เป็นที่รู้จักมาก่อนในมาดนักร้องกับเพลง "กระดุ๊กกระดิ๊ก" ที่ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของเธออยู่พักหนึ่ง โมเม นภัสสร บุรณศิริ วันนี้ เธอผันตัวเองมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงามบนโลกออนไลน์ในรายการ "โมเมพาเพลิน" ซึ่งโมเมก็ทำได้ดี และเพลินสมชื่อ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
M-Open สัปดาห์นี้ จึงขออาสาพาไปล้วงชีวิต คิดแบบโมเม ซึ่งบอกได้เลยว่า เธอมีมุมมอง และเรื่องราวที่ใครหลายคนยังไม่รู้อีกมาก
"แม่" แบบอย่างสวยๆ งามๆ
เปิดประเด็นกันที่คำถามแรกถึงความสนใจเรื่องการแต่งหน้า โมเม เล่าว่า เธอคลั่งไคล้เครื่องสำอางตั้งแต่จำความได้ เพราะมีแม่เป็นนักร้อง และเห็นแม่แต่งหน้าทุกวัน เครื่องสำอางชิ้นแรกที่แอบแม่มาใช้ก็คือ ลิปสติก ซึ่งขโมยเอามาใช้บ่อยมาก
"แม่เป็นนักร้องค่ะ แม่แต่งหน้าทุกวัน แม่แต่งหน้าแน่นมาก (ลากเสียงยาว) ไม่ใช่แต่งหน้าเฉยๆ และไม่ใช่แต่งหน้าระดับคุณแม่ปกติ แต่เป็นคุณแม่ขึ้นโชว์ เพราะฉะนั้น ก็จะเป็นแบบ ขนตาเด้ง ปากเปลี่ยนสี วันนี้เดี๋ยวแดง เดี๋ยวส้ม เดี๋ยวชมพู เดี๋ยวม่วง ตอนนั้นพูดเลยว่า นางเหมือนแองจาลิก้า ฮูสตัน ดาราที่เล่นหนังอาดัมส์ แฟมิลี่ ซึ่งนางเหมือนมาก ให้ไปลองหารูปดูนะคะ แล้วจะรู้ว่า สุดา (คุณแม่) เหมือนมาก (ลากเสียงยาว) ค่ะ"
"นอกจากนั้น คุณแม่เป็นคนที่แต่งหน้าได้ทุกแบบ ตั้งแต่ไทยสุดๆ ไปจนถึงทาปากม่วงแบบร็อกเกอร์สาว เพราะฉะนั้น ด้วยความที่อยู่กับแม่ตลอด เราเห็นแม่แต่งหน้าทุกวัน เรื่องความสวยความงามมันจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ถามว่าแม่มาจ้ำจี้จ้ำไชไหมว่า แต่งหน้าสิลูก ดูแลผิวไหมลูก แม่ไม่สนใจเลย (หัวเราะ) บางครั้งแม่จะออกแนวงงๆ อีกเสียว่า อ้าว! ทาครีมแล้วเหรอ ใครซื้อครีมให้ (หัวเราะ)"
"ดังนั้น ตลอดเวลาที่อยู่กับแม่ เราจึงรู้ว่ามันมีขั้นตอนประมาณนี้นะ แต่เราไม่เคยคุยกับแม่เรื่องนี้ เพราะแม่ยุ่งมาก กระทั่งมาทำงานออกอัลบั้มเป็นนักร้อง เป็นช่วงเวลาที่โมเมได้เจอช่างแต่งหน้า ได้เห็นช่างทำงานทั้งแต่งกับเรา แต่งกับคนอื่น เราก็เริ่มถามไถ่ หรือบางทีไปร้องเพลงต่างจังหวัดก็ไม่ได้มีช่างไปตลอด พี่ที่ดูแล เขาก็จะบอกว่า เดี๋ยวมีงานนะ ร้องเพลงต้องแต่งหน้าด้วยนะ ไม่ใช่ขึ้นไปร้องเพลงหน้าโล้นๆ มีภาพลักษณ์ต้องรักษานะ ตอนนั้นก็งง อ้าว! แล้วจะให้แต่งหน้ายังไงอ่ะ ไม่มีช่างด้วย แต่พี่เขาจะบอกว่า โมเมซื้ออันนี้นะ รองพื้นแบบนี้นะ ใช้คู่กับสิ่งนั้น สิ่งนี้นะ มันก็เหมือนค่อยๆ สะสมมาเรื่อยๆ" เธอเล่า
"โมเมพาเพลิน" คีย์ลัดความงาม
ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับการแต่งหน้า และได้ฝึกมือบ่อยๆ ทำให้เธอเริ่มชอบ และแต่งหน้าเองมาตลอด ถึงขั้นเจียดเงินค่าขนมจากแม่ และจากการทำงานไปซื้อเครื่องสำอางเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งอยากมีรายการแต่งหน้าเป็นของตัวเอง และนี่คือจุดเริ่มต้นของราย "โมเมพาเพลิน" รายการสอนแต่งหน้าบนยูทิ้วบ์ที่มีคนติดตามชมมากกว่า 200,000 คนในเวลานี้
"ตอนเริ่มทำ ก็งงๆ ทั้งคนทำ ทั้งเจ้าของรายการ เพราะต่างคนต่างไม่รู้ ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตทีวีก็ยังไม่ค่อยมีใครทำ พูดตรงๆ เบื่อฟรีทีวี เรารู้สึกว่า มันมีสิ่งเดิมๆ เต็มไปหมด และถ้าพูดถึงเรื่องความงามช่องฟรีทีวีสัก 5 ปีก่อน ส่วนใหญ่จะเป็น นี่แหละค่ะ คือครีมที่ใช้แล้วดีมากเลยนะคะ (เลียนแบบเสียงเอ็มซีเวลาขายของ) ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องราวของผลิตภัณฑ์จริงๆ เท่าไร หรือแม้กระทั่งเรื่องอื่นๆ ก็ตาม อย่างช่องของเรา โตมาจากรายการสุดขั้วมากๆ ผู้ชายคุยกัน ทะลึ่งตึงตัง มีเรื่องการเมือง แล้วก็เรื่องบิวตี้ตามมาทีหลัง ถ้าสิ่งเหล่านี้ไปอยู่ในฟรีทีวี มันจะไม่สนุกเลย มันจะไม่ใช่อ่ะ"
อย่างไรก็ดี ก่อนจะมาเป็นโมเมพาเพลิน เธอและทีมงานมีความคิดที่จะทำรายการสอนภาษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเธอเองถนัด
"ตามจริงแล้ว เราเริ่มจากรายการสอนภาษา เพราะโมเมมีความสามารถในด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตลอด ไม่ได้เรียนเมืองนอก แต่พูดภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น รายการแรกที่เราคุยกันว่าจะทำก็คือ รายการสอนภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ ตลกๆ สุดท้ายก็มาเป็นรายการสอนแต่งหน้า ซึ่งช่วงแรกๆ ที่มากอง ก็จะมีกระเป๋าแต่งหน้าใบน้อยๆ มาด้วย แม้แปรงจะมีแค่ 5 อัน แต่ก็แต่งหน้าแน่นมาถ่ายรายการตลอดจ้า (หัวเราะ)"
"ส่วนไฟในสตูดิโอตอนแรกๆ ก็ยังเป็นไฟมืดๆ ทึมๆ เดาไม่ถูกเลยว่า ตกลงแล้วแต่งตาสีอะไรกันแน่ หากลองย้อนกลับไปดูตอนเก่าๆ สีตาจะเพี้ยนมาก โดยเฉพาะ 10 ตอนแรก แต่เราก็สนุกไง คือเราทำกันเอง ถามว่าได้อะไรไหม ไม่ได้ ถามว่ามีใครสนใจไหม ไม่มี (เสียงสูง) อยู่กันแบบเงียบๆ นิ่งๆ ประมาณ 2 ปี กว่าจะเกิด ซึ่งนานนะ เพราะคนทำก็ดื้อ โมเมก็ดื้อ เพราะเราเชื่อว่า สักวัน มันจะดี มันจะดัง"
นี่คือความมุ่งมั่น ตั้งใจ และศรัทธาในสิ่งที่ชอบ ทำให้วันนี้ รายการโมเมพาเพลินเป็นที่รู้จัก และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงที่สนใจด้านการแต่งหน้าหลายต่อหลายคน
"2 ปีผ่านไป เราก็เริ่มมาจับจุดได้ว่า คน ยังไงก็ยังอยากสวยเหมือนดารา ไม่ว่าจะฝรั่ง คนไทย หรือชาติไหนก็ตาม พอเป็นลุคดาราที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ ผู้หญิงหลายคนจะตั้งใจ และอยากรู้วิธีแต่งหน้าแบบดาราคนนั้น ๆ มาก ลุคแรกที่แจ้งเกิดเลยก็คือ พลอย เฌอมาลย์ ในบทน้ำหวาน จากเรื่องระบำดวงดาว ด้วยความที่เรารู้จักกับตัวดาราหลายๆ ท่าน เราก็สอบถามเขาว่า แต่งอย่างไร ใช้อะไรบ้าง เน้นจุดไหนเป็นพิเศษ พอเราเอา,kแต่ง เออว่ะ มันก็เหมือนนะ หลังจากนั้นคนก็ค่อยๆ ติดตาม มีเปลี่ยนลุค เปลี่ยนสถานการณ์ต่างๆ ใกล้ตัวบ้าง เช่น แต่งหน้าไปทำบุญ แต่งหน้าไปเจอว่าที่แม่สามี หรือแต่งหน้าไปเล่นน้ำสงกรานต์ เป็นต้น"
นับเป็นความแตกต่างที่หาได้ยากจากรายการแต่งหน้าอื่นๆ ซึ่งได้ทั้งความสวย และความเพลินสมกับชื่อ "โมเมพาเพลิน"
"หลายคนต้องการคนแนะนำ หรือต้องการเปลี่ยนลุคใหม่ แต่ไม่รู้จะเปลี่ยนอย่างไร จะหยิบสีเหล่านั้นเหล่านี้มาใช้อย่างไร ทำให้รายการของเราจึงอยู่ได้ ทุกวันนี้ 300 หน้าผ่านไป โมเมพาเพลินก็ยังอยู่ เพราะยังไงเดี๋ยวก็มีเอ็มวีเลดี้กาก้าออกมา หรือสักพักก็มีเบยอนเซ่ตัวใหม่ หรือเทศกาลใหม่ ๆ ออกมา เผลอๆ อาจจะมีแต่งหน้าไปกินเจ สรุปแล้ว เราจะแต่งหน้ากันทุก ๆ เทศกาลกันเลย (หัวเราะ)" โมเมเผย
กระนั้น ด้วยความที่เป็นคนสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่น โมเมบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ส่วนตัวต้องศึกษาข้อมูล และลองผิดลองถูกกับใบหน้าตัวเองจนเจอสิ่งที่ดี และเหมาะกับสาวไทยที่สุด ทำให้ทุกวันนี้ โมเมกลายเป็นคีย์ลัดความงามของผู้หญิงหลายคน แต่ก่อนจะแต่งหน้าตัวเองเป็นจริงๆ โมเมยอมรับว่า แต่งหน้าพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยท้อ และพยายามฝึกมือกับหน้าตัวเอง และหน้าเพื่อนอยู่บ่อยๆ นั่นเพราะเธอเชื่อเสมอว่า "Practice makes perfect."
"โมเมไม่ได้รู้เรื่องความสวยความงามมาจากที่ใดที่หนึ่ง ที่รู้เรื่องความงามมาได้ คือ ช่างถาม เจอช่างแต่งหน้าเราก็ถามๆๆๆ พี่เขาก็สอนๆๆๆ ต้องบอกว่าโชคดีที่ช่างทุกคนซึ่งโมเมเคยทำงานกับเขา ไม่มีใครหวงวิชาเลย พี่ๆ น่ารักทุกคน นอกจากนั้น ความรู้เรื่องความงามต่างๆ มาจากความชอบอ่านหนังสือของโมเม ทั้งหนังสือไทย หนังสือต่างประเทศ โมเมอ่านหมด อ่านทุกแนว พอมาเริ่มเขียนหนังสือความงาม ทีนี้เราก็มีขุมความรู้ให้อ้างอิงล่ะ สิ่งไหนที่เหมาะกับสาวไทยมากที่สุดก็หยิบยกมาเขียนเพื่อให้สาวๆ เอาไปทำได้จริง และเหมาะกับยุคสมัย แต่งแล้วผู้ชายไม่ตกใจ (หัวเราะ)" เธอเล่า
ไม่สวยก็สวยได้ ถ้ารู้จักตัวเอง
"ผู้หญิงอย่าหยุดสวย ถ้าไม่สวยก็หยุดเถอะ" เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้ สำหรับคนไม่สวย โมเมบอกว่า จะสวยขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ รู้จัก และยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยมาเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสีผิว และสภาพผิวของตัวเรา
"อันดับแรก ต้องยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน ปัญหาของคนที่คิดว่าตัวเองไม่สวย เพราะว่าชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่สวยกว่า อาทิ ทำไมฉันไม่เหมือนชมพู่ ทำไมฉันไม่เหมือนอั้ม พัชราภา ทำไมฉันทาเปลือกตาสีเดียวกันกับอั้ม ทำไมฉันไม่เหมือนเธอ ก็เพราะเธอกับเขาไม่เหมือนกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เริ่มค่ะ เริ่มจากตัวเรา เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรา โมเมไม่ได้บอกว่า ถ้าไม่สวย ก็จงไปทำหน้าใหม่ให้สวย แต่ข้อแรกต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า สีผิวของเราคือสีผิวของเรา เราไม่ได้ขาวเท่าคนข้างๆ หรือบางทีเรากับพี่น้อง ยังมีสีผิวต่างกันเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องของยีนส์ ถ้าจะไปวิเคราะห์กันก็เชิญเถอะค่ะ แต่ที่โมเมจะพูดต่อไปนี้ คือการเลือกผลิตภัณฑ์ให้ถูกกับสภาพผิว สีผิว แค่นี้ก็สวยขึ้นได้แล้วค่ะ"
"เคยมีนะ บางคนบอกว่าตัวเองคล้ำ แต่อยากจะใช้รองพื้นตัวเดียวกันกับเพื่อนข้าง ๆ ที่ขาวกว่า พอเอามาทา ปรากฏว่า เทา ก็หน้าหมองเหมือนของเข้ากันไป ถ้ายังใช้แบบนั้น ก็จมปรักกับความไม่สวยต่อไป ทางที่ดี ควรอ่านให้เยอะ ดูให้เยอะ หาข้อมูลให้เยอะว่า สิ่งที่เหมาะสมกับคุณคืออะไร แล้วใช้เพื่อที่จะกลบจุดด้อย เสริมจุดเด่น เลือกสักจุดหนึ่งว่า เราชอบอะไรเกี่ยวกับตัวเองบนหน้า บางคนอาจจะบอกว่า โอ๊ย! จมูกฉันไม่รอดเลย มันป้านมาก แต่ตาฉันสวยนะ ก็แต่งตาไปเลย ดึงความสนใจไปในสิ่งที่สวยที่สุดของหน้า ไม่ต้องเก็บเงินทำจมูก ซึ่งเราก็เข้าใจนะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำใจให้ศัลยกรรมเปลี่ยนโฉมได้ทุกอย่าง โมเมคนหนึ่งล่ะที่ไม่กล้า ส่วนตัวไม่ได้แอนตี้นะ แต่ไม่อยากให้เกิดการทุบหน้า หรือมีอะไรมาใส่เข้าไป"
"แต่เรื่องนี้ เครื่องสำอางช่วยได้ จมูกป้าน ก็ทำให้มันเล็กได้ อย่างโมเมเอง ตอนทำรายการแรกๆ เป็นสิวเยอะมาก เพราะเราทดลองผลิตภัณฑ์พร่ำเพรื่อ แล้วไม่เคยเข้าใจเลยว่า สกินแคร์เราต้องให้เวลาเขาหน่อย เพื่อให้เขาได้ทำงาน พอลอง 2-3 วันไม่โอเคแล้วเปลี่ยน ผิวก็ตกใจไง ถ้าผิวพูดได้ มันก็คงถามอ่ะนะว่า ตกลงแล้วแกจะบำรุงฉันด้วยวิธีไหนกันแน่ ดังนั้น จุดเด่นของโมเมพาเพลินส่วนใหญ่ตอนช่วงมีสิว จะเน้นแต่งตา ปากเบลอ เพราะเราชอบ เนื่องจากเรารู้สึกว่า มันดึงความสนใจจากสิ่งที่เราไม่ชอบ มามองในสิ่งที่น่ามอง หรือเป็นจุดเด่นของเราได้ เช่น ตาเด่น ทำให้ลืมไปได้เลยว่า เรามีสิวเม็ดใหญ่อยู่บนใบหน้า"
ดังนั้น ถ้ารู้จักตัวเอง และเน้นแต่งในจุดที่คิดว่าเด่นให้ดูสวยขึ้นแล้ว ความมั่นใจก็จะตามมา นี่คือสิ่งที่โมเมให้ความสำคัญมาตลอด
"การแต่งหน้า โมเมจะบอกเลยว่า ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่ต้องแต่งเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่า ส่องกระจกแล้วตัวฉันเองมีความสุขกับหน้านี้ และสามารถทำอย่างอื่นได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องไปสนใจรูปลักษณ์ของตัวเองอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่โมเมอยากให้เป็น ไม่ใช่มานั่งกังวลจนขาดความมั่นใจทำสิ่งต่างๆ"
นอกจากนี้ เธอยังมองไปถึงความผิดพลาดในการใช้เครื่องสำอางของหญิงไทยส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมาก และนี่คือภาพที่โมเมเห็นอยู่้บ่อยๆ
"การใช้ผิดสี ผิดสภาพผิว และการทำทุกอย่างพร้อมๆ กัน ยังเป็นข้อผิดพลาดที่พบเจออยู่บ่อยๆ ค่ะ ทางที่ดี ควรเลือกใช้เครื่องสำอางเฉพาะอย่าง และอย่าทำพร้อมๆ กัน อาทิ ตาก็เข้ม แก้มก็เข้ม ปากก็เข้ม เต้ง เตง เต่ง เต้ง ลิเกมาเลยนะคะคุณ ยังเห็นอยู่เยอะนะ ซึ่งโมเมก็เข้าใจว่า การเลือกหรือการผสมสีในครั้งแรกๆ มันยังไม่ชิน มันต้องผิดมาก่อนถึงจะถูก แต่หลายๆ คนที่เจอจะประมาณว่า สีเปลือกตาก็ใหม่ สีปัดแก้มก็ใหม่ ลิปสติกก็ใหม่ ขอใช้พร้อมกันเลยละกัน ตรงนี้ต้องระวังค่ะ เลือกเน้นจุดใดจุดหนึ่ง อย่าแต่งให้เด่นพร้อมๆ กัน" โมเมให้คำแนะนำ
เก๋อ่ะ! ทำสีลิปสติกเป็นของตัวเอง
เชื่อว่าทุกคนมีฝัน และมีเป้าหมาย เช่นเดียวกับโมเมที่อยากจะมีสีลิปสติกเป็นของตัวเอง และวันนี้ก็ใกล้จะเป็นจริงแล้ว
"โมเมเป็นคนชอบตั้งเป้าหมายเล็กๆ จะไม่ใช่แบบว่า สักวันฉันจะต้องมีแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังระดับโลกให้ได้ ซึ่งมันใหญ่เกินไป อย่างตอนนี้ อยากทำลิปสติกสีสนุกๆ ขึ้นมาสัก 3 สี ทำเล่นกันเองกับเพื่อน มีสีส้มแป้ด ชมพูแป้ด หรือสีคอนซีลเลอร์ที่เอาไว้ทาทับ ซึ่งเป็นสีที่โมเมและเพื่อนๆ อยากได้ คือโมเมกับเพื่อน (พลอย-ชวพร เลาหะพงศ์ชนะ) เราคนคุยกันว่า แก ฉันอยากมีลิปสติกเป็นของตัวเองอ่ะ เพื่อนก็หันมา เออ ใช่แก วันนั้นฉันผสม 2 สีนะ มันสวยมากเลย เราไปหาโรงงานกันมะ พอไปญี่ปุ่น ก็เจอโรงงาน แล้วเข้าไปคุย ทำกันเป็นเรื่องเป็นราว จนตอนนี้ใกล้เสร็จแล้วค่ะ ทำขายกันสนุกๆ ไม่ถึงกับขึ้นห้างนะ อาจนำไปวางขายสนุกๆ ที่ร้านเพื่อนแถวสยาม หรืออาจจะขายในเว็บฯ อะไรประมาณนี้ค่ะ" เธอเผยถึงแนวทางที่วางไว้
ปัจจุบัน นอกจากจะมีรายการโมเมพาเพลินเป็นงานหลักแล้ว เธอยังเป็นนักจัดรายการวิทยุ 105.5 ในเครือบีอีซีเทโร จันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-12.00 น. พิธีกร 2 ภาษา และงานอีเวนต์ทั่วไป นอกจากนี้ยังลงเสียงโฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุต่างๆ รวมไปถึงเสียงพูดเปิด-ปิดห้างในศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล รวมไปถึงเวิร์กชอปสอนแต่งหน้าตามบริษัทต่างๆ
ล่าสุด มีหนังสือเล่มใหม่ออกมา ชื่อว่า "สวย แซ่บเว่อร์...ไม่จำกัดยุค Momay Beauty’s Secrets" ซึ่งเป็นหนังสือในหมวดอมรินทร์ HOW-TO ของสำนักพิมพ์คุณภาพในเครืออมรินทร์ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงคู่มือสอนแต่งหน้า แต่เป็นคู่มือแต่งหน้าของสาวยุคใหม่ที่ไม่อยากแต่งหน้าแบบซ้ำซากจำเจทุกวัน และกำลังมองหาการแต่งหน้าที่มีกลิ่นอายแนววินเทจ แต่แฝงไปด้วยแฟชั่นล้ำสมัย
"การแต่งหน้านี่มันก็เหมือนกับแฟชั่นตรงที่มันไม่มีอะไรเป็นของใหม่เสียทั้งหมด สมัยแม่เคยเปรี้ยวเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน ปัจจุบันก็กลับมาเปรี้ยวได้ หรือวิธีการแต่งหน้าแบบต่างๆ ที่เราฮิตกันตอนนี้ จริงๆแล้ว รุ่นแม่รุ่นยายของเรา เขาเคยแต่งหน้าเคยเปรี้ยวกันมาหมดแหละ ดีไม่ดีเปรี้ยวกว่าเราอีกด้วยซ้ำ จะต่างกันก็ตรงที่ตอนนี้ เรามีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมายหลายแบรนด์ หลายระดับหลายราคา ทำให้สาวๆ ทุกคนสามารถสวยได้ง่ายขึ้นเยอะกว่าสมัยก่อนมาก" เธอเผยรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่
สำหรับหนังสือเล่มนี้ มองลึกลงไปในแต่ละช่วงทศวรรษว่า สาวๆ ในยุค 20’s ถึง 90’s มีสไตล์การแต่งหน้าที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจอย่างไร แน่นอนว่ายังคงเน้นเรื่องของวิธีแต่งหน้าแบบง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถแต่งตามได้จริงในสไตล์ของโมเมพาเพลิน บวกกับเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาที่ไปเล็กๆ น้อยๆ ของลุคยอดนิยมในแต่ละยุค เพื่อให้คุณผู้อ่านได้รู้ลึกลงไปอีกสักนิดว่ามันมีเรื่องราวเบื้องหลังอะไรอยู่บ้าง เพราะการที่รู้จักอดีตจะช่วยให้เข้าใจปัจจุบันได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งสำหรับเรื่องความงามหรือการแต่งหน้าด้วยแล้ว เมื่อมีพื้นฐานที่ดีก็จะสามารถพลิกแพลง ดัดแปลง สร้างสรรค์ลุคใหม่ๆได้ตลอดเวลาเช่นกัน
เด็กแต่งหน้า = เด็กแก่แดด?
ปัจจุบัน ภาพของเด็กหญิงที่ลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัว ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมองว่า เด็กสมัยนี้แก่แดดมากขึ้น ยิ่งมีรายการสวยๆ งามๆ ที่เข้าถึงง่ายในยุคไซเบอร์ด้วยแล้ว อาจเป็นการเชิญชวนให้เด็กลุกขึ้นมาแต่งหน้า เสริมสวยจนเกินวัยกันมากขึ้นตามไปด้วย เรื่องนี้ โมเม ผู้เป็นคีย์ลัดความงามของสาวๆ บนโลกออนไลน์จะมีทัศนะอย่างไร ไปฟังความคิดเห็นของเธอกัน
"บางทีพอผู้ใหญ่ไปมองว่า แต่งหน้าเร็ว แก่แดด มันเป็นการมองในแง่ร้ายเกินไป โอเค ถ้าเขาแต่งหน้าเยอะมาก จัดมากเกินวัย ตรงนี้ก็ควรเข้าไปแนะนำ แต่การจะไปตัดสินกันมันมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าแค่เด็กคนนี้แต่งหน้า จะกลายเป็นเด็กแก่แดด หรือดัดจริต แต่ถ้าเขาแบบ ก็เป็นสิวอ่ะ ไม่มั่นใจกับชีวิต พอดูโมเมพาเพลินแล้วรู้ว่าวิธีนี้ช่วยให้สิวหายไปได้ ขอนิดนึงนะ ซึ่งไม่ได้ทำให้ดูจาก 16 กลายเป็น 36 โมเมว่าก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ"
"โมเมรู้สึกว่า เด็กไทยกว่าจะได้เรียนรู้เรื่องเมคอัพจริงๆ ในยุคโมเมนะก็เข้ามหาลัยแล้ว ซึ่งช่วงนั้นควรจะสวยแล้ว แต่ยังไม่รู้วิธีดูแลหน้าเลย ที่พูด โมเมไม่ได้อยากให้ดัดจริตแต่งหน้าเร็ว หรือฟุ่มเฟือยเร็วนะคะ แต่ว่า ถ้าจะแต่ง ควรจะไม่พลาด พลาดในทีนี้คือ ถึงวัยที่กำลังจะสวย ก็ควรจะสวย อย่างแรกคือ ได้ข้อมูลก่อนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ เพราะปัจจุบันนี้ตัวเลือกมันเยอะมาก ควรจะต้องมีใครไหมมาช่วยพวกเขาตัดสินใจก่อนจะเสียเงิน ซึ่งทุกวันนี้เครื่องสำอางไม่ใช่ของถูก สิ่งที่อยากฝากถึงพ่อแม่ และเด็กๆ ยุคใหม่ก็คือ อ่านและศึกษาให้ดี จากนั้นเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลก่อนจะเสียเงินซื้ออะไรสักอย่าง"
"ถามว่าคุณเคยมีไหมล่ะ สมัยเด็กๆ ที่ย้อนกลับไปดูแล้วพูดกับตัวเองหรือเพื่อนๆ ว่า ถ้าฉันซ่อมตรงนี้ได้นะ ชีวิตฉันจะดีมากๆ เลย ฉันจะไม่ถูกล้อ ทางที่ดี อย่าปล่อยให้เด็กมีปมเหล่านั้นเลยค่ะ ถ้าเขาซ่อมได้ และไม่ได้ใช้เงินเกินตัว ไม่ได้ขอเงินคุณไปสุรุ่ยสุร่าย ไปด้วยกันสิ พาลูกไปชอปปิ้ง ไปช่วยกันดู ช่วยกันเลือก ว่าทำไมถึงอยากได้สิ่งนี้ จะเอาไปใช้ทำอะไร ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อให้ แต่ถ้าเขาตอบได้ พร้อมแจงเหตุผลให้ฟัง ก็ควรรับฟังเขาสักหน่อยไหม ซึ่งเรื่องเครื่องสำอาง โมเมมองว่า เป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวได้ดีเลยนะ เช่น ได้ใช้วันเสาร์ร่วมกัน เป็นต้น" โมเมให้ทัศนะ
"แม่-พี่สาว" เบื้องหลังคนสำคัญ
ถึงวันนี้ นอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ครอบครัวคือผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญที่เป็นต้นแบบ และอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด
"แม่กับพี่แหม่ม ทั้งคู่ไม่ได้อะไรมาง่ายๆ แม่กับพี่ทำงานหนักกันมาก สิ่งที่เขาสอนโมเมเสมอก็คือ เราต้องรู้จักงานของเราให้ดีเสียก่อน ก่อนจะไปทำ หรือบอกใครเขาว่าเราทำได้ เราต้องทำให้ดีก่อน แม่พูดเสมอว่า แม่ขึ้นไปร้องเพลง แม่ต้องจำเนื้อร้องให้ได้จนหมด สมัยก่อนจะต้องท่องให้แม่นหลายต่อหลายครั้งจนเราที่อยู่ด้วย ซึ่งเป็นเด็กเล็ก ความจำค่อนข้างดีต้องหันไปบอกแม่ว่า แม่ ร้องได้แล้ว เปลี่ยนเพลงได้แล้ว ซึ่งเราสัมผัสได้ถึงความใส่ใจในงานของเขา เขาพยายามทำในสิ่งที่ต้องทำ ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด นี่คือวิธีการที่โมเมนำมาเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต"
"นอกจากนั้น ตัวโมเมโชคดีที่รู้จักตัวเองเร็วว่าเราชอบอะไร มันก็เลยค้นเจอในสิ่งที่เราอยากทำเร็ว อย่างร้องเพลง เราค้นเจอเร็ว และเราได้โอกาส เราค้นเจอเร็วว่าเราชอบบิวตี้ แล้วเราก็ได้โอกาส แต่มันก็ไม่ได้มาง่ายๆ นะ ทุกอย่างต้องทุ่มเท และมุ่งมั่นตั้งใจทำจริงๆ ส่วนตัวไม่อยากตั้งเป้าหมายอะไรใหญ่เกินไป กลัวทำไม่ได้ กลัวตกมาเจ็บ ซึ่งมันอาจโตไม่เร็วมาก แต่มันจะโตอย่างมั่นคง คือมันจะมีที่มาที่ไปของมันว่า เฮ้ย! เราเริ่มจากตรงนี้ แล้วค่อยๆ สะสมจนไปทำตรงนี้ แล้วค่อยเป็นตรงนั้น คือ ถ้าเล่าให้ลูกฟังมันต้องเจ๋งมากๆ อ่ะ ไม่ใช่มาแบบ อ๋อลูก แป๊บเดียวแม่ก็ดังแล้วล่ะ ไม่มีที่มาที่ไปอะไรเลย แบบนี้ไม่เจ๋งเลย" เธอเผยแนวคิด
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถ และคุณภาพตลอด 10 กว่าปีในวงการบันเทิงของผู้หญิงที่ชื่อ "โมเม"
"การมาเร็วไปเร็วเกิดขึ้นได้ง่ายมากในวงการบันเทิง โมเมเห็นมาแล้ว อยู่มาแล้ว ไม่อย่างนั้น เราจะยังทำงานพิธีกร เป็นดีเจได้นานขนาดนี้เหรอ นั่นเพราะตลอด 10 กว่าปี โมเมรู้จักงานตัวเองแล้วทำมันให้ดีที่สุด มันอาจจะไม่ตู้มต้าม หรือเป็นซุป'ตาร์ อาจจะไม่ดังที่สุด หรือเป็นคนดังที่ทุกคนนึกถึงเป็นคนแรก แต่โมเมอยากให้ใครก็ตามที่นึกถึงเรา นึกถึงงานคุณภาพ ไม่ใช่จู่ๆ ก็ดัง แต่ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาทำอะไรมาบ้าง โมเมไม่อยากเป็นแบบนั้นค่ะ" เธอเผยมุมมอง ก่อนจะทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า
"ชีวิตมันสั้นเกินกว่าที่จะมาโกหกไปเรื่อยๆ โกหกและสร้างภาพกันไปเรื่อยๆ มันเหนื่อยนะ คือภาพอ่ะมันสร้างได้ แต่การรักษาภาพนี่สิมันเหนื่อย เพราะฉะนั้น อย่าสร้างเลยตั้งแต่แรก ส่วนตัวโมเมเอง พยายามคิดอยู่ตลอดว่า เราชอบที่จะให้คนเกลียดในสิ่งที่เราเป็น มากกว่าชอบในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น คือ ฉันเป็นแบบนี้ ถ้าเธอไม่ชอบฉันก็โอเค อย่างน้อยๆ ฉันก็เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกสบายใจ เพราะฉันจริงใจ ไม่มีการแบบว่า สร้างภาพ จะไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่ถ้าสร้างภาพแล้วมาชอบ ก็แสดงว่าไม่ได้ชอบตัวเราจริงๆ ดังนั้น โมเมเลือกที่จะทำงานที่รัก และเป็นในสิ่งที่เราเป็นดีกว่าค่ะ"
/////////////////////////
รู้หรือไม่ เกี่ยวกับผู้หญิงชื่อ "โมเม"
- ศิษย์เก่าโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
- จบปริญญาตรีนิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาการโฆษณา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
- นักร้อง ดีเจ พิธีกรงานอีเว้นต์ และพิธีกรรายการแต่งหน้า โมเมพาเพลิน ทาง www.spokedark.tv
- ชอบอ่านหนังสือ ไม่กลัวเทคโนโลยี เสพติดอินสตาแกรม และไม่ค่อยนอน
- สะสมรองเท้าส้นสูง
- เรียนเต้นมาตลอดชีวิต และถึงแม้จะต้องผ่าเข่าเพราะอุบัติเหตุจากการเต้น ก็ยังจะเรียนเต้นต่อไป
- หาโอกาสหนีจากกรุงเทพฯ ที่ยุ่งเหยิงไปทะเลให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
- หลงรักนิวยอร์กอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
- เชื่อเสมอว่า "Practice makes perfect."
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Lite
ขอบคุณภาพประกอบจาก @dailycherie (อินสตาแกรมของโมเม)