จากคำร่ำลืออันเป็นที่รู้กันในหมู่นักเที่ยวถึงชุมทางสายโลกีย์ที่วางตัวอยู่ติดกับชุมทางรถไฟหัวลำโพง ที่มีเสียงร่ำลือไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าแม่ค้าหาบส้มตำหน้าตาจิ้มลิ้มจนน่าสงสัย บ้างก็ว่าพวกเธอขายส้มตำครกละ 500 บาท ซึ่งว่ากันว่ามีพร้อมบริการพิเศษแฝงปน บริการถึงใจในโรงแรมจิ้งหรีดละแวกใกล้
ในช่วงคืนวันสีขมที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทีมข่าว live ลงพื้นที่สำรวจตามเสียงร่ำลือมากมายเหล่านั้น...
โลกอีกด้านเบื้องหลังอาทิตย์ลับแสง ความเป็นไปของวิถีชีวิตพวกเธอเป็นอย่างไร? ลึกลงไปแล้วมีรายละเอียดอะไรแฝงซ้อนอยู่บ้าง? เราจะตามไปดูเท่าที่ดูได้ และต่อไปนี้ หากผู้ใดจะปิดใจ ดูถูกเหยียดหยามชะตาชีวิตที่ไม่มีใครอยากจะเลือกเดินของพวกเธอ ซึ่งต้องแลกและลืมเลือนศักดิ์ศรีความเป็นคนชั่วข้ามคืนกับเงินเพื่อประทังชีวิต ทั้งที่ชีวิตก็ไม่ถึงกับมีความสุขมากมายนัก ก็ขอให้เปิดใจรับรู้ความเป็นไปบางส่วนของพวกเธอก่อน
สาวส้มตำ - พริตตี้ยาดอง
หัวลำโพงคือชื่อเล่นคุ้นปากของสถานีรถไฟกรุงเทพฯ ชุมทางสัญจรด่านสำคัญของประเทศ แม้รถไฟไทยจะได้ชื่อว่า ห่วยแตก แต่ผู้คนมากมายยังคงต้องใช้รถไฟเป็นด่านข้ามผ่านของชีวิต สำหรับใครหลายคนมันเป็นฉากกั้นกลางระหว่างชนบทกับเมืองอย่างแท้จริง
ผู้คนมากมายต่างขับเคลื่อนเวียนผ่านฉากเก่าโบราณร่วมสมัยของหัวลำโพง ซึ่งความเก่าคร่ำที่แฝงปนมากับความล้าสมัยสะท้อนจากผู้คนชั้นล่างซึ่งต้องใช้บริการอย่างจำทน เมื่อเป็นแบบนี้จึงไม่แปลกที่ย่านชุมทางแห่งนี้จะเป็นย่านธุรกิจชุกชุมที่มีบริการให้กับประชาชนชั้นสามของประเทศมากเป็นพิเศษ รวมถึงธุรกิจของบรรดาแม่ค้าส้มตำหน้าตาจิ้มลิ้มด้วย
เวลา 18.13 น. อาจเป็นเวลาสำหรับมื้ออาหารเย็นของใครหลายคน แต่กับแม่ค้าส้มตำย่านหัวลำโพง มันคือนัดหมายกับตัวเองที่จะหอบหาบส้มตำคู่ใจออกทำมาหากิน แม้ช่วงนี้ฟ้าฝนจะกลั่นแกล้ง ทั้งโปรยหยอก ทั้งฟ้ารั่วมาในช่วงหัวเย็น ขณะที่ฝนลงเม็ดเรายังพบเห็นแม่ค้าแบกหาบเดินออกมาจากในซอยเปล่าเปลี่ยวข้างสถานีรถไฟหัวลำโพง
“หนาวเนื้อห่มเนื้อ” คือท่าทีหนึ่งที่ชายหนึ่งคนเดินไปพูดคุยกับแม่ค้าส้มตำที่วางหาบหลบมุมอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง เขาต่อรองเป็นเวลา 20 นาทีเต็มก่อนผละเดินจากมา
จากการสังเกตในช่วงแรก อาจเพราะฟ้าไม่เป็นใจนักที่พรำฝนมาให้ถนนหมาดเปียก แม่ค้าจึงยังไม่ออกนั่งร้านริมถนน ทว่า ความเหงาก็ไม่ปรานีต่อชายบางคนที่พาตัวเองเข้าไปนั่งยองๆ ลงคุยกับแม่ค้า 2 - 3 คนที่ออกมาทำงานก่อนคนอื่น แต่คงยังไม่มีการค้าบริการ ครกแรกยังไม่มีการตำ อย่างน้อยก็ในการรับรู้ของเรา
เวลา 19.50 น. แม่ค้าหลายคนจับสามล้อมาลงที่สถานีรถไฟฟ้าหัวลำโพง ยิ้มทักทายอย่างรู้จักมักคุ้น พวกเธอแต่งตัวด้วยชุดสวยผิดมาดแม่ค้าส้มตำทั่วไป ไม่ต้องเอ่ยถึงผ้ากันเปื้อน พวกเธอบางคนถึงขั้นแบกหาบทรงตัวบนส้นสูง 3 นิ้ว วิ่งข้ามถนนกว้างอย่างน่าใจหาย โดยมากเสื้อยืดสีสันสดใสจะเป็นที่นิยม กางเกงยีนส์เข้าทรงตามสมัยนิยมก็ถูกเลือกมาใส่เข้าคู่ แต่ที่แปลกตาคือลิปสติกและการแต่งหน้าขาวค่อนข้างหนัก ที่แปลกกลิ่นคือน้ำหอมโชยฉุนได้กลิ่นรุนแรงแม้แค่เดินผ่าน
ในหาบของพวกเธอจากคำบอกเล่านั้นจะมีเพียงแตกกวาปลอมๆ วางไว้พอหลอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้ว่าพวกเขาจะรับรู้พฤติกรรมน่าสงสัยของพวกเธอ แต่หลักฐานคือสิ่งที่ใช้ในการจับกุมไม่ใช่จินตนาการ ซึ่งในหาบที่เราเห็นมีมะม่วงดิบอยู่หลายลูก ยังมีมะละกอเหมือนสำหรับทำส้มตำจริงๆ โดยบางหาบจะมีครกอยู่ด้วย แต่ที่เห็นชัดคือมีขวดแบนเหล้ายี่ห่อหนึ่งอยู่หลายขวด ซึ่งมีน้ำสีแดงเข้มบรรจุไว้ และพวกเธอจะคอยนั่งเช็ดขวดพลางถ่ายน้ำจากขวดพลาสติกอยู่บ่อยครั้ง พวกเธอส่วนมากอายุราว 25 - 45 ปี
เวลา 20.24น. สาววัยรุ่นคนหนึ่งที่ดูอายุน้อยกว่าแม่ค้าส้มตำคนอื่นปรากฏตัว เธอไม่ได้หาบอะไรมา มีเพียงถุงย่ามขนาดย่อม ชายที่นั่งใกล้วินสามล้อเข้าจับแขนแต๊ะอั๋งเธออย่างกันเอง เธอยิ้มพร้อมสะบัดแขนออกมา
“คิดค่าจับครั้งละ 100 เลย” แม่ค้าหาบใกล้ๆ ตะโกนแซว
สาววัยรุ่นเดินจากไป เธอกัดผมทอง มัดผมไว้สองข้าง สวมเสื้อยืดรัดรูปกับกางเกงยีนส์ขาสั้นเผยเนื้อสาว เป็นผิวสีคล้ำแต่อวบอัด จากนั้นเธอหยิบเสื่อจากในถุงย่ามกางแล้วนั่งลง แต่งหน้าพลางพูดคุยกับสามล้อแถวนั้น ระหว่างนั้นเวลาผ่านเลยเธอหยิบขวดแบนเหล้าขึ้นมาเติมถ่ายน้ำสีแดงจากในขวดพลาสติกไว้หลายขวด
ตอนนั้นเองที่วัยรุ่นชายผิวคล้ำสองคนเดินผ่าน และเธอร้องทักทายอย่างเป็นกันเอง คนหนึ่งจึงนั่งลงแล้วเริ่มพูดคุยกับเธอ ขวดแบนเหล้าถูกเปิด เพื่อนคนหนึ่งปลีกตัวหายไป เธอรินน้ำสีแดงเข้มใส่ 2 แก้วเป็ก สำหรับเขา และเธอ ดื่มเป็นเพื่อนกัน
การต่อรองผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั่งรับลูกค้าเธอมักนั่งพับเพียบ แอ่นหลังตรง ยิ้มโปรยหวานให้ชายหนุ่ม เพื่อนอีกคนกลับมาพร้อมขนมจากร้านสะดวกซื้อ ทั้งสามนั่งคุยกันอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็จ่ายเงินและลุกขึ้นเดินจากไป เธอยิ้มพร้อมโบกมือที่ถือแบงก์ร้อยเอาไว้ ตบตีไปตามเนื้อตัว เสื่อ และถุงย่ามของเธอ ขอโชคลาภประเด็มวันใหม่
เวลา 22.25 น. เรานั่งลงเปิดบทสนทนากับแม่ค้าคนหนึ่ง เธอแทนตัวเองจากเค้าหน้าวัย 40 ตอนปลายว่า “พี่น้อย” หนึ่งแบนถูกเปิด ส่งกลิ่นยารุนแรง และเราถามเธอว่ามันคืออะไร
“มันเป็นเหล้าอ่อนๆ สำหรับผู้หญิง” เธอยิ้มตอบ “เพิ่งมาครั้งแรกเหรอ?”
เราตอบรับ เธอรินอย่างเป็นปกติ หนึ่งแป็กของเรา และของเธอ มือเทถั่วทอดลงจานฉกเกลือลงเติมอย่างหยาบๆ แล้วเธอรินน้ำเปล่าให้กินคู่กันไป เป็นน้ำเย็นที่มีคนมาเดินส่งให้
“กินอะไรมั้ย?” เธอขายของ ส้มตำเป็นคำร่ำลือยาวนาน ทว่า เมนูที่ได้กลับเป็นยำมะม่วง ปอกอย่างชำนาญแต่ยำอย่างพอกิน ออกเปรี้ยวแต่ก็หนักเค็มคาวของน้ำปลา
จากการพูดคุยผ่าน 3 แบนเหล้า พี่น้อยบอกว่า แม่ค้าแถวนี้มาจากภาคอีสาน ตัวเธอเองก็เป็นคนจากจังหวัดร้อยเอ็ด มาขายส้มตำที่นี่นานถึง 17 ปีแล้ว มีลูกสาวสองคน คนหนึ่งจบจากคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ขณะที่อีกคนยังศึกษาอยู่ใกล้จะจบปีนี้
“รายได้ไม่ค่อยดีนักหรอก อย่างที่เห็น บางวันก็ไม่มีคนมานั่งด้วยเลย เอาชนแก้ว...” เธอเร่งดื่มช่วยเพื่อให้หมดเร็ว ทว่า เหล้าผู้หญิงในนิยามของเธอก็ออกจะดีกรีแรงไปหน่อย เราจึงนิ่งวางท่าทีกับเป็กต่อไป ในที่สุดเธอก็เผยถึงส่วนผสม มันเป็นยาดองสูตรเฉพาะของย่านนี้ ไม่ยากไม่ง่าย เหล้าขาวคละเคล้าน้ำเปล่าพอลดดีกรี แล้วปลุกใจปลุกกายด้วยยาดองห่อตราเสือ 11 ตัว ผสมเขย่าในขวดพลาสติกก่อนเทบรรจุขวดแบนเหล้า
“ส่วนมากที่มาเที่ยวก็เป็นคนอีสาน มีมาประจำบ้าง จะมาเยอะหน่อยก็ช่วงสิ้นเดือน เงินออก แต่ช่วงนี้ก็เงียบเหงา ช่วงวันหยุดสงกรานต์ ปีใหม่ไม่ต้องกลับบ้านหรอก ขายส้มตำนี่แหละ ช่วงนั้นลูกค้าเยอะเลย เพราะเป็นช่วงเทศกาล” ว่าแล้วเธอก็ร้องเพลง ปริญญาใจ ของ ศิริพร อำไพพงษ์ ขับกล่อมค่ำคืนเลือนลางที่เข็มนาฬิกาเกือบถึงวันใหม่เต็มทน แม่ค้าที่นี่ก็เป็นคนอีสาน วัยรุ่นจะหิ้วแค่ย่ามที่ใส่ยาดองกับถั่วทอดมาขายเท่านั้น
ไถ่ถามเธอถึงเรื่องงานขายบริการ เธอยิ้มแล้วตอบอย่างทีเล่นทีจริง “อยากเที่ยวเหรอ? พี่ก็ไปได้นะ ไปร้องคาราโอเกะ กินเหล้ากินเบียร์ ก็เลี้ยงเหล้า ถูกอกถูกใจก็ค่อยว่ากัน” เธอเอ่ย “อยากเที่ยวแบบไหนล่ะ? เพื่อนเที่ยว หรือผู้หญิงอย่างว่า พี่ก็แนะนำให้ได้ แต่ขออีกแบนหนึ่งก่อน” เธอถาม เราไม่ดื่มแล้ว แต่พี่น้อยยิ้มออดอ่อน “ไม่ดื่มพี่ดื่มเอง เลี้ยงพี่นะ พี่ดื่มได้เป็น 10 แบนเลยแหละ”
เราตัดสินใจ มีดหั่นฝานหัวผักกาดวางบนจาน โรยวางด้วยแหนมหั่นบิพอให้เรียกว่า ยำแหนม และอาหารจานนี้เป็นเพียงค่าผ่านทางให้เธอแนะนำ “น้องกุ๊ก” ให้เรารู้จัก
“ฝากสอนน้องเขาด้วยนะ” พี่น้อยทิ้งท้ายอย่างมีนัยก่อนยกหาบย้ายที่
โฉมงามเปิดแบนละ 100
น้องกุ๊ก หรือที่พี่น้อยแนะนำให้เรารู้จักในชื่อกุ๊กกี้เป็นหญิงสาวอายุ 23 เป็นหลานของเธอจากจังหวัดร้อยเอ็ด เข้ามาทำงานขายส้มตำตั้งแต่อายุ 17 เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเรียน เธอข้ามถนนมาพร้อมหาบของเธอ ปูกางเสื่อของตัวเอง เราย้ายที่ไปนั่งดื่มกับเธอ ยากที่จะไม่ประเด็มแบนแรกกับเธอในราคา 100 บาท
“หนูไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น แถวสะพานนั้นแหละที่เขาหาลูกค้ากัน” เธอว่าพลางชี้ไปยังสะพานทางเดินต่อไปยังถนนยาวทอดสู่วงเวียนใหญ่
จากท่าทีแล้วเธอพูดไม่เก่งเท่าพี่น้อย แต่ผิวเนียนขาว พร้อมหน้าตาไม่ต้องแต่งเสริมดูเป็นธรรมชาติก็ชวนให้อยากนั่งใกล้ ขายส้มตำมาตั้งแต่อายุ 17 เราถามเธอตรงๆ ไม่มีใครมาสนใจเลี้ยงดูบ้างหรือ?
“มาแล้วก็ไป ไม่มีใครมาจริงจังกับเรา มันไม่มีจริงๆนะ” เธอเอ่ยพร้อมยิ้มเหนื่อยใจ เราสังเกตว่าเธอยังเป็นสาวรุ่น เหตุใดจึงต้องหาบของมาขาย ในเมื่อวัยรุ่นหลายคนสะพายถุงมาอย่างเดียว ปูนั่งเสื่อขายยาดอง “เราก็มีหาบอยู่แล้ว ไม่ชอบขายแบบนั้น”
มีเด็กสาวหลายคนนั่งนอนเล่นอยู่บนเสื่อข้างหาบร้านส้มตำ หากมองให้เลวร้าย หรือว่าเด็กแค่นั้นจะขายบริการ แม่ของพวกเด็กเหล่านั้นอาจฝากหาบไว้กับลูกสาวเพื่อไปปฏิบัติงาน เธอเฉลยความว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ขายบริการ ไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่คนทั่วไปคิดว่ามี
“ถ้าจะมีอะไรกัน มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแม่ค้าพอใจหรือเปล่านะ?” เธอตอบ เป็นการตอบเหมือนให้ความหวัง มะม่วงถูกปอกมาอีกจาน เธอไม่ค่อยกินมะม่วง แต่จะใช้นิ้วจิ้มเกลือพริกที่โรยอยู่แปะปากเท่านั้น และเธอคงคออ่อน จิบพอเป็นพิธีเท่านั้น เธอออกตัวว่า ดื่มได้อย่างมากก็ 5 แบน
ในช่วงวัย 23 ปี อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปสู่งานอื่นที่ดีกว่าได้ แต่เธอคิดว่าตัวเอง จบเพียงมัธยม 3 เท่านั้น เรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ไม่ได้มีความฝัน ไม่ได้มีงานที่อยากทำ เหมือนเธอจะใช้ชีวิตขายส้มตำที่นี่ไปวันต่อวันเท่านั้น มีเงินก็ส่งกลับบ้าน
“ช่วงเช้าจะนอน แล้วตื่นมาช่วงบ่ายๆ ออกมาทำงานตอนเย็นๆ จนถึงเช้าก็กลับ จริงๆ ก็อยากทำงานในสำนักงาน พวกงานออฟฟิศ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เราเองก็เรียนไม่เก่งอยู่แล้วด้วย จะเรียนต่อก็ไม่ได้” ว่าไปแล้วเหมือนชีวิตของเธอจะแขวนอยู่บนความหวังต่อชายแปลกหน้าที่ผันผ่านไปมาในชีวิต ลูกค้าประจำคนหนึ่งของเธอคือชายวัยปลาย 40 นั่งหมดสภาพอยู่บนเสื่ออีกผืนข้างเธอ และเขายังลีลาไม่จ่ายเงิน
ช่วงค่ำคืน พร้อมความมึนเมา ง่ายดายที่เธอจะหยิบเงินจากชายขี้เมา แต่เธอไม่ทำ
“ทำไม่ได้ มันไม่ถูก ทำแบบนั้นเราก็เป็นขโมยสิ ถ้าจะจ่ายลูกค้าต้องหยิบเงินมาจ่ายเอง” เธอบอก แล้วชายขี้เมาขอตัวไปแตกแบงก์มาจ่ายให้
วิถีชีวิตในเชิงธุรกิจของพวกเธอ นอกจากรายได้จากคำออดอ้อน ยาดอง ส้มตำ ยำต่างๆ ร้านค้าโดยรอบก็แบ่งเปอร์เซ็นต์จากพวกเธอ รถเข็นขายผลไม้ น้ำดื่มร้านชำใกล้เคียง หรือแม้แต่ห้องน้ำบริการของร้านค้าที่คิดค่าเข้าครั้งละ 5 บาท ตำรวจจะสืบจับพวกเธอก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะใช่ว่าแม่ค้าทุกคนจะจบลงกับลูกค้าด้วยเรื่องอย่างว่าเสมอไป
“ไม่ต้องจ่ายเงินให้ใครนะ?” เธอเอ่ย เมื่อเราถามถึงผู้มีอิทธิพล “แต่สักช่วงตีหนึ่ง ตำรวจจะมาตรวจบ้าง เราก็ยกหาบหนี ถ้าหนีไม่ทันก็โดนจับ เสียค่าปรับแค่ 100 บาท”
เวลา 00.43 น. เข้าช่วงวันใหม่ไม่นาน เธอเอ่ยปากชวนไปเที่ยวต่อ เราตกลงทันที เธอจึงเก็บเสื่อ เก็บของ ยกหาบข้ามฝั่งมาวางฝากไว้ที่ร้านค้าที่ให้บริการห้องน้ำ จากนั้นชวนเราขึ้นสามล้อ ตรงไปยังร้านคาราโอเกะ มาถึงช่วงนี้เธอบอกว่าสามารถจูงมือจับไม้ได้ เมื่อสัมผัสมือเธอ เราพบว่า เป็นมือที่ด้านจากการทำงาน
เรามาถึงร้านคาราโอเกะแบบอีสานแห่งหนึ่ง ติดกระดาษดำมืดทั่วร้าน ภายในสลัวรางทึมเทา มีไฟประดับเป็นสีสันฉูดฉาด เธอสั่งเบียร์ 1 ขวด ในร้านมีชายคนหนึ่งจองเครื่องคาราโอเกะอยู่ก่อนแล้ว เสียงเพลงหมอลำดังมาไม่ขาดสาย
“เราไม่ได้ขายบริการนะ” เธอยืนยันอีกครั้งเมื่อเราถามไถ่ถึงอัตรา เพื่อความแน่ใจ ทว่า เธอก็โปรยท้ายให้ชวนคิด “แต่ถ้าเมามันก็ไม่แน่หรอก”
สีหน้าเธอดูไม่ดีนัก ทั้งดื่มยาดอง และเบียร์ ยังมียำมะม่วง ล้วนแล้วแต่เป็นของเสียดท้อง เธอเผยว่า มีบางครั้งที่ดื่มมากจนไม่ไหวเหมือนกัน แต่ถ้าเมาเธอจะรู้ตัวเองและหยุดไว้ ทว่า ก็มีบางวันที่หนักหนาข้ามคืนชนิดที่อีกวันออกไปทำงานไม่ได้ก็คงต้องพักวันหนึ่ง โดยเธอเผยว่า ห้องพักของเธอเช่าอยู่กับอีกหลายคนย่านใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ได้มาคาราโอเกะ มีความสุขมั้ย?” เราถาม หลังจากที่ท่าทีของเธอค่อนข้างเบื่อเหมือนว่าการมาที่นี่เป็นขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น และเธอไม่คิดจะแตะต้องไมค์ร้องเพลง
“ก็ชอบดูมากกว่านะ แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยชอบมาหรอก ชอบไปพวกสวนอาหารมากกว่า แต่ก็จะไปกับเพื่อนๆ นะ ที่นั่งกินข้าวกันพูดคุยกัน นั่งเพลินๆ ชิลๆ”
หลังหมดบทสนทนา และเธอดูท่าทางเวียนหัว เบียร์ไม่พร่องไปกว่าครึ่งขวบ เธอนำเราออกมาหลังร้าน หยิบเอาขวดแบนเหล้าที่วางกองอยู่อย่างเป็นที่ทาง ใส่ถุงพลาสติกหิ้วติดมา บางขวดไม่มีฝา
“ใช้ฝากระทิงแดงก็ได้ คนดื่มไม่สนใจหรอก” เธอว่าพร้อมเดินนำเรากลับไปที่หัวลำโพง ยกหาบขึ้นมานั่งขายที่เดิม เธอหวังว่าอาจมีลูกค้าอีกสักคนก่อนยามเช้ามาถึง รถตำรวจจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ไม่มีวี่แววของการลุกหนี
“ดูหาบให้ด้วยนะ” เธอพูดขึ้น เวลา 02.43 น. เวลาเคลื่อนผ่าน วันใหม่ใกล้มาถึง เธอล้มตัวลงนอนบนเสื่อริมถนน ไม่มีลูกค้ามาเพิ่ม มีแต่แมลงวันตอมไต่ กับเด็กหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาปลุกเธอ
“กุ๊กกลับได้แล้ว คนอื่นเขากลับกันแล้ว” เด็กหญิงว่าแล้วก็สับเอารองเท้ามีส้นของเธอไปใส่เล่น วิ่งข้ามถนน กุ๊กบอกเราว่า เด็กสาวคนนั้นอายุเพียง 14 เท่านั้น และที่บ้านไม่มีเงินส่งเรียนต่ออีก เปิดเทอมนี้เด็กหญิงจึงมาอยู่ที่นี่ มาช่วยขายของ “จริงๆ ช่วงปิดเทอมจะมีเด็กๆ วัยรุ่นเยอะกว่านี้อีก เพราะอาศัยช่วงปิดเทอมมาหาเงิน ตอนนั้นก็อาจจะมีบางคนที่ขายบริการ”
เวลา 03.49 น. เด็กหญิงเดินกลับมา ปลุกเธอให้กลับบ้าน เธอบอกลาเรา ยกหาบกลับขึ้นสามล้อแล้วจากไป ก่อนแสงอาทิตย์ทันทอแสงฉาบรับวันใหม่ แม่ค้าส้มตำหายไปหมดแล้ว เหมือนพวกเธอกลัวยามเช้า วงรอบชีวิตเดินวน กลับไปนอนพักในช่วงเช้า บางคนต้องพักจากอาการมึนเมา แล้วลุกขึ้นแบกหาบออกทำงานเมื่อย่ำเย็น ย่ำเย็นที่เสมือนยามเช้าของพวกเธอ
......
ความรัก ความสัมพันธ์และการมีเซ็กส์ของมนุษย์ หลายครั้งก็ตั้งอยู่บนเงื่อนไขของความพึงพอใจ การต่อรอง ผลประโยชน์และเงินเป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงในการมีชีวิตอยู่ หากเพียงแค่สถานที่พบปะที่บทบาทการวางตัวพวกเธอเป็นแม่ค้าส้มตำ แม่ค้าขายยาดอง พร้อมโปรยเสน่ห์มัดใจ คงทำให้หลายคนรู้สึกแปลกที่ผิดทางไปบ้าง