xs
xsm
sm
md
lg

“โดนัท – มนัสนันท์” เธอไม่ใช่แค่นางเอกของอนันดา?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ช่วงนี้หากจะพูดถึงนางเอกสาวดวงหน้าหวานคมอย่าง “โดนัท - มนัสนันท์ พันธ์เลิศวงสกุล” คงหนีไม่พ้นเรื่องความรักหวานๆ ในสัมพันธ์กับพระเอกหนุ่มมาดเซอร์ “บักจ่อย - อนันดา เอเวอริ่งแฮม”

“ยังไม่เคยบอกนะ ว่าคบกัน” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อทีมงาน M-Lite ไถ่ถามถึงประเด็นความรัก

แม้เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แต่แววตาที่สื่อถึงเรื่องความรักก็ดูเปล่งประกายคล้ายว่า ความรักของเธอกำลังเป็นสีชมพู

ทว่าวันนี้...นอกจากมุมหวานของความสัมพันธ์ที่สังคมจับจ้อง ตัวตนของนางเอกสาวชื่อหวานคนนี้ยังคงมีอีกหลากหลายมุมชีวิตบนเส้นทางที่เธอเลือกเดิน ทั้งการทำหนัง ออกเดินทางท่องเที่ยว และเขียนหนังสือ บอกได้เลยว่า ชื่อที่หวานน่ารัก และภาพหวานกับพระเอกมาดเซอร์ เป็นเพียงบางแง่มุมของชีวิตเธอเท่านั้น

ชีวิตละคร...บทบาทรสเข้มข้น

10 ปีโดยประมาณ...คือช่วงเวลาในวงการบันเทิงของโดนัท - มนัสนันท์ เธอเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตามาโดยตลอด ยิ่งเมื่อช่วงเวลาถูกพูดขึ้นมาเป็นตัวเลข ก็ยิ่งดูยาวนานจนน่าใจหาย เป็นช่วงเวลานานพอจะทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลง ทั้งกับตัวเธอเอง และวงการบันเทิง

“กับชีวิตในวงการที่เปลี่ยนแปลงไป มันมีหลายวันที่ต้องตัดสินใจ เราต้องตัดสินใจว่าจะเป็นเด็กป็อปวัยรุ่นต่อไป หรือจะเป็นนักแสดง หรือจะหยุดไปทำอย่างอื่น มันมีขั้นตอนของมัน” เธอเอ่ยถึงชีวิตในวงการ

จากหลายช่วงปีที่ผ่านมาบอกได้เลยว่า นางเอกคนนี้ผ่านหลายบทบาทในวงการบันเทิง หลายช่วงชีวิตที่เป็นจุดเปลี่ยนและต้องตัดสินใจ ตั้งแต่เป็นเด็กใหม่เข้าวงการ ขึ้นแท่นเป็นนางเอก พลิกบทบาทสู่นางร้าย หนทางหนึ่งที่เธอเลือกเดินบนเส้นทางการแสดงคือการทำงานที่หลากหลาย โดยมองที่ความน่าสนใจในตัวบท หรือความท้าทายเป็นสำคัญ จึงไม่แปลกที่คนดูจะได้เห็นเธอในบทสมบทของเรื่อง

“เราไม่ได้มองว่าจุดไหนเป็นจุดสำคัญของทั้งเรื่อง โดนัทไม่ได้ซีเรียสว่าตัวเองจะต้องเป็นนางเอก เป็นตัวหลักตลอด โดนัทขอเล่นบทที่มันมีความหมาย ถึงแม้บทบางบทจะถือว่าเป็นบทที่เล็กมาก อย่างในเรื่องขุนศึกก็เป็นตัวซับพอร์ต แต่เราทำงานของเราอย่างเต็มที่ รู้จักงานของเรา รู้จักตัวละคร คาแร็กเตอร์ มันกลายเป็นว่า ผลตอบรับที่กลับมามันดีมาก มีคำชื่นชมที่ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย! เราตัดสินใจไม่ผิด สำหรับโดนัทมันสนุกกว่าที่เราจะรับบทดีบ้าง ร้ายบ้าง น้อยบ้าง เยอะบ้าง ทำให้มันหลากหลายไม่งั้นเราก็เบื่อ”

ในด้านของการแสดง นักแสดงสาวที่ผ่านงานมามากมายและหลากหลายอย่างเธอ ก็ยังไม่ถือว่าตัวเองเก่ง เธอเผยว่า ทุกวันนี้ก็ยังมีวันที่แสดงไม่ได้เรื่องอยู่ แต่แน่นอนว่า การพัฒนาย่อมเกิดขึ้นจากวันเวลา และประสบการณ์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามกับศาสตร์การแสดง เธอยังคงต้องเรียนรู้มากขึ้น ดูหนังมากขึ้น พัฒนาตัวเองอย่างจริงจังมากขึ้นทุกวัน

“จริงๆ ถึงทุกวันนี้ขนาดแสดงมา 10 กว่าปีแล้ว มันก็ยังมีวันที่เล่นไม่ได้เรื่องเลยอยู่ วันไหนเกิดเสียสมาธิขึ้นมา ก็ต้องหาวิธีรับมือกับมัน หาวิธีแก้กับมันทุกวัน มันไม่มีใครที่เก่งแล้วจะเก่งอยู่อย่างนั้นตลอด อย่างเมื่อวาน ฉากสุดท้ายอยู่ๆ สมาธิไม่ดี เราก็ยังเป็นอยู่ เลยคิดว่าเรื่องนี้มันต้องอาศัยทั้งทักษะ การฝึกฝนและความเข้าใจ มันไม่ใช่อาชีพที่ทำไปแล้วมันจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ได้เอง”

การผ่านวันเวลาบทบาทเส้นทางสายบันเทิงมาอย่างยาวนาน มันนานพอที่จะทำให้เธอตกผลึกทางความคิดบางอย่าง เธอยอมรับเลยว่า หากให้พูดถึงวงการบันเทิง สิ่งที่พูดฟังดูเหมือนมาจากปากของแม่ชี

“โดนัทว่าวงการบันเทิงมันค่อนข้างฉาบฉวยนิดนึง และมันก็เป็นที่ที่มีหลายส่วน มันมีส่วนที่ต้องการแค่ความสวยงาม แค่แสงไฟ แล้วก็มีส่วนที่ทุกคนมุ่งมั่นกับการทำงาน จริงจัง พิสูจน์ตัวเอง แต่ที่มันเป็นสัจธรรมก็คือ วงการบันเทิงมันมีคนใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา และทุกคนที่เข้ามาตรงนี้ก็คือต้องเริ่มต้นที่เป็นเด็กใหม่ ผ่านการประสบความสำเร็จ มีช่วงเวลาที่ผ่านสื่อ มีช่วงเวลาที่โอเคแล้ว คงที่ อยู่ตัวกับชีวิตในวงการ แล้วก็จะกลายเป็นคนเก่า อย่างเราเองก็เป็นคนที่อยู่มานานแล้ว เป็นคนเก่าแล้ว ซึ่งสีสัน ความสนุกสนานในตัวเราก็จะไม่เหมือนเด็กใหม่อีกแล้ว แต่โดนัทมองว่ามันเป็นวงจรเป็นวัฏจักรของมันแบบนี้”

ทว่าบางสิ่งบางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะที่เธอเริ่มต้นงานแสดงจากหลายปีก่อน จากจุดเริ่มที่เธอบอกว่า เล่นแข็งๆ ก็ได้รับโอกาสแก้ตัวจนเล่นได้ดีขึ้น แต่ในยุคนี้ คุณภาพการแสดงต้องมีพร้อมตั้งแต่ก่อนมาอยู่หน้ากล้อง ดังนั้นในแง่มุมของคุณภาพเธอจึงมองว่ามีการพัฒนา จากการแข่งขันกันที่สูงขึ้น มีดาราคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมากมาย เหมือนพายุคลื่นที่รวดเร็วรุนแรงพร้อมที่จะถาโถมไม่เว้นหยุด พร้อมกันนั้นคลื่นหลายลูกก็ถูกซัดหายไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะไม่มีใครจดจำได้

“คนที่เข้ามาตรงนี้มันง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน คือเมื่อก่อนคนมันไม่ได้เยอะขนาดนี้ คนที่เข้ามาใจรักประมาณหนึ่ง หลายคนเข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจ อย่างโดนัทเอง ก็เดินๆอยู่ก็มีคนชวนไปแคสโฆษณา อยู่ๆก็ไปแคสละครแล้วก็เล่น ตอนนี้คนเข้ามาเต็มไปหมด แล้วใครจะอยู่ได้ก็ต้องเป็นคนที่มีฝีมือ มีคุณภาพจริงๆ เท่านั้น ถ้าเข้ามาแล้วคุณภาพไม่ได้ เขาตัดออกทันที ไม่มีเวลามาให้รอพิสูจน์”

แสงไฟของชื่อเสียง และเงินทองจากความสำเร็จคือ 2 สิ่งที่เป็นหมุดหมายใหญ่ของวงการบันเทิง หลายคนเข้าสู่วงการเพื่อ 2 สิ่งนี้ ซึ่งโดนัทมองว่า ทุกอาชีพมีด้านที่โหดร้ายของมันอยู่เสมอ ทุกอาชีพจึงจำเป็นต้องลงแรง ลงงานเพื่อให้ได้รับผลตอบแทน

“ทุกอาชีพมันก็มีด้านมืดหรือด้านที่ไม่ดีของมัน แล้วคุณรับมันได้หรือเปล่า ตอนนี้มันมีบางคนที่เข้าใจว่ามาตรงนี้ สนุก ดัง ได้เงิน โดนัทก็แอบรู้สึกว่า ใจร้ายนิดนึงสำหรับคนที่คิดแบบนั้น เพราะตัวเราทำงานตรงนี้ เรามองว่ามันคืออาชีพ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีนะ การมีคนที่จริงจัง กับคนที่แค่มาสนุก มันอาจจะเป็นสมดุลของวงการบันเทิงที่ทำให้มีคนที่หลากหลายก็ได้

กับบทบาทล่าสุดในชีวิตการทำงานของเธอ ละครย้อนยุคเรื่อง เวียงร้อยดาว เธอรับบทเป็นเวียงแก้ว สาวใสซื่อจิตใจดีที่ต้องพบกับจุดพลิกผันจนกลายเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ซึ่งเธอเผยว่าเป็นบทนี้เป็นบทที่ยากที่สุดในชีวิตของเธอ

“ถ้าพูดถึงตั้งแต่ทำงานในวงการมา เรื่องนี้ก็ยากที่สุดเลย เพราะว่ามันจะมีความหลากหลาย ต้องเล่นเป็นคนน่าสงสาร เป็นคนดี พื้นฐานจิตใจดีมาก โดนกระทำก็อดทนยอม จนสุดท้ายตาย แต่ตายแล้วก็ยังโดนทรมาน ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนสุดท้ายก็กลับมาเอาคืนทุกคน เรียกว่า เคยโดนใครทำอะไร เอาคืนกลับเป็น 10 เท่า ถือว่ายากมาก ถ่ายวันแรกหมดแรงเลย แต่สนุกนะ อ่านบทก็อยากทำให้ได้ดีและอยากให้ทุกคนได้ดู”

ความสำเร็จในวงการบันเทิง เธอมองในแง่ของการทำงาน มากกว่าการเป็นที่นิยม ดังนั้นแม้ว่าผลงานที่ทำออกมาจะไม่ดังหรือเป็นที่พูดถึง เธอก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้วจากการได้ทำงานออกมาอย่างเต็มที่

ตอนเด็กๆ เราผ่านการประกวดแบบเล็กๆน้อยๆ มาเยอะ มีทั้งชนะ ทั้งแพ้ มันก็เรียนรู้มาตั้งแต่ตอนนั้นว่า สิ่งที่ทำมันไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จทุกครั้ง เรามองที่คุณภาพของตัวเราเองว่าเราทำได้ดีพอหรือยัง ถ้าเรารู้สึกเราโอเค แต่งานนั้นมันอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ เราก็ไม่ได้ไปซีเรียสกับมัน เหมือนช่วงที่โดนัทไม่ค่อยทำงาน หรือตัดสินใจอยู่ว่า จะทำอย่างไรก็ชีวิตต่อดี โดนัทก็ไม่ได้มองว่าตัวเองขาลง หรือไม่มีคนจ้าง เราก็มองมันคือสิ่งเราต้องเลือก และสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกับมัน ถ้าจะอยู่ต่อ แล้วเราจะรับมือกับสิ่งต่อไปนี้ได้หรือเปล่า ถ้าอยู่ต่อแล้วอะไรที่ทำให้เรามีความสุข”

ในแง่มุมอื่นของชีวิตเธอ ก็ยังคงมีความสำเร็จในแบบที่เธอต้องการรอคอยก้าวเดินของเธอ และมันเป็นแง่มุมให้คำตอบกับความสุขของชีวิต

ชีวิตส่วนตัวสุดโลดโผน

แม้ชื่อเล่นของเธอจะตรงกับชื่อของขนมหวานรูปร่างกลมชิ้นน่ารัก แต่การที่แม่ตั้งชื่อนี้ให้เธอนั้น ไม่ได้เกี่ยวโยงหรือแฝงความนัยว่า พ่อแม่อยากได้ลูกสาวแสนหวานน่ารักแต่อย่างใด ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษนอกจากว่า ตอนแพ้ท้อง แม่ของเธอชอบทานโดนัท

“แล้วคนก็จะเรียกไม่เหมือนกัน ที่บ้านจะเรียกนัท คนส่วนใหญ่จะเรียกโด พอเข้าวงการพี่โมเดลลิ่งก็เห็นว่าชื่อโดนัทมันฟังดูดีกว่าก็เลยให้ใช้ชื่อเต็ม ตอนที่ตั้งชื่อแม่ของโดนัทคงอร่อยเลยคิดชื่อนี้ขึ้นมาตอนตั้งท้อง ไม่ได้คิดว่าจะให้ทำธุรกิจโดนัทหรือให้เป็นสาวหวาน เพราะตัวโดนัทเอง ถ้าไม่ติดว่ามางานก็ใส่เสื้อยืดธรรมดา ไม่แต่งหน้า เซอร์มาก เซอร์เกินไปเลยด้วยซ้ำ”

ความเซอร์ของการเป็นนักเดินทางนั้น ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่พ่อแม่ให้อิสระกับเธอตั้งแต่เด็ก

“เราเกิดเป็นลูกคนกลาง พ่อแม่เขาเห็นว่า อะไรที่เขาบังคับมากๆ มันก็ไม่ได้ผล เพราะเขาทำกับพี่สาว โอ๋มากๆ มันก็ไม่ดี แล้วเราก็ดิ้นรนให้เขาไม่โอ๋ และไม่ได้ต่อต้านว่าห้ามบังคับซึ่งเขาก็ไม่บังคับ เหมือนเขาเห็นว่าบางทีบังคับแล้วมันไม่ดี บางทีเด็กใช้ไม้แข็งแล้วมันไม่เวิร์ค เขาเลยค่อนข้างให้อิสระ” เธอเอ่ยถึงวัยเด็กที่เริ่มทำงานเร็วกว่าเด็กปกติ

“พอโดนัทเริ่มทำงานเร็ว ทีนี้พ่อแม่เขาก็เลยค่อนข้างปล่อย ยิ่งเป็นคนชอบเดินทางด้วย ที่บ้านโดนัทจะเป็นสไตล์ทำอะไรก็บอกกัน คุยกัน โอเค...ชีวิตเราเขาบังคับไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำกันได้ก็คือดูแลกัน และไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร สุดท้ายเราก็จะคิดถึงที่บ้านก่อนเสมอ ที่บ้านจะรู้สึกยังไง? โอเคมั้ย? หรือถ้ามีปัญหา เราก็จะรู้ว่าที่บ้านยังเป็นที่ๆ ไม่ว่ายังไง เขาจะต้องเข้าใจเราเสมอ

บ้านของเธอจึงเป็นครอบครัวที่สบายๆ ให้การสนับสนุนแต่ก็ไม่จำกัดกรอบ การที่เธอมีโลกส่วนตัวสูง เริ่มอยากออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ครอบครัวก็ไม่ได้ห้าม เพียงแค่บอกกล่าว เธอก็หิ้วกระเป๋าไปเรียนต่อต่างประเทศได้ หรือแม้แต่การเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าความเป็นนักเดินทางในตัวเธอจะก่อตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ ช่วงเวลาแห่งการเดินทางเหล่านั้นก็มีส่วนหล่อหลอมความเป็นเธอ จนแทบจะบอกได้ว่า หากการเป็นนักแสดงคืออาชีพหลักของเธอ การเดินทางก็แทบจะเป็นอาชีพเสริมที่เธอตีตั๋วเข้างานบ่อยมาก
เธอออกเดินทางบ่อยเสียจนเพื่อนหลายคนต้องตกใจ กับการใช้ชีวิตแบบชีพจรลงเท้าด้วยความสม่ำเสมอชนิดเดือนไม่เว้นเดือน

“เวลาทำงานโดนัทขอทำงานหนักเลย มันปฏิเสธไม่ได้ว่า คนเราจำเป็นต้องใช้เงิน เราทำงานเก็บเงินเพื่อเอาไปทำเรื่องต่างๆ พอพักโดนัทก็มีโปรแกรมของตัวเอง มีโลก มีเวลาของตัวเองที่จะได้ไปเปิดโลก บางเดือนโดนัทออกต่างจังหวัด 6 - 7 ครั้ง ตลอดปีนี้พอมานั่งนับรวมๆ กันแล้ว โดนัทน่าจะทำงานไม่เกิน 5 เดือนได้ เวลาหมดไปกับการเรียน และทำงานอย่างอื่นมากกว่า”

เมื่อพูดถึงเรื่องการเดินทาง ท่าทางของเธอก็ดูมีความสุขราวกับกำลังพูดในเรื่องที่รอบรู้ที่สุด จึงไม่แปลกที่การเดินทางสำหรับเธอแล้วไม่ใช่แค่การไปเที่ยว หากเป็นการได้เปิดมุมมองที่ทำให้โลกของเธอนั้นเปลี่ยนไป

“เรื่องเดินทางสำหรับโดนัทมันคือการเรียนรู้ การไปเห็นโลก มันทำให้โดนัทเป็นคนแบบนี้ ทำให้โลกทัศน์โดนัทเปลี่ยน แล้วมันทำให้เรามีความสุข”

หนังสั้น - หนังสือและอื่นๆ...รสชาติที่ออกมาจากตัวตน

งานละครนั้นเป็นโลกในแสงไฟที่พร้อมจะเฉิดฉายได้ด้วยตัวของมันเอง ขณะที่งานหนังสั้นกับหนังสือเป็นงานที่เหมือนจะถูกวางไว้เบื้องนอก แทบจะเป็นโลกอีกมุมในชีวิตเธอ จึงไม่แปลกที่เธอจะตั้งชื่อหนังสือว่า The other side of the world

เธอสารภาพว่า งานในอีกด้านหนึ่งเหล่านี้เป็นงานที่มาจากตัวตนของเธออย่างแท้จริง โดยเฉพาะงานหนังสือ เป็นงานที่กลั่นกรองมาจากตัวเธอเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์

“หนังสือเล่มนี้ จริงๆ มันเริ่มมาตั้งแต่ 10 ปีก่อนได้แล้วค่ะ” เธอเผยถึงจุดเริ่มต้นของหนังสือเล่าเรื่องการเดินทางในมุมของเธอ ซึ่งจุดประกายความคิดจากวันหนึ่งอันแสนยาวนานที่เธอได้มาถ่ายแบบลงนิตยสาร hamberger ตามประสาดาราวัยรุ่น และได้คุยกับวิภว์ บูรพาเดชะ บรรณาธิการในตอนนั้นว่า เธออยากเขียนหนังสือ

“ตอนนั้นโดนัทคิดว่าตัวเองมีความสามารถในการเล่าเรื่อง เริ่มคิดว่า เฮ่ย! เราเล่าเรื่องสนุก ก็เลยบอกพี่วิภว์ ซึ่งพี่เขาก็โอเค ให้เราเขียนส่งไป ตอนแรกพี่เขาก็คิดว่าเราไม่เอาจริง เพราะนานๆ 3 - 4 เดือนจะส่งไปที แต่ก็ไม่เคยหยุดส่ง บางทีหายไปเป็นปีแต่ก็ยังส่งอยู่ มันเป็นแบบนี้มา 4- 5ปี เขาก็ตัดสินใจให้เราลองเขียนคอลัมน์”

หลังจากได้ลองเขียน ลองเล่าเรื่อง จนมีความเข้าใจในศาสตร์ด้านงานเขียนในระดับหนึ่ง เธอก็ได้เขียนคอลัมน์ลงนิตยสาร happening ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่เล่าเรื่องราวแบ่งปันมุมมองของเธอที่ได้รับจากการได้ออกเดินทางท่องเที่ยว

“มันแค่เรามีเรื่องอยากจะเล่า แล้วเราก็เริ่มออกเดินทาง เราก็ได้เจอมุมต่างๆที่เรารู้สึกว่ามันเป็นโลกทัศน์ของเรา และรู้สึกว่ามันน่าจะเปิดโลกให้กับคนอื่นได้ด้วย”

และเธอในฐานะมือใหม่ที่ยังไม่ขอเรียกตัวเองว่านักเขียนออกปากว่า แม้ในตอนนั้นงานเขียนจะได้ลงนิตยสารในรูปแบบของคอลัมน์ชื่อเดียวกับหนังสือของเธอแล้วก็ตาม แต่คุณภาพงานก็ยังมีบางจุดที่ควรปรับปรุงแก้ไข

“พี่วิภว์เขาก็ยังไม่ได้บอกว่าดี เป็นคอลัมน์แล้วก็ยังไม่ดีนะ มันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จนพอหยุดเขียน หยุดคอลัมน์ แล้วมารวบรวมจริงจัง กลับมารีไรท์ใหม่ มันก็ทำให้เราเริ่มเห็นจุดไม่ดีของมันชัดขึ้น และเริ่มรู้สึกว่าเราแคร์คนอ่าน เราต้องตัดทอน ทำเพิ่ม อัพเดทข้อมูลบางส่วน จนมันออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
“งานหนังสือมันไม่ใช่เราคนเดียว โอเค มันเป็นโดนัทร้อยเปอร์เซ็นต์แต่โดนัทก็ต้องนึกถึงคนอ่าน เขาอ่านแล้วได้อะไร อรรถรสของมันอยู่ตรงไหน แมสเซจอะไรที่เราอยากจะบอก อะไรที่เราอยากจะแบ่งปัน มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ๆก็เกิดขึ้น มันผ่านระยะเวลามานานทีเดียว

แต่ข้อครหาของดารามาจับปากกาก็มีอยู่มากมาย หนังสือเล่มนี้จะถูกจัดหมวดหมู่อยู่ในพ๊อกเก็ตบุ๊คดาราแบบที่มีกันทั่วๆ ไป แบบที่ให้นักเขียนผีมาสวมบทเขียนเพื่อหาเงินทำกำไรจากชื่อเสียงที่สั่งสม กำแพงของอคติตรงนี้เป็นสิ่งที่เธอมองว่า ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

“โดนัทว่ามันไม่แปลกที่เราจะต้องพิสูจน์ตัวเอง เพราะตัวโดนัทเองก็ถือว่ายังใหม่มากสำหรับการเขียนพ็อกเก็ตบุ๊ค โดนัทก็อยากให้คนอ่านรู้สึกว่า โดนัทไม่ใช่โดนัท - มนัสนันท์แบบที่ทุกคนรู้จักในทีวี โดนัทเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชอบไปเที่ยวคนเดียว หรือไปเที่ยวเดินทางบ่อยมาก แล้วก็มีเรื่องมาแชร์ให้ฟัง”

กับการเดินทาง จุดหมายปลายทางในความฝันของเธอนั้นมีหลายที่จนเลือกไม่ถูก จากการอ่านหนังสือท่องเที่ยว และการเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่หากจะให้เลือกที่เที่ยวที่ชอบที่สุด คำตอบกลับย้อนมาสู่กรุงเทพฯ เมืองที่เธอเรียกว่า บ้าน

“รู้สึกยิ่งเดินทางเยอะเท่าไหร่ พอกลับมากรุงเทพฯ แล้วเรารู้จักเราคุ้นเคย เรารู้ว่าจะทำอะไร ที่ไหน ยังไง บางวันโดนัทขอมีเวลาง่ายๆ อยู่ในกรุงเทพฯ สักชั่วโมง 2 ชั่วโมง ก็พอแล้ว คือจริงๆ ชอบกรุงเทพ การไปต่างที่มันก็สนุกมันคือการพักผ่อน แต่เรารู้สึกว่ากรุงเทพมันคือบ้านเรา เรากลายเป็นคนกรุงเทพฯ ไปแล้ว

อีกหนึ่งผลงานในฐานะนักเล่าเรื่องคืองานด้านภาพยนตร์ โดยมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเด็กที่พ่อแม่มักจะพาเธอเข้าโรงหนัง หลายครั้งภาพจำของโรงหนังในวัยเด็กจึงเป็นอีกแรงบันดาลใจให้เธออยากสร้างหนังเป็นเรื่องราวที่เธออยากจะเล่ามันออกมาด้วยตัวเอง

“ตั้งแต่เด็กๆ โดนัทเข้าโรงหนังบ่อย พอโตขึ้นก็มีช่วงที่ค้นหาตัวเองว่า ชอบอะไร แล้วเราก็พบว่า เราเป็นคนชอบเล่าเรื่อง ชอบพูด ก็เลยรู้สึกว่า พอดูหนังแล้วมันอินสปายเรา และมันพิเศษ รู้สึกว่า ถ้าเราสามารถเล่าอะไรที่มันอินสปายคนอื่นได้ มันก็คงดี ซึ่งตอนนั้นก็คิดจะลาออกไปเรียนภาพยนตร์เลยนะ”

ดังนั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เธอจึงออกเดินทางไปเรียนด้านภาพยนตร์โดยตรงที่ New York Film Academy เป็นคอร์สระยะสั้นแต่เข้มข้นซึ่งได้ปรับเปลี่ยนมุมมองหลายๆ อย่างที่เธอมีต่อภาพยนตร์ ทำให้เธอได้เห็นโลกของภาพยนตร์ที่เป็นโลกกว้างอีกใบซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“ไปเรียนเพื่อให้เข้าใจโครงสร้างของมันซึ่งได้ผลมาก คือโลกทัศน์ทางด้านฟิล์มของโดนัทมันเปิด เห็นเลยว่าโลกใบนี้มันมีอีกไกล อะไรที่เราเข้าใจมามันยังน้อยนิดมาก มันยังมีเรื่องอีกเยอะในแง่ของภาพยนตร์ เราก็เลยยิ่งสนุกกับมัน” เธอเอ่ยพร้อมให้สัญญากับตัวเองว่า จะกลับไปเรียนอีกครั้งในปีหน้า เพื่อเจาะลึกในศาสตร์เฉพาะทางมากขึ้น

โดยผลงานหนังสั้นของเธอนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการละครและกำกับการแสดงมหาวิทยาลัยศรีนรินทรวิโรฒ เธอได้ทำหนังสั้นไว้ตามรายปีของเวลาว่าง ซึ่งตอนนั้นยังคงมั่วๆ แต่ก็เริ่มมีทิศทางในการทำหนังเรื่องที่สอง อย่างไรก็ตาม การทำหนังคือเส้นทางที่นักเดินทางอย่างเธอมุ่งหน้าก้าวเดินต่อไป แม้เป้าหมายยังคงอยู่ไกลมากก็ตาม

“ตอนนี้ก็มีโปรดักชั่น เฮาส์เล็กๆ ที่ทำอยู่กับเพื่อน 2 คน ทีมงานก็จะจ้างคนเอา ก็รับทำงานเบื้องหลังทั่วไป ทำเอ็มวี ทำหนังสั้น”

โปรเจคหนังยาวในชื่อ ลอนดอน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ ของอนุสรณ์ ธิปยานนท์ โดยเป็นฉากลอนดอนในยุคปัจจุบันที่เล่าเรื่องการเดินทาง และการเติบโตของคนหนุ่มสาว โดยโปรเจคนี้อยู่ในช่วงที่รายละเอียดทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทั้งบท เรื่องย่อ และการนำเสนอหนัง เหลือเพียงเดินหน้าคุยโปรเจคกับสตูดิโอที่สนใจ

“แม้ว่ามันจะเป็นหนังเล็กๆ ที่พูดเรื่องไม่ใหญ่อะไร แต่พอมันเป็นหนังที่ต้องเดินทาง โปรเจคเลยใหญ่ขึ้นมา และด้วยความต่างในแง่ของสไตล์ที่สตูดิโออาจจะไม่ชิน เพราะยังไม่ค่อยมีคนทำหนังเดินทางที่เป็นหนังรัก และมันก็เป็น coming of age (การก้าวผ่านช่วงวัย)ของคนอายุ 30 ด้วย ถึงตอนนี้เราก็กำลังหาบาลานซ์ให้กับลอนดอนอยู่ แล้วดูว่า สตูดิโอไหน ค่ายไหนที่เขาจะสนใจอยากทำงานกับเรา”

เธอทิ้งท้ายถึงโปรเจคหนังยาวว่า ทุกอย่างคงจะสรุปได้ลงตัวในช่วงปีนี้ ในส่วนของเรื่องราวที่ดูจะเป็นหนังอินดี้นั้น เธอเผยว่า โดยส่วนตัวแล้วชอบดูหนังที่หลากหลาย ทว่าหากถามว่า อยากทำหนังแบบไหน? แม้หนังฟอร์มยักษ์ เล่าเรื่องใหญ่อย่าง The dark knight จะเป็นหนังที่สนุก และกระทบกับจิตใจของเธอ แต่หนังที่เล่าเรื่องเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่งที่ตามหาจักรยานของตัวเองอย่าง The kids with a bike กลับเป็นหนังที่เธอใฝ่ฝันอยากจะสร้างขึ้นมากกว่า

“มันมหัศจรรย์มาก ทั้งเรื่องคือเด็กคนหนึ่งตามหาจักรยานแค่นั้น บางทีเราไม่เห็นรายละเอียดของมนุษย์ เราไม่เห็นว่าทุกวันนี้เราใช้ชีวิตกันยังไง พอเราไปดูแล้ว เราเห็นเขาละเอียดมากกับความรู้สึกคน เรื่องจิตใจเรา เราว่ามันอ่อนไหวสำหรับโดนัทนะ

“โดนัทดูแบทแมน - เดอะ ดาร์ก ไนค์, สไปเดอร์แมน ชอบมาก รู้สึกว่า สุดยอดหนังเลยนะ แต่ถามว่ามันเป็นสไตล์เราหรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ โดนัทชอบดูหนังเล็กๆ ชอบดูชีวิตคนอื่น ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนั่นแหละ อยากรู้อยากเห็น และไม่เกี่ยวกับว่าต้องอินดี้นะ โดนัทดูหนังอาร์ตเฮาว์ไม่ได้ ดูแล้วเหนื่อย ไม่เข้าใจ เราชอบหนังสบายๆ มากกว่า”

ปีที่ผ่านมากับการทำงานนักแสดงที่เธอยื่นอกยอมรับว่า นับรวมแล้วคงทำไม่เกิน 5 เดือน เธอบอกว่า ช่วงต้นปีหมดไปกับการเรียน ขณะที่หลายเดือนก็หมดไปกับงานเขียนหนังสือ และอีกหลายต่อหลายเดือนก็หมดไปกับการเดินทาง ซึ่งโดยปกติแล้วนักแสดงทั่วไปจะไม่ได้ทำงานอย่างอื่น นอกจากการเป็นนักแสดง เธอเผยว่า ตัวเองเป็นคนประเภทไม่ชอบอยู่เฉยๆ และไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ ยิ่งกับงานการแสดง นางเอกสาวบอกเลยว่า มันทำให้คนเป็นโรคจิตได้ เพราะมันทำให้เครียดโดยไม่รู้ตัว

“บางทีมันเครียดไม่รู้ตัว โอเค...เราไม่ได้เอาบทติดกลับมาบ้าน แต่เราต้องเล่นเป็นคนไม่ดี คิดไม่ดี ทำเรื่องไม่ดี เราเห็นหน้าคนนี้แล้วเราต้องรู้สึกเกลียดมาก หรือกลับกัน บางทีเราต้องแอบรักคนที่ในชีวิตเราไม่ได้รักเลย เราต้องมีโลกอีกโลกหนึ่ง แล้วทำแบบนั้นทุกวัน” เธอเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “มันไม่ได้ โดนัทเลยต้องหาอย่างอื่นทำ คิดว่า โอเค เราอาจจะมีพรสวรรค์ด้านการแสดง ขอบคุณมากเลยที่เรามีพรสวรรค์นั้นติดตัวมานิดนึง แต่ว่าความชอบของเราอาจจะเป็นสิ่งอื่น เราเลยพยายามทำทุกอย่างให้มันควบคู่กันไปให้ได้”

เพื่อนสนิทชื่อ “อนันดา”

แน่นอนว่ามาถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์กับพระเอกสุดฮอตเป็นที่จับจ้องของสังคม จนหลายคำถามพุ่งเป้า สร้างกระแส ถามไถ่ตั้งแต่คำถามง่ายๆ อย่าง ช่วงนี้อนันดาเป็นอย่างไรบ้าง? จนถึงขั้นไปกินข้าวด้วยกันร้านไหน?

“มันตลกๆ มันเป็นช่วงที่เรื่องทุกเรื่องจะเป็นเรื่องที่ถูกถาม ไปกินข้าวกันที่ไหน? จะซื้ออะไร? ยังไง? เมื่อไหร่? ตรงไหน? แบบไหน? หวานหรือเปล่า? ทะเลาะมั้ย? ทุกเรื่องมันเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากได้ดีเทล ในขณะที่เรารู้สึกว่า เรายังไม่อยากระบุอะไรมันมาก เราก็เป็นอย่างงี้ดีกว่า มันสบายใจกว่า” เธอยิ้มแย้มเมื่อพูดถึงกระแสข่าวที่โหมหนักขึ้นเป็นพิเศษในช่วงที่ผ่านมา

ความสัมพันธ์กับความสนิทสนมที่เริ่มขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น มาถึงตอนนี้โปรเจคหนังเรื่องลอนดอน อนันดาก็อยู่ในตำแหน่งของผู้ช่วยที่ดูทางด้านของภาพ และโปรดิวเซอร์

“แต่ปีนี้ก็ต้องดูคิวของอนันดาด้วยว่า เขาจะมีเวลาว่างพอมาทำมั้ย?” เธอเอ่ยเหมือนพูดถึงเพื่อนคนหนึ่ง แต่แล้วเมื่อคำถามพุ่งเป้าหมายที่ความสัมพันธ์ เธอก็ตอบทีเล่นทีจริงว่า “เรื่องนี้ถามได้ แต่ตอบไม่ตอบไม่รู้นะ”

สำหรับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ จากการเป็นเพื่อนกันมานาน ความรู้สึกที่ดีต่อกันเริ่มเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อทั้งเธอ และเขา

“คนเป็นเพื่อนกันมานานค่ะ แล้วพอมันเริ่มรู้สึกดีต่อกัน เริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงบางทีมันก็ส่งผลกระทบต่อเราเหมือนกัน มันทำให้อะไรดีๆ ที่เรามีตอนเป็นเพื่อนมันหายไป มันอาจจะต้องอาศัยเวลาอีกพักใหญ่ๆ ไม่รู้นะ โดนัทว่า มันเป็นเรื่องไม่จำเป็นต้องไปสรุปมันน่ะ”

เมื่อเราถามว่า ความสัมพันธ์ในการคบกันนั้นเป็นอย่างไร? เธอตอบทันทีว่า “ยังไม่ได้บอกเลยว่าคบกัน!” เราจึงขยายความคำถาม คบกันแบบเป็นเพื่อน?

และตามประสาเพื่อน ความสนิทที่มากขึ้นก็มาพร้อมกับการได้เข้าไปรู้จักตัวตนที่มากขึ้นของกันและกัน มีหลายมุมในตัวของพระเอกหนุ่มที่เธอได้เห็น และมีหลายแง่มุมที่เขาก็ได้เห็นจากตัวเธอ

“พอเราสนิทกันมากขึ้น ไม่แปลกที่เราจะเห็นด้านที่เราไม่เคยเห็นในตัวเขามากขึ้น ด้านที่บางทีเรารู้สึกว่า เออ ถ้าเราไม่เป็นอย่างงี้กันเราคงไม่เห็น ทั้งด้านที่ดีและไม่ดี เขาเองก็คงเหมือนกัน ในชีวิตที่เห็นกันมาตลอด เขาคงคิดว่าโดนัทแมนมาก แต่พอรู้จักกันมากขึ้น มีวันหนึ่งเขาก็พูดว่า แกก็มีด้านที่น่ารักเหมือนกันนะ มันก็จะเป็นอะไรแบบนี้

โดยรวมแล้ว ชายหนุ่มที่ชื่ออนันดา สำหรับเธอแล้ว เป็นผู้ชายที่จิตใจดี เมื่อมองไปถึงอนาคต เธอยิ้มพร้อมเผยว่า เป็นคนที่ไม่วางแผนไกลมากนัก ในช่วงปีหน้าเธอหวังว่าจะได้กลับไปเรียนภาพยนตร์ที่นิวยอร์ก มีผลงานละครดีๆ ให้ผู้ชมได้ติดตาม มีหนังสือที่วางแผนจะเขียนถึงการเดินทางในกรุงเทพฯ และคงได้ทำหนังยาวเรื่องลอนดอน

“เมื่อก่อนวางแผนสัปดาห์เดียวเอง ตอนนี้วางแผนปีหนึ่งได้ก็ยอดเยี่ยมแล้วนะ” เธอเอ่ยถึงแผนการทำงาน แต่กับความสัมพันธ์นั้น เธอยืนยันว่า “มันเรื่องของอนาคตอีกยาวนาน เดี๋ยวก็ค่อยๆ ว่ากันไป”

มาตอนนี้ยังคงมีเส้นทางที่ยาวไกลรอรอคอยนักเดินทางอย่างเธอ ไม่ใช่เพียงการเดินทางท่องเที่ยวบนผืนแผนที่โลก หากแต่เป็นการเดินทางของชีวิต และบนเส้นทางสายนี้มีสิ่งล่ำค่าสิ่งหนึ่งที่นักเดินทางต่างแสวงหา นั่นก็คือเพื่อนร่วมทางนั่นเอง

ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน

ผลงานหนังสั้นของโดนัท

ผลงานหนังสั้นของโดนัท



ผลงานเอ็มวี





เบื้องหลังการถ่ายทำเอ็มวี



ผลงานหนังสั้นระหว่างเรียนที่ New York Film Academy





ผลงานละครของเธอ


โดนัทในมาดนักเดินทางสาว

The other side of the world
ในมาดผู้กำกับเอ็มวี







กำลังโหลดความคิดเห็น