่หลายคนคุ้นชิน
แต่จริงๆ แล้ว ผู้ชายที่ชื่อ “แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” ยังมีมุมมืดๆ ที่ไม่ค่อยเปิดให้ใครได้เห็น บางมุมที่ไม่ได้โรแมนติกเหมือนเพลงรักหวานๆ ที่เรียบเรียงเอาไว้ “จริงๆ แล้วผมเป็นคนน่ารังเกียจ ขี้โมโห เครียด หมกมุ่น คิดเยอะ อยู่ด้วยแล้วไม่น่าสนุกหรอกครับ”
“หลายๆ คนมาสัมภาษณ์ผมเรื่องของการเป็นคนโรแมนติก เพราะได้ฟังเรื่องราวจากเพลง ถ้าว่ากันตามเนื้อเพลงจริงๆ เพลงเกือบทุกเพลงของผมมันแทบไม่มีความโรแมนติกอยู่เลยนะ มันมีแต่ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย อย่างเพลง “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” นี่ ถ้าลองนึกภาพตามจริงๆ ว่า มีคนเดิมตามแอบเอาร่มมาวางไว้ตอนฝนตก ตื่นเช้าแม่งมีใครไม่รู้เอาดอกไม้มาวางในห้อง เข้ามาได้ไงวะ!! แถมก่อนนอนมี message ส่งมาไม่ลงชื่ออีก หลอนโคตร เอาเป็นว่าผมขอนิยามเพลงของผมว่าเป็นเพลงรักโรคจิตแล้วกัน”
ยัง... ยังดับฝันหญิงสาวทั่วประเทศไม่พอ แสตมป์ยังคงให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองด้วยถ้อยคำทีเล่นทีจริงเอาไว้แบบไม่เหยียบเบรก และบทสนทนาระหว่างบรรทัดนี้เองที่จะทำให้ได้รู้จักมุม “ตลกร้าย” ในตัวเขาอย่างลึกถึงกึ๋น!!
“ด้านมืด” ของผู้ชายโรแมนติก...
หลายคนมอบตำแหน่ง “ผู้ชายในฝัน” ให้แสตมป์ไปแล้ว
(หัวเราะเสียงดังสนั่น) ฝันร้ายน่ะสิ ผมว่าเขาคงคิดไปเองครับ
จริงๆ แล้วเป็นคนยังไง น่ารัก-สุภาพหรือเปล่า? ถ้าให้เทียบกับพี่ก้องแล้ว...
โอ๊ย... ผมทุเรศกว่าเยอะ (ยิ้มกวนๆ) ขอย้ำครับว่าคิดกันไปเองทั้งนั้น จริงๆ แล้วเป็นคนน่ารังเกียจมาก อ้วน แย่ทุกอย่าง ผมก็เหมือนคนทั่วไป อาจจะเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ ขี้โมโห เครียดมาก หมกมุ่น ผมเป็นคนจริงจังอ่ะครับ คิดเยอะ คิดมาก อยู่ด้วยแล้วไม่น่าสนุกหรอก
แต่เราก็ไม่ค่อยแสดงด้านมืดออกมาให้คนอื่นเห็น ดูเป็นคนยิ้มแย้มได้ตลอดเวลา
เวลาอยู่กับคนอื่นเราก็ยิ้มครับ เพราะเขามาทำให้เรายิ้มเนอะ ถ้าเจอคนดีๆ เราก็ยิ้มให้ เพราะเขายิ้มให้เรา แต่พออยู่คนเดียวเราก็จะอย่างเนี้ย... (ทำท่าคอตกให้ดู) ถามแฟนผมสิครับ อยู่กับผมไม่สนุกหรอก ต้องอดทนเยอะเหมือนกัน
แฟนแสตมป์เป็นคนแบบไหน? ถึงรับกับคนอย่างเราได้
(ยิ้มรับมุก) เขาเป็นคนใจเย็นมากครับ เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นคนค่อนข้างอยู่กับตัวเองเยอะ ผมเป็นคนดาร์กมาก (เน้นเสียง) โคตรๆ เลยล่ะ ผมเป็นคนเครียดมากครับ
เวลาดาร์กๆ จะมีพฤติกรรมยังไง?
ก็จะอย่างเงี้ยครับ (ทำท่าประจำให้ดู สภาพคอตก ก้มหน้าดิ่งลงพื้น แขนห้อยหมดเรี่ยวแรง แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาพูดไปยิ้มไปในเวอร์ชั่นปกติแบบเดิม) จะเป็นช่วงทับถมตัวเองตลอด ประมาณว่าเราไม่น่าเลยว่ะ ทำแบบนี้ไปแล้วอนาคตจะเป็นยังไงวะ ความคิดทุกอย่างมันประดังเข้ามาหมด
ผมว่าทุกคนคงเป็นแหละ แต่ไม่รู้ว่าผมเป็นมากกว่าคนอื่นด้วยหรือเปล่า ก็ไม่กล้าจะแสดงตัวว่าเป็นมาก แต่รู้สึกว่ามันเป็นข้อเสียของเรา เวลาเกิดเรื่องนิดนึงแล้วจะสมาธิน้อย สมมติว่าตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าจะเดินไปทางนั้น แต่พอปัญหามันเกิดขึ้นระหว่างทาง เราก็จะไปเพ่งกับข้างทาง จนเห็นปัญหานั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่มากๆ นี่ก็พยายามปรับๆ อยู่ครับ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาได้ก็ดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นอยู่ครับ คนเรา... แต่ยิ่งโต ก็จะยิ่งดีขึ้นแหละผมว่า
ความดาร์กที่มีในตัว มาพร้อมแนวเพลงร็อกที่ชอบด้วยหรือเปล่า?
ก็ไม่ใช่ว่าคนชอบแนวร็อกต้องดาร์กนะ ผมเชื่อว่าคนชอบร็อกเป็นคนสดใสนะ เพราะดนตรีร็อกมันมีพลัง คนที่ดาร์กๆ ไม่น่าจะฟังเพลงร็อกนะ ผมชอบร็อกเมทัลเพราะผมว่ามันคือการปลดปล่อย คือความสนุกสนาน มันแค่กระแทกกระทั้น แต่เลือกฟังเพลงแบบนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับความดาร์กในตัวผมนะครับ
ผมว่าความดาร์กของผมคือการเป็นคนคิดมากครับ ก็พยายามจะคิดให้น้อยลง ซึ่งยิ่งพยายามก็ยิ่งคิดเยอะ (หัวเราะเบาๆ ให้ตัวเอง) แต่ทุกวันนี้ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ
วันที่ชีวิตพลิก!
พูดเหมือนเจอมาเยอะ ที่ผ่านมามีเรื่องอะไรบ้างที่ทำให้ต้องคิดเยอะ?
ก่อนหน้านี้ ช่วงที่ทำงานช่วงแรกๆ เวลาทำเพลงแล้วมันไม่ถึง มันไม่มีหลักประกันให้เราประกอบอาชีพสักที จนเริ่มรู้สึกท้อ ลังเล คิดมาก เราจะคิดอยู่ตลอดว่าความฝันของเรามันกำลังจะล่มสลายแล้ว มันกำลังจะจบละ หรือเดี๋ยวเราก็ต้องเป็นไปตามครรลองของชีวิตเหมือนคนอื่นๆ แล้ว
หรือตอนที่ออกอัลบั้มและมีเพลงฮิตแล้ว มันก็ยังมีจุดที่ยังทำให้เราท้อได้ตลอด ซึ่งมันเกิดกับผมค่อนข้างบ่อย ถามว่าท้อแล้วทำยังไง สิ่งที่ผมทำมาตลอดก็คือ ถ้าท้อก็จงทำต่อไป ผมเชื่อว่าการลงมือทำช่วยแก้ปัญหาได้ งานที่ดีเกิดจากการทำงานหนัก ยิ่งพอเราได้ทำงาน มันก็จะช่วยให้ลืมคำถามทุกอย่างที่มันถามเราว่า จะทำดีมั้ย เราก็แค่ทำ...ทำ...ทำ เดี๋ยวมันก็ลืมว่าจะทำต่อดีมั้ย แล้วผมเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ถ้าเราทำอะไรด้วยชีวิตจิตใจจริงๆ มันต้องสำเร็จ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมเชื่ออย่างนั้นมาตลอด แต่เราก็ยังเป๋บ่อยมาก
ส่วนใหญ่จะเป๋ไปกับอะไร?
หลายเรื่องครับ ความวุ่นวายต่างๆ ความล้มเหลวก็มี อาจจะเป็นเพราะเราชอบทับถมตัวเองเกินจริง บางอย่างมันลบแค่ 1 เราก็รู้สึกติดลบไปแล้วสัก 50 เราก็เลยต้องการคนที่จะบอกว่า เฮ้ย! บ้าหรือเปล่า มาดูตัวเลขจริงๆ สิ มันไม่ได้ลบขนาดนั้นนะ ก็จะช่วยได้มากครับ
แล้วตอนนี้ ใครคือคนที่ทำหน้าที่นั้น?
แฟนครับ เขาจะพูดตรงๆ กับเรา ซึ่งมันสำคัญมากนะที่จะมีคนมาพูดตรงๆ กับเราว่าทำอย่างนี้ไม่ดีนะ มันไม่ใช่เธอเลย มันไม่มีประโยชน์เลย แล้วอีกคนนึงก็คือพี่บอย (โกสิยพงษ์) ครับ พี่บอยเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่เข้ามาพลิกชีวิตผม
ตั้งแต่ตอนที่เราเป็นแฟนเพลงเขา เพลงเขาก็พลิกให้เราอยากจะเป็นคนเบื้องหลัง เป็นคนแต่งเพลง รู้สึกว่าทำไมฟังแล้วมันช่างละเอียดอ่อน ช่างมีรายละเอียดที่มันสัมผัสใจเราเหลือเกิน ต้องบอกว่าเขาพลิกเราตั้งแต่ตอนเราเป็นแฟนเพลงเขาแล้ว จนกระทั่งได้มาเจอเขา เขาก็พลิกเราให้มาเป็นศิลปิน เจอมาสักพักนึง เขาก็พลิกให้เราเป็นศิลปินที่มีแง่มุมอีกแบบหนึ่ง และทุกวันนี้ก็ยังพลิกเราเรื่อยๆ เมื่อเราเป๋ เขาก็จะพลิกเรากลับตลอด เขาเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่ชาย เป็นพระ (หัวเราะ) เป็นที่พึ่งทางใจให้เราด้วยครับ เป็นหลายอย่างมากๆ
ดูเหมือนชีวิตแสตมป์จะพลิกบ่อยมาก มีช่วงไหนที่เรียกได้ว่าเป็นจุดพลิกผันจริงๆ มั้ย?
จริงๆ แล้วชีวิตมันพลิกตั้งแต่เราได้ตกหลุมรักดนตรีครั้งแรกแล้วครับ พลิกจากชีวิตที่ไม่เคยมีโฟกัสอะไร จากชีวิตที่ไม่เคยมีความฝันอะไรเลย ตอนนั้นที่ตกหลุมรัก เป็นเพราะมีเพื่อนสมัยประถมอัดเทปออนป้ามาให้เราฟัง จากตอนแรกเราก็ฟังเพลงวงบอยสเก๊าท์เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ปรากฏว่าในเทปม้วนนั้นจะมีเพลงที่เป็นผู้ใหญ่กว่าหน่อย พวก Guns N' Roses แล้วก็ Aerosmith ซึ่งมันเป็นดนตรีที่สัมผัสเราได้ จุดนั้นแหละ เทปม้วนนั้นแหละครับที่ทำให้ผมเริ่มศึกษาดนตรีมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็มาพลิกอีกทีตอนได้กีตาร์ตัวแรก ตอนได้ประกวดวงดนตรีของ Hotwave Music Awards จำได้เลยว่าตื่นเต้นแค่ไหน ตอนนั้นได้เข้ารอบ 30 วงสุดท้าย แล้ววงผมมีคนเล่นดนตรีเก่งอยู่คนเดียวคือมือกลอง ชื่อ “ไอ้ยุ่น” มันเล่นเก่งทุกอย่าง รอบที่คัดเลือก เขาให้ส่งเทปเข้าไปไงครับ เราก็เลยให้ไอ้ยุ่นเล่นดนตรีทุกชิ้นแทนพวกเรา แล้วก็อัดส่งไป ว่าง่ายๆ คือโกงนั่นแหละครับ ก็เลยได้เข้ารอบ (ยิ้มตาหยี) พอได้เข้ารอบเขาให้เล่นสดก็เล่นได้ห่วยมาก เล่นไม่เหมือนในเทปเลย (หัวเราะ) ก็ต้องขอโทษคนที่ไปดูวันนั้นด้วย
ยังจำความรู้สึกของการทำเดโม่ส่งไปเปิดที่ Fat Radio ได้อยู่เลยว่ามันเป็นยังไง ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นช่วงทำเพลงละครถาปัดครับ (คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ) ประมาณปี 2003 ตอนนั้นดีใจมาก ผมว่าการทำเพลงมันมหัศจรรย์มากนะ มันสนุกตั้งแต่เราทำทำนอง เรามีทางคอร์ด เรามีเมโลดี้ เราค่อยๆ เติมเนื้อมันลงไป ณ ตอนนั้นมันก็สนุกมากแล้ว ตอนที่เราดีไซน์เสียงกลอง ซาวนด์ต่างๆ เข้าไป mix master ออกมา จนกระทั่งวิทยุเปิด มันเป็นอีกโลกนึงเลยนะ เฮ้ย! สิ่งที่เราทำอยู่ มีคนฟังด้วยว่ะ!
ถ้าได้ดูหนังเรื่อง “That thing you do!” จะเป็นช็อตจำเลย ตัวเอกออกมาตะโกนข้างถนน เสียงดังเฮฮาเลย แต่ว่าความจริงผมไม่ได้ทำอย่างนั้นนะ แต่ในใจผมเป็นอย่างนั้นแหละ
เรียกว่าชีวิตพลิกตลอดครับ พลิกจากเด็กที่ชอบดนตรี กลายเป็นเด็กที่เล่นดนตรี จากเด็กที่เล่นดนตรี เป็นเด็กที่แต่งเพลง จากเด็กที่แต่งเพลง กลายเป็นศิลปิน กลายมาเป็นศิลปินที่ล้มเหลว เป็นศิลปินที่ทั้งสำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง ก็มีช่วงชีวิตที่พลิกไปทำอย่างอื่นบ้าง แต่สุดท้ายในใจผมมันก็มีอย่างเดียวมาตลอด คือเรื่องดนตรี
เมื่อ ชายกลาง เจอ ชายเกรียน
ถึงระหว่างทางจะขรุขระ พลิกอยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็ดังได้
จะบอกว่า "ความดัง" เป็นเรื่องที่ลื่นไหลมาก เป็นของเหลวมากๆ และจริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้คิดว่าดังหรือเปล่าด้วยนะ (ยิ้ม) ตัวอย่างง่ายๆ เลย อย่างซีซั่นที่แล้วของ The Voice ตอนที่รายการฉายอยู่ เดินไปไหนไม่ได้เลย คนเข้ามาขอถ่ายรูปตลอดเวลา พอผ่านไปเดือนมกรา รายการจบ (ผายมือ กวาดสายตามองหา) คนน้อยลงมาก (เน้นเสียง) ก็เลยรู้สึกว่าแม่งไม่จริงเลย คือเขาแค่เห็นเราในทีวีแล้วก็ เฮ้ย! คนนี้ไง แค่นั้นเอง สิ่งที่มันอยู่กับเราจริงๆ คือเพลง คืองาน
ถ้าจะบอกว่า The Voice ทำให้แสตมป์ดังในวงกว้าง ถูกมั้ย?
ณ โมเมนต์ที่ฉายนะครับ แต่เดือนหน้าก็คงไม่ดังแล้ว (ยิ้มกวนๆ) เป็นอย่างนี้แหละคนเรา ลืมง่าย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีนะ เราก็อยู่กับเพลงเรา และคนที่อยู่กับเราก็คือคนที่ฟังเพลงเราจริงๆ คนที่ไปตามคอนเสิร์ตต่างๆ อย่างตอนที่รับงานช่วง The Voice ฉาย ก็จะมีคนตามมาดูเราเยอะกว่าปกติ พอรายการจบ คนก็จะมาดูเท่าเดิม อะไรอย่างเงี้ย มันก็เลยสอนเราเรื่องความดังว่า มันเร็วมากเลยนะ มันมาแล้วมันก็ไป แล้วเดี๋ยวก็มา เดี๋ยวก็ไป และพอเราไม่ทำทีวีแล้ว มันก็คงไปเลย สุดท้ายแล้ว เราอยากทำอะไร เราก็ทำไปเหอะ เราทำเพลงดีกว่า
ตอนมีคนติดต่อให้เป็นโค้ช The Voice กลัวจะส่งผลกระทบต่องานเพลงบ้างมั้ย? เป็นคนตัดสินแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมีแค่ 2 อย่างคือ คนชอบไปเลยกับเกลียดไปเลย
ไม่ได้คิดอะไรมากเลยครับ คิดแค่ว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่ผ่านมา เราก็สื่อสารกับแฟนเพลงเรา หมื่น 2 หมื่นคนที่ซื้ออัลบั้ม ไปดูคอนเสิร์ตเรา เราก็จะพูดภาษาเดียวกับเขา คิดคล้ายๆ เขา เติบโตคล้ายๆ กัน เข้าใจกัน แต่พอมาเป็นรายการทีวีช่อง 3 วันอาทิตย์เนี่ย คนดูหลักสิบล้าน ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเองนะ จากจุดที่มีแต่คนชื่นชมไปสู่ที่ที่มีคนพูดถึงเราว่า ไอ้นี่ใครวะ (ยิ้ม)
แต่โอกาสมาแล้วก็ต้องลองครับ เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าเราทำได้ ผมค่อนข้างจะขอบคุณผู้ใหญ่ที่เลือกเรา และการจะปฏิเสธค่อนข้างจะไม่สุภาพ ในเมื่อเขาไว้ใจ เราก็ต้องลอง แล้วเดี๋ยวถ้าเราทำไม่ได้จริงๆ เขาก็เปลี่ยนเองแหละ คิดแค่นั้นเลย และตอนนั้นก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วด้วย (หัวเราะเบาๆ)
มีไปตามอ่านคอมเมนต์บ้างมั้ย?
อ่านครับ ในเฟซุบ๊ก, พันทิป, ยูทูบ ฯลฯ อ่านหมดครับ แต่คนดูรายการส่วนใหญ่ค่อนข้างน่ารักนะครับ ก็เลยไม่ได้โดนด่าอะไรมาก ถ้าจะโดนด่าก็อาจจะเป็นเรื่องเลือกคนครับ เลือกคนไม่ตรงใจเขา ซึ่งผมดู The Voice ของประเทศไหนเขาก็ด่า เราอาจจะชอบคิดว่า คนไทยอะไรๆ ก็คอมเมนต์แหลก แต่จริงๆ แล้วฝรั่งเขาด่าแรงกว่านั้นเยอะนะ มันด่ากันแบบไม่ต้องผุดต้องเกิดเลย ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ และพอมาอ่านคอมเมนต์แล้วก็รู้สึกว่าคนดูเขาค่อนข้างน่ารักนะ เขาด่าอย่างมีเหตุผล แล้วก็เป็นการติเพื่อก่อมากกว่า
มันก็จะมีคนเกรียนๆ ที่ด่าแบบไร้เหตุผล ด่าคำหยาบอยู่เหมือนกันนะ ซึ่งเราก็ไม่ได้เจ็บใจอะไร โดยเฉพาะช่วงรอบ Battle จะเจอเยอะมาก ด่าแบบหยาบๆ เลยนะ เต็มทวิตเตอร์ผมเลย ผมก็อ่าน อ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันฮาดีอ่ะ แต่ก็มีอึ้งๆ ไปเหมือนกันตอนทำซีซั่นแรก รู้สึกว่า เฮ้ย! อะไรวะ ทำไมโหดอย่างนี้
แต่ยังไงผมก็รู้สึกว่าคนไทยน่ารักนะ พอมีคนด่าเยอะๆ ก็จะมีกระทู้ตั้งขึ้นมาประมาณว่า อยากให้กำลังใจโค้ชนะคะ (ยิ้มกว้าง) เฮ้ย! เราไม่เคยเห็นในวัฒนธรรมอื่น ทำให้ผมรู้สึกว่าคนไทยน่ารัก ยิ่งออกมาเจอกลุ่มคนดูที่เป็น mass (คนกลุ่มใหญ่ในสังคม) ยิ่งรู้สึกว่าคนไทยทั่วไปใจดี ก็เลยค่อนข้างจะปลื้มมากครับ
ก่อนหน้านี้ ในฐานะศิลปิน-นักแต่งเพลง เคยเจอฟีดแบ็กแรงๆ แบบนี้บ้างมั้ย?
ไม่ค่อยเจอครับ จะเจอก็เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผมถือว่าเป็นข้อดีนะ เพราะศิลปินสมัยก่อนก็จะทำงานเพลงไป แล้วก็พบปะแฟนเพลงในคอนเสิร์ต ซึ่งคนส่วนใหญ่ในคอนเสิร์ต คนก็จะรักเรา แต่ว่ายุคนี้เราเจอคนที่ไม่รักเราด้วย เราก็จะรู้ว่าอ๋อ... เขาคิดยังไงกับเรา ซึ่งโอกาสนี้หายากนะ รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้ว่าคนอื่นมองเรายังไงบ้าง และเราจะจัดการกับสิ่งต่างๆ ยังไง
ผมว่าหลังผ่าน The Voice ซีซั่นแรก หัวใจผมเข้มแข็งขึ้นเยอะ จากตอนแรกที่เครียดมาก โห! อะไรก็เครียดว่ะ โดนด่าอีกละ อะไรวะ ซีซั่นนี้ก็คิดว่า เอ้อ! ก็โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ
เครียดกับคำด่าไหนที่สุด?
ตอนนั้นผมยัง No name อยู่เลย สิ่งที่กลัวที่สุดคือคนจะบอกว่า ทำไมเอาไอ้นี่มาเป็นโค้ชวะ? แต่ก็ผ่านความรู้สึกนั้นมาได้แล้ว
Reality เจ็บดีนะ!
อยากให้พูดถึงเวทีประกวดร้องเพลง ในฐานะคนตัดสิน รู้สึกยังไงเวลาเห็น Commentator ใช้วาจาฟาดฟันผู้เข้าแข่งขัน?
สำหรับ The Voice เราไม่ใช่ Commentator นะ เราไม่ได้มาเพื่อคอมเมนต์ แต่เราเป็นโค้ช เรามาเพื่อไกด์ สิ่งที่เราทำคือเราช่วยคิดว่าทำยังไงโชว์เขาถึงจะออกมาดี เราไม่ได้มานั่งวิจารณ์เขาว่าคุณห่วยยังไง เราแค่ต้องหาจุดดีของเขาให้ได้
สิ่งที่ผมคิดคือ เรื่องเพลงมันไม่มีถูก-ผิด มีแค่ชอบแบบไหน ไม่ชอบแบบไหน สิ่งที่โค้ชทำก็คือมองสิ่งที่มันเป็นจุดดีของเขา ที่คิดว่าถ้าดึงจุดนั้นออกมาแล้วคนจะต้องชอบแน่ๆ แค่นั้นเอง เพราะคนที่มาประกวด The Voice ค่อนข้างจะเก่งมากอยู่แล้ว เราแค่เปลี่ยนวิธี present เขา หรือทำยังไงให้เขาเป็นที่รักของคน เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็คือรายการทีวี
สิ่งที่ผมพยายามทำตลอดคือทำยังไงให้คนรักเขาทุกคน ถึงคนนี้จะตกรอบ แต่ก็อยากให้คนเห็นว่าเขาก็ยังมีความน่ารักอยู่ในการร้องของเขานะ มีความงามอยู่ในตัวเขานะ พยายามดึงเสน่ห์ของแต่ละคนออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะแต่ละคนอยู่ได้แค่อาทิตย์ 2 อาทิตย์แล้วก็ไป นี่คือสิ่งที่ผมพยายามทำในฐานะโค้ช เราไม่ได้มาเพื่อตัดสิน แต่มาเพื่อทำให้คนรักเขา
อะไรคือ "เสน่ห์" ที่ศิลปินควรมี?
มันแล้วแต่คนนะ อย่างบางคนเราเห็นเขามาแบบร็อกมาก แต่แววตาเขาซื่อมาก เวลาที่เขาร้องท่อนเบาๆ ท่อนหวานๆ มันกินใจมากเลย เราก็บอกเขาเลยว่าให้เอาเสียงว๊ากของออกไปให้หมดเลย แล้วคุณจะน่ารักมาก เพราะเขาอาจจะไม่ได้เหมาะกับการว๊ากก็ได้ หรืออย่างผู้หญิงบางคนที่ชอบร้องแบบ Deva แต่เวลาที่เขาร้องหลบเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยแล้วก็อินกับเพลงมากๆ มันน่ารักกว่า มันเพราะกว่า เราก็จะบอกให้เขาเน้นตรงนี้ดีกว่า นี่คือสิ่งที่โค้ชทำครับ
หลายคนคิดว่าโค้ชต้องมาสอนอะไรมากมาย จริงๆ ไม่ใช่หรอก เราแค่ใช้ประสบการณ์ของเรา ที่เราประกอบอาชีพมา เจออะไรมาบ้าง เอามาแนะนำเขาว่า ถ้าเป็นผม ผมจะทำแบบนี้นะ แค่นั้นเอง
เคยเสียน้ำตาให้กับการคัดคนออกบ้างมั้ย?
ผมไม่ได้ตั้งใจเลยนะ (ตอบทันควัน) ผมไม่รู้ตัวด้วยว่าร้องหรือเปล่า แต่เขาไปซูมหน้าผมเองน่ะ แล้วก็มาบอกว่าพี่ขอเอาช็อตนี้ออกนะ แล้วจะให้ผมทำยังไง เขาถ่ายไปแล้วก็ต้องเอาไปออกสิ (ยิ้มกวนๆ) เราไม่ได้อยากจะร้องเลย แต่มันก็เกิดขึ้น ณ โมเมนต์นั้น ที่ผมชอบ The Voice มากเพราะมัน Real มากนี่แหละครับ มันไม่มีการเตี๊ยม ไม่มีอะไรเลย อ้าว! ฉิบหายละ! จู่ๆ คนนี้ก็ร้องไห้ใส่กู ฉิบหายละ! จู่ๆ คนก็โหวตคนนี้ แล้วผมก็ต้องเอาอีกคนออก... มันก็ Real ดีอ่ะ เจ็บดีอ่ะ
แสดงว่าเราไม่เชื่อความ Real ของรายการเรียลิตี้อื่น?
ก็เชื่อนะครับ ผมเชื่อว่าทุกอย่างมัน Real นะ ยิ่งเข้ามาทำตรงนี้ยิ่งรู้สึก บางทีเรามองว่าคนในรายการเตี๊ยม อย่างดู The Voice คนก็บอกว่าทีมงานเตี๊ยม แต่เราเป็นคนอยู่ข้างหลัง เรารู้ว่าแม่งไม่เตี๊ยมอะไรเลยอ่ะ แต่มันเกิดขึ้น คือชีวิตคนเราเหมือนละครจริงๆ นะ มันเกิดขึ้น ณ ตรงนั้น แต่เหมือนทุกอย่างมันวางมาเลย ซึ่งมันน่าตกใจมากจนเรารู้สึก
ยิ่งคุยกับพวก Thailand's got talented เยอะๆ ยิ่งรู้ว่าเขาไม่ได้เตี๊ยม แต่มันเกิดขึ้น ณ โมเมนต์นั้น ด้วยความที่เป็นทีวีและคุณดูละครอยู่ทุกวัน มันเลยยิ่งเสริมให้เรารู้สึกว่ามันคือการจัดฉาก แต่ชีวิตคนมันเหมือนละครจริงๆ นะ ไม่เตี๊ยมก็เหมือนเตี๊ยม คือพระเจ้าเตี๊ยมเอาไว้แล้วไง ก็จะมีโมเมนต์ที่เรารู้สึกมหัศจรรย์กับมัน
เดี๋ยวนี้ มีประกวดร้องเพลงเด็กๆ โดยเฉพาะด้วย เรามองยังไงบ้าง?
อันนี้ก็แล้วแต่พ่อแม่เขา มีหลายคนบอกว่าจะส่งลูกมาประกวด The Voice Kids ผมก็จะบอกว่าต้องดูแลน้องนะ ความผิดหวังที่อยู่บนนั้นกับความผิดหวังในชีวิตจริงมันไม่เท่ากัน อยู่บนนั้นมันอาจจะแรงกว่า ต้องดูว่าเด็กรับได้แค่ไหน แต่ถ้าอยากให้มาเรียนรู้ชีวิตจริงๆ ก็มาเถอะ มันเจ็บดีนะ (หัวเราะ)
แต่ถ้าให้พูดเรื่องการประกวดร้องเพลง ถามว่าทำไมมันมีเยอะ ผมว่ามันเป็นเรื่องปกตินะ ผมเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนึงมา เป็น Story of music เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนจะมีดนตรี ผมตกใจมากเลยนะ (ท่าทีกระตือรือร้น) ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล ที่กรีกมีการประกวดเหมือน X-Factor เป๊ะเลย
คือมีคนมาร้องเพลง มีเจ้าขุนมูลนายมานั่งฟังแล้วก็เลือกว่าใครจะได้ นี่คือ 400 ปีก่อนคริสตกาลนะ เกือบ 3,000 ปีแน่ะ แสดงว่าอะไร แสดงว่าการประกวดร้องเพลงคือความบันเทิงขั้นพื้นฐานของมนุษย์พอๆ กับละครเลยนะ เป็นความบันเทิงที่คนสามารถสัมผัสได้ง่ายที่สุดแล้ว และมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์จะเห็นว่ามันไม่เคยหายไปเลย
เราทุกคนต้องการ “โค้ช”
ถ้าจะให้ "โค้ชแสตมป์" มอง "คุณแสตมป์" จะบอกว่าเสน่ห์ของคุณคือ...?
ไม่รู้ว่ะ (หัวเราะ) คงจะบอกว่า “มึงต้องเข้มแข็งกว่านี้นะ!” ต้องมั่นคงกว่านี้ รู้สึกว่าตัวเองอ่อนไหวไปหน่อย บางทีก็อยากเป็นโค้ชให้ตัวเองรู้สึกว่าแน่วแน่ในการจะลงมือทำอะไรๆ มากกว่านี้นะ (เสียงแผ่วลง)
จริงๆ แล้วเวลาให้มองตัวเอง มันมองยากมากนะครับ ผมเองก็ต้องการโค้ชเหมือนกัน โค้ชของผมก็มี พี่บอย-โกสิยพงษ์, พี่ไก่-สุธี (แสงเสรีชน), พี่ป๊อด-โมเดิร์นด็อก คนที่เขามองเราอยู่ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องการโค้ช พ่อแม่เรา อาจารย์เรา ให้เขาเป็นกระจกให้เรา หรือแม้แต่คอมเมนต์ในยูทูบ เขาคือโค้ชของเราหมดเลย
สำคัญที่สุด เวลาไปเล่นสด คุณผู้ชมก็คือโค้ชของเรา เฮ้ย! ท่อนนี้คนร้องตามกระหึ่มเลยว่ะ แสดงว่าโค้ชชอบ (ยิ้ม) มันก็มีมวลชนที่ทำให้เรารู้สึกว่า อ๋อ! แบบนี้สินะที่คนชอบ ต้องคอยดู react ตลอดครับ การเล่นคอนเสิร์ตทุกครั้งคือการตอบโต้กันระหว่างเรากับคนดู
หนึ่งในวิธีการ "เล่นกับคนดู" ของแสตมป์คือแต่งเพลงล้อสถานการณ์บ้านเมือง อยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นครั้งแรกได้ยังไง?
มันคือการเอาตัวรอดครับ (ยิ้ม) คือในสมัยที่ขายโชว์แรกๆ เราจะไปเจอผู้ชมที่ไม่รู้จักเพลงเรา แต่เราก็อยากให้ทุกโชว์มันได้ฟีดแบ็กที่ดี อยากให้เจ้าของร้านเขาดีใจ เราก็เลยต้องหาวิธีทำให้เขาหัวเราะ ก็เลยเอาเพลงเราที่เขาอาจจะไม่เคยคุ้นหูนี่แหละ เอามาแปลงเป็นเรื่องต่างๆ คนเขาก็ขำกิ๊กกั๊กๆ เฮฮากัน ผมจำไม่ได้นะว่าร้องครั้งแรกที่ไหน ร้องเรื่องอะไร มันมาแล้วก็ไปเรื่อยๆ เลย
ส่วนใหญ่จะใช้เพลง “ความคิด” มาแปลงเนื้อเป็นหลักครับ เพราะว่าทำนองมันตลกดี ผมรู้สึกว่าดนตรี แต่..แด..แด..แด๊..แด มันตลกดี เป็นทำนองที่จริงจัง พอเล่าเรื่องตลก มันก็เลยตลกมาก เหมือนยิ่งเราเครียดกับเพลงเท่าไหร่ พอใส่เรื่องตลกเข้าไป มันจะยิ่งตลกมาก แล้วเพลงนี้มันเว้นช่วงระหว่างวรรคเยอะครับ เราก็จะคิดเนื้อทัน แต่หลังๆ ไม่ค่อยได้ทำแล้วครับเพราะคนเบื่อแล้ว นานๆ ทำที สักปีละครั้ง 2 ครั้ง
ถ้าจะให้ทำเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ล่ะ?
อุ้ย! ไม่ทำอยู่แล้วครับ ไม่เคยแตะเรื่องนี้เลยจริงๆ ไม่แตะเรื่องการเมืองเด็ดขาด มัน sensitive ครับ อีกอย่าง เราไม่เชื่อว่าความคิดเราจะถูกด้วย ก็เลยไม่เอาดีกว่า ในเมื่อเราไม่เชื่อ
ที่แต่งเพลงแล้วออกมาฮิตตลอด เป็นเพราะเราอินกับมันตลอด?
โห... ไม่ได้ฮิตตลอดหรอกครับ (น้อมตัวลงระหว่างพูด แสดงลักษณะถ่อมตัวอย่างเห็นได้ชัด) พูดอย่างนั้นก็เป็นภาระอันหนักอึ้ง เผอิญว่าช่วงเวลานี้มันแต่งแล้วเข้าใจกับคนฟังพอดีมากกว่า แต่ก็มีเพลงหลายเพลงไม่ฮิตนะ
จริงๆ แล้วที่แต่งออกมาแล้วไม่ฮิตมีเยอะกว่ามากครับ เพียงแต่พอมันไม่ฮิตแล้วก็ไม่มีใครรู้ไง (ยิ้ม) สมมติว่าแต่งมาทั้งหมด 10 เพลง น่าจะฮิตอยู่แค่ 1 หรือ 2 เพลงนะ
จริงเหรอ แสดงว่าแต่งไว้เยอะ?
ใช่ครับ ผมว่าที่พอจะฮิตได้บ้างเป็นเพราะเกิดจากการทำเยอะมากกว่า ส่วนใหญ่จะแต่งตอนมีไอเดียครับ แต่เมื่อไหร่ที่ว่างก็จะพยายามที่จะทำตลอด วู้ดดี้ อัลเลน บอกไว้ว่า วิธีการที่จะทำงานให้ดีได้ก็คือ “ต้องทำงาน” ผมเชื่อมากเลยครับ หลายคนเขาชอบออกไปหาแรงบันดาลใจ ซึ่งผมว่ามันบังคับไม่ได้ตลอดหรอก แต่เราก็ต้องทำ ได้-ไม่ได้ก็ค่อยๆ ไป
จะทำยังไงให้คำว่า “เพลงดี” กับ “เพลงดัง” มันมาบรรจบอยู่จุดเดียวกันได้?
อันนี้เป็นศาสตร์ที่เจ๋งมากเลยนะ ผมกำลังพยายามเรียนรู้อยู่ (พูดมาถึงประเด็นนี้ น้ำเสียงของเขาดูจะสุขุมและทุ้มลุ่มลึกมากกว่าเดิม) คือคำว่า “เจ๋ง” มันก็เลื่อนไหลนะ แต่คำว่า “ฮิต” น่ะมันพิสูจน์ได้ (หัวเราะ) เพราะเจ๋งสำหรับเรา อาจจะไม่เจ๋งสำหรับเขา แต่ผมเชื่อว่าที่สุดแล้ว เราก็ไม่เห็นต้องคิดเลย
จุดของผมก็คือทำเพลงที่ตัวเองชอบออกไป ผมเชื่อว่าถ้าผมทำเพลงที่ตัวเองชอบจริงๆ ซึ่งผมก็ใช้ชีวิตคล้ายๆ กับคุณ กินข้าว ดูหนัง ดูซีรีส์ คนเรา มันก็ต้องชอบตรงกันบ้างแหละน่า ใช่มั้ยฮะ และถ้าคุณชอบด้วยหัวใจจริงๆ คนที่คล้ายๆ เราอย่างพวกคุณก็ต้องชอบบ้างแหละ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำเพลง สำหรับผมก็คืออย่าโกหกตัวเอง ณ โมเมนต์นั้น อยากแต่งเพลงฮิต อยากแต่งเอาใจประชาชน ทำไปเลย! อยากแต่งเพลงทดลอง ทำเลย! ผมว่าต้องทำเยอะๆ อ่ะ แล้วมันก็จะออกมาเองว่าอันไหนที่มันใช่
เราเคยมีโมเมนต์อยากแต่งเพลงให้ฮิตไว้ก่อน ดีไม่ดีค่อยว่ากันบ้างมั้ย?
ไม่ค่อยมีนะครับ ผมพยายามทำสุดทุกครั้งนะ อืม... จะบอกว่าเพลงที่มันฮิตๆ อยู่ทุกวันนี้ ที่คนบอกว่ามันฮิตและบอกว่าผมเป็นคนแต่งน่ะ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะฮิต เช่น ความคิด, โอมจงเงย, มันคงเป็นความรัก, ชายกลาง ฯลฯ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะฮิต เพียงแต่ว่าแต่งออกมาแล้วมันดันฮิต เพราะเรารู้สึกว่าเราชอบ
ผมเลยคิดว่าการที่เราใช้เกณฑ์ว่าเราจะแต่งเพลงฮิตแล้วนะ มันมักจะล้มเหลวเพราะเราจะไม่จริงใจกับมันและคนฟังจะสัมผัสได้ คิดว่าแต่งยังไงให้ขายแล้วขายได้เนี่ย นักแต่งเพลงคนอื่นเขาอาจจะทำได้นะ อย่างพี่ฟองเบียร์ แต่ผมทำไม่ได้อ่ะครับ มันคนละสาย ส่วนใหญ่เพลงของผมที่กลายเป็นเพลงฮิต เป็นเพลงที่ตอนแต่งเราสบายๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร เพลงที่คาดหวังก็มักจะไม่ค่อยได้
ไปหยิบเรื่องราวจากไหนมาแต่งเป็นเพลง?
เป็นเรื่องที่พบเจอครับ ไม่ได้ไกลตัวอะไรมาก อย่างล่าสุดก็แต่งเพลงชื่อว่า “เพศตรงข้าม” มันเกิดจากการที่ผมมานั่งคิดว่าเพลงรักทุกเพลง เป็นเรื่องของเพศหมดเลย เป็นเรื่องผู้ชาย-ผู้หญิง แต่มันแปลกมากที่เราไม่เคยมีใครพูดคำว่า “เพศ” ในเพลงเลย เราเลยอยากแต่ง คือเราก็พูดถึงเรื่องความรัก เรื่องเดิมๆ นี่แหละครับ แต่เล่าด้วยมุมที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น
หรืออย่าง “ชายกลาง” มันก็เป็นเรื่องที่คนก็พูดอยู่ตลอดแหละ เธอยังโสดอยู่ มาเป็นแฟนกับฉันเถอะ แต่เราแค่ปรับมาเล่าอีกมุมนึง บอกว่าคนดีๆ มีแฟนหมดแล้ว จริงๆ แล้วผมเล่าเรื่องเดิมตลอดนะ อารมณ์คนเรามันมีอยู่ไม่กี่ mood หรอก มีเศร้า สุข เสียใจ แอบรัก ผิดหวัง มีอยู่แค่เนี้ย อยู่ที่ว่าจะหยิบมันมาเล่ายังไง แค่นั้นเอง มนุษย์เราก็วนเวียนอยู่กับอารมณ์เดิมๆ
มีวิธีพัฒนา "ต่อมความคิดสร้างสรรค์" ของตัวเองยังไงบ้าง?
ผมอาศัยความฟลุ๊กพอสมควรนะครับ จับเรื่องนั้นมาโยงเรื่องนี้ จับเรื่องนี้มาผูกกัน สิ่งที่ทำง่ายที่สุดสำหรับผมก็คือวิธีการคิดแบบพวกหนัง Comedy น่ะ เอาตัวละครที่ไม่น่าจะอยู่ในหนังแนวนั้นมาวางไว้ มันก็จะเกิดเรื่อง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะแต่งเพลงที่มีอะไรเกี่ยวกับเพศที่สามด้วย ผมว่าเพศที่สามเป็นเพศที่มหัศจรรย์ เขาจะมีลักษณะของผู้หญิงและผู้ชายรวมกัน ซึ่งถ้าลองมองศิลปินเอกของโลกดู เขาเป็นเพศที่สามหมดนะ เช่น ไมเคิล แจ็คสัน, แอนดี้ วอร์ฮอล, เอลตัน จอห์น ฯลฯ แสดงว่าเขามีความเหนือกว่า พอลักษณะเด่นของ 2 โครโมโซมมารวมกัน มันก็ย่อมเจ๋งกว่าคนที่มีโครโมโซมแบบเดียวนะ
แล้วแสตมป์มีโครโมโซมแบบไหนเยอะกว่ากัน?
ผมว่าผมน่าจะมีฮอร์โมนเพศหญิงเยอะนะ (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่เปอร์เซ็นต์ แต่ผมเติบโตมากับแม่ครับ ก็เลยค่อนข้างมีความเป็นผู้หญิงเยอะหน่อย
ก่อนความฝันจะล่มสลาย...
วันนี้ออกพ็อกเกตบุ๊กของตัวเองแล้ว แต่งหนังสือให้อารมณ์ต่างจากแต่งเพลงมากมั้ย?
ตอนเริ่มเขียนหนังสือ ผมก็มืดแปดด้านมากๆ ครับ เพราะเวลาที่เราเขียนเพลง มันจะมีเมโลดี้กับดนตรี ตือ..ดือ..ดือ..ดื๊อ เราก็จะรู้ว่ามันจะมี 4 คำ มันจะมีกรอบ แต่พอมาเขียนหนังสือปุ๊บ มันกลายเป็นกระดาษเปล่าขาวๆ หมดเลย มีความเป็นไปได้มหาศาลที่จะเกิดอะไรก็ได้ในนั้น ก็เลยค่อนข้างจะงงแล้วก็เขียนอะไรไม่ออกเลย แต่พอลองคิดซะว่าไอ้กระดาษขาวๆ มันคือเพื่อนเรา อยากจะเล่าอะไรให้เพื่อนฟัง อยากจะให้เขารู้จักเรายังไง เล่าเหมือนพูดกับเพื่อน ก็เลยเขียนได้ครับ
พอทำเล่มนี้เสร็จ มันเหมือนเราได้กลับไปคุยกับตัวเองในอดีตนะ เฮ้ย! ไอ้แตมมันเป็นยังไงมายังไงวะ มันคิดอะไร มันผ่านอะไรมาบ้าง กว่าจะเป็นเราแบบนี้ ณ โมเมนต์ต่างๆ ก็เกิดกระบวนการเรียนรู้ในช่วงต่างๆ ที่ผ่านมาระหว่างที่ได้ลงมือเขียนครับ
ปกติ เขียนไดอารี่บ้างมั้ย?
ไม่ค่อยครับ ส่วนใหญ่ถ้าจะเขียน จะเขียนคอนเซ็ปต์เพลงมากกว่า เขียนใส่สมุดสเกตช์เป็นหลัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้จดไดอารี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ไม่รู้เป็นเพราะเขียนแล้วมันดูกุ๊กกิ๊กด้วยหรือเปล่า (ยิ้มตาหยี)
แต่ที่บ้านผมมีหนังสือประวัตินักดนตรีเยอะมากนะ เกี่ยวกับ อีริค แคลปตัน, บ็อบ ดีแลน, ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ ฯลฯ ชอบใครก็จะซื้อเก็บไว้แทบทุกคน มีเป็นตั้งๆ เลย ผมชอบที่จะรู้ว่าเขาคิดยังไง เติบโตมาแบบไหน เขาฟังเพลงอะไร เขาผ่านความทุกข์ทรมานอะไรมาบ้างถึงได้เกิดเป็นงานเขามาได้
ผมเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งมา เขาบอกว่าการที่เราชอบไอดอลสักคน มีฮีโร่ของเราสักคน เราไม่ได้อยากจะเลียนแบบเขานะ เราไม่ได้อยากทำงานที่เหมือนเขา แต่สิ่งที่เราอยากจะเหมือนเขาคือ อยากจะมองโลกให้เหมือนเขา ฉะนั้น การที่เราไปเรียนรู้ว่าเขาใช้ชีวิตยังไงมา เขาเสพอะไรบ้าง เขาคิดเพลงนี้ยังไง เขาทำเพลงนี้ที่ไหน มันก็จะเป็นประโยชน์กับงานเรา
ผมเลยค่อนข้างศึกษาตรงนี้เยอะ พอทางสำนักพิมพ์ติดต่อมา ก็เลยคิดว่า เอ้อ! ในเมื่อที่บ้านเราก็มีหนังสืออัตชีวประวัติคนที่เราชอบเรียงเป็นตั้งๆ ถ้ามีเราเพิ่มไปอีกสักคนนึง คอลเลกชั่นมันต้องสวยมาก ก็เลยตกลงทำครับ (หัวเราะ)
ผมว่างานเพลงบางอย่างพอมันมีที่มา มันก็มีความรู้สึกมากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่างานเพลง ถ้าเราจริงใจกับมันจริงๆ มันมาจากชีวิตนะ ยิ่งถ้าเราได้รู้ว่าชีวิตเขาเป็นยังไง เราก็จะฟังเพลงเขาอย่างมีองค์ประกอบมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น ก็อยากให้ใครที่ฟังเพลงผม กลับไปอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วจะได้รู้ว่า อ๋อ... เพลงนี้มาจากจุดนี้ของชีวิตมันนี่เอง
หลักๆ แล้วหนังสือพูดถึงเรื่องความฝัน อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังตามล่ามันอยู่เหมือนกัน?
ผมนับถือคนที่เขามีความฝันและทำตามความฝันได้สำเร็จนะครับ แต่สำหรับบางคนที่มีเงื่อนไขชีวิตมากกว่านั้น บางคนอาจจะฝันอยากเป็นนักดนตรี แต่มีครอบครัวที่ต้องดูแล จำเป็นต้องทำงานประจำอย่างอื่น และได้เล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก ผมว่าคนพวกนั้น คนที่ยอมเสียสละความฝันเพื่อคนที่เขารัก เขายิ่งใหญ่กว่าผมมากๆ (ลากเสียง) และเขาน่าจะมีความสุขมากกว่าที่ผมมีตอนนี้ด้วย
ถามว่าความฝันคือสิ่งที่เราต้องไปให้ถึงใช่มั้ย คำตอบของผมคือทั้งใช่และไม่ใช่ครับ คือผมอยากจะบอกว่า ความฝันมันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตหรอกนะ มันแค่เป็นส่วนหนึ่ง ชีวิตยังมีอะไรอีกเยอะแยะ ผมว่าจริงๆ แล้วทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง ถ้าเราเป็นคนที่ปฏิบัติ เป็นคนที่ลงมือทำ เราก็จะรู้เองว่าสิ่งไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา เราเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธอะไร เราจะรู้ของเราเอง
บางทีไม่ต้องเดินตาม pattern มากก็ได้ ถ้าเดินแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ ทำเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ ก็เดินออกมาเถอะครับ เดินเป็นเส้นตรง เดินชนกำแพงไปก็เจ็บตัว ชีวิตยังมีอีกหลายทาง ว่างๆ ลองเดินอ้อมๆ ดูบ้างก็ได้
อย่างผม ผมรู้แค่ว่าถ้าอยากเป็นนักดนตรี ก็ต้องเล่นดนตรี เราแค่ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า วันหนึ่งมันอาจจะเขวบ้างอะไรบ้าง แต่ในระหว่างที่เขว เราก็จะได้เจออะไรที่คนเดินทางตรงไม่ได้เจอ ซึ่งมันทำให้เราไปถึงจุดหมายด้วยเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร เส้นทางของเราเนี่ย ถ้ามันคด มันจะคุ้มครับ
---ล้อมกรอบ---
เรื่องรัก 50/50
ไม่ได้เปิด แต่ก็ไม่ได้ปิด คือสเตตัสความรักของแสตมป์ “ผมปกตินะ ไม่ได้หลบซ่อนอะไรเลย ไม่ได้ต้องใส่แว่นดำ ผมไม่ได้ดังขนาดนั้น ไปไหนคนก็ยิ้มแย้มให้ ผมใช้ชีวิตปกติ” งานเปิดตัวหนังสือของแสตมป์ในครั้งนี้ก็มี “นิว” เจ้าของร้านเสื้อผ้าสาว คนรู้ใจมาคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แม้แต่บรรดาแฟนคลับของฝ่ายชายยังสนิทสนม ขอถ่ายรูปคู่กันเป็นเรื่องปกติและฝ่ายหญิงก็ดูน่ารักเป็นกันเอง ไม่ได้ถือตัวหรือปฏิเสธที่จะถูกแชะรูปคู่แต่อย่างใด แสดงว่าจริงอย่างที่หนุ่มมาดกวนบอกไว้ว่าความสัมพันธ์ของเขาไม่ได้ปิด แต่ถ้าไม่ถาม ก็จะไม่พูดถึง “ผมไม่อยากเล่าเองครับ เพราะเดี๋ยวเล่าไปแล้วเขาไม่อยากรู้ อาจจะบอกว่า เฮ่ย! เล่าทำไมวะ (ยิ้ม) เลยรอให้ถามแล้วก็จะตอบดีกว่า”
และนี่คือคำตอบของเขา เมื่อถามถึงมุมมองที่มีต่อเรื่องความรัก “ผมว่าความรักก็คือเรื่องเพศนั่นแหละ มันก็คือกลไกธรรมชาติที่ทำให้คนอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดทายาท ยิ่งเห็นคนแก่ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนเราต้องการความรักนะ คนเรามันไม่เพอร์เฟ็กต์หรอก มันจะเป็น 50 ดี อีก 50 ไม่ดี ไอ้ครึ่งที่ทำอะไรไม่ได้ ครึ่งที่เป็นจุดอ่อน มันต้องการอีกครึ่งหนึ่งมาช่วย ก็เลยต้องอยู่ด้วยกัน ผมว่าเป็นกลไกธรรมชาติที่ต้องมีอีกคนหนึ่งเป็น partner กัน”
แว่วๆ มาว่ากำลังจะมีข่าวดีในเร็ววัน สงสัยใกล้ถึงเวลาที่สาวๆ ทั้งประเทศจะอกหักอย่างเป็นทางการกันแล้ว!!
สืบนิสัยจาก “คู่จิ้น”
ถือได้ว่าเป็น “คู่จิ้น” แห่ง The Voice Thailand ซีซั่นแรกให้สาวๆ ได้กัดหมอนกันเล่นๆ อยู่พักใหญ่ๆ ระหว่าง “โค้ชแสตมป์” และ ลูกโค้ช “แม็กซ์” เพราะทั้งคู่ดูคลิกกันในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องดนตรี จึงไม่แปลกที่ “ณัฐวุฒิ เจนมานะ” จะพูดถึงอดีตโค้ชได้ลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆ
"พี่แสตมป์ เขาเป็นคนที่น่ารัก และตลกดีครับ พี่เขาเป็นคนมองอะไรไม่เหมือนคนอื่น แต่เขามองคนขาด เป็นผู้ชายที่มีแต่ความคิดดีๆ อีกด้าน พี่แสตมป์เขาก็มันมากๆ สะใจกับดนตรีมากๆ นะ เวลาทำเพลง เขาจะจริงจังมาก เห็นเขานิ่มๆ ยิ้มๆ แบบนี้ เขาเป็นคนที่ชัดเจน มุ่งมั่น และทุ่มเทมากเลยครับ ใส่ใจในการทำงาน เขาเป็นคนขยัน เขาบอกผมตลอดว่า อย่าหยุดที่จะทำงาน โดยเฉพาะงานที่เรารัก แล้วก็บอกให้เรารักษาความเป็นตัวเองเอาไว้ อันนี้เขาจะเน้นมาก
พอจบจาก The Voice ผมกับพี่เขาก็ไม่ได้ทิ้งกัน เรายังพูดคุยเรื่องเพลงกันอยู่เลยครับ เพราะเราฟังเพลงคล้ายๆ กัน บางโอกาสก็มานั่งกินข้าวพบปะสังสรรค์กันบ้าง ตอนนี้ผมก็แต่งเพลงไปเรื่อยๆ แล้วก็มีพี่แสตมป์นี่แหละที่คอยเป็นที่ปรึกษามาให้ตลอด สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมอยากจะฝากบอกพี่แสตมป์ก็คือ ขอให้พี่เกรียนๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะครับ (หัวเราะ) รับรองว่าทั้งบ้านทั้งเมืองหลงรักแน่นอน”
เอ็มมิเน็มหงาย เมื่อเจอ “แร็ปเปอร์แสตมป์”
ยืนยันว่าสนิทกันมาตั้งแต่สมัยคนฮิตแชตผ่านโปรแกรม msn กันอยู่เลย กระทั่งวันนี้ถูกแทนที่ด้วยเฟซบุ๊กและไลน์ “กอล์ฟ-ฟักกลิ้ง ฮีโร่” หรือ “ณัฐวุฒิ ศรีหมอก” ก็ยังสนิทกับแสตมป์ไม่มีเปลี่ยน “เราจะมีห้องส่วนตัวคุยเรื่องงาน มีส่งเพลงให้กันฟังตลอด” และนี่คืออีกมุมหนึ่งของชายในฝันของหลายๆ คน
“แสตมป์ที่หลายคนไม่ค่อยรู้คือ เขาเป็นคนทำ Beat เพลงฮิปฮอปดีมาก แล้วเขาก็เป็นแร็ปเปอร์ชั้นยอดด้วย เวลาเขาฟรีสไตล์แร็ป เอ็มมิเน็มยังหงายอ่ะครับ (หัวเราะ) ถ้าปล่อยให้ฟรีสไลต์ จะฟรีสไตล์ไม่หยุด 3-4 ชั่วโมง จนผมต้องบอกพอเหอะแสตมป์!” แร็ปเปอร์ตัวโตเผาเพื่อนอย่างเอ็นดู ก่อนเพิ่มเติมมุมเล็กๆ เกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ทิ้งท้ายเอาไว้
“ดูเหมือนเขาเป็นคนตลกโปกฮา แต่จริงๆ แล้วมีมุมละเอียดอ่อนเยอะนะ เป็นคนค่อนข้างซีเรียสอยู่เหมือนกัน ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนคิดเยอะ แล้วก็นอยด์ง่ายมาก เป็นคนคิดเยอะที่มีมุมสวยงาม แต่ก็มีความดาร์กปนอยู่ด้วย”
แสตมป์ = สเปิร์มของพ่อ!?!
“ผมโตมากับคุณแม่ครับ” ประโยคนี้กระตุกต่อมอยากรู้ให้มองหาว่า อะไรคือส่วนผสมที่ทำให้ออกมาลงตัวเป็นแสตมป์ทุกวันนี้ และนี่คือคำตอบ
“ผมว่าผมได้ด้านที่เป็น artist มาจากคุณพ่อนะ คือพ่อผมไม่ได้เป็นนักร้องหรืออะไรนะครับ แต่พ่อจะชอบพาไปดูหนัง ตอนเด็กๆ จะออกตังค์ร้อยนึงซื้อเทปให้ตลอด ซึ่งผมว่าการที่คุณพ่อชอบเพลง ชอบหนัง มันทำให้เด็กคนนึงได้มีเพื่อนเสพของดีๆ ก็รู้สึกว่าเรารสนิยมคล้ายๆ กัน
ส่วนคุณแม่ค่อนข้างจะเป็นฝั่งความเคร่งครัด ความมีระเบียบวินัย สิ่งที่ได้จากแม่น่าจะเป็นเรื่องนี้ครับ ทำอะไรก็ต้องทำจริง
ผมว่าคนที่เป็นลูกกับคนที่เป็นพ่อแม่ เราจะมีความเป็นคนเดียวกันอยู่ ไม่ว่าเราจะไปเติบโตที่ไหนยังไง คุณก็ยังเป็นอสุจิเล็กๆ ในไข่ของพ่อ คุณก็คือคุณพ่อกับคุณแม่นั่นแหละ DNA เราก็คล้ายๆ กัน
ผมเชื่อว่าผมคือร่างอวตารของเขาทั้งคู่นะ จะมีความคล้ายคลึงกันอยู่ แม้ว่าจะพยายามไปเติบโตที่อื่นยังไงก็ตาม เราก็คือลูกของคุณพ่อคุณแม่ เราคือทายาท คือไข่ของเขา ดังนั้น ความสัมพันธ์นี้มันตัดไม่มีทางขาด ก็ขอบคุณมากที่ให้กำเนิดผมมาครับ ก็ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นสเปิร์มของคุณพ่อครับ (หัวเราะกวนๆ)”
ถามเล่นๆ ว่าจะแต่งเพลงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ย คนถูกถามจึงชักสีหน้าจริงจังแกมขี้เล่นขึ้นมา แล้วตอบว่า “อื้ม... ก็น่าสนใจนะ น่าสนใจ (พยักหน้าหงึกหงัก) สุดท้ายแล้ว เราก็เป็นแค่สเปิร์มของพ่อ (หัวเราะ)”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LITE
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพและข้อมูลบางส่วน: หนังสือ “ก่อนความฝันจะล่มสลาย” สำนักพิมพ์ Springbooks, แฟนเพจ Stamp Official Club