xs
xsm
sm
md
lg

เด็กซื่อ ชื่อ “นนท์” แชมป์ The Voice เสียงจริง ตัวจริง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปรากฏการณ์ส่งท้ายปี ที่สร้างความตื่นตะลึงให้คนไทยได้ไม่น้อยกับรายการ The Voice Thailand ที่พลิกโฉมรายการแข่งขันร้องเพลงที่ใกล้ตายให้กลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง หลังลุ้นระทึกมานานกว่า 3 เดือน จนเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา รายการก็ปิดฉากลงอย่างงดงาม “นนท์-ธนนท์ จำเริญ” เด็กหนุ่มจากภูเก็ตวัย 16 ปี คว้าชัยชนะครั้งนี้ไปครองกับตำแหน่งแชมป์คนแรก The Voice Thailand

• วินาทีประกาศผล

หลังประกาศชื่อสองคนสุดท้ายที่มีคะแนนโหวตสูงสูด “นนท์-ธนนท์ จำเริญ” และ “เก่ง - ธชย ประทุมวรรณ” วินาทีต่อจากนั้นช่างบีบเค้นหัวใจของสองผู้แข่งขันและผู้ชมรายการทั้งประเทศ ห้วงเวลานั้นทั้งนนท์และเก่งคงลุ้นระทึกกันตัวโก่งว่าชื่อของใครจะประกาศก้องเป็นแชมป์คนแรก The Voice Thailand
“นนท์-ธนนท์ จำเริญ” สิ้นสุดเสียงพิธีกร คำตัดสินที่มาจากเสียงมหาชน ถึงแม้คะแนนต่างกันเพียงไม่มาก แต่ตำแหน่งผู้ชนะในครั้งนี้ก็คือนนท์ หนุ่มน้อยจากภูเก็ตวัย 16 ปี ที่ครองใจคนดูได้อยู่หมัด

ตกใจครับ เพราะตอนนั้นเรากำลังบอกกับพี่เก่งอยู่เลยว่า พี่เก่งใจเย็นๆ คือพี่แกก็ลุ้นไงครับ ตอนนั้นก็เลยยังไม่ได้คิดคาดหวังอะไรมากมาย แต่พอประกาศผมก็ตกใจ”

นนท์ตอบคำถามแบบตรงไปตรงมา และซื่อๆ หลังคำถามที่ว่าวินาทีแสนวิเศษนั้น ตัวเขามีความรู้สึกอย่างไร? วันนี้หนุ่มน้อยร่างสูงเพรียว เจ้าของเสียงกินใจคนไทย ปรากฏตัวในชุดสีขาว สวมกั๊กสีดำ พร้อมหมวกสีดำ เอกลักษณ์ประจำตัว จากนั้นเราก็ยิงคำถามต่อไปว่าแล้วคาดหวังไว้หรือไม่ ว่าเราจะได้เป็นแชมป์

“ไม่เลยครับ เฉยๆ เพราะว่าเราก็โอเคแล้วที่ได้ออกทีวีในแต่ละครั้ง แล้วก็ได้ออกมาหลายครั้ง คือเราก็ทำเต็มที่ในทุกครั้ง ก็เลยไม่ค่อยซีเรียส แต่ว่าคือถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

คำตอบนี้สร้างความแปลกใจ เพราะเขาบอกว่าไม่เคยหวังเลยกับการเป็นผู้ชนะ แล้วไม่คิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อยหรือ ว่าตัวเองจะได้ครองตำแหน่งนี้

คิดว่าเราจะได้มั้ย ก็ไม่นะ เป็นใครก็ได้ เพราะว่าทั้งหมดนั้นที่มาในรายการนี้ทุกคนก็คือ The Voice แต่ถามว่าเราลุ้นใครก็ลุ้นพี่เก่ง เพราะว่าเราชอบพี่เก่ง ตามพี่เก่งอยู่แล้ว คือแนวคิดพี่เค้าแปลกไงครับ
แต่ว่าผมมามองพี่เก่งในช่วงหลังๆ นะครับ เคยติดตามแกในเฟซบุ๊ก แกก็จะมีแนวแปลกๆ ส่วนตอนแรกๆ ที่ผมมองก็คือทุกคนเลย ด้วยความที่ผมเข้ามาแล้วอายุผมน้อย คือต่ำพอดีเกณฑ์เลย 16 ปี แล้วก็ทุกคนที่มาก็เก่งกันทั้งนั้น เราก็เลยไม่ได้ชอบใครเป็นพิเศษ ซึ่งพี่ๆ ทุกคนก็พยายามช่วยสอนเรา เราก็ชื่นชอบพี่ๆ ทุกคน เพราะพี่ๆ ทุกคนดีแล้วก็เก่งด้วยครับ”

เป็นที่รู้กันว่าผลตัดสินแพ้-ชนะ ในรอบสุดท้ายคือคะแนนโหวตจากประชาชน ใครได้รับการโหวตสูงสุดก็คือผู้ได้รับรางวัล แต่ทำอย่างไรถึงจะได้นั่งอยู่ในใจคนดูและทำให้เขายอมจ่ายเงินเพื่อเป็นคะแนนให้แก่เราได้ เลยให้นนท์ตอบมาคิดว่าเสน่ห์ของตัวเองที่ใช้มัดใจคนดูคืออะไร

“ผมก็ไม่รู้ว่าเขาชอบผมตรงไหน แต่ว่าคือผมชอบตัวเองตรงที่ว่า คือเมื่อเราขึ้นโชว์ ผมเนี่ยจะลืมเรื่องแข่งนั้นไป ลืมเรื่องการแข่งขันไป เหมือนกับถูกดูดเข้าไปในเพลง แล้วเราก็สนุกที่ได้ทำตรงนั้น แล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ คือเมื่อเราขึ้นไปบนเวที เราก็จะเต็มที่กับทุกครั้งที่ทำ รู้สึกสนุกเสมอครับ
ส่วนเรื่องแฟนคลับ พ่อยก แม่ยก ก็ดีใจครับ เหมือนสะท้อนไปว่า โอเค ตัวเราก็มีคนชอบนะ แสดงว่าเราไม่ใช่คนเลวอะไรนัก (หัวเราะ) เราก็รู้สึกดีที่มีคนชอบ แต่ส่วนมากเขาไม่ได้ชอบจากหน้าตาผม นั่นคือสิ่งที่ผมดีใจ เขาชอบในผลงานที่ผมทำ ที่ผมร้องเพลงครับ

หลังรายการจบ อารมณ์คนดูยังไม่จบ เมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลการแข่งขันนี้ตามโลกออนไลน์ บางคนบอกว่า เก่งน่าจะเป็นผู้ชนะมากกว่านนท์ คำพูดนี้นนท์บอกเลยว่าไม่ซีเรียส มีคนรักย่อมมีคนชังเป็นเรื่องธรรมดา

“สำหรับผม ผมไม่ค่อยซีเรียสตรงนี้ เพราะว่าสมมติในห้องๆ นึงมี 100 คน จะให้ 100 คน มาชอบเราหมดก็ไม่ได้ เพราะในโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่ผู้ชาย มันมีผู้หญิงด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด”



• แรกรู้จัก The Voice

การเข้ามาประกวด The Voice ของนนท์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เขาเล่าให้ฟังว่าเคยไปประกวดร้องเพลงรายการอื่นมา แต่ไม่ผ่านเข้ารอบ และครั้งนั้นก็ทำให้เขาเสียความรู้สึกเล็กๆ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์

“เคยไปรายการอื่น แต่ว่าเราก็ไปแบบไม่ได้หวัง เพราะรายการเค้าเอาบุคลิกภาพไงครับ เราก็เลยไม่กล้าหวัง ก็เลยไปให้พอรู้ คือไปลอง ชีวิตนี้มันต้องลองสักครั้งนึง ก็ลองไปดู แต่ก็ไม่ติด ไปรอ 8 ชั่วโมง ได้ร้อง 20 วินาที หายใจ 2 เฮือก แต่มันก็เป็นประสบการณ์อีกแบบนึง ถามว่าตอนนั้นผมรู้สึกเฟลมั้ย ก็เฟล เพราะมันเป็นครั้งแรก ใครๆ ก็ต้องหวัง เพราะเรารอตั้ง 8 ชั่วโมง พ่อ-แม่ ก็ต้องไปนั่งป้อนข้าวป้อนน้ำ”

มีฝันไว้ก็ต้องทำตามความฝัน ถึงแม้จะผิดหวังกับการประกวดในครั้งนั้น แต่นนท์ก็เอาชนะกำแพงความกลัวได้ เมื่อกระโดดลงเวทีประชันเสียงอีกครั้งกับรายการที่รู้จักแบบงงๆ หลังมีคนลงคลิปไว้ให้ในโทรศัพท์ และด้วยความแปลกใหม่ของรายการ เขาจึงยอมเสี่ยงอีกที

“ตอนแรกผมดูผ่านคลิปก่อนครับ คลิปในยูทิวบ์ พอดีเราเอาโทรศัพท์ไปให้เค้าลงเพลง แล้วเขาก็ลงเพลงของ The Voice US ชื่อเพลง Angel ของ Javier Colon ทีนี้ก็เลยฟัง แล้วก็มางงตอนท้ายเพลง ทำไมข้างหลังมีวงเล็บ The Voice เป็นฉากแบ็กกราวนด์ The Voice ผมก็เลยไปเสิร์ชในยูทิวบ์แล้วก็เจอ พอหลังจากที่ผมดูคือเค้าเก่งกันหมดเลย แล้วก็มีบุคลิก บางคนก็พลิกแพลง ตัวผอมแต่ร้องแบบอลังการมาก แล้วพอดีมารู้ว่ามันมาเมืองไทย แต่ตอนแรกเราก็ไม่กล้าไปนะ คือตอนนั้นเราก็ยังรู้สึกเฟลนิดๆ กับครั้งแรก กลัวๆ เหมือนกัน
ความจริงคือคุณครูเขาก็เตรียมพี่อีกคนว่าจะมา The Voice ด้วย แล้วครูก็มาบอก เออ นนท์ ก็ไปลองๆ ดูสิ คือเราก็รู้ว่าตอนนั้นเรายังไม่เก่ง รู้ว่าครูแค่ส่งเราไปร้องเพลง เพราะครูก็รู้ว่าเรายังไม่เก่ง ครูก็ไม่หวังว่าเราจะติด ตัวเราเองก็ยังไม่หวังเลยว่าจะติด เราก็เหมือนไปให้รู้อีกทีนึง เพราะรู้ว่ารายการนี้ไม่เอาหน้าตา ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นแนวใหม่ แล้วอย่างน้อยถ้าได้ไป สำหรับผมหวังไว้ไกลที่สุดก็น่าจะรอบ Blind Audition คือได้ไปดูเก้าอี้โค้ชก็สุดยอดแล้ว พอหลังจากนั้น เราก็คงจะตกรอบแล้วล่ะ

ถามมาหลายคำถาม คำตอบของนนท์ก็ยังซ้ำเดิม ว่าตัวเขาแทบไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เลยร้องทักว่า ทำไมไม่คิดหวังสูงๆ เหมือนคนอื่นทั่วไปบ้าง หนุ่มนนท์ยิ้มให้หนึ่งทีก่อนจะตอบด้วยคำพูดสั้นๆ แต่กินใจในความหมายว่า “พอหวังสูง มันตกเจ็บ”

คือผมไม่เคยหวังเผื่อรอบหน้า แต่ผมจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ใช่อีก 10 ปี มานั่งเสียดาย ทำวันนี้ให้มันดีไปเลย เหมือนกับไปสนามเด็กเล่นอ่ะครับ แล้วเราก็เล่นหมดทุกเครื่อง เราก็ทำหมดทุกอย่างแล้ว พอเพื่อนมาถาม เล่นยัง ถ้าหากเรายังไม่เล่นบางเครื่อง เราก็จะ เอ้ย ทำไมไม่เล่นตอนนั้น ทั้งที่มันก็อยู่ในสนามเด็กเล่นแค่นิดเดียวเอง เราสามารถเล่นได้หมดเลยถ้าเราเล่นหมดก็ไม่ต้องมานั่งเสียดายเวลานั้น ผมก็เลยทำให้เต็มที่”



• จากวีกแรก จนเป็นแชมป์

เมื่อผ่านเข้ารอบ มาร้องโชว์เสียงอีกทีในรอบ Blind Audition อยากรู้ว่าตอนนั้น บนเวทีครั้งแรกของเขารู้สึกอย่างไร แล้วในใจคิดว่าโค้ชคนไหนจะกดให้ตัวเขาได้ไปต่อ

“เราไม่ได้นึกว่าโค้ชจะกดมั้ย เรานึกแต่ว่าจะทำยังไงให้มันหายตื่นเต้น ให้มันร้องเป็นตัวเราเองมากที่สุด คือตอนนั้นมันอึดอัด เพราะว่าเวลาผมร้อง เวทีบ้านผมจะเป็นพื้นไม้ พื้นอะไรอย่างนี้ บ้านผมมันจะไม่มีเวทีไฟ พอเราเจอก็ตกใจ เหมือนกับเราช็อกนิดนึงว่า ทำไม มันขนาดนี้เลยหรอ คือใจเราก็ไม่ได้หวังแล้ว
ส่วนโค้ชเป็นใครก็ได้ แต่ถามว่าตอนนั้นเราหวังมั้ย คือก็คิดว่าถ้ากด ก็คงกดคนเดียว เค้าคงจำใจกด (ยิ้ม) เหมือนกับถ้าเกิดเราไปตรงในโจทย์ที่เขายังไม่มี เดี๋ยวโค้ชคงน่าจะกด แล้วก็คือใครก็ได้ หรือไม่งั้นก็กลับบ้านเลย คิดแค่นั้น”

นอกจากความตื่นเต้น อึดอัด กังวลใจ นนท์ก็มีเรื่องขำๆ ของตัวเองตอนอยู่บนเวที ซึ่งเขาก็พูดไป ยิ้มไป

พอร้องไปประมาณท่อนฮุก เราก็หันไปดูบันไดขวามือ คือผมคิดในใจ นนท์ เดี๋ยวร้องเสร็จ อย่าลงบันไดผิดนะ ร้องเสร็จลงบันไดขวามือ แล้วเดินออกไป คือเราก็หวังแค่นี้ เพราะผมรู้สึกเลยว่า รอบนี้เราทำไม่ดีเลย มันอึดอัด คือมันตื่นเต้นจนไม่มีสติ เราไม่ค่อยมีสมาธิ เรากลัว เรากังวล พอมาร้องจริงๆ มันก็เกร็ง เพราะร้องเพลงมาก็ไม่เคยมีใครหันหลังให้เราใช่มั้ยครับ มันก็แปลกๆ แล้วก็มีเก้าอี้แดงๆ ใหญ่ๆ 4 ตัว เห็นตอนแรกก็ตกใจ
พอเพลงเริ่ม ผมก็ร้อง ปิดตาร้องกับตัวเอง คือทำให้มันหายไป แล้วก็ลืมตามา โอเค! ไม่มีคนกด ก็เออ เดี๋ยวร้องจบก็ลงเลย โอเคแล้วไม่ได้เครียดอะไร เราได้ออกรายการแล้ว ได้ออกทีวี 2 นาที มันก็สุดยอดแล้ว แต่ใจตอนนั้นก็อยากเข้าไปถึงอีกรอบ คือเราคิดว่า เรามาต้องให้คุ้มค่ารถ อยากมาทำให้เต็มที่ ให้คุ้มค่ารถที่มา (หัวเราะ) ก็กลายเป็นพี่ก้องกดให้นาทีสุดท้าย”

เล่นเอาใจหายใจคว่ำ กว่าโค้ชก้อง-สหรัถ จะยอมกดให้หนุ่มใต้คนนี้ได้ผ่านเข้ารอบต่อไป นนท์เลยอธิบายความรู้สึกที่บรรยายออกมาแล้วดูตลก เมื่อโค้ชก้องเลือกเขาเข้าไปอยู่ในทีม

“มันเหมือนกับมันสุก มันแตก แล้วมันก็เบา โล่ง ผมว่า ถ้าผมได้ร้องต่อ ผมก็คงร้องชุ่ยกว่าเดิม คือร้องแบบสบายเลย” (หัวเราะ)

พัฒนาการที่เห็นได้ชัด ค่อยๆ เติบโต นนท์ก็คิดไม่ต่างกับคนดู ซึ่งเขาก็เปรียบเทียบตัวเองกับวงกลมที่ค่อยๆ ขยายขึ้น โตขึ้น

“เหมือนกับตอนแรกที่เราโต เราเป็นวงกลม แล้วเป็นวงกลมที่มีอะไรดีๆ ออกมาจากวงกลมนี้แค่เส้นเดียว แต่พอมาอยู่นี่ เหมือนเรามีหลายเส้นๆ ออกมาจากวงกลม มันออกมาเยอะ จนเหมือนกับเราเริ่มกว้างขึ้น วงกลมมันเริ่มใหญ่ขึ้น เราเริ่มเปิดโลกทัศน์ เริ่มเห็นอะไรหลายๆ อย่าง เห็นมุมมอง เห็นประสบการณ์ เห็นการแก้ปัญหาหลายๆ อย่างการทำงานเป็นระบบ ระเบียบ”



• โชว์ ประทับใจคนดู

จะโชว์ครั้งไหนๆ ก็ครองใจคนดูได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะลูกทุ่ง หรือไทยสากล น้ำเสียงมีเสน่ห์ก็ทำเอาประทับใจทุกครั้งที่นนท์ได้ขึ้นโชว์ แล้วตัวเขาเองคิดว่าการโชว์ครั้งไหนที่เรียกว่าหินที่สุด

ยากที่สุดเพลงขอบใจจริงๆ (ธงไชย แมคอินไตย์) มานั่งทำการบ้านกับแม่เยอะสุดเลย ก็คือผมกลับบ้านจะไม่ค่อยทำการบ้าน คือจะฟังแต่ไม่ค่อยร้อง แต่กับเพลงนี้ เราต้องมาเปิดเนื้อ มาติ๊กทีละคำ น้ำหนักหนัก-เบา ด้วยความที่ผมไม่ชอบอะไรที่มันเศร้าๆ เพลงนี้มันเศร้า มันเป็นโหมดอารมณ์ แล้วแต่ละวีกที่พี่ก้องยื่นโจทย์มา ก็จะยื่นโจทย์แปลกๆ มา โจทย์ที่เราไม่เคยทำ โจทย์ที่เราเคยทำมาแล้วแต่มันยากกว่าที่เคยทำมา”

เห็นหน้าตานิ่งๆ เรียบร้อย แต่พอกระโจนขึ้นเวทีก็เปลี่ยนเป็นคนละคน โปรยเสน่ห์แพรวพราวใส่คนดู แบบไม่น่าเชื่อว่าจริงๆ แล้วก่อนขึ้นเวทีหนุ่มนนท์เค้าเครียดได้ขนาดนี้

เครียดครับ คือส่วนมากจะเครียดกับตัวเอง เพราะว่าผมทุกครั้งพอจะขึ้นร้อง ใจมันจะเต้นตุบ ตุบ ตุบ ผมจะชอบแกล้งพี่หลังเวที ให้เค้าจับหัวใจ มันเต้นเร็ว แล้วเค้าก็จะทำหน้าเหวอ แล้วผมก็จะหัวเราะหน้าพี่เค้าเหมือนกัน เราก็กังวลแต่ก็รีแลกซ์ไปด้วย พอพี่เขาตกใจถามเป็นอะไร ผมก็บอก ผมไม่รู้ครับ ผมตื่นเต้น แล้วก็หัวเราะ แล้วก็กลับมาตื่นเต้นอีก
แล้วผมก็จะชอบไหว้พระไงครับ หลังเวทีก็จะ ช่วยลูกด้วย ช่วยลูกด้วย ให้มันเบาลง ให้เรายึดติด ยึดเหนี่ยวหน่อยกับพระ เกาะพระไว้หน่อยนะ แล้วบางคนหลังเวทีจะคิดว่าผมเล่นของ ผมก็บอกป่าว ผมกระวนกระวาย ไม่รู้จะพึ่งใคร ก็เลยต้องพึ่งธรรม” (หัวเราะ)

เห็นเต็มที่ ไม่มีแรงตกทุกโชว์ เพลงเศร้าก็กินใจ เพลงสนุกก็อยากลุกเต้นตาม แสดงว่าเขาต้องวางคอนเซ็ปต์ในใจก่อนจะขึ้นโชว์ แต่จริงๆ นนท์บอกว่าเขาไม่ได้กำหนดคอนเซ็ปต์เลย แต่เป็นตัวเพลงแต่ละเพลงต่างหาก

“คอนเซ็ปต์มันจะอยู่ในแต่ละเพลงอยู่แล้ว ตามความหมายในแต่ละเพลง มันจะมีภาพอยู่ในเพลงอยู่แล้ว
เหมือนก๋วยเตี๋ยวอ่ะครับ รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเดิมๆ อยู่แล้ว แล้วแต่คน จะกินอย่างนี้ก็ได้ แต่เราชอบกินแบบนี้ เราก็ปรุง แล้วก็ให้คนดูกินเหมือนที่เราชอบกิน ลองให้เค้าดู ซึ่งเราก็รู้สึกดีที่เค้าชอบกิน (ยิ้ม)
แล้วผมก็สนุกในทุกๆ ครั้งที่เราได้ทำ เพราะว่าทุกครั้งที่เราทำในรายการ The Voice มันจะเป็นโจทย์ไม่ซ้ำกัน แต่ว่าถ้าเอาสนุกจริงๆ ก็จะเป็นเพลงสนุกๆ อย่างกระเป๋าแบนแฟนยิ้ม เพราะมันมีเครื่องเป่า ทำให้นึกถึงรำวงสมัยก่อน มันดูย้อนยุคดี สนุกดี”

หนึ่งเอกลักษณ์น่าจดจำไปถามใครก็คงบอกว่าเรื่องของ “หมวก” ที่เรียกได้ว่าเห็นทุกโชว์ ขนาดมีคนส่งคำถามเข้าไปในรายการให้หนุ่มนนท์ตอบ

“ใส่ก่อนมา The Voice สักพักนึง หมวกใบที่อยู่ในรอบ Blind Audition คือหมวกใบที่สองที่ผมเล่น เราใส่แล้วมั่นใจ รู้สึกว่าหัวไม่ลอย หัวมันไม่โหวงเหวง เหมือนมีอะไรจับไว้มันปลอดภัยดี อุ่นใจ ตอนนี้ก็มีประมาณ 14 ใบ



• งานเพลงชิ้นแรก

รายการนี้ถือเป็นก้าวบันไดขั้นใหญ่ของหนุ่มวัย 16 คนนี้ ซึ่งนอกจากการร้องเพลงของศิลปินดังต่างๆ แล้ว ในอาทิตย์สุดท้ายก็ยังต้องร้องเพลงที่แต่งขึ้นสำหรับผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนด้วย ซึ่งนนท์ก็ได้เพลงที่ชื่อว่า “ยังไม่เคย” เพลงสนุกๆ ที่มีใจความน่ารักๆ โดยนนท์เล่าว่าการทำเพลงชิ้นแรกของตัวเองนี้เขามีความสุข และรู้สึกสนุกมาก

“สนุกมากครับ สนุกในการทำ เพราะว่าเพลงนี้พี่ฟั่น(โกมล บุญเพียรผล) แต่งให้ตามบุคลิกของแต่ละคน โชคดีว่าพี่ฟั่นได้เห็นผมเวลาสนิทไง แกก็จะเห็นเวลาเราเล่น เวลาเราลามปามแก (หัวเราะ) ผมคือพอสนิทปั๊บก็จะเล่นจนบางทีมันเกิน
ตอนผมเจอพี่ฟั่น แกก็พยายามเข้าหา พยายามตีสนิท ตอนแรกๆ พี่เค้าไปดูที่ห้องซ้อม เราก็ไม่รู้เลยว่าพี่ฟั่นเป็นนักแต่งเพลง คือผมฟังเพลงปกติ แต่ไม่เคยมาเจาะคนนี้คือใคร คนนี้มีชื่อเสียงอะไรยังไง ผมก็นึกว่าเป็นญาติของพวกพี่ๆเค้า กลายเป็นพี่ฟั่นก็มาดูบุคลิกเราตอนนั้น เค้าก็แปลงตัวเนียนๆ เข้าไป พี่ก็บอก พี่รู้ว่านนท์ไม่รู้หรอก ว่าเข้าไปทำบ้าอะไรในนั้น แกก็เข้าไปเดิน เราก็สวัสดีครับก่อน แล้วเราก็ไปเล่นกับพี่คนอื่น แกก็เห็นว่าเราขี้เล่น ก็เลยแต่งเพลงนี้ ตอนอัดก็สนุก อัดไปด้วย เต้นไปด้วย (หัวเราะ)



• เด็กหนุ่มแสนขี้อาย

ตั้งแต่ที่นั่งคุยกันมา สัมผัสได้ว่านนท์ เป็นเด็กขี้อาย และกลัวที่จะต้องพูดกับคนแปลกหน้า ซึ่งนนท์ก็บอกว่าตอนเข้ามาเจอกับพี่ๆ ร่วมทีมตอนแรกๆ เขาก็เป็นอย่างนี้ กลัว ไม่กล้า แต่สักพักก็รู้ว่าทุกคนต่างพยายามเข้าหา ค่อยๆ ทำความรู้จัก จนจูนกันติด

“พี่ๆ น่ารักครับ อบอุ่นดี ตอนแรกๆ คือผมถ้าเจอคนแปลกหน้า แปลกตา เจอคนใหม่ๆ ผมก็จะเงียบ หลบอยู่ในมุมมืดเลย เราก็จะไม่กล้าคุย จะไปไหนกับแม่ 2 คน นั่งคุยแต่กับแม่ คือพี่ๆ ก็พยายามเข้าหา พยายามดูแล ไปบอกแม่นะ แม่ไม่ต้องเครียด เดี๋ยวผมดูแลให้
หลังจากนั้นก็เริ่มสนิทขึ้นมาเรื่อยๆ พี่ๆ ก็สอนการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ คือเราไม่ใช่คนกรุงเทพฯ เรามาจากภูเก็ต อย่างการเดินทางมันต้องออกก่อนเวลาเท่านี้ พรุ่งนี้รายการนั้นไปนี่ นนท์ก็ต้องออกเวลาประมาณนี้ ต้องไป BTS เพราะมันเร็วกว่า พี่ๆ เขาก็จะสอน แล้วก็จะมีเทคนิคการร้อง อย่างครั้งนึงได้ไปที่ร้านที่พี่สวยเล่นดนตรี เขาก็ให้ไปแจมด้วย เราก็จะได้เห็นว่าเวลาเราร้องตามร้านอาหาร ภาพบรรยากาศมันจะเป็นอย่างนี้ เป็นดนตรีประมาณนี้ เค้าก็จะสอนแบบทฤษฎีแล้วก็ให้เราปฏิบัติไปด้วย”

กับพี่ๆ เพื่อนร่วมทีม ตัวเขาเองยังกล้าๆ กลัวๆ แล้วพอได้ประจันหน้ากับโค้ชก้อง นนท์จะเป็นอย่างไร

“ตอนแรกคือเราก็ตกใจ เพราะบ้านผมค่อนข้างจะกลัวเวลาเจอดารา เจอคนมีชื่อเสียง เราก็จะไม่กล้าเข้าหา ขนาดพี่ๆ เค้าที่เป็นนักร้องทั่วไป เรายังกลัวเขาเลย ผมไม่รู้ว่ายังไงนะ แต่ในทีมพี่ก้อง ผมเพิ่งมาเริ่มคุยกับพี่ก้องหลังๆ เลย จริงๆ คือ ผมคุยกับพี่ก้องน้อยมาก เวลาพี่ก้องถาม มีอะไรมั้ย นนท์ ผมก็ตอบ "ได้แล้วครับ ได้แล้วครับ" แต่คือในหัวเราคิดไว้เยอะมากเลย พี่ก้องครับ อย่างนี้ดีมั้ย เรากะว่าจะถามพี่ก้อง แต่เราไม่ได้ถาม กลายเป็นที่พี่ก้องทำมาให้ มันดีหมดแล้ว”



• เด็กชายจากเมืองภูเก็ต

โตแบบทุลักทุเลมากเลย (หัวเราะ) เลี้ยงลูกด้วยลำแข้ง” นนท์ตอบแบบอารมณ์ดีหลังถามว่าชีวิตวัยเด็ก คุณพ่อ-คุณแม่เลี้ยงดูมาอย่างไร ก่อนเราจะหันไปถามคุณแม่ กันต์กมล จำเริญ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หนุ่มนนท์ว่าลูกชายคนเก่งของคุณแม่เป็นเด็กแบบไหนกัน

“ซนค่ะ ซนมาก อยู่ไม่นิ่ง เขาจะเป็นเด็กที่ดื้อ ดื้อมาก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราแข็งนะคะ เขาก็จะแข็ง แต่พอเราอ่อนเขาก็จะอ่อน ถ้าบอกดื้อเหลือเกิน พูดไม่ฟัง แม่จะออกหน้ายักษ์แล้วนะ อย่างนั้นไม่เลย แต่ถ้าบอกนนท์ไม่รักแม่เลย น้ำตาไหลพรากๆ เขาจะเป็นคนที่เหมือนไม่แคร์อะไร แต่จริงๆ แล้วละเอียดอ่อน (ยิ้ม)

หลังคุณแม่พูดจบ หนุ่มนนท์ก็แอบซึ้งเล็กน้อย เลยขอเบรกด้วยคำถามให้คุณแม่ตอบว่า ตอนนี้คุณแม่ห่วงเรื่องอะไรในตัวน้องมากที่สุด หลังได้ตำแหน่ง The Voice Thailand

“มันรู้สึกมันไว มันเร็วเกิน แล้ววัยเขามันพร้อมที่จะหลุดได้ตลอด เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ กลัวที่สุดคือลูกเหลิง คือลูกเหลิงแล้วใครก็พูดไม่ได้ แม้แต่พ่อกับแม่ ถ้าเขามองตรงนั้นว่าถูกแล้ว

ส่วนเรื่องเรียนตอนนี้นนท์ กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ม.4 โรงเรียนสตรีภูเก็ต ในสายอังกฤษ-ญี่ปุ่น

“ผมเรียนสายอังกฤษ-ญี่ปุ่นครับ ที่เลือกสายนี้คือเหมือนกับเพื่อนตอนอยู่ ม.3 คือโรงเรียนเก่ามีแค่ม.3 ม.4 เราจะเรียนอะไรดี ผมอยากเรียนอะไรก็ได้ที่เป็นภาษา คืออยากสื่อสารกับประเทศอื่นได้ นอกจากประเทศอังกฤษ กับไทย อยากได้อีกสักประเทศนึง เผื่อแบบประเทศนี้แตก อีกประเทศแตก เราก็จะมีสัก 3 ตัวเลือกให้เราไปอยู่ได้ แต่ก็กลายเป็นรู้จักแต่ไทยอ่ะครับ พอเรียนอังกฤษ เราก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่องงูๆ ปลาๆ บางทีเราเรียน พองานที่เราทำอาจจะใช้ไม่ได้จริงๆ อาจจะไม่ได้ทำอย่างที่เราเริ่มมา แล้วแต่ดวง แล้วแต่ปัจจัยหลายอย่างๆ”

อีกหนึ่งเรื่องที่เมาท์กันคือเรื่องของบุคลิกที่ขัดกับหน้าตาอันเรียบร้อยของนนท์ โดยมีหลายเสียงยืนยันว่าหนุ่มคนนี้รั่วไม่ใช่เล่น นนท์แอบทำหน้าขมวด ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนตอบแบบอึกอักว่า

“เอ่อ คือถ้าเอาจริงๆ ผมก็จะเล่นตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป ทะลึ่ง ทะเล้น บ้าๆ บอๆ ถ่ายรูป ผมก็จะไม่ค่อยถ่ายแบบยิ้มดูดี เพราะผมรู้สึกรำคาญมากเลยที่ต้องมาเก๊ก แล้วก็ต้องมาเช็กรูป หล่อมั้ย กับเราทำให้มันอัปลักษณ์ไปเลย คือเราไม่ต้องมาเช็กรูปแล้วว่าหล่อมั้ย มันอัปลักษณ์ไปแล้ว เราทำหน้าเราแล้ว แล้วเราก็รู้สึกสบายด้วย พอเวลาคนเห็นรูปเรา ถามว่า ทำไม นนท์ทำหน้าไม่ดีเลย แล้วก็หัวเราะ 555 ตรง 555 นั้นแสดงว่าเค้ามีความสุข เราก็มีความสุขที่เค้าเห็นรูปแล้วได้หัวเราะ”

นอกจากพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง อีกหนึ่งความสามารถพิเศษของนนท์ก็คือการเล่นกลองชุดที่ได้พี่ชายเป็นคนแนะนำให้

“มีพี่ชายเป็นคนแนะนำให้ไปเล่นกลอง เพราะพี่ชายเล่นกลอง ก็มีอยู่ช่วงนึงที่ว่าเสียงแตก แล้วเราไม่อยากร้องเพลง มันคอนโทรลเสียง ไม่ได้เลย หัวเราะ หะหะฮะ คือเหมือนเสียงหลุดน่ะครับ เราหงุดหงิด เราไม่เอาแล้วแม่ ไม่ร้อง ไม่เอาแล้ว ก็เลยไปตีกลอง ตั้งวงกับเพื่อน ก็ไปตีกลองชุดอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วเราก็ได้ไปตีกับคนคนนึงที่เค้าเก่งมากในจังหวัดภูเก็ต เค้าเล่นกีตาร์ 2 คอ เรารู้สึกว่า พี่เค้าเก่งมาก แล้ววันนั้นมือกลองเค้าไม่มา แล้วเราตีเพลงนี้ได้ ก็ไปตี พี่เค้าก็งงทำไมเราตีได้ ก็มาชม เราก็รู้สึกหรือไปเอาดีทางด้านกลองดี คือเราฮึกเหิมมากเลยตอนนั้น ตอนเช้ามา เราก็อัดกลองเลย แม่ก็บอก เกรงใจข้างบ้านบ้าง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นแล้วครับ แต่ก็ยังพอได้อยู่”



• เส้นทางสายดนตรี

ถ้าไม่ถามถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางสายดนตรี ของหนุ่มเสียงดีคนนี้คงเหมือนขาดอะไรไป ซึ่งคุณแม่ขอชิงตอบเองเลยว่า

ตั้งแต่เด็กเลยค่ะ ตั้งแต่เขาพูดเป็นประโยคไม่ได้ ซึ่งแม่จะเลี้ยงเค้าหน้าทีวี แล้วก็เปิดเพลงให้ฟังมั่ง ดูรายการมั่ง ดูทุกอย่างค่ะ เขาจะเป็นคนหัวไวเรื่องจังหวะ เขาจะพูดได้คำสั้นๆ ลงคำสุดท้าย แต่สามารถลงได้ตรงจังหวะ ประมาณนี้”

น้องนนท์หันมาเสริมต่อด้วยว่า การร้องเพลงทั้งที่ยังพูดไม่ได้เป็นอย่างไร

“สมมติประโยคท่อนนึงในเพลง เขาร้องว่า เจ้านกเอย ผมก็จะร้อง เออะ เออะ เอย เจ้าเคยอยู่บนกอไผ่ เอ้อ เอยยย ไผ่ คือจะลงคำสุดท้าย แต่เรายังอ่านหนังสือไม่ออก เราพูดยังไม่เป็นคำเลย คือเพลงมันฟังง่ายกว่าพูด”

ก่อนจะจบด้วยคุณแม่ที่พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “แล้วเค้าชอบนอนกระดิกมือ กระดิกเท้าเข้าจังหวะ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เอะใจอะไรนะคะ”

จากนั้นก็เลยถามว่าน้องนนท์เริ่มร้องเพลงแบบจริงจังเมื่อไหร่ ซึ่งถึงกับต้องอึ้งในคำตอบของคุณแม่ว่า ความจริงคุณครูเคยขอให้น้องนนท์ไปร้องเพลงตั้งแต่ยังเรียนอยู่อนุบาล เรียกว่าเกิดมาพร้อมพรสวรรค์จริงๆ

“ครูขอเค้าไปร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล แต่แม่บอกยัง ลูก เพราะรู้ว่าถ้าลูกไปตรงนั้นเราต้องติดตาม คือจริงๆ เขาไปกับคุณครูก็ได้ แต่ว่าลูกยังเล็ก แม่ก็ยังต้องทำงาน ยังไม่พร้อม จนขึ้นป. 1 มาขออีก เราก็บอกเดี๋ยวก่อน จนช่วงสอบปลายปีป. 1 ค่ะ มารู้อีกทีเค้าไปสมัครเองแล้ว แล้วคุณครูก็บอกว่าไปพาคุณพ่อมาสมัคร คือถ้าสมัครเองครูไม่รับ เค้าก็ไปบอกพ่อ เพราะเค้าชอบ”

เอาดีทางด้านลูกทุ่งมาตั้งแต่ป. 2 แต่รอบ Blind Audition กลับเลือกเพลงไทยสากลเสียอย่างนั้น เลยขอถามให้หายข้องใจว่าทำไมถึงเลือกเพลงนี้ (เพลงฟ้า วง Tattoo Color)

“ชอบเพลงนี้ครับ เป็นเพลงสตริงเพลงแรก คือตอนนั้นเราไปประกวดลูกทุ่ง แล้วก็มี รุ่นพี่ ไปประกวดสตริง มีพี่คนนึงเค้าร้องได้แบบสุดยอดมาก เค้าใส่อารมณ์ พอกลับบ้านมา อาบน้ำอยู่ก็ร้องเพลงนี้ขึ้นมา แล้วก็ร้องมาเรื่อยๆ เลย พอได้เข้าประกวดก็เลยเอาเพลงนี้มาใช้”

เห็นร้องสตริงก็ได้ ร้องลูกทุ่งก็ดีแล้วส่วนตัวนนท์เองชอบร้องเพลงแนวไหนมากกว่ากัน

“เราชอบทุกอย่างที่เป็นเพลงอยู่แล้ว คือเหมือนมันก็เพราะคนละแบบ เหมือนวาดการ์ตูน ลูกทุ่งก็จะเป็นลายกนก ลายไทย มีทรง มีเส้นของเขา ส่วนสตริง สากล ก็เป็นรูปที่เข้าใจง่าย

คำถามสุดท้ายจากทีม M-Lite ถ้านนท์ไม่ได้เป็นแชมป์ ไม่ได้เป็นผู้ชนะ ตอนนี้ชีวิตของตัวเขาจะเป็นอย่างไร? คำตอบสุดท้ายที่ได้จากนนท์ก็ยังคงง่ายๆ ซื่อๆ ตรงไปตรงมา ไม่ต่างจากคำถามแรกที่ได้ถามเลย

“ก็คงจะเป็นชีวิตที่ดีเหมือนเดิม เพียงแต่ครั้งนึงเราเคยผ่านจุดที่เรามีความสุขอย่างที่เราหวังเอาไว้มาแล้ว เราได้ทำมาแล้ว เรามีความสุข ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”




ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : ธนนท์ จำเริญ ชื่อเล่น : นนท์
วันเกิด : 4 มีนาคม 2539 อายุ : 16 ปี
การศึกษา : ระดับชั้น ม. 4 โรงเรียนสตรีภูเก็ต
นิสัยส่วนตัว : ขี้เล่น ไร้สาระ
ความสามารถพิเศษ : เล่นกลองชุด
กิจกรรมยามว่าง : เล่นเกม
แนวดนตรีที่ชอบ : ทุกแนว
นักร้องในดวงใจ : ปู พงษ์สิทธิ์ ชอบเพลงของเขาเพราะมีเหตุมีผล
ผลงาน/รางวัล : นักร้องยอดเยี่ยม Yamaha Band Battle 2012
คติประจำใจ : ทำดีได้ดี
ความใฝ่ฝันในชีวิต : อยากทำสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขที่ได้ทำ



ข่าวโดย Manager Lite
ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน

ขอบคุณภาพประกอบจาก เพจ TheVoice Thailand 




นนท์กับคุณแม่







วินาทีหลังประกาศผล
พ่อ-แม่ กำลังใจสำคัญ




ถ่ายรูปกับ เก่ง-ธชย


กำลังโหลดความคิดเห็น