xs
xsm
sm
md
lg

สถานะหัวใจที่เปลี่ยนแปลง “มาริโอ้ เมาเร่อ” พี่มาก...พระโขนง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เวลาที่ผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงย่อมผ่านเข้ามา เมื่อทบทวนดูผลงานของเขา นับตั้งแต่เข้าวงการ ชื่อของเขาแทบจะไม่เคยห่างหายไปจากวงการบันเทิง
 
ดีกรีของความนิยมนับวันยิ่งจะมีแต่เพิ่มขึ้น จากดาราหน้าใหม่วัยรุ่นเปลี่ยนผ่านสู่นักแสดงหนุ่มเต็มตัว ดวงหน้าขาวใสหมดจดยังคงเป็นจุดขาย หลายสิ่งหลายอย่างผันผ่านสู่การเปลี่ยนแปลง ช้าบ้าง เร็วบ้างตามช่วงจังหวะของชีวิต
 
มุมมอง ความคิด การใช้ชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก
 
มาริโอ้ เมาเร่อ เปิดประตูเข้ามาในห้องประชุม ที่ค่ายหนังอารมณ์ดี - จีทีเอช เขามาในมาดทะมัดทะแมง เสื้อยืดสกรีนลายวินเทจมอเตอร์ไซค์ พร้อมสวมแจ็กเกตยีนส์เข้าคู่กับกางเกงยีนส์พับขาและรองเท้าหนัง

เขาดึงแว่นดำจากดวงหน้า เผยยิ้มเข้มแต่ไม่เครียดก่อนนั่งลงขอชามะนาวมาดื่มระหว่างสัมภาษณ์สำหรับวันที่ร้อนแรงทั้งการงาน และกระแสข่าว

ใครเป็นฝ่ายบอกเลิก? บอกเลิกเพราะเหตุใด? ใครเป็นมือที่สาม?

“ 9 ปี เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากความรักครั้งนี้ เราไม่เคยเสียดายเวลาที่ได้คบกับเขา” มันเป็นกระแสข่าวความรักแบบรายวัน ตั้งแต่ประกาศลดความสัมพันธ์กับแฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการอย่าง กุ๊บกิ๊บ - สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย จนออกมายอมรับ เริ่มสานสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องกับนางเอกเสน่ห์แรง ใหม่ - ดาวิกา โฮร์เน่ และเธอยังรับบทเป็นนางเอกของเขาในผลงานล่าสุด พี่มาก...พระโขนง

“เราก็พูดเท่าที่พูดได้” เขาเอ่ยถึงการให้สัมภาษณ์ในช่วงหลัง

วันนี้ทีมงาน M - Lite นั่งลงชวนเขาพูดคุยถึงความคิดความรู้สึกในช่วงเปลี่ยนผ่านเท่าที่เขายินดีจะพูดได้
 

กุ๊กกิ๊บ นิยามรักยังไม่เปลี่ยนแปลง

9 ปีในความสัมพันธ์ของคนสองคน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน นานพอให้ทำความรู้จัก เรียนรู้ เติบโตและเปลี่ยนแปลง จากเพื่อนเป็นเพื่อนสนิท จากเพื่อนสนิทเป็นคนรัก

ท้ายที่สุดของความสัมพันธ์ที่ต้องปิดฉากลง ลึกลงไปในรายละเอียด คงเป็นเรื่องส่วนตัวของคน 2 คน หากแต่เมื่อคน 2 คนนั้นเป็นดารา มันจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเสียทีเดียว หากแต่เป็นเรื่องที่หลายคนจับตา และต้องการคำตอบที่ลงลึกที่สุด
ทันทีที่ทีมงาน M - Lite เอ่ยถึงประเด็นความรัก พระเอกหนุ่มไม่แม้กระทั่งจิบชามะนาวแก้คอแห้ง เขาเอ่ยขึ้นทันที

“ถามได้เลย ไม่เป็นไร ถามได้”

จากความเป็นเพื่อนที่มีมานานปีจนกลายเป็นคนรัก เมื่อต้องย้อนกลับไปสู่ความเป็นเพื่อน หลายครั้งความเป็นเพื่อนมักพังทลายหายไปพร้อมกับคำว่า คนรัก สำหรับเขาการปรับสถานะเป็นเพื่อนครั้งนี้ เขามองว่าเป็นเรื่องของช่วงเวลา มีจุดหนึ่งที่รักกัน ก็ต้องมีจุดหนึ่งที่เริ่มห่างกัน

“ตอนนี้มันถึงจุดที่เราเชื่อว่าทุกคนต้องมี เป็นจุดที่เราต้องทำงาน ต้องเจออะไรหลายๆ อย่าง ก็คุยกันเรียบร้อย ตกลงด้วยดี ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน ลดความสัมพันธ์ลงมาเป็นเพื่อน”

เหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเผยว่ามีหลายอย่าง ทั้งเรื่องงาน เรื่องเวลา เมื่อมองไปถึงอนาคต เขายังให้คำตอบอะไรไม่ได้มากนัก

“มันก็มีหลายเหตุผล ถามว่าจะกลับไปมั้ย? เราก็ยังตอบไม่ได้ เรายังไม่รู้อนาคต ตอนนี้ยังไม่รู้”

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สายตาของคนรอบข้างที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเห็นถึงกำลังใจที่หลายคนแสดงความห่วงใยต่อเขา เพราะช่วงเวลา 9 ปีกับการเลิกรา คงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการตัดสินเพียงชั่ววูบ

“หลายคนก็สนใจให้กำลังใจนะ เพราะเขารู้ว่าคบกันมานาน ตั้งแต่เรียนอยู่ ม.4 คนก็เข้าใจ คบกันมานานจริงๆมาถึงจุดนี้มันก็ไม่ง่ายที่จะเลิกกัน มีคนให้กำลังใจ บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีบ้าง เรางานรุ่ง ความรักมันจะรุ่งไปด้วย มันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว มันมีหลายเหตุผล”

ภาวะที่เป็นดาราดังกับการเผชิญหน้าสื่อมวลชน เขาไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นกับการต้องให้คำตอบ สิ่งที่หนักหนากว่าคือความรู้สึกก่อนให้คำตอบต่างหาก...ความรู้สึกของคน 2 คน

“คิดจะบอกกับสื่อไม่หนักหรอก” เขาตอบด้วยสีหน้าสบายๆ ก่อนฉายแววจริงจังในประโยคถัดมา “มันหนักที่ตัวเราเองกับเขามากกว่า จริงๆ สื่อหรือคนนอกเนี่ย เราคบกับกิ๊บ เราไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้คิดว่าจะต้องปิดบัง เราเป็นคนธรรมดา ต่อให้เป็นคนในวงการ แต่เราก็ยังเป็นคนธรรมดา ไม่ได้คิดว่าเราจะบอกนักข่าวยังไง เราก็บอกตรงๆ แล้วเราก็ไม่ได้พูดเยอะด้วย เราพูดเท่าที่พูดได้”

ข้อสงสัยที่เกิดขึ้น จากความรักหลายปีที่ทำให้แฟนคลับหลายคนตามลุ้นตามเชียร์คือ การเลิกกันครั้งนี้เกิดจากใบสั่งที่มาจากแฟนคลับชาวจีนหรือไม่ ? เขาส่ายหน้า ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมเผยว่า แฟนคลับไม่ได้เกี่ยวกับการตัดสินใจส่วนตัวของเขาแต่อย่างใด โดยตอนที่ไปจีนครั้งแรกนั้น เขาก็เปิดเผยแต่แรกแล้วว่า มีแฟนแล้ว

“คนที่นั่นก็ถามว่า พูดอย่างงี้ มันไม่กลัวเรตติ้งตกเหรอ? เราก็บอก เราอยู่เมืองไทย เขาไม่ได้แอนตี้ ถ้ามีแฟนก็ไม่ได้เก็บเงียบ ก็บอกไปเลย มันก็ไม่มีความจำเป็นที่ถ้าเรามาดังที่นี่แล้วเราต้องโกหก เรื่องแฟนคลับก็ไม่มีผลต่อการตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น”

เมื่อถามว่า เขาได้เรียนรู้อะไรจากความรักครั้งนี้บ้าง เขามองไปในอากาศ ตอบในทันทีว่ามีหลายอย่าง เพราะเวลา 9 ปีย่อมทิ้งช่วงเวลามากมายไว้กับชีวิตเขา

“เยอะนะ 9 ปีเจอเรื่องมาเยอะ เรื่องดีๆ ก็มีให้จดจำมากมาย สำหรับตัวเราเอง เราไม่เคยเสียดายเวลาที่คบกับเขา” เขาเอ่ย แต่ความรักที่มาถึงจุดเปลี่ยนนั้น สำหรับหลายคนอาจทำให้มุมมองความรักต้องเปลี่ยนไป เขายังยืนยันว่า มุมมองเกี่ยวกับความรักยังคงเหมือนเดิม “มุมมองเรื่องความรักก็ยังไม่เปลี่ยนนะ ยังไงก็ยังเชื่อว่า ความรักเป็นสิ่งที่ดี ต่อให้เราต้องเลิกกับแฟน มันก็ไม่เกี่ยวว่าต้องมองมุมมองความรักใหม่ ต้องไปจีบคนเยอะๆ เรามองว่าความสัมพันธ์หรืออะไรแบบนี้มันก็ต้องมีหยุด มีลด มีความเปลี่ยนแปลงตามที่เราเป็น แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องเลิกเชื่อเรื่องความรัก”

ทว่า สิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือมุมมองที่ต้องโตขึ้น จากความรับผิดชอบ จากการทำงาน ที่ทำให้ต้องให้ความสนใจมากกว่าเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกเท่านั้น หากแต่แก่นแกนของความรักยังคงเป็นสิ่งดีเหมือนเดิม

พี่มาก...ขำ

บทตลกถือเป็นจุดขายหนึ่งของมาริโอ้ จากที่บุคลิกนอกจอที่มีมุมรั่วหลุดอย่างไม่ห่วงหล่อ เพียงดึงเอาส่วนนั้นมาวางไว้หน้ากล้อง มันกลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้หลายคนหลงรัก หรือไม่ก็เริ่มคิดว่า แหม...ทำไปได้

กับบทบาทล่าสุดที่จับเอาเรื่องราวอมตะของตำนาน แม่นาคมาปัดฝุ่น สร้างใหม่ในสไตล์ตลก แถมยังมีพี่มากที่แบ้วเสียจนหลายคนรู้สึกขัดใจ

เอาลูกครึ่งมาเล่นเป็นพี่มาก? พี่มากพูดภาษาวัยรุ่น? แบ๊วอีก? หลายคนแอบตัดสินหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นตัวอย่าง เขารับรู้ดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“บางคนเขาใส่ตั้งแต่รู้แล้วเรารับบทนี้ เราก็เฉยๆ ไป ทำอะไรไม่ได้มาก ก็รอทางค่ายที่เขาจะปล่อยข่าวออกมาก่อนด้วย จนตัวอย่างมันออกมานั่นแหละ คนถึงเข้าใจเหตุผล”

มาริโอ้ย้อนเล่าถึงตอนที่มาแคสบทหนังเรื่องนี้กับจีทีเอส เขาชี้ไปยังห้องใกล้ๆก่อนเอ่ย

“ตึกนี้แหละ ห้องนั้นเลย ตอนแคสพี่เขาบอกว่า เป็นหนังรักวัยรุ่น”

ภาพที่เกิดในการแคสติ้งคือมาริโอ้รับบทวัยรุ่นคนหนึ่งรักแฟนมากๆ รักมากสุดๆ แล้วต้องง้อแฟนที่โกรธอยู่ ง้ออย่างคนรักหมดหัวใจ ทุ่มทั้งตัวจนต้องขึ้นไปกลิ้งอยู่บนโต๊ะ

“เราเป็นวัยรุ่นที่รักแฟนมาก แฟนโกรธ แฟนงอนก็ง้อแฟน ขี้อ้อน แล้วเราต้องจากแฟนไป เราก็บอกรักแบบแบ๊วมาก แล้วจะรั่วๆ หน่อย ซึ่งแฟนก็ไม่หาย เราก็ต้องง้อจนถึงที่สุด นอกจากนั้น ก็มีบทดราม่า ต้องร้องไห้จากนั้นก็ไม่มีอะไรกลับบ้าน มารู้อีกทีก็ได้บทพี่มากแล้ว ตอนนั้นเราก็รู้สึกงงมากเลย”

คำถามเกิดขึ้นมามากมาย ตั้งแต่ทำไมหนังชื่อพี่มาก...พระโขนง ไม่ใช่แม่นาค เหตุใดจึงให้เขาที่เป็นลูกครึ่งมารับบทนี้ จนถึงแคสบทเป็นวัยรุ่นสุดแบ๊ว ทว่า หลังจากได้อ่านบท เขาก็เข้าใจถึงเหตุผลของตัวเรื่องที่ตำนานแห่งทุ่งพระโขนงฉบับนี้จะสร้างความแตกต่าง

“มันก็เซอร์ไพรส์นะ แต่ไม่มีความคิดว่าจะไม่รับเล่น คิดว่ามันแปลกดี แล้วเข้าใจว่า ทำไมเอาเรามาเล่น ก็เพราะชื่อมากจริงๆ มันต้องออกเสียงว่า มาร์ค แต่เพื่อนออกเสียงเรียกไม่ได้เลยใช้ชื่อมาก แล้วคนเดียวที่เรียกมาร์คก็คือแด๊ดดี้ ที่กลับไปกับมิชชันนารีแล้ว”

ในส่วนของการทำงานกับค่ายหนังอารมณ์ - จีทีเอช แม้ว่ามาริโอ้จะรับบทหนังรัก - ตลกมาแล้วหลายเรื่อง ทว่าครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำงานร่วมกับค่ายหนังชื่อดังแห่งนี้ เขาเผยว่า การทำงานโดยทั่วไปเหมือนงานหนังอื่นๆที่เขาเคยเจอมาแล้ว ทว่า สิ่งที่แตกต่างจะเป็นสไตล์เฉพาะของโต้ง - บรรจง ปิสัญธนะกุล ผู้กำกับ

“พี่โต้งจะมีสไตล์ของเขา ปกติเล่นกับที่อื่นจะไม่มีให้ลองเล่นอะไรก็ได้สักครั้งหนึ่ง แต่กับพี่โต้งจะมีอีกเทกหนึ่ง หลังจากเทกที่ทุกอย่างได้หมดแล้ว ผ่านหมดแล้ว พี่โต้งจะขออีกหนึ่งเทกบอกว่า เทกนี้อะไรก็ได้ เห็นยังไง อยากเล่นแบบไหน เล่นอะไรก็ได้ออกมาเลย และส่วนใหญ่เทกอะไรก็ได้นี่แหละที่เขาบอกว่าได้ มันได้มากกว่าเทกที่เขาจะเอาอีก เพราะมันอาจจะตลกกว่า เซอร์ไพรส์ มีการด้นมุกกันขึ้นมา หรือบางทีเล่นๆ แล้วเพิ่งคิดได้ก็หลุดมา”

ผ้าห่มที่บ้านย่อมอุ่นเสมอ

ชีวิตต่างแดน กลายเป็นงานในวงการบันเทิงของมาริโอ้จากการที่เขาโด่งดังไกลไปถึงจีนแผ่นดินใหญ่ ล่าสุดกับการแสดงนำในหนังฟิลิปปินส์เรื่อง subdenly it's magic หรือมหัศจรรย์รักกับสิ่งเล็กๆ เขาเผยถึงชีวิตการทำงานต่างแดนต่างวัฒนธรรมว่า เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ช่วยเปิดโลกให้กับเขา

“เคยได้ยินเขาพูดกัน จีนแผ่นดินใหญ่ ไม่รู้ใหญ่จริงหรือเปล่า? พอไปเองรู้เลยว่า มันใหญ่จริงๆ” เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ต้องไปโปรโมตหนังในประเทศจีน “วันหนึ่งต้องบินเช้า บินเย็น บินไปคนละที่คนละเมือง บางวันก็ต้องบิน 2 ที ขึ้นเครื่องบินเหมือนขึ้นรถตู้ นี่คือบ้านเขา ระยะทางมันไกลมาก แต่ชอบเพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก เราชอบไปเดินดูวัง อะไรแบบนี้”

กับแฟนคลับในจีน เขาเผยว่า จะอินกับหนังมาก หลายคนแต่งตัวเป็นชุดทีมมาต้อนรับ บางคนชอบมากๆ ก็ถึงขั้นโบกมือให้ตลอด แม้ขับรถมาไกลมากแล้วก็ยังโบกมือให้อยู่

ส่วนในประเทศฟิลิปปินส์นั้นคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ตัวเขาเองที่นับถือคริสต์จึงชอบไปดูตามโบสถ์เก่าๆ ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมา และความสวยงามที่น่าสนใจ

“ฟิลิปปินส์ไปแล้วเราก็จะนึกว่าเป็นคนไทยเลย หน้าเขาเหมือนคนไทย แต่เขาจะพูดภาษาอังกฤษเก่งมากทั้งประเทศ” มาริโอ้เล่าถึงชาวฟิลิปปินส์ที่เขาได้พบเจอ “พวกเขาจะเป็นคนเฮฮานะ เราว่าเป็นประเทศที่เฮฮา ถ้าไปอยู่ด้วยแล้วจะมีความสุขแน่นอน”

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเป็นบ้านที่เขาอยู่แล้วสบายใจและรู้สึกมีความสุขที่สุด ในความคิดของเขา ไม่มีบ้านหลังที่ 2 ประเทศนี้คือบ้านหลังเดียวที่เขาอยู่แล้วรู้สึกอุ่นใจ

“เราว่ามันสบายที่สุดแล้วแหละ มันคือบ้านเกิดเรา คนไทยก็มีน้ำใจ และเป็นภาษาที่เราคุยมาตั้งแต่เด็ก แค่เราคุยกันมันง่าย และเราเกิดมาที่นี่ รู้สึกว่าเป็นสังคมที่แฮปปี้ที่สุดแล้ว เราไปที่ไหนเราก็ไม่รู้สึกว่าจะเป็นบ้านหลังที่สองหรืออะไรอย่างนี้ นี่ก็เป็นบ้านหลังเดียวที่เราจะอยู่”

มอเตอร์ไซค์ในวันทำงาน

ชีวิตในวันหยุดนอกจากนอนหลับเป็นตายเพื่อชาร์จแบตฯ ให้กับชีวิตนักแสดง งานอดิเรกหนึ่งที่หมกมุ่นมานานคือการสะสมรถโบราณ และเขาชอบขับเล่นกับเพื่อนในช่วงวันว่างๆ เสมอ

“ก็ชอบไปขับเล่นกับเพื่อน มันเหมือนเราได้อยู่กับสิ่งที่เราชอบ แล้วได้อยู่กับเพื่อนที่ชอบสิ่งเดียวกัน มันก็มีความสุข”

มาถึงวันนี้ จากงานอดิเรกที่เกิดจากความชอบ กลับกลายเป็นการลงทุนในการทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ เมื่อรถโบราณถูกปล่อยเช่าเข้าฉากในหนังหลายๆ เรื่อง

“ไม่มีเปิดอู่ซ่อมรถ แต่ให้เช่าเข้าฉาก ใครอยากได้ก็ติดต่อเพราะรู้จักกันอยู่แล้ว เราส่งรูปไปเลย ถ่ายรูปรถ เรื่องนี้เขาอยากได้คันนี้ เขาก็เอารถมารับไป”

สำหรับคนหนุ่มที่หลงใหลในเสน่ห์ของพาหนะติดล้อ นอกจากรถโบราณแล้วมอเตอร์ไซค์วินเทจก็เป็นอีกสิ่งที่เขาเริ่มสนใจ แต่เขาก็ออกตัวไว้ก่อนว่า ยังเป็นแค่ไบท์เกอร์ปลอมๆ เท่านั้น

“มอเตอร์ไซค์ก็เล่น แต่ไม่ได้ขี่จริงหรอก เราเป็นไบท์เกอร์ปลอม(หัวเราะ) คือไบท์เกอร์ไม่จริง เราไม่ได้เกิดมาขี่มอเตอร์ไซค์ แค่อยากขี่”

มอเตอร์ไซค์วินเทจมีหลายทรงหลายขนาด สำหรับเขาจะซื้อของแพงที่สุด ดีที่สุด ย่อมทำได้ แต่เขาเลือกอย่างไม่รีบร้อน เป็นขั้นเป็นตอนกับสิ่งที่ตัวเองหลงใหล

“บางคนก็งงว่า ทำไมไม่ซื้ออะไรที่แพงๆ ดีๆ ไปเลย เราก็มีมุมมองอีกแบบหนึ่ง ว่าเราเป็นตัวปลอม เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่เราต้องเรียนรู้ ก็ค่อยๆ เป็นระดับไป เราจะไม่รีบร้อน หรือเร่งตัวเอง ต้องขี่คันที่โหดที่สุด แพงที่สุด ซึ่งแบบนั้น โอเค เราซื้อไหว แต่เราคิดว่า เราขี่ไม่ไหว เราคิดว่าจะขี่ให้มันเก่งให้มันคล่อง มันต้องเริ่มจากอะไรที่เบสิกก่อน”

เขาเปรียบกับการเล่นสเก็ตบอร์ดซึ่งเป็นอีกกีฬาโปรดของเขา จะเล่นท่าที่เท่ที่สุดในวันแรกไม่ได้ ต้องเริ่มจากพื้นฐาน ต้องเริ่มจากท่าที่ง่ายที่สุด กับมอเตอร์ไซค์ก็เช่นกัน และเขาออกปากเลยว่า มันไม่ง่ายนัก

“เราขับบ็อบเบอร์(มอเตอร์ไซค์แบบหนึ่ง) เป็นโอลด์สกูลหน่อย ท่าขับจะแปลกๆ แฮนด์ต้องยกขึ้นมา เราค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปก่อน” เขาเล่าถึงการใช้มอเตอร์ไซค์ที่ไม่ใช่ขับเล่น หากแต่ลองเอามาใช้ในชีวิตประจำวันในการขับไปทำงานด้วย “แต่ยังขี่ไม่ได้เรื่องเลย ลองคิดดู สตาร์ทเครื่องไม่ติด ขี่ไปปั๊ม เติมน้ำมัน สตาร์ทไม่ติด อายเขาจริงๆ คือการสตาร์ทก็ไม่เหมือนปกติ รถเราไม่ได้สตาร์ทมือ รถเราสตาร์เท้า ถ้าสตาร์ทไม่เป็น สตาร์ทให้ตายยังไงก็ไม่ติด”

เขายังคงต้องให้เวลากับการเรียนรู้ และฝึกฝนกับสิ่งที่ชอบ แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ ความปลอดภัย เพราะมอเตอร์ไซค์เสี่ยงกว่า อย่างคำที่ผู้ใหญ่บอกกันว่า เหล็กหุ้มเนื้อ เนื้อหุ้มเหล็ก

“เราก็คิดเอาไว้ว่าเราจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงกับตัวเราเอง เพราะว่าถ้าเราล้มไป งานที่เราทำอยู่มันก็จะล้มด้วย เราก็จะไม่ซ่า ขี่แบบระวังๆ”

แต่การขับมอเตอร์ไซค์ในการใช้ชีวิตจริงๆ นั้น เป็นบททดสอบที่เขาวางไว้กับตัวเอง เพื่อให้รู้ว่า เขาจะใช้ชีวิตกับมอเตอร์ไซค์ได้หรือไม่ ผลคือมันไม่ง่ายเลย

“เราจะพยายามใช้แบบจริงๆ เลย ไม่ได้ใช้ขี่เล่นๆ ซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่ อยากรู้ว่า มันใช้งานได้จริงๆ ในชีวิตหรือเปล่า เราลองขับไปทำงานดู อยากรู้ว่าถ้าคนขับมอเตอร์ไซค์จริงๆ วันหนึ่ง เขาต้องเป็นยังไง เจออะไรบ้าง เขาจะร้อน จะเหนื่อย มันจะแย่แค่ไหน แล้วก็พบว่า เออ มันไม่ได้สบายเลยนะ”

ปัญหาสังคม - เชื่อมั่นในตัวเด็กๆ

คำว่า ปัญหาสังคม มีองค์ประกอบชวนให้คิดไปได้ถึงหลายประเด็น หลายทิศทาง ทีมงาน M - Lite ลองโยนคำถามเกี่ยวกับมัน หากสามารถแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างหนึ่งจะแก้ไขอะไร? พระเอกหนุ่มมีสีหน้าจริงจังขึ้น คิดหนัก ก่อนพึมพำกับตัวเองลอยๆ แก้อะไรดีนะ?

เราบอกให้เขาพูดโดยรวมๆ สิ่งที่คาดไว้ อาจเป็นเพียงคำตอบประเภท “อยากให้ทุกคนหันมาทำดี” ทว่า เขาไม่เลือกเดินตามคำบอกบท หากแต่เรียบเรียงความคิด และบอกเล่าถึงปัญหาสังคมที่ตัวเองเห็นชัดที่สุด เพราะได้ลงพื้นที่ไปเจอมันด้วยตัวเอง

“เราทำงานกับมูลนิธิศุภนิมิตมาหลายปีแล้วนะ” เขาเริ่มเล่าเรื่อง โดยแรกเริ่มมาจากที่เมื่อนานมาแล้ว เขาบริจาคเงินให้เด็ก 5 คน คนละ 500 บาททุกเดือนเพื่อสมบทเป็นค่าเทอม - ค่าอาหาร เป็นเหมือนน้องเลี้ยง กระทั่งวันหนึ่งมูลนิธิแห่งนี้ มาเจอตัวเขาในห้างแห่งหนึ่ง และได้เริ่มชักชวนให้มาทำงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน

“พี่ที่มูลนิธิฯ ก็ถามว่าสนใจจะช่วยมั้ย? เราก็ได้ลงพื้นที่ขึ้นไปบนดอย ไปเห็นเด็กที่เขาลำบาก ไม่มีอะไรกิน ผอมมาก ซึ่งธรรมชาติของชีวิตนักแสดงเราก็อยู่แต่ในเมือง หรือต่อให้ไปต่างจังหวัด เราก็ไม่เคยไปในที่ที่เขาลำบากที่สุด”

และภาพที่ได้เห็นก็ทำให้เขารู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ความคิดหนึ่งที่ประจักษ์ชัดคือ มีที่แบบนี้อยู่จริงๆ และเมื่อเทียบกับความเป็นอยู่ที่สุขสบาย เทียบกับตัวเขาเอง เขาพบว่า ตัวเองควรแบ่งส่วนที่มีมากแล้วให้กับคนอื่นบ้าง

“เราทำงานไม่ได้เหนื่อยหนักขนาดที่เขาต้องเหนื่อยแล้วจะได้มา ถ้าเราแบ่งส่วนที่เราโอเค เราไม่ลำบากแล้ว เราแบ่งให้เขาได้ มันทำให้เขาดีขึ้นเยอะเลย แล้วการที่มูลนิธิฯ เข้าไปช่วย เหมือนเขาไม่ได้เอาปลาไปให้ แต่เขาไปสอนวิธีที่จะหาปลา ไม่ได้เอาเงิน เอาอาหารไปให้ มันฉาบฉวย เขาช่วยในระยะยาว เราก็อยากให้คนช่วยเหลือกันในลักษณะประมาณนี้ได้ก็ดี”

และสิ่งนี้เขาบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันเป็นเรื่องของการทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ดีกับเด็กๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กบนดอย ที่ผ่านมาได้มีการลงไปช่วยเหลือเด็กในสลัมซึ่งอยู่ใกล้ตัวทุกคนมากกว่าที่คิด

“ที่นี่เขาก็มีพรีเซ็นเตอร์หลายคน เป็นคนช่วยรณรงค์ เราได้ทำส่วนของสภาพแวดล้อม เป็นการทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็กดีขึ้น ทำทุกอย่างเท่าที่คิดได้ ขยะ ไฟมืดไป สุขอนามัย ซึ่งบางทีเราไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้น เราใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแต่มันยังมีที่ที่แออัด ที่ที่ลับหูลับตาที่เราไม่เห็นแล้วมันอันตรายสำหรับเด็กๆ ที่จะต้องโตขึ้นมา บางทีมันพัฒนาแค่ตรงนี้ที่เราอยู่ ขณะบางที่ที่มันอยู่ใกล้ๆ ข้างๆ กันแต่กลับไม่มีอะไรเลย”

นี่คือสิ่งหนึ่งที่เขาได้มีโอกาสประสบพบเจอ และอยู่กับปัญหานั้น ความเชื่อหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ การที่สังคมต้องช่วยเหลือกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน เพียงแค่ให้ความช่วยเหลือคนที่อยู่ใกล้ๆ เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีนักที่อยู่ในขอบเขตใกล้บ้านแบบที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต หรือมองข้ามไปจากหนทางของการใช้ชีวิตประจำวัน

“เราเชื่อว่า เด็กถ้าเขามีสภาพแวดล้อมดีๆ เจออะไรที่ดี เขาน่าจะมีความคิดที่ดีขึ้น และโตขึ้นไปในทางที่ดี และเขาต้องเป็นคนดี ทำสิ่งดี เชื่อแบบนั้น เชื่อในตัวเด็กๆ เขาเป็นอนาคตของชาติ ตัวเราเองแค่ไปช่วยเท่าที่ช่วยได้ เขามีอะไรให้ช่วย เราช่วยแค่นั้นเอง เราคิดว่ายังมีเด็กอีกเยอะที่เขาต้องการความช่วยเหลือ”

ผู้ใหญ่ในชีวิต

ปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตในวงการบันเทิง ไม่มากก็น้อยที่ผู้ใหญ่ในวงการจะมีส่วนกำหนดทิศทาง และผู้ใหญ่ในชีวิตของมาริโอ้ คนหนึ่งที่มีความสำคัญมากคงหนีไม่พ้นยอดผู้จัดการดาราอย่าง เอ - ศุภชัย หลายครั้งข่าวจากผู้จัดการคนนี้ดูท่าจะแรงกว่าดาราในสังกัดเสียอีก

“พี่เอเขาก็ดูงานให้ทุกอย่าง งานโฆษณา งานหนัง เราก็ปรึกษาเขาตลอดด้วย เพราะเขาเป็นพี่ที่สนิทคนหนึ่ง” มาริโอ้เล่าถึงการทำงานกับผู้จัดการคนดัง โดยหลักในการรับงานให้นั้น เขาเผยว่า จะดูจากความสามารถเขาเอง และขีดจำกัดในการรับงาน

“รับงานนี้ มันจะตายหรือเปล่า พี่เอก็ดูลิมิตของเราด้วย” พระเอกหนุ่มเผย พร้อมบอกว่า นอกจากเรื่องงานแล้ว ประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนก็ทำให้เอ - ศุภชัยเป็นที่ปรึกษาในด้านอื่นๆ ของชีวิต “พี่เอเขาทำงานหนักมาก ตี 1 ตี2 บางทียังเห็นเขาคุยโทรศัพท์ติดต่องานอยู่เลย”

สำหรับกฎข้อห้ามนั้น เขาไม่พบกฎอะไรมากมาย อาจเพราะเขารู้หน้าที่ของตัวเองชัดเจนพออยู่แล้ว

“การลงโทษของพี่เอ คือถ้าหนักมากๆ ทำตัวไม่ดี พี่เอจะเตือนก่อน แล้วถ้ายังไม่ดีอีก ตอนดูแลพี่เขาดูแลเต็มที่ แต่ถ้าตัดก็คือแยกทางกันเลย การลงโทษคือไม่ต้องทำงานกับเขาแล้ว”

หากแต่มีบางครั้งที่งานบางงานที่มาริโอ้อยากทำ แต่ผู้จัดการยังห้ามไว้ เพราะยังไม่ถึงเวลา โดยอีกคนที่ให้คำปรึกษาในการเลือกรับงานของเขาก็คือ หม่อมน้อย หรือหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล

“เราเจอหม่อมน้อยครั้งแรกที่งานสุพรรณหงส์ ตอนนั้นยังไม่ได้ร่วมงาน และยังไม่รู้จักด้วย แล้วมีคนแนะนำให้เราไปสวัสดีหม่อม ก็เลยรู้จักตั้งแต่ตอนนั้น แล้วจากนั้นก็ได้เรียนกับหม่อมมาตลอด”

แต่สิ่งแรกที่หม่อมบอกกับแม่ของเขา - วรัญญา เมาเร่อ ตอนที่พาเขาไปฝากตัวคือ หากเด็กไม่รักดี เขาก็ไม่เอาไว้ ท้ายที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้ศาสตร์ด้านการแสดงจากบรมครูของวงการ

“แม่เชื่อว่า เราไม่น่าจะเกเร จากนั้นเราก็ไปเรียนกับหม่อม นานพอสมควรกว่าจะเข้าใจ หม่อมทำให้รู้ทุกอย่างจริงๆ เกี่ยวกับการแสดง อะไรคือการแสดง ความหมายของมันคืออะไร เราทำไปทำไม สิ่งนี้มีความสำคัญยังไง เราควรมีทัศนคติอย่างไรกับอาชีพนี้ หม่อมน้อยสอนหมดเลย”

แต่ทว่า ผู้ใหญ่คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคนหนึ่งคงหนีไม่พ้นแม่ของเขาเอง จากภายนอกสู่ภายในที่สุด เขาเอ่ยว่า หากไม่ทำงานในวงการ ก็คงเรียนจบและช่วยงานที่บ้านต่อ ธุรกิจสารส้มอย่างที่หลายคนรับรู้กัน มาถึงวันนี้ แม่ของเขาก็ยังคงทำงานอยู่ และมันเป็นแรงผลักดันของการเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาได้ปฏิบัติตาม หรืออย่างน้อยก็นึกถึงในวันที่ตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงาน

“เวลาที่เหนื่อยที่สุดเลย คิดแล้วฮึดขึ้นมาเลย ต้องคิดถึงแม่ คิดถึงครอบครัว เฮ่ย! เราทำงานเหนื่อยแค่นี้ แม่เราเหนื่อยกว่าเราเยอะ ซึ่งก็เป็นบ่อย บางทีเหนื่อยมากๆ แอบหลบไปคนเดียวโทร.หาแม่ แล้วแม่ช่วยได้จริงๆ คุยแค่ว่า แม่ครับ วันนี้ผมรู้สึกไม่ดี เหนื่อย แม่ให้กำลังใจคำเดียวเท่านั้น กระโดดเลย”

ชีวิตในวันนี้ แน่นอนว่ามีเรื่องมากมายที่ถูกสังคมจับจ้อง ส่วนหนึ่งในการมีชีวิตอยู่ในวงการ ปฏิเสธไม่ได้ว่า คือการพูดเท่าที่พูดได้ ทว่า สิ่งสำคัญหนึ่งที่เรามองเห็นจากพระเอกหนุ่มคนนี้คือ ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองเท่าที่เขาจะทำได้

ชื่อ มาริโอ้ เมาเร่อ

วันเกิด 4 ธันวาคม 2531

ส่วนสูง 180 น้ำหนัก 68 กิโลกรัม

งานอดิเรก สะสมรถโบราณ, ฟังเพลงฮิปฮ็อป, เล่นสเก็ตบอร์ด, ขับมอเตอร์ไซค์

ผลงานเด่น ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม, สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก ,จันดารา ปฐมบท, จันดารา ปัจฉิมบท ,มหัศจรรย์รักกับสิ่งเล็กๆ ,พี่มาก...พระโขนง

ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ











อดีตภาพหวานกับกุ๊บกิ๊บ
พี่มาก...พระโขนงที่แสดงคู่กับใหม่ - ดาวิกา โฮร์เน่


แฟนคลับในจีนที่มาต้อนรับ
มหัศจรรย์รักกับสิ่งเล็กๆ
หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลครูสอนการแสดงคนสำคัญ
ยังเป็นลูกรักของเอ – ศุภชัยเสมอ
มาริโอ้ พี่ชาย ถ่ายกับคุณแม่วรัญญา เมาเร่อ
กำลังโหลดความคิดเห็น