ถึงแม้จะเป็นที่ยืนยันกันมานานแล้วว่า “การเสริมหน้าอก” ไม่ใช่ตัวการก่อเนื้อร้าย “มะเร็งเต้านม” แต่อีกหนึ่งการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้จากกลุ่มนักวิจัยชาวแคนาดา ได้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ของโรคร้ายกับการอัพไซส์ที่น่าตกใจไม่น้อย เพราะการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่ผ่านการเสริมหน้าอกจะรู้ตัวช้าว่าเกิดมะเร็งเต้านมกับตัวเอง โดยมักจะพบก็เมื่อถึงขั้นรุนแรงไปแล้ว ดังนั้นโอกาสสรอดจึงน้อยกว่าคนธรรมดาที่ไม่เคยอัพไซส์นั่นเอง
ผลงานวิจัยจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ประเทศแคนาดา ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสาร บริติช เมดิคัล เจอนัล ฉบับออนไลน์ ได้ทำการสำรวจหาความเกี่ยวข้องกันระหว่างการศัลยกรรมเสริมหน้าอก และโรคมะเร็งเต้านมในหมู่สุภาพสตรีชาวแคนาดา อเมริกา และยุโรปตอนเหนือ พบว่าหญิงที่ผ่านการเสริมหน้าอกหรืออัพไซส์มามีโอกาสจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมสูง เพราะวัสดุที่ใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มขนาด ซึ่งมักเป็นซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือ เป็นวัสดุที่ให้รังสีทะลุผ่านได้น้อย ทำให้มองเห็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านหลังได้เพียง 20%-80% เมื่อตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยการทำแมมโมแกรม ผลการวินิจฉัยโรคจึงมีโอกาสผิดพลาดสูง และกว่าจะรู้ตัวก้อนเนื้อก็พัฒนาไปเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรงแล้ว
โดยเหล่านักวิจัยได้ทำการศึกษาในกลุ่มสตรี 1,000 ราย ที่เสริมหน้าอกและถูกคุกคามด้วยโรคมะเร็งเต้านม พบว่า หญิงกลุ่มนี้ถึง 26% เพิ่งตรวจพบมะเร็งเต้านมเมื่อมันได้พัฒนาไปสู่ขั้นรุนแรงแล้ว ส่วนการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่สำรวจในกลุ่มสตรี 600 รายที่เสริมหน้าอกและพบอาการของโรคมะเร็งเต้านมด้วย หญิงกลุ่มนี้มีโอกาสจะเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านมมากกว่าหญิงป่วยด้วยโรคเดียวกันแต่ไม่เคยเสริมหน้าอกถึง 38%
อย่างไรก็ดี ในขณะที่การทำแมมโมแกรมไม่ค่อยประสบผลดีนักในหญิงที่เสริมหน้าอกมา แต่ซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือที่ใช้เสริมหน้าอกกลับเอื้อให้คุณผู้หญิงสามารถตรวจหาความผิดปกติที่หน้าอกด้วยวิธีคลำเองได้ง่ายขึ้น เพราะมีความเรียบตึงของวัสดุเสริมหน้าอกอยู่ภายใน ทำให้สามารถรับรู้ความผิดปกติของก้อนเนื้อหรือรอยบุ๋มที่เกิดขึ้นที่หน้าอกได้ชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ ทางกลุ่มผู้วิจัยเองยังได้ออกมากล่าวว่า งานวิจัยของพวกเขานั้นยังเป็นเพียงการวิจัยในกลุ่มเล็กๆ และยังไม่มีผลการศึกษาทดลองอื่นๆ ที่ยืนยันว่าการทำศัลยกรรมหน้าอกกับการเป็นโรคมะเร็งเต้านมมีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่สิ่งที่สรุปออกมาได้จากการศึกษาครั้งนี้ก็คือ “ผู้หญิงที่เสริมหน้าอก และเป็นมะเร็งเต้านมด้วย มีโอกาสที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งดังกล่าวสูงกว่าคนทั่วไป”