ทันทีที่เห็นกระแสคนไทยคลั่งผิวขาว ลามถึงจุดซ่อนเร้น! จากโฆษณาผลิตภัณฑ์ดูแลจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงยี่ห้อหนึ่งโดยใช้ความขาวเป็นจุดขาย สะท้อนให้เห็นว่าค่านิยมความขาวมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตอย่างยิ่ง เพราะความขาวแสดงถึงการมีโอกาสทางสังคม มีผลต่อหน้าที่การงาน และความสำเร็จในชีวิต ความนิยมเห่อขาวจึงเกิดขึ้น จนเกิดเป็นลัทธิคลั่งผิวขาวในสังคมไทย
ค่านิยมเห่อขาวของสาวไทย
“ผู้หญิงอย่าหยุดขาว” ประโยคล้อเลียนผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งยี่ห้อหนึ่งที่ใช้สโลแกนว่า “ผู้หญิงอย่าหยุดสวย” ถูกส่งต่อในโลกออนไลน์ ด้วยความเห่ออยากขาวเป็นกระแสฮิตติดลมบนที่ฉุดไม่ยั้งรั้งไม่อยู่เสียแล้ว
ผิวขาวใส กลายเป็นความปรารถนาของหลายคน และถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานภาพ โอกาส และความสำเร็จในชีวิต สังเกตได้จากอาชีพบางอาชีพ อย่างพริตตี้ นักประชาสัมพันธ์ พนักงานในสถานเสริมความงาม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความขาว” เป็น “จุดขาย” สำคัญที่ทำให้พวกเขาถูกคัดเลือกเข้าทำงาน ซึ่งมักจะมองที่หน้าตาเป็นอันดับแรกก่อนความสามารถ แบบโง่ไม่ว่า แต่ขอขาวไว้ก่อน ช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้แก่บริษัทหรือองค์กรได้
ด้วยค่านิยมที่เชื่อว่าคนขาวจึงจะสวย แม้กระทั่งบนเวทีประกวดนางงามก็ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงผิวสีเข้มขึ้นประชันความงามสักครั้ง หรือแม้เวทีประกวดร้องเพลงชื่อดัง ซึ่งเคยมีนักร้องสาวผิวเข้มคว้าแชมป์ แต่ก่อนออกอัลบั้มก็พาเธอไปชุบผิวจนขาวขึ้นกว่าเดิมเป็นกอง
“ลัทธิผิวขาว” จึงเป็นค่านิยมความขาวของคนกลุ่มหนึ่งที่อยากมีโอกาสทางสังคมและความก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งกล่าวได้ว่าการคลั่งความขาวมีอิทธิพลต่อคนในสังคมมานาน จนถึงตอนนี้กระแสคลั่งไคล้อยากมีผิวขาวใสของผู้หญิงไทยได้ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดลามไปถึงจุดซ่อนเร้น จากโฆษณาของผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่ง โอ้สรรพคุณว่าช่วยให้พื้นที่ซ่อนเร้นของผู้หญิงขาวขึ้นได้ภายใน 4 สัปดาห์ สาวไทยก็ยิ่งเห่ออยากขาวไปทุกสัดส่วน เพียงแค่ชูจุดขาย “ไวเทนนิ่ง” เท่านั้น
นพ.ทวี ตั้งเสรี รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เคยกล่าวไว้ว่า “ควรเน้นในเรื่องของการเป็นคนดีในสังคมมากกว่าเรื่องสีผิว เพราะสมัยนี้คนที่ตัวเล็กๆ ผิวดำ หรือคล้ำก็สามารถโด่งดัง มีที่ยืนในสังคมได้ เพราะเขามีจุดขายคือความสามารถ จึงอยากให้ใส่ในเรื่องของความดีและความสามารถซึ่งคงทนและยั่งยืน มากกว่าเรื่องสีผิวที่เป็นกระแสนิยมเพียงบางช่วงในสังคมเท่านั้น”
“ขาวกระจ่างใส” จุดขายของคนคลั่งขาว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนไทยถูกครอบงำ และเสพติดความขาว หากยังจำกันได้ ผู้หญิงไทยมีทัศนคติเรื่องของ “จั๊กกะแร้ขาว” มาแต่ไหนแต่ไร “ผู้หญิงสวยต้องมีรักแร้ขาว เรียบเนียน ก็จะดึงดูดใจหนุ่มๆ ให้เหลียวมอง”
หากว่ากันตามจริงสังคมไทยมองความสวยของผู้หญิงจากความขาวมานานแล้ว หากย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน เกิดเรื่องทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ เมื่อมีคนเห็นโฆษณาเครื่องดื่มชนิดหนึ่งบนรถไฟฟ้า ที่ติดสติกเกอร์ตัวใหญ่คำว่า “สำรองที่นั่งสำหรับ...คนขาว” ไว้เด่นเป็นสง่าเตะทุกสายตา จนเป็นที่วิจารณ์หนาหูว่าคนไทยจะบ้าเห่อผิวขาวไม่ถึงไหน?
จากเดิมที่เป้าหมายอยู่ที่ลูกค้าผู้หญิงเป็นหลัก แต่เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ถึงยุคผู้ชายอยากขาวบ้าง สินค้ากลุ่มไวเทนนิ่งสำหรับผู้ชายเริ่มมีคนสนใจมากขึ้น จนเกิดยุคโฟมล้างหน้าและครีมทาผิวสำหรับผู้ชายจำนวนมาก โดยใช้จุดขายที่ว่า “ไวเทนนิ่ง ฟอร์ เมน”
เมื่อเอาความขาวกระจ่างใส เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ สินค้ากลุ่มนี้จะใช้ดาราดัง เป็นที่รู้จัก และที่สำคัญมีผิวขาวเนียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมาเป็นพรีเซนเตอร์ อย่าง ชมพู่ อารยา, อั้ม พัชราภา, แอฟ ทักษอร, ขวัญ อุษามณี พรีเซนเตอร์ชายก็มี เคน ธีรเดช, โดม ปกรณ์ ลัม ส่วนนักแสดงที่มีสีผิวเข้ม อย่างเบนซ์ พรชิตา, ป๋อ ณัฐวุฒิ ก็ต้องรับงานอื่น ที่ดูสมบุกสมบันเหมาะสมกับภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็น และหลายต่อหลายครั้งยังโดนค่อนแคะถึงเรื่องสีผิวออกสื่ออยู่บ่อยๆ
สถานเสริมความงามบางแห่งยังนำนักร้องเกาหลีมาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาด้วยเหมือนกัน ปลุกกระแสหน้าใสสไตล์เกาหลี! ทั้งที่ผิวเดิมของคนไทยเอง ก็ไม่ได้ขาวอยู่แล้ว กลายเป็นการสร้างค่านิยมผิวขาว และถ้าอยากสวยอยากหล่อเหมือนดาราที่มาเป็นพรีเซนเตอร์ ก็ต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวเหล่านี้
วิวัฒนาการคลั่งความขาว เริ่มต้นจากการทาครีม ขัดผิว ต่อมาเปลี่ยนเป็นกินกลูตาไธโอนเพื่อให้ขาวเร็วขึ้น ภายในเวลาไม่นาน จนถึงปัจจุบันเมื่อความต้องการขาวมาไม่ทันใจ จึงเสี่ยงฉีดกลูตาไธโอนเสียเลย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ออกมาเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ปลอดภัย และเคยมีข่าวถึงขั้นเสียชีวิตมาแล้ว แต่ก็ยังหยุดยั้งกระแสคนไทยคลั่งขาวไม่ได้
หากลองค้นหาแหล่งจำหน่ายกลูตาไธโอนในอินเทอร์เน็ต จะพบว่ามีคนโพสต์ประกาศขายตามเว็บไซต์ต่างๆ จำนวนมาก ส่วนใหญ่โฆษณาเน้นสรรพคุณเพื่อผิวขาวอย่างเกินจริง ไม่ว่าจะเป็น ยากิน ยาฉีด โบทอกซ์กลูตาฯ ครบสูตรแถมราคาก็สุดคุ้ม เม็ดละไม่กี่สิบบาท หรือถ้าต้องการยาฉีดกลูตาไธโอนเร่งผิวขาว ก็มีราคาแค่หลักพันเท่านั้น ซึ่งถูกเกินจริงมาก และมีความเสี่ยงเป็นของปลอมสูง
“กลูตาไธโอน” อยากขาวต้องยอมเสี่ยง!
ด้วยเทคโนโลยีการคิดค้นสมัยใหม่ทำให้ตอบสนองความขาวของคนได้ “กลูตาไธโอน” จึงถูกพูดถึงในกลุ่มคนคลั่งไคล้ผิวขาว ด้วยสรรพคุณที่สามารถยับยั้งเม็ดสีเมลานิน และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น หลายคนจึงนำสารตัวนี้มาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนสีผิวให้ขาวได้ดั่งใจในชั่วพริบตา จนกลายเป็นเสพติดความขาว และใช้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งโรคภัยถามหา แต่กว่าหลายรายจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ไขเสียแล้ว
“ตัวเมลานินมีประโยชน์ ทำให้ผิวเราไม่เป็นอันตรายจากแสงแดด ถ้าทำให้ขาว ด้วยกลูตาไธโอน ต้องใช้ในปริมาณที่สูง และฉีดเรื่อยๆ ซึ่งเมลานิน มีในม่านตาดำด้วย ถ้าฉีดกลูตาไธโอนต่อเนื่องนานๆ ตาจะสู้แสงไม่ได้ หนักสุดถึงขั้นตาบอด และอาจเกิดโรคร้ายตามมา อย่างมะเร็งผิวหนัง” ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงอันตรายจากการฉีดกลูตาไธโอน
ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ กล่าวถึงสารที่มีอันตรายต่อผิวหนังต่อว่า สารที่เป็นปัญหามานานตัวแรกคือ “ปรอท” ซึ่งขายตามร้านเครื่องสำอางทั่วไป อาจมาในรูปของสมุนไพร ไพรสด รกแกะ ที่ทำให้เราคิดเป็นสมุนไพร บางครั้งคิดไม่ถึง จึงเป็นเครื่องสำอางอันตรายที่ทาง อย. ออกมาเตือน เพราะปรอท ตอนใช้ใหม่จะดีมาก หน้าเด้ง หน้าใส บางคนใช้จนติดเป็นเดือนเป็นปี นานๆ ไปก็เริ่มเห็นผล เกิดอาการแพ้ง่าย ตุ่มคันขึ้น ใบหน้าเริ่มหมองคล้ำ หรือเกิดด่างขาวทั่วใบหน้า
“ส่วน “ไฮโดรควินิน” ซึ่งถูกนำมาพูดถึงอยู่บ่อยๆ เช่นกัน หากมีส่วนผสมสูงและใช้เป็นเวลานาน จะเกิดฝ้าถาวรได้ เป็นลักษณะปื้นดำๆ รวมถึง “กรดวิตามินเอ” ถือเป็นจำพวกยา ใช้รักษาสิว ฝ้า ริ้วรอย ต่อมไขมันโต ซึ่งใช้โดยแพทย์เท่านั้น เนื่องจากกรดวิตามินเอมีความระคายเคืองค่อนข้างสูง มีผลต่อไต จึงไม่ควรใช้กับหญิงมีครรภ์”
“หากแบ่งตามกลุ่มประเภทของยา จะมีทั้ง ยาทา ยากิน และที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ “ยาฉีด” ไม่ว่าจะเป็นการฉีดกลูตาไธโอน วิตามินซี สเต็มเซลล์ รกแกะ โดยส่วนใหญ่ไม่มีการขึ้นทะเบียน อย. ยกเว้นวิตามินซี เมื่อมีการใช้ยาเหล่านี้จึงถือว่าผิดกฎหมาย และเป็นอันตรายมาก เมื่อไม่มีการขึ้นทะเบียน เราจึงไม่รู้คุณภาพของสารที่มาฉีด
อย่างกรณีสาวพริตตี้ “กระแต” ที่ต้องเสียชีวิตเพราะแพ้สารคอลลาเจน ซึ่งเป็นข่าวดังครึกโครมในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับกลูตาไธโอน หากฉีดเข้าเส้นแล้วเกิดอาการแพ้ จะทำให้ช็อก เพราะความดันตก ฉะนั้น หากไม่ได้เป็นแพทย์ฉีด ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสม และเครื่องมือพร้อม ถือว่าเข้าข่ายความผิดฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ และกระทำในสถานที่ที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน”
ทั้งนี้ อย.ยังฝากเตือนการฉีดกลูตาไธโอน ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก ไม่ว่าจะใช้ตามคลินิก โรงพยาบาลใหญ่ หรือสถานเสริมความงามใดก็ตาม ถือว่าผิดกฎหมายทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ผศ.พญ.สุวิรากร กล่าวเสริมถึงผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอีกว่า “จุดซ่อนเร้นเป็นส่วนที่ค่อนข้างอ่อนโยน เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า PH ที่ด่างมาก จะทำให้สมดุลในบริเวณช่องคลอดเปลี่ยนไป จนเกิดการระคายเคือง ตกขาว และเป็นเชื้อรา เนื่องจากบริเวณจุดซ่อนเร้นอ่อนโยนจึงดูดซึมสารไวเทนนิ่งได้ง่าย และอาจเกิดอาการแพ้ตามมา”
แม้ว่าทุกวันนี้ค่านิยมผิวขาวจะสุดขั้ว และไม่รู้ว่าวันไหนคนไทยจะเห่อขาวลามไปอวัยวะส่วนอื่นอีกหรือไม่ แทนที่จะมานั่งเสียเวลาขบคิดกับเรื่องสีผิว ควรหันมาเปลี่ยนทัศนคติมองคนที่จิตใจจะดีกว่า เพราะความดีย่อมมั่นคงและยั่งยืนกว่าสีผิวภายนอกเป็นแน่แท้
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE