“หนูเริ่มอ่านจากหนังสือนอกเวลา จนทำให้หนูรักการอ่านจนถึงทุกวันนี้ค่ะ ต้องขอบคุณเพื่อนที่เอาหนังสือมาผลัดกันยืมอ่าน (ยิ้ม)” นักแสดงสาวหน้าสวยบอกเอาไว้
หลายคนรู้จัก “อาย-กมลเนตร เรืองศรี” ผ่านตัวละครในฐานะคนหน้ากล้อง แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นนักอ่านและนักเขียนด้วย ใน “เทศกาลหนังสือครอบครัวนักอ่าน” ที่กำลังจะมีขึ้น หนอนหนังสือคนหนึ่งแห่งวงการคนนี้ จึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ที่เธอได้รับจากตัวหนังสือเอาไว้ เผื่อว่าจะมีเพื่อนร่วมอ่านกันมากขึ้น
ทำไมถึงมีชีวิตช้าๆ อยู่กับหนังสือได้?
นั่นน่ะสิ (ยิ้ม) หนูเป็นคนชอบชีวิต Slow Life นะ พี่รู้มั้ยว่าหนูอยู่คอนโดฯ เวลาหนูมาเช็ก Mail Box (ตู้ไปรษณีย์) เห็นโปสการ์ด มันมีความสุขมากเลยนะ หนูไม่รู้ว่าโปสการ์ดแผ่นละกี่บาท แสตมป์อีก 3 บาท กว่าจะใช้เวลาเดินทางมาถึงหนู 3 วัน แต่มันเป็นสิ่งที่หนูชอบมาก เพื่อนชอบส่งมาให้ค่ะ บางคนส่งมาจากลอนดอน รุ่นน้องส่งมาจากเชียงใหม่ วันๆ หนูไม่มีอะไรทำ หนูก็เอาโปสการ์ดที่ได้ หรือที่เขียนให้ตัวเองมานั่งอ่าน มันเป็นการย้อนกลับไปอ่านในอดีต หนูชอบอ่ะ (น้ำเสียงและแววตาบ่งบอกความรู้สึกนั้นชัดเจน) เหมือนที่หนูชอบธรรมะนั่นแหละค่ะ เพิ่งมาศึกษาเมื่อปี 2 ปีนี้เอง
มันเริ่มจากการที่หนูไปอ่านหนังสือธรรมะชื่อ “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” แล้วหนูสงสัย เลยมาถามพี่กิ๊ก-มยุริญ แม่ชีแห่งวงการ (ยิ้ม) ค่ะ ถ่ายละครด้วยกัน ในหนังสือเขาเปรียบไว้ว่าถ้าโลกใบนี้เป็นคอนโดฯสูง 30 กว่าชั้น นิพพานอยู่ชั้นดาดฟ้า มนุษย์อยู่ชั้น 5 นอกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น มันจะมีลิฟต์แค่มนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถต่อตรงไปถึงชั้นนิพพานได้ หนูก็เลยไปถามพี่กิ๊ก แล้วก็กลายเป็นได้คุยเรื่องธรรมะกัน
หนูว่าชีวิตทุกคนที่มีอยู่ทุกวันนี้มันทุกข์นะ ทุกข์-สุข มันดับมันต่อ เป็นอยู่แบบนี้ตลอด เพราะอะไร เพราะใจคนเรามันมีเรื่องให้คิดเยอะ คิดถึงความหลัง คิดถึงอนาคต ชีวิตนี้คนเราแข่งขันกันเรียนไปเพื่อได้ทำงานดีๆ ทำงานดีๆ ไปเพื่อให้มีเงินเยอะๆ มีเงินเยอะๆ แล้วก็ซื้อบ้าน มีครอบครัว มีทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้าย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เกิดซึ่งความหวง ความโลภ ความหลง มันทุกข์ในทุกๆ อย่างเลยค่ะ
ยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้ สมดุลตัวเองยังไง ให้เอาตาออกห่างจากจอสี่เหลี่ยมแล้วไปสู่หนังสือบ้าง?
เอาง่ายๆ ในเคสที่เลวร้ายที่สุดเลยคือ เมื่อคุณรู้สึกปวดตาค่ะ (ยิ้ม) คุณก็เอาตัวเองออกมา แต่ถ้าดีขึ้นมาหน่อย จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้สึกว่ามันก็เท่านั้น มันไม่มีอะไรเลย บางคนเปิดทวิตเตอร์ เล่นอินสตาแกรม อัปเฟซบุ๊ก ทำทุกอย่างทั้งวัน วนเวียนอยู่อย่างนี้ ถามว่าไม่เบื่อบ้างเหรอ แต่ก็แล้วแต่ค่ะ ถ้าเล่นดีๆ มันก็จะมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะแยะเลย หนูเองก็มีเพจที่ชอบและกดไลค์เอาไว้เหมือนกัน
สมัยนี้คนเน้นอ่านกันผ่านโซเชียลมีเดียค่ะ อย่างเช่นในทวิตเตอร์ชัดมาก จำกัดอยู่แค่ 140 ตัวอักษร มันเลยทำให้คนเราเสพติดแต่จะอ่านอะไรแบบสั้นๆ อ่านข่าวก็อ่านแต่พาดหัวข่าวกับสรุป ดูกระทู้ก็อ่านแต่คอมเมนต์ หนูว่ามันมีอะไรที่ตกหล่นไป ถ้าสมมติเราอ่านจริงๆ เราจะได้รู้ว่าเนื้อแท้เรื่องที่คนเขียนอยากจะเสนอคืออะไร มันอาจจะได้มุมมองอะไรที่แตกต่างออกไป ดีกว่าจะอ่านจากแค่คอมเมนต์ อ่านแค่จากที่คนอื่นสรุปไว้ให้
ลองมาอ่านหนังสือยาวๆ ให้จบเป็นเล่มดูก่อนก็ได้ค่ะ ฝึกไป มันจะช่วยให้เรามีสมาธิในการอ่านมากขึ้น หนูว่ามันจะไม่ด่วนสรุป ถ้าเราเริ่มอ่านหนังสือที่จะยาวๆ ได้ หนูเองก็อ่านบนเว็บเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าอยากจะอ่านแบบจริงจังจริงๆ จะชอบหยิบหนังสือมาอ่านมากกว่า
ชอบอ่านแนวไหน?
ส่วนใหญ่ค่ะ จะเป็นหนังสือที่ให้กำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้หนูทำอะไรสักอย่าง หนังสือที่พูดถึงสัจธรรม สัจธรรมก็คือความจริง ส่วนเรื่องความรักก็มีอ่านบ้างค่ะ ชอบอ่านงานของพี่นิ้วกลม พี่เขาจะเป็นคนที่เล่นคำได้น่าสนใจ วัยรุ่นจะชอบ หนูก็ชอบอ่านมากช่วง ม.ปลาย
หนังสือช่วยได้มากนะคะเรื่องของจิตใจ โดยเฉพาะเวลาเราเครียดๆ เล่มที่ช่วยชีวิตเอาไว้ได้ตอนที่เข้าวงการใหม่ๆ คือ “มัชฌิมนิเทศ” ของ พี่โหน่ง-วงศ์ทนง (ชัยณรงค์สิงห์) ค่ะ จะมีวลีเด็ดๆ ของนักปรัชญารวมๆ กัน ให้ใช้ชีวิตให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต แค่ประโยคสั้นๆ ตรงนี้ มันทำให้หนูอินมาก เฮ้ย! ไม่ได้นะ เราจะมาทำตัวเปะปะไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้เกิดตายขึ้นมาทำยังไง
แต่ไม่ได้หมายความว่า ใช้ชีวิตให้เหมือนพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย วันนี้ฉันเที่ยวให้สุด เมาหัวทิ่ม ไม่ใช่อย่างนั้นนะ (ยิ้ม) มันผิด! คุณต้องทำอะไรให้คุณรู้สึกว่ามันต้องเกิดประโยชน์ที่ตัวคุณและสังคม พูดไปก็เหมือนดูเวอร์นะ แต่มันเป็นจริงนะ
ตอนนี้ได้เป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสาร A Day ด้วย คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของตัวอักษร?
ตอนที่อ่าน มันทำให้เห็นว่าตัวอักษรของแต่ละคนต่างกันค่ะ ทั้งสำนวน เรื่องที่คิดที่สื่อออกมาก็ต่างกัน แต่หนูรู้สึกว่า หนูอ่านหนังสือแล้วยิ้มได้ พยักหน้าให้กับมันได้ ไม่งั้นก็ต้องขีดเส้น หนังสือมันมีอิทธิพลจริงๆ นะ แต่มันจะไม่มีอิทธิพลอะไรเลยถ้าหนูวางมันไว้อย่างนี้ (ทำท่าวางหนังสือไว้กับโต๊ะเฉยๆ)
อย่างเล่มนี้ (ปรากฏการณ์รู้ทันความทุกข์) มันโคตรวิเศษ ราคาปกติ 185 บาท แต่มาลดราคาในงานหนังสือเมื่อตอน มี.ค. เหลือ 50 กว่าบาท คิดดูสิ ถามว่าหนูเอาเงินตรงนี้ไปกินอะไรแพงๆ มันยังแพงกว่านี้อีกนะ หนังสือเล่มหนึ่งบางทียังถูกกว่าอาหารมื้อหนึ่งอีก มันเป็นอาหารสมองที่ดีมาก (เน้นเสียง)
ส่วนตอนนี้ได้เป็นคนเขียน ตัวหนังสือสำหรับหนูมันคือสิ่งที่มาจากใจ มันมาจากข้างในจริงๆ บางทีมันมาจากการที่หนูเสพธรรมชาติ หนูเก็บท้องฟ้า หนูสะสมสิ่งรอบตัว มันก็ทำให้หนูได้งานเหมือนกันนะ มันมีแง่คิดอยู่รอบตัวเราจริงๆ ค่ะ อย่างพี่ๆ นักเขียนหลายๆ คน หนูเห็นเลยว่าเขาจะมีความพิเศษกว่าคนอื่นๆ คือนิสัยช่างสังเกตแล้วก็จับมาเป็นประเด็น
มีเวลาให้หนังสือบ่อยไหม?
หนูไม่เคยกำหนดกะเกณฑ์ค่ะ หนูใช้หัวใจเอา ถ้าอยากอ่านก็แค่หยิบขึ้นมาอ่าน กระเป๋าหนู คนจะชอบทักว่าแบกหินมาหรือเปล่าเนี่ย มันจะมีหนังสือในนั้นค่ะ มีโทรศัพท์ ไอพอดก็มีค่ะ เอาไว้ฟังเพลง ไม่เคยต้องมากำหนดว่าวันนี้ต้องอ่านหนังสือให้ได้ 30 หน้า บางวันหนูฟังเพลงไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วยยังมีเลยค่ะ ชอบเปิดเพลงเบาๆ แล้วก็อ่านหนังสือไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะเวลาอยู่บนรถเมล์ค่ะ คนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วย บอกว่าเสียสายตา แต่ไม่รู้นะ หนูติดค่ะ
อยากให้แนะนำสำหรับคนเริ่มอ่าน
ลองเริ่มจากนิตยสารก็ได้ค่ะ หนูว่าเนื้อหาหลากหลายมาก ชอบคอลัมน์ไหนก็อ่าน ไม่ชอบก็เปิดข้ามไป แล้ววันหนึ่งประสิทธิภาพการอ่านจะดีขึ้นเอง จะอ่านได้นานขึ้นได้
จริงๆ แล้วหนูก็ไม่อยากไปชี้นำชีวิตใครให้มาอ่านนะ แต่พูดได้เลยว่าชีวิตหนูดีขึ้นได้เพราะหนังสือ มันช่วยเปิดโลก จากคนที่เป็นเด็กมัธยม นั่งเรียนหนังสือ อยู่แต่กับระบบการศึกษา หนูเริ่มอ่านจากหนังสือนอกเวลา จนทำให้หนูรักการอ่านจนถึงทุกวันนี้ค่ะ ต้องขอบคุณเพื่อนที่เอาหนังสือมาผลัดกันยืมอ่าน (ยิ้ม)
ตอนนี้ยังแลกหนังสือกับเพื่อนอ่านอยู่หรือเปล่า?
ยังแลกกันอยู่เลยค่ะ มันก็จะได้ไม่ต้องซื้อไงคะ (หัวเราะ) ถ้าอ่านแล้วชอบค่อยซื้อเก็บค่ะ ถ้าอ่านแล้วไม่ชอบ ก็ไม่ต้องซื้อ หนูไม่ได้ซื้อหนังสือทุกเล่มนะ ตังค์น่ะต้องใช้ให้เป็น ไม่ใช่เห็นเล่มนี้ขายดีก็ซื้อ เล่มนั้นคนนี้อ่านก็ซื้อ อย่าเป็นอย่างนั้นเลยค่ะ ลองยืมคนอื่นอ่านก่อนครึ่งเล่มก็ได้ อย่าตัดสินจากแค่ปกสวย อ่านก่อนค่อยซื้อก็ได้ ไม่เสียหาย ไม่เสียเวลาเลย ไม่เปลืองตังค์ (ยิ้ม)
วันที่ 17-23 ก.ค. นี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่อยากเริ่มทำความรู้จักกับตัวหนังสือใน “เทศกาลหนังสือครอบครัวนักอ่าน” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานนี้มีทั้งหนังสือสำหรับเยาวชนและผู้ใหญ่ ทุกเพศทุกวัย มาเดินโฉบ อ่านเล่นๆ ฟรีๆ กันก่อนก็ได้ อย่างที่หนอนหนังสือ “อาย” บอกเอาไว้ ถูกใจจริงๆ ค่อยซื้อกลับบ้าน
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์