“พริตตี้” อาชีพที่ผู้หญิงหลายๆ คนใฝ่ฝัน ถึงแม้จะเป็นอาชีพที่ฉาบฉวยและไร้ความมั่นคง แต่ความยั่วยวนใจจากเงินตอบแทนที่ได้รับถือว่าคุ้มเกินคุ้ม ทุกวันนี้จึงเห็นพริตตี้หน้าใหม่มือใหม่เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย แต่เส้นทางกว่าจะมาเป็นพริตตี้เงินล้านอย่างสามสาวตัวแม่ สต็อป-ศรัณย์รักษ์ ศิริรำไพวงษ์, แย้-นนทพร ธีระวัฒนสุข และ มาร์-ณัชชา แหมพิวัฒน์ จะสนุกสนาน ดราม่าขนาดไหน เรามาเปิดอกคุยกัน พร้อมเล่าเบื้องหลังสนุกๆ หลังสามสาวจับปากกาแฉวงการพริตตี้ในหนังสือ “ฉันคือพริตตี้มืออาชีพ”
หนังสือเล่มนี้มีดีตรงไหน ??
สต็อป : หนังสือเล่มนี้จะมีทุกอย่างเลยค่ะ ตั้งแต่พริตตี้ที่จะเข้าใหม่ ไปจนถึงพริตตี้ที่อยู่ในวงการอยู่แล้ว เพราะว่าสำหรับพริตตี้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มันก็จะเป็นแนวทางบอกอยู่แล้วว่าก่อนจะเข้ามาทำงาน คุณจะต้องทำตัวยังไง การแต่งหน้า ทำผมสวยๆ หรือว่าเวลาแคสงานต้องทำตัวยังไง ไปจนถึงคนที่อยู่ในวงการอยู่แล้วเนี่ย เราก็จะบอกให้ฟังว่า คุณควรจะประพฤติตัวแบบไหน หรือว่าการที่จะเป็นพริตตี้ที่ดีต้องทำตัวอย่างไร คือมันมีครบอยู่ในหนังสือหมดเลยค่ะ
แย้ : ต้องเรียกว่าเป็น How To เรื่องของชีวิตก่อน-หลัง ที่เป็นพริตตี้ค่ะสำหรับหนังสือเล่มนี้ ส่วนทำไมต้องเป็นสามคน เพราะว่าทุกอาชีพจะมีคนหลากหลายแบบ ดังนั้นการที่หนังสือเล่มหนึ่งมีคนเขียนถึงสามคนเนี่ย น่าจะทำให้ผู้อ่านได้รับแง่มุม ความคิดของพริตตี้ทั้งสามแบบ สามคาแรกเตอร์เลยจะได้รู้ว่ามันแตกต่างกันยังไง แล้วก็ผู้อ่านได้อรรถรสทำให้หนังสือน่าอ่านมากยิ่งขึ้น และคนที่อยากเอาไปใช้จริงก็สามารถที่จะเอาไปประยุกต์ให้เข้ากับคาแรกเตอร์ของตัวเอง
มาร์ : อยากให้อ่านในส่วนของปัญหาและอุปสรรคที่เราต้องเจอในการทำงานค่ะ ว่าเราต้องเจออะไรมาบ้าง มันค่อนข้างสนุกดีเป็นสีสันของหนังสือ อีกอันนึงที่อยากให้อ่านก็คือ “พริตตี้นี้สิแรง” เป็นเรื่องกอสซิปพริตตี้ว่าในวงการเนี่ยเป็นยังไง มีความอิจฉาริษยากันจริงหรือเปล่า เป็นเรื่องสนุกสนานปนดราม่านิดหน่อยค่ะ
จรดปากกา เล่าเรื่องด้วยตัวเอง
แย้ : จริงๆ แย้ไม่เคยคุยกับเพื่อนนะว่าต้นคิดคนเขียนหนังสือคือใคร แต่จริงๆ ก่อนหน้านี้ แย้ก็มีบริษัทพ็อกเกตบุ๊คติดต่อมาแล้วที่นึง เพียงแต่ว่าสรุปตอนจะทำรูปเล่มคือสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วนะแต่ก็มายกเลิกไป ต่อมาบริษัทโปรวิชั่นมาติดต่อแย้ไป ก็ตกลงซึ่งปรากฏว่าคราวนี้เขาบอกว่าไม่มีสัมภาษณ์นะให้เขียนเอง เราก็ห๊ะ !! แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาเขียน แต่แบบมันก็เป็นอะไรที่ดีนะ เพราว่าการที่เราได้เขียนเองมันจะเป็นอะไรที่ออกมาจากตัวเรา คือถ้าเกิดคนอ่านอ่านก็จะรู้ว่าอันนี้โกสต์ ไรท์เตอร์ แต่อันนี้ชั้นเขียนเอง
ตอนเขียนแย้จะพูดเหมือนตัวจริงเลยค่ะ คือถ้าใครรู้จักแย้ พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้จะรู้สึกได้เลยว่า นี่เธอเป็นตัวของตัวเองมากไปหรือเปล่า แย้เขียนตามจริง ตามที่คิด แต่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นกลางที่สุด
มาร์ : จริงๆ มาร์ไม่ได้เป็นคนชอบเขียนนะ แต่ว่าเขาต้องการให้หนังสือเล่มนี้มาจากตัวเราจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นเขียนขึ้นมาจากการอัดเทปของเรา
ตอนเขียนก็รู้สึกเครียดเหมือนกันนะว่า เอ๊ะ ถ้าเราเขียนอย่างนี้จะพาดพิงใครหรือเปล่าหรือทำให้วงการพริตตี้ดูแย่หรือเปล่า แต่ทางพี่ๆ ทีมงานเขาก็จะคอยเกลาให้อยู่แล้วไงคะ เพราะเราเองก็ไม่ได้มีความรู้ด้านการเขียนหนังสือขนาดนั้น มาร์ก็ต้องขอบคุณพี่ๆ ทีมงานทุกคนค่ะที่เขาต้องการให้หนังสือเล่มนี้ยกระดับพริตตี้ให้ดูดีขึ้นในสังคม เพราว่าคนเข้าใจผิดในอาชีพพริตตี้ค่อนข้างเยอะ
เส้นทางพริตตี้เงินล้าน
สต็อป : ทำงานมาเก้าปีแล้วค่ะ ทำมาตั้งแต่สมัยเรียนเลย งานแรกก็เป็นงานที่สนามกอล์ฟ จำได้ว่าได้ค่าจ้าง 1,500 บาทเราก็ดีใจมาก จากนั้นก็รับงานมาเรื่อยๆ จากพริตตี้ก็ขยับมาเป็น Mc ค่ะ
แย้ : แย้ทำงานมาสามปีค่ะ ตอนนั้นเรียนจบแล้ว มาเป็นพริตตี้หลังจากเข้าประกวดมิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์ส เคยผ่านการประกวดมาก่อนเลยได้ลิ้มรสชีวิตนางงามด้วยค่ะ
จากนั้นก็มีคนติดต่อมาเป็นเพื่อนแย้เอง เขาทำงานในบริษัทปูนแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นกำลังจะมีงานสถาปนิก เขาบอกว่ากำลังหาพริตตี้อยู่ให้ไปแคส เราก็ไปแคส แล้วก็ได้
ก่อนหน้านั้นไม่รู้จักเลยนะ อาชีพพริตตี้ เพิ่งจะมารู้จักก็งานนี้แหละที่ทำงานครั้งแรก รู้สึกดีมาก ได้ตังค์ง่าย งานแรกของแย้ก็ยืนสวยๆ แนะนำสินค้าห้าวัน พอวันสุดท้ายก็ได้มาพูดโฟน
ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ทำพริตตี้จริงจังนะ เพราว่าช่วงเดือนแรกๆ แย้จะติดถ่าย Portrait กับช่างภาพที่เขามารวมกันหลายๆ คนที่มาหารค่าตัวนางแบบกับค่าเช่าสถานที่ ส่วนทุกวันนี้แย้ก็จะถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาเยอะมาก
มาร์ :มาร์ก็ทำมา 3 ปีแล้ว เรียนจบได้เกือบปี ตอนแรกเรียนจบมาใหม่ๆ เราก็คิดว่างานประจำมันไม่ใช่ไลฟ์สไตล์แบบเรา ก็เลยพยายามหางานที่แบบว่าค่อนข้างเป็นฟรีแลนซ์ แต่รายได้ค่อนข้างดี ตอนแรกก็มองแอร์ โฮสเตสไว้ แต่ว่าคิดมาคิดไปมันเป็นงานบริการที่ต้องเป็นคนใจรัก แต่มาร์เองไม่ได้มีใจรักในงานบริการขนาดนั้นก็เลยยังไม่เหมาะอีก ตอนนั้นแย้ (ประกวดเวทีมิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์สด้วยกัน) ก็มาแนะนำให้รู้จักกับออร์แกไนซ์ ทางนั้นก็พาเราไปแคสติ้ง ตอนนั้นเป็นงานมอเตอร์เอ็กซ์โปของค่ายซูบารุก็ได้ไปยืนงานแรก ครั้งแรก จากนั้นงานเล็กๆ อย่างอีเวนต์ ถ่ายแบบ ถ่ายภาพนิ่ง โฆษณาก็ตามมา
เสน่ห์สาวพริตตี้มัดใจ
สต็อป : สำหรับต็อปคิดว่าน่าจะเป็นบุคลิกที่ร่าเริง แจ่มใส แล้วก็ยิ้มง่ายค่ะ
มาร์ : มาร์มองว่าน่าจะเป็นเรื่องของลุคค่ะ มาร์จะเป็นสาวเซกซี่ แต่ในที่นี้ไม่ใช่แบบเซกซี่เรี่ยราดนะคะ คือมาร์จะค่อนข้างมีลิมิตเกี่ยวกับงานที่รับ มันก็อาจจะทำให้ช่างภาพหรือสื่อเขารู้สึกว่าเราค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเลือกงาน แล้วก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับภาพลักษณ์ตัวเองมากกว่านางแบบเซกซี่คนอื่นๆ เลยอาจจะทำให้เราเป็นที่น่าสนใจ
อีกเรื่องคือการที่มาร์วางตัวดี มีสัมมาคารวะ เคารพผู้ใหญ่ ลูกค้าผู้ใหญ่เขาก็ให้โอกาสให้งานทำ ช่วงสามปีแรก สื่อก็เลยจะเห็นหน้ามาร์บ่อยหน่อย
แย้ : คงเป็นที่รอยยิ้ม ความสนุกสนาน ความเป็นตัวของตัวเอง ความบ้าบอคอแตกค่ะ
พริตตี้มองวงการพริตตี้
แย้ : แย้รู้สึกว่าทุกอาชีพที่มีทั้งไปทางขาว และไปทางดำ ไม่มีอาชีพไหนทั้งขาวล้วน ดำล้วน อาชีพพริตตี้ก็เหมือนกัน คนเราก็มีหลายแบบ อย่างข้าราชการมีทั้งคนดีและไม่ดี พริตตี้เองก็มีทั้งดีและไม่ดี
มาร์ : มาร์มองวงการพริตตี้ก็เหมือนกับวงการดารา วงการบันเทิงทั่วๆ ไปนะคะ ที่เราก็ต้องอยู่ในสายตาของสื่อ ของสังคม ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือแต่งตัวยังไง จะพูดอะไร มันมีผลกับอาชีพเราหมด แล้วก็การที่เขามองเราด้วยภาพลบอาจจะเป็นด้วยการที่การแต่งตัวของเรา เวลาทำงานจริงๆ มาร์ขอบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้ใส่อย่างนั้น เราก็ไม่ได้อยากจะใส่โชว์โป๊ แต่ต้องทำตามความต้องการของลูกค้า
คนก็เลยมักจะมองว่า เอ๊ะ เรียนจบกันหรือเปล่า มีสมองกันหรือเปล่า ซึ่งมาร์บอกเลยว่าพริตตี้ทุกคนก็เรียนจบกันนะคะ ปริญญาตรี บางคนก็ปริญญาโทแล้วแต่ฐานะทางบ้านของแต่ละคน บางคนต้องส่งเงินหาเลี้ยงให้ทางบ้าน ใช้ภาระหนี้สิน คือมันมีความน่าสงสารหลายอย่างที่เขายังไม่รู้ มันมีเรื่องเศร้า มีเรื่องอะไรหลายอย่างที่เขาไม่ได้มองมาถึงจุดนั้น เขาแค่มองว่าพริตตี้แต่งตัวโป๊ ถ่ายรูปยิ้มแย้ม มีชีวิตระริกระรี้ เหมือนไม่เห็นคุณค่าความเป็นผู้หญิงในตัวเองเลยซึ่งมันไม่ใช่ แล้วอีกอย่างมันเป็นอาชีพที่สุจริตนะ น่าจะชื่นชมมากกว่า
อาชีพที่ใครๆ ก็มองว่า “สบาย”
มาร์ : ถามว่าสบายมั้ย มาร์ว่าเข้ามาแรกๆ ก็ยังไม่สบายนะคะ เหมือนกับว่าเรายังไม่สามารถเลือกงานได้ขนาดนั้น เข้ามาแบบฉันไม่ทำหรอกได้เงินแค่นี้ เราไม่สามารถโวยวายอะไรได้ เพราะเรายังไม่มีโปรไฟล์ที่ดีพอหรือว่าดีกรีอะไรมากมาย แต่ว่าแรกๆ เราอาจต้องยืนเยอะหน่อยเหมือนพริตตี้ปกติแหละ อย่างมาร์เองไปถ่ายสินค้าครั้งแรกก็ยังไม่ได้ถึงห้าหมื่น มันเป็นเรื่องของประสบการณ์และเวลา ถ้าเกิดว่าเรามีชื่อเสียงมากขึ้นก็จะสบายขึ้น แต่ว่าตอนแรกๆ มาร์ว่ายังไม่มีใครสบายหรอก มันก็เหมือนกับเวลาเราทำงานที่ต้องไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
แย้ : แย้ว่าแล้วแต่งาน แล้วก็แล้วแต่เราจะเลือกด้วย บางคนถ้าไม่เลือกงานตากแดดก็รับ นู่นนี่ก็รับ ก็บ่นว่าไม่สบาย ในขณะที่ตัวแย้เองช่วงหลังๆ มาจะค่อนข้างเลือกงานที่สบายแค่สองชั่วโมง สามชั่วโมงพอ เราก็เลยรู้สึกว่าอาชีพนี้สบายนะ แต่บางคนที่ไม่ค่อยเลือกงาน อย่างเช่น ไปทำงานสนามแข่ง ยืนนานจนขาแข็ง ตากแดด อันนั้นคืองานไม่สบาย มันอยู่ที่ตัวเราเองว่าจะเลือกรับงานแบบไหน
สต็อป : สบายมั้ย ก็สบายแต่ไม่ขนาดนั้นค่ะ มันแค่ทำแล้วรายได้ดีกว่าการทำงานประจำหรือทำงานออฟฟิศก็แค่นั้นเอง แต่ถามจริงๆ ส่วนใหญ่ก็มีลำบาก ไม่ได้สบายเหมือนที่คนอื่นคิดค่ะ
วงการพริตตี้ให้อะไร ?
มาร์ : ให้เยอะมากค่ะ สำหรับมาร์ จากที่มาร์เป็นคนแบบไม่มีความอดทน ไม่เคยมานั่งเอาใจ บริการหรือคอยมานั่งยิ้มให้ใคร ไม่ค่อยแคร์ใครเท่าไหร่ แต่พอเรามาทำงานแบบนี้ เราค่อนข้างที่จะต้องใส่ใจคนอื่นเสมอ ต้องแคร์คนอื่นเสมอ ทั้งลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ว่าใครก็ตามที่เดินผ่านไปผ่านมาเราต้องรู้สึกว่าเขาคือคนสำคัญสำหรับเรา เราต้องคอยชูสินค้า ชูแบรนด์ คือทำงานอย่างไรให้มีคุณค่ามากที่สุด ให้เขาประทับใจกับแบรนด์ที่เรายืนอยู่ด้วย
นอกจากนั้นมาร์ยังได้ประสบการณ์ในการวางตัว ในการมีมนุษยสัมพันธ์กับทุกคน กับสื่อ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันกับเพื่อนร่วมงาน หรือการทำงานที่ต้องพบเจออุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอิจฉาริษยากันในเรื่องงานที่ต้องแคสกันเยอะๆ เราก็ฝ่าฟันมาได้ พอเราผ่านจุดนั้นมาแล้วเราก็โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
บางทีโดนผู้ใหญ่ติเตียนเรื่องงาน อย่างบางครั้งเราทำงานตรงนี้ไม่ดีนะ ควรปรับปรุงเรื่องนี้ หรือว่าเวลาเราพูดสคริปต์ เราควรพูดให้ดีกว่านี้ เราก็ต้องโดนเทรนหนัก บางทีก็ร้องไห้ คือหนักนะคะ ลุกค้าบางค่ายเนี่ยทำงานต้องเป๊ะ เขาต้องการให้งานออกมาดีที่สุด คือทักษะการพูดของเราค่อนข้างสำคัญมากคือไม่ใช่แค่ให้เราไปยืนสวยๆ อย่างเดียว
แย้ : สำหรับแย้ มันเป็นบันไดก้าวใหญ่ในชีวิต ทำให้แย้ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง สิ่งสำคัญคือการได้รู้จักการทำงานของคนหลายๆ องค์กร หลายๆ บริษัท สมมุติถ้าเราเป็นพนักงานออฟฟิศเราก็จะรู้แค่บริษัทเดียว เราจะรู้บริษัทอื่นก็ต่อเมื่อย้ายออกไป แต่ในขณะที่เป็นพริตตี้เราก็รู้ทุกบริษัท ทุกเอเจนซี่
สิ่งยั่วใจ ทำไมอยากเป็นพริตตี้
แย้ : อะไรที่ดึงดูดใจหรอ หนึ่ง-การได้แต่งตัวสวยๆ สอง-ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องซื้อของ ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น สาม-เป็นงานที่ไม่ใช่งานประจำเป็นงานที่ท้าทายชีวิตตลอดเวลา สี่-ไม่ต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้าน ห้า-มีโอกาสได้พบเจอคนดีๆ คนที่มีชนชั้นมีฐานะดีแตกต่างจากเรา เพราะมีเพื่อนหลายคนที่เป็นพริตตี้แล้วก็ไปเจอตามอีเวนต์ใหญ่ๆ เจอแฟนดีๆ จนได้แต่งงานไปแล้วก็มี
สต็อป : ก็คงอยากได้แต่งตัวสวยๆ อยากแต่งหน้า อีกอย่างคือรายได้ที่เยอะ ทำงานไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินเยอะมากกว่าคนที่ทำงานประจำเลยน่าจะทำให้หลายๆ คนอยากมาเป็นพริตตี้ค่ะ
มาร์ : มาร์ว่าผู้หญิงอยากสวย เห็นพริตตี้สวย ทำไมหน้าเป๊ะ ทำไมผิวขาว เขาทำกันยังไง เลยอยากจะเข้าวงการคิดว่าฉันอยู่ไปสักปีคงสวยเองแหละ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งคือรายได้ เขาก็คิดว่ามันเป็นงานที่สบาย รายได้งาม ผลตอบแทนดี
เรื่องแปลกที่ต้องเจอ
สต็อป : เรื่องแปลกๆ หรอ ก็ไม่ค่อยมีอะไรนะคะ จะมีที่ว่าเป็นเรื่องของคนโรคจิตมากกว่าค่ะ คือเคยมีคนโทรเข้ามาในมือถือต็อปเป็นโรคจิต ซึ่งน่าจะเกิดจากที่เราทำอาชีพแบบนี้ การให้เบอร์แลกเปลี่ยนเบอร์กันมันย่อมมีอยู่แล้วก็เลยโดนโรคจิตโทรมาหาค่ะ
มาร์ : มาร์ว่าเจอเรื่องแปลกเป็นเรื่องปกตินะคะ อย่างที่เจอคือตามงานก็จะมีกล้องซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครเป็นสื่อ ใครเป็นช่างภาพสมัครเล่น มาร์ก็ทำตามหน้าที่ของตัวเองไปค่ะ แต่มีครั้งหนึ่งที่มีคนยืนอยู่แบบไม่ไปไหนเลย ถ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ่ายขึ้น ถ่ายลง ซูมอยู่นั่นแหละ แล้วก็ตลกตรงที่สตาฟฟ์เข้ามาชาร์จเขาเข้าไปหลังบูธค่ะ ทุกคนก็แตกตื่น มันก็เป็นเรื่องตลกสำหรับมาร์นะ อะไรของเขาดูวุ่นวายไปหมด
แยกย้ายไปตามทาง
งานพริตตี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่จัดว่าไม่ค่อยมั่นคง มีคลื่นลูกใหม่ซัดเข้าแทนที่คลื่นลูกเก่าอยู่ตลอดเวลา สามสาวที่เคยครองบัลลังก์คงต้องแยกย้ายออกไปทำงานที่มีรายได้เข้ามาประจำและมั่นคงมากขึ้น แย้เองอยากไปเรียนต่อคว้าด็อกเตอร์มานอนกอด มาร์ก็หวังเป็นผู้ประกาศข่าว ส่วนสต็อปก็ปูทางด้วยธุรกิจโมเดลลิ่ง
แย้ : แย้เลิกทำพริตตี้มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วค่ะ เลิกทำเพราะก็ตั้งใจเรียนปริญญาโท แล้วก็ตอนนี้ก็มีสื่อเป็นของตัวเองคือพวกโซเชียล แคม, อินสตาแกรม ดังนั้นสื่อของแย้มันก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการโปรโมทอะไรต่างต่างนานาได้
มาร์ : ตั้งแต่ต้นปี มาร์ได้เซ็นสัญญากับทางโชว์รูมคาร์แมกซ์ พระรามเก้าค่ะ เป็นโชว์รูมรถนำเข้า จากตรงนี้ก็เลยทำให้มาร์ไม่สามารถไปรับงานของค่ายรถอื่นได้ ทั้งมอเตอร์โชว์ มอเตอร์เอ็กซ์โป หรืองานถ่ายแบบไม่ได้เลย โดนจำกัดงานก็เลยไม่ค่อยได้ออกสื่อในช่วงนี้แล้วค่ะ
แย้ : ตอนนี้แย้ก็กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ กะว่าอยากจะเรียนต่อไปถึงปริญญาเอกเลย เพราะว่าอยากจะลบคำสบประมาทของหลายๆ คน ที่ว่าพริตตี้ไม่มีสมอง ดีแต่โชว์นม
มาร์ : อีกอย่างคือตอนนี้มาร์ก็เก็บเงินอยู่เรื่อยๆ ตั้งใจว่าอยากจะเปิดอะไรของตัวเองสักอย่าง แต่ที่แพลนเอาไว้ที่อยากจะทำภายในปี สองปี ช้างหน้านี้คืออยากจะเป็นผู้ประกาศข่าวค่ะ อาจจะได้เจอมาร์สักช่องนั่นแหละค่ะ
สต็อป : ตอนนี้ก็ทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ ตอนนี้ก็เริ่มอยู่ ทำเป็นโมเดลลิ่ง อยากทำเหมือนกับนำประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เราทำในอาชีพนี้มาสอนน้องๆ รุ่นใหม่
ลบภาพเดิมๆ ทิ้งไปได้เลยที่ว่าพริตตี้สวย ใส ไร้ สมอง เพราะพริตตี้ตัวแม่ทั้งสามของวงการแต่ละนางทั้งสวย ทั้งแซ่บ ดีกรีเริ่ด โปรไฟล์หรูขนาดนี้ หากใครประทับใจและอยากรู้จักพวกเธอมากขึ้นหนังสือ “ฉันคือพริตตี้มืออาชีพ” รอให้คุณเปิดอ่านพิสูจน์ว่าผู้หญิงยุคนี้สวย เก่ง และมีกึ๋นขนาดไหน
ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน
ขอบคุณภาพประกอบจากสำนักพิมพ์ DPlus ในเครือบริษัทโปรวิชั่น
ขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม @stopnattha @yae_uunws @marssubaru
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : น.ส. ศรัณย์รักษ์ ศิริรำไพวงษ์ ชื่อเล่น : สต็อป
วันเกิด : 11 กรกฎาคม 2527 น้ำหนัก-ส่วนสูง : 167 ซม. / 48 กก.
การศึกษา : ปริญญาโท บริหารธุรกิจ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์, ปริญญาตรี มนุษยศาสตร์ ม.หอการค้าไทย
ผลงาน : Mc พริตตี้ พรีเซนเตอร์ งานสินค้าต่างๆ
Mc งานมอเตอร์ โชว์ และมอเตอร์ เอ็กซ์โป SsangYong Car 2007-2012
ถ่ายแบบนิตยสาร Boss, Mars, Bikini, Modern Mom, Vanilla, Cars
พิธีกรรายการ Club 18 ช่อง Golf Chanel True Vision 11
ละครซิทคอม “ยมโลกโซไซตี้” “สถานีบานฉ่ำ” ละคร “ปฐพี เล่ห์รัก” “พยัคฆ์ร้าย สมองกลวง” สาวฮอต ยอดนักสืบ” “โจรห้าร้อยกับสาวน้อยพันล้าน” “บันทึกกรรม ตอน บ้านล้อมรัก” ทางช่อง 3
และละครซิทคอม “จัดแจ่ม” ทางช่องทรูเฮฮา (23)
นางแบบโฆษณาธนาคารกรุงศรี, ธนาคารกรุงไทย, ประกันภัยไทยวิวัฒน์, คลอเร็ท, Dtac, เถ้าแก่น้อย, ฟิล์มกรองแสง Hyper Optic, Nuetrogina, Veggie ฯ
มิวสิควิดีโอ เพลงแกล้งโง่ วงคาราเมล
ชื่อ-นามสกุล : น.ส. นนทพร ธีระวัฒนสุข ชื่อเล่น : แย้
วันเกิด : 20 เมษายน 2530 น้ำหนัก-ส่วนสูง : 168 ซม. / 47 กก.
การศึกษา : กำลังศึกษาปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ (หลักสุตร MBA ) Stamford International University, ปริญญาตรี อักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร
ผลงาน : Mc พริตตี้ พรีเซนเตอร์ งานสินค้าต่างๆ
Mc พริตตี้งานมอเตอร์ โชว์ และมอเตอร์ เอ็กซ์โป
ละครซิทคอม “สถานีบานฉ่ำ” ทางช่อง 3
นางแบบและพรีเซนเตอร์ Smooth E, มหกรรมสินค้าราคาถูก กระทรวงการคลัง, TrueMove ฯ
นางแบบโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต ม.หอการค้าไทย ปี 2551
นางแบบนิตยสาร Cheeze, สุดสัปดาห์, Candy
มิวสิค วิดีโอ เพลงพระเอกตัวจริง และเพลงโดนทำร้ายหัวใจ วง Daddy Dog, เพลงไม่เกลียดแต่ไม่กลับ และเพลงเรื่องรัก วง Ztudiotomo, เพลงแก้เหงาให้ไหม เมย์ เดอะสตาร์ 4
ชื่อ-นามสกุล : น.ส. ณัชชา แหมพิวัฒน์ ชื่อเล่น : มาร์
วันเกิด : 5 ธันวาคม 2529 น้ำหนัก-ส่วนสูง : 171 ซม. / 49 กก.
การศึกษา : ปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
ผลงาน : MC พริตตี้ พรีเซนเตอร์ งานสินค้าต่างๆ
พริตตี้งานมอเตอร์ โชว์ และมอเตอร์ เอ็กซ์โป
ผู้เข้าประกวด 44 คนสุดท้าย มิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์ส ปี 2009
ผู้เข้าประกวด 18 คนสุดท้าย นางสาวไทย ปี 2553 และรางวัลตำแหน่งพิเศษ “นางงามผิวสวย”
นางแบบนิตยสาร Herworld, Mix, Potty