xs
xsm
sm
md
lg

“โบว์ลิ่ง” นางสาวไทย หัวใจคิดบวก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ว่ากันว่านางสาวไทยปีนี้ สวยทั้งรูปร่างหน้าตาและความคิด แม้พิธีกรเครดิตดียังต้องชิดซ้ายให้เธอ โบว์ลิ่ง - ปริศนา กัมพูสิริ สาวที่มีพรสวรรค์ด้านการพูด ด้วยบุคลิกที่ฉลาด วาจาฉะฉาน รวดเร็ว ถ่ายทอดความคิดคมเฉียบ รู้ทันทีว่าเธอมีของดีอยู่ในตัวมากกว่าความสวย ทั้งเพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถที่น่าจับตามอง

ก่อนหน้านี้ในแวดวงผู้ประกาศข่าวและพิธีกรต่างก็คุ้นหน้าเธอเป็นอย่างดี เพราะโบว์ลิ่งเคยเป็นพิธีกรรายการช่องฟรีทีวีมาแล้ว เธอจึงคุ้นชินกับการทำหน้าที่สาวหน้ากล้อง และไม่ว่าจะเป็นเวทีใดก็ไม่ได้ทำให้เธอประหม่าหรือมีท่าทีข่วนเขิน ซึ่งวันนี้ M-Lite ได้นัดพบเธอเพื่อทำความรู้จักแบบเจาะลึก ที่ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผินอย่างที่หลายคนเคยรู้

ประกวดเวทีนางงามครั้งแรก
นี่เป็นครั้งแรกที่โบว์ลิ่งตัดสินใจเข้าประกวดเวทีนางงาม แล้วเธอก็สามารถคว้าชัยชนะได้มงกุฎนางสาวไทยคนที่ 47 ไปครองได้สำเร็จ ท่ามกลางเหล่าพวกพ้องน้องพี่ที่คอยส่งแรงใจเชียร์เธอตั้งแต่แรกเข้าประกวด

คนที่พลักดันให้เธอสมัครเข้าประกวด คือรุ่นน้องที่คณะ ตอนเรียนระดับปริญญาตรี ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง ที่คอยเชียร์ให้โบว์ลิ่งเข้าประกวดมาแล้วหลายครั้งหลายหน แต่ไม่สำเร็จ จนมาถึงเวทีนางสาวไทย ช่อง 9 ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้ารอบ 18 คนสุดท้ายสู่เส้นทางงานพิธีกร ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอสนใจ

“จริงๆ น้องเขาดันโบว์ลิ่งมาตั้งนานแล้ว พี่โบว์ลิ่งประกวดซิ ลุคได้เลยเนี่ย เราก็เฮ้ย! อย่าเลย เราสวยสู้เขาไม่ได้หรอก เราคิดอย่างนั้นมาตลอด และปีนี้เราก็อายุ 25 แล้ว ปีสุดท้าย น้องก็บอกว่าพี่โบว์ลิ่ง พี่ไปเลยนะปีนี้ ช่อง 9 เข้าเปิดโอกาส (เอาความเป็นพิธีกรมาล่อ) ถ้าปีนี้พี่ไม่สมัคร มันจะหมดอายุแล้วนะ จะเกินเกณฑ์ จะไม่เชียร์พี่อีกแล้ว เราก็อายุ 25 แล้วจริงๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตก็เลยลองดูก็ได้ และจริงๆ ทางอสมท.ก็เป็นองค์กรที่มองเอาไว้ว่ามีพิธีกรเก่งๆ ก็เยอะ ถ้ามีเส้นทางไหนเปิดโบว์ลิ่งก็อยากจะลอง”

“ก่อนเข้ามาประกวด เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้กับเวทีนางสาวไทย คือการเข้า 18 คนโบว์ลิ่งก็พอใจแล้ว แต่พอมาเก็บตัว จริงๆ การเก็บตัวมันทำให้โบว์ลิ่งรู้สึกว่านางสาวไทยมันเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและมีศักดิ์ศรีมากๆ ประทับใจมาก อย่างตอนที่ไปต่างจังหวัด สงขลาหรือน่าน ถ้าโบว์ลิ่งไปเองก็คือโบว์ลิ่ง ไปเที่ยวแล้วยังไง แต่พอเราไปในฐานะคณะนางสาวไทย รู้สึกว่าเราไปสร้างประโยชน์ให้เขาค่ะ ทุกคนมาต้อนรับเราเยอะมาก เขาไม่ได้รู้สึกว่าเรามาเที่ยว แต่เรามาเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้เขา นางสาวไทยจึงเป็นตำแหน่งที่มีคุณค่า”

“โบว์ลิ่งคิดว่าเราโชคดีกว่าน้องๆ ถ้าถามว่าเวทีนางสาวไทยปีนี้ คนสวยเยอะไหม โบว์ลิ่งคิดว่าสวยเยอะมาก แต่บนเวทีเราควบคุมสติได้ดีสุด อาจเพราะประสบการณ์ที่เคยยืนอยู่หน้ากล้องมาก่อน ถามว่าทุกรอบตอนตอบคำถามโบว์ลิ่งหัวใจเต้นแรงไหม หัวใจเต้นแรงมาก ไม่ตื่นเต้นแบบนี้มานานมากแล้ว ทั้งๆ ที่เราเคยถ่ายรายการแล้วคุมได้ เราก็ตื่นเต้นมาก แต่โบว์ลิ่งมีวิธีการจัดการกับความตื่นเต้นของตัวเอง คือควบคุมได้ ก็เลยทำให้มีสติกว่าคนอื่น

เคยมีครูเขาสอนโบว์ลิ่งมาหลายท่าน ถามเขาว่าตื่นเต้นต้องทำยังไง ครูบอกว่าจริงๆ คนเราเวลาตื่นเต้นจะหายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว พูดเร็ว เวลาพูดก็จะรน ทีนี้เรารู้ตัวว่าเราตื่นเต้น ให้พยายามหายใจช้าๆ ควบคุมจังหวะการพูดให้มันช้าลง ตั้งสติให้ดีๆ ก็จะนิ่งขึ้น โบว์ลิ่งคิดว่าในเวทีเราไม่ได้สวยสุด ไม่ได้ฉลาดสุด แต่การควบคุมสติอาจจะดีที่สุด จากประสบการณ์จึงทำให้การตอบคำถามถูกใจกรรมการกว่าคนอื่นนิดนึง”

นอกจากนี้เธอยังซิวรางวัล Miss Think Positive by BSC Cosmetology ทั้งยังคว้ารางวัลมิตรภาพที่มาจากการลงคะแนนของผู้เข้าประกวดทั้ง 18 คน อีกด้วย

มีความสุขที่ได้อยู่หน้ากล้อง
หากยังจำกันได้เธอเคยเป็นพิธีกรรายการทางช่อง 5 และ ช่อง 11 โดยปัจจุบัน ยังเป็นพิธีกรอยู่ที่กรังด์ปรีซ์ ชาแนล ของพีเอสไอ ทีวี ช่อง 111 แอคส์ ชาแนล และทรูวิชั่นส์ ช่อง 67 อาจด้วยทักษะความสามารถด้านงานพิธีกรนี่เอง ที่เธอนำมาใช้สื่อสารกับคนดูและคณะกรรมการในระหว่างการประกวด และมัดใจผู้ชมได้จนอยู่หมัด โดยเฉพาะช่วงตอบคำถามที่ส่อแววฉลาด พูดคล่อง และชัดเจน จึงทำให้มีคะแนนนำผู้เข้าประกวดแบบขาดลอย

อย่างคำถามหนึ่งที่คณะกรรมการถามว่าคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่เยาวชนติดยาเสพติด พ่อ แม่ ครู หรือใครจะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาติดยาเสพติดได้อย่างไร เธอตอบได้อย่างฉะฉานว่า “การติดยาเป็นเพราะว่าสังคมในปัจจุบันมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น เพราะเยาวชนอยู่กับตัวเอง พ่อแม่ไม่มีเวลาจึงทำให้เด็กหันไปหาโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเพื่อนในสังคมนั้นตัวเด็กเองก็ไม่รู้จักเป็นอย่างดี สิ่งสำคัญคือสถาบันครอบครัวที่ต้องดูแล พ่อแม่เองต้องใส่ใจบุตรหลาน ครูต้องช่วยเอาใจใส่ ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพราะปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับประเทศ” ต่างเรียกเสียงปรบมือจากกองเชียร์ให้ดังเกรียวกราวไปทั่วเวที

“ส่วนใหญ่โบว์ลิ่งจะประกวดเกี่ยวกับการพูด คือโบว์ลิ่งอยากเป็นพิธีกรตั้งแต่เรียนอยู่ปี 2 แล้ว ตอนสมัยเรียนจึงไปตามเวทีประกวดที่เขาเปิดเกี่ยวกับการพูด เช่น ค้นหาผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่ช่อง 7 สี ตอนนั้นเข้ารอบสุดท้าย แต่ไม่ได้ มันก็ทำให้รู้ว่าข้อเสียเราคืออะไร ไม่ทำการบ้านเกี่ยวกับช่อง 7 เลย อะไรอย่างเนี่ยค่ะ แล้วพอโบว์ลิ่งไปประกวด “เคกรุ๊ป อี-เกิร์ลส์” ตอนนี้ทำการบ้านไปก็เข้ารอบ เอาข้อบกพร่องของการประกวดช่อง 7 มาแก้ไข แล้วเราก็ได้จริงๆ จากนั้นเราไป “ไนน์ เอ็นเตอร์เทน เฟรชชี่” ค้นหาพิธีกรหน้าใหม่ อันนี้อาจจะไม่ตรงเพราะเขาหาเฟรชชี่ แต่เราอายุ 25 แล้ว เรารู้ตัว (หัวเราะ)

การพูด การเป็นพิธีกรเป็นสิ่งที่เธอรัก ฉะนั้นทุกครั้งที่ใครได้คุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะรู้ว่าเธอมีความสุข สนุก ยิ้มและหัวเราะทุกครั้งเมื่อพูดถึง และเธอก็ดึงเอาจุดเด่นตรงนี้มาใช้ในการประกวดความสามารถด้วยเหมือนกัน

“โบว์ลิ่งมีความสุขทุกครั้งที่ยืนอยู่หน้ากล้อง มีความสุขทุกครั้งที่ได้ถ่ายรายการ แล้วได้สัมภาษณ์ พี่คุยกับหนู ก็จะเห็นว่าหนูมีความสุข หนูเป็นคนพูดไปยิ้มไป โบว์ลิ่งทำงานพิธีกรมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังสนุกทุกครั้งที่ทำ อนาคตก็อยากทำอยู่”

“นอกจากโบว์ลิ่งจะสนใจด้านงานพิธีกรแล้ว ยังทำละครเวทีด้วย โบว์ลิ่งคิดว่าการเรียนละครเวทีมันทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น เพราะละครเวทีมันมีความสด เราจะไม่ตกใจถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เมื่อมีอะไรแปลกๆ ขึ้นมาเราต้องคุมให้ได้ ไม่สามารถบอกว่า ขอโทษค่ะ เอาใหม่ จึงช่วยทำให้เราแก้สถานการณ์ได้ดีมากๆ และไม่ตกใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ ซึ่งโบว์ลิ่งชอบทำละครเพลง พอมาประกวดนางสาวไทย แสดงความสามารถพิเศษ ก็เอาการเล่านิทานและมีเพลงประกอบด้วย เพราะเป็นทางที่เราถนัดอยู่แล้ว”

เวทีนี้เติมฝันวัยเด็กให้แม่
คุณแม่เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่คอยแนะนำส่งเสริมโบวลิ่งระหว่างการประกวด เธอเล่าให้ฟังว่าเวทีนี้เป็นเหมือนความฝันของแม่ เพราะตอนเด็กๆ แม่ก็อยากเป็นนางสาวไทย แม่เฝ้าชื่นชมนางงามจักรวาล อย่างอาภัสรา และเมื่อมีโอกาสได้ทำตามความฝันที่แม่หวังไว้ จึงรู้สึกดีใจมากๆ เปรียบเป็นของขวัญให้แม่ของเธอ

“จริงๆ แม่ไม่เคยบอกว่าฝันอยากเป็นนางสาวไทย ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันเลย เราใช้ชีวิตยังไงเขาก็ปล่อยให้เราดูแลตัวเอง ใช้ชีวิตของเราไป พอเข้ารอบ 18 คนสุดท้าย ไม่ได้เจอครอบครัวมา 2 อาทิตย์ ก็โทร.ไปหาแม่ บอกว่าพรุ่งนี้จะขึ้นเวทีแล้วนะ แม่บอกว่าตื่นเต้นมาก สมัยแม่เด็กๆ ดูอาภัสรา หงสกุล เป็นนางงามจักรวาลคนแรกของโลก และเป็นความฝันของเด็กผู้หญิงทั่วโลก ไหว้พระก็ขอให้เป็นนางงามจักรวาลเหมือนเขา ซึ่งมันก็เป็นความฝันเล่นๆ สมัยเด็กที่แม่ก็ลืมไปแล้ว พอเราได้ เขาก็รู้สึกว่าความฝันนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”

โบว์ลิ่งเป็นลูกสาวคนโตของนายพงษ์ศักดิ์ กัมพูสิริ ตุลาการศาลปกครอง กับนางอ้อมกร ไวยโภคี ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยมีน้องสาว 1 คน และน้องชาย 1 คน

“ถ้าถามว่าสนิทกับใครในบ้าน ก็คงต้องเป็นน้องสาวค่ะ เพราะเราอายุใกล้กัน น้องอ่อนกว่าโบว์ลิ่ง 2 ปี อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก อยู่เหมือนเพื่อนกัน แทบไม่เคยทะเลาะกันเลยค่ะ เหมือนเพื่อนสนิทกัน แปลกไหมค่ะเขาบอกว่าพี่น้องกันจะชอบทะเลาะกัน แต่บ้านโบว์ลิ่ง พี่น้องสองคนแรกจะไม่ทะเลาะกัน แต่จะรวมหัวแกล้งน้องชาย (หัวเราะ) ชอบแหย่อะไรแบบนี้”

“คุณแม่ไม่ดุ ใจดี แต่คุณพ่อค่อนข้างที่จะเข้มงวด เพราะคุณพ่อเป็นผู้พิพากษา เขาจะมีระเบียบ เลยดูเหมือนดุ แต่เราชินเลยดูว่าไม่ดุ พอเพื่อนๆ มาเจอเขาบอกว่าพ่อดุ เพราะพ่อเขาเป็นคนบุคลิกเฉยๆ เงียบขรึมก็เลยดูว่าดุ และเราเป็นลูกสาว ก็จะรู้ว่าต้องทำยังไงกับคนนิ่งๆ แบบนี้ใช่ไหมค่ะ เราก็อ้อนพ่อขา (ลากเสียง) พ่อก็แพ้ลูกสาว (หัวเราะ)”

เจ้าหญิงนักกิจกรรม
เธอเป็นนักกิจกรรมตัวยงมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม จนถึงมหาวิทยาลัยก็ยังทำกิจกรรมอยู่ ซึ่งกิจกรรมที่เธอสนใจ และไม่เคยพลาดเลย ถ้าให้เดาก็คงไม่ผิด ส่วนใหญ่เป็นงานเกี่ยวกับการพูด พิธีกร และประชาสัมพันธ์ จากนั้นเธอจึงค่อยๆ เล่าย้อนความในวัยเด็กให้ฟัง

“ตอนเด็กๆ ตัดผมทรงกะลาครอบ ถามว่าซนไหมก็ไม่ค่อยซน เรียบร้อย ชอบทำกิจกรรมของโรงเรียน โดยเฉพาะช่วงมัธยมนี่เยอะมากเลย โบว์ลิ่งเป็นคนชอบคุย ตอนเด็กๆ ก็เป็นแบบนี้ อารมณ์ดี พอขึ้นมหาวิทยาลัย เราได้คุยกับคนเก่งๆ ได้สัมภาษณ์เขา พูดเยอะ อ่านเยอะ มันจะมีอะไรดีๆ เข้ามาในหัว จนหล่อหลอมเป็นตัวเราเอง

ตอนเด็กเล็กๆ มีความฝันว่าอยากเป็นเจ้าหญิง ตอนเด็กๆ ที่บ้านเลี้ยงด้วยการ์ตูนวอลต์ดิสนีย์ค่ะ แต่นั่นก็เป็นความฝันตอนเด็กมาก แค่ประมาณชั้นประถมค่ะ โตมาเราก็รู้ว่าไม่มีเจ้าหญิงจริงๆ บนโลกใบนี้ ก็ตื่นจากความฝัน กลายเป็นคนปกติ จริงๆ ตอนนั้นโบว์ลิ่งไม่รู้ตัวนะคะว่าอยากเป็นอะไร เพียงแต่ว่าอยากตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี พ่ออยากให้เรียนอะไรก็เรียน เรียนแผนวิทย์ด้วยค่ะ แล้วมาพบตัวเองตอน ม.6 ตอนนั้นโบว์ลิ่งเป็นกรรมการนักเรียน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ จึงมีโอกาสเป็นพิธีกรให้โรงเรียนครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดจริงจังหน้าเสาธง แล้วคนฟังทั้งโรงเรียน รู้สึกว่าเจ๋งมากค่ะ จึงเป็นจุดเริ่มที่อยากทำอาชีพนี้ ตอนนั้นรู้แล้วว่าพิธีกรเป็นสิ่งที่ชอบ แต่ยังไม่กล้าฝันหรอกว่าอนาคตเราจะได้เป็นพิธีกร จึงหาโอกาสเรียนที่จะมาในทางนี้ดีกว่า”

แม้ว่าความอยากเป็นพิธีกรของเธอจะไม่ฟันธงว่าเป็นความฝัน แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เธออยากทำในตอนนั้น และทำให้เธอเข้ามาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ (มศว.) ที่นี่เธอได้เริ่มเรียนการแสดงและกำกับการแสดง เริ่มมีรุ่นพี่ ชักชวนเข้าไปอบรมเกี่ยวกับงานพิธีกรตามสถาบันและองค์กรต่างๆ จนเป็นเด็กกิจกรรมเต็มตัว และกลายเป็นโอกาสต่อยอดงานทางด้านสายอาชีพนี้ต่อไปในอนาคต

“มีรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อพี่น้ำนุ่น เขาก็ดึงเราไปอบรมที่ต่างๆ ไปเรียน กลายเป็นเด็กกิจกรรม พอเราทำอะไรเยอะขึ้น ผู้ใหญ่เห็นจึงมีโอกาสเข้ามาเอง ซึ่งตอนเด็กๆ คุณพ่ออยากให้เรียนสายนิติศาสตร์ เพราะคุณพ่อเป็นผู้พิพากษา แต่โบว์ลิ่งชอบทางด้านสื่อสารมวลชนมากกว่า และตอนนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาบริหารสื่อมวลชน คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะคิดว่าถ้าอยากทำงานเกี่ยวกับสายสื่อสารมวลชนมากขึ้น ก็ควรเรียนอะไรที่มันตรงกับอาชีพเรา และแม้ว่าโบว์ลิ่งอยากทำเบื้องหน้า พิธีกร-ผู้ประกาศ ถ้าเราเป็นเราก็เข้าใจแค่นั้น ถ้าเกิดเราได้เรียนทั้งองค์กร เข้าใจทั้งระบบเนี่ย มันน่าจะทำให้อนาคตเราไปได้ไกลมากขึ้น ก็เลยเรียนทางด้านสื่อสารมวลชน”
 
จุดหมายไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง
“จุดหมายปลายทางมันไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง เชื่อว่าถ้าเราทำระหว่างทางทุกๆ วันให้มันดี มันก็จะเป็นระหว่างทางที่สมบูรณ์แบบ” นี่เป็นความคิดของโบว์ลิ่ง ที่เธอเชื่อมั่นเสมอว่าถ้าตั้งใจทำอะไรอย่างดีที่สุดในทุกครั้งที่มีโอกาส หนทางที่สมบูรณ์แบบนั้นก็จะนำพาให้เราไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งใจไว้

“อย่างโบว์ลิ่งเองก็ไม่เคยฝันว่าจะเป็นพิธีกรหรือนางสาวไทย แค่ชอบพูด เราก็ทำกิจกรรม อาสาสมัคร ทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะพาเราเข้าสู่งานพิธีกร โบว์ลิ่งเชื่อว่าถ้าเราทำให้เต็มที่ เมื่อผู้ใหญ่เห็นก็จะพาเราไปสู่สิ่งที่ดีๆ เอง”

“มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยไปทำละครเวทีที่หอศิลป์ตาดู ครบรอบ 20 ปี ไทย-ญี่ปุ่น มีพี่คนหนึ่งพูดประโยคหนึ่งเด็ดมากเลย บอกว่าเวลาทำงานกลุ่มขอให้ทำเต็มที่ เพราะความขี้เกียจของเราจะสร้างความลำบากให้คนอื่น แค่ทำพอดีตัวมันไม่พอ ต้องทำอย่างเต็มที่ แล้วคนรอบข้างจะไม่เหนื่อย”

“พอมาอยู่ตรงนี้โบว์ลิ่งรู้เลยว่ามันมีทั้งคนที่ชอบเรา และไม่ชอบเรา มีคนที่เชียร์ และรู้สึกว่าเชียร์คนอื่นมากกว่า ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรายืนอยู่ตรงนี้ มันไม่มีทางที่คนทั้งโลก ทั้งประเทศจะชอบเราได้ ตอนนี้สิ่งที่อยากทำ คือการพิสูจน์ตัวเอง อยากทำให้เขาเห็นว่ากรรมการเลือกเรา 3 คนมาเนี่ย เลือกไม่ผิดนะ เราจะทำหน้าที่ให้ดี อยากให้คนที่เขารักเราอยู่แล้ว รักเรามากขึ้น และอยากให้คนที่ไม่ชอบเรา ยอมรับว่าเราเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ และหลังจากนั้นโบว์ลิ่งว่าทุกอย่าง ถ้าเราทำเต็มที่ อนาคตมันพาไปในทางที่เราชอบเองค่ะ”

แล้วคิดยังไงกับเวทีประกวดต่างๆ ทั้งการเฟ้นหานักร้อง นักแสดง นางแบบที่มีอยู่มากมายในสังคมตอนนี้ “โบว์ลิ่งว่าเด็กรุ่นใหม่โชคดีกว่าคนสมัยก่อนค่ะ เพราะว่าสมัยนี้มีเวทีประกวดเยอะแยะมากมาย เด็กๆ สามารถเดินทางเข้าใกล้สิ่งที่ตัวเองฝันได้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นโอกาสมันมีเปิดอยู่ทั่วไปแล้ว อยากให้น้องๆ คนไหนที่มีความฝัน รู้ตัวเองว่าอยากเป็นอะไร ลองทำดูให้เต็มที่

แล้วจริงๆ การที่เข้ามาประกวดแบบนี้ ไม่อยากให้คิดว่ามาแข่งกับคนอื่น โบว์ลิ่งว่ามันคือการแข่งขันกับตัวเอง อย่างโบว์ลิ่งเองก็มีความฝันอยากเป็นพิธีกร ก่อนที่จะมาประกวดนางสาวไทยก็เคยประกวดเกี่ยวกับการพูดมาหลายครั้ง ก็เคยมีได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่มันก็คือประสบการณ์ที่ทำให้เรารู้ข้อดีข้อเสียของตัวเอง ทำให้เราเก่งขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาจะประกวดอะไรก็แล้วแต่ มันเหมือนการสู้กับตัวเองค่ะ ถ้าเกิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แล้วเขายังไม่เลือกเราก็ไม่เป็นไร บางทีเขาอาจจะไม่ชอบคาแรกเตอร์ หรืออาจมีบางอย่างที่มันไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นไม่เรื่อยๆ ก็จะเจอที่ของเราค่ะ โบว์ลิ่งเชื่อนะคะว่าอะไรที่เป็นของเรา ทำยังไงเราก็ได้ค่ะ แต่อะไรที่มันไม่ใช่ พยายามขนาดไหนก็ไม่ได้ โบว์ลิ่งว่าเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด กรรมการเขาเฮ้ย! คนนี้ใช่ มันก็ใช่”

ความสุขเริ่มต้นที่ตัวเอง
สาวโบว์ลิ่งเป็นคนร่าเริง แจ่มใส เธอมักเผยรอยยิ้มตลอดเวลา เหมือนกับว่าไม่ค่อยคิดอะไร ไม่เก็บอะไรมาคิด เช่นเดียวกับที่เพื่อนรองนางสาวไทยของเธอทั้งสองบอกกับเรา เธอมีความสุขอยู่กับตัวเอง ถึงแม้เวลาเครียดก็ตลกได้ เข้ากับคนง่าย อารมณ์ดี คุยเก่ง เพื่อนเยอะ และเป็นคนจริงใจ

ด้วยความที่เธอเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน แอคทีฟอยู่ตลอดเวลาจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้พักผ่อน เมื่อถามว่ามีเวลาว่างจะทำอะไร โบว์ลิ่งตอบอย่างทันทีว่า “นอนค่ะ เพราะโบว์ลิ่งเป็นคนทำงานตลอด เวลาเสร็จงานโบว์ลิ่งจะเหนื่อยมาก แล้วรู้สึกว่าอยากนอน ขอนอนนิดนึง เพราะถ้านอนไม่พอ ตื่นมาสติจะหลุดลอย และเวลาทำงานจะไม่เต็มที่ จะเบลอ เรื่องนอนจึงสำคัญมากจะพยายามนอนให้พอ แล้วตื่นมาจะสดใส ก่อนก้าวออกจากบ้านจะยิ้ม ทำทุกอย่างได้เต็มที่”

กิจกรรมของเธอนอกจากงานพิธีกร ก็จะเล่นอูคูเลเล่ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เธอเล่นได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เคยลองหัดเล่นกีตาร์ แต่ไม่สำเร็จ เพราะเธอบอกว่าคลอสใหญ่เกินมือเธอ กีตาร์น้อยยอดฮิต อย่างอูคูเลเล่ จึงกลายเป็นเครื่องดนตรีคลายเหงาให้เธอยามว่างแทน

“ตอนแรกที่อูคูเลเล่ฮิตใหม่ๆ ก็ไม่เอาค่ะ ไม่อยากตามกระแส พอไปจับของลูกพี่ลูกน้อง ลองหยิบมาเล่นดู แค่ 10 นาที โบว์ลิ่งเล่นได้ จึงกลายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่รู้สึกว่าเล่นง่าย พอหัดก็เล่นได้เลยค่ะ”

เมื่อถามถึงไอดอล เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอตอบแบบไม่ต้องรอแม้เสี้ยววินาทีจะคิดว่าเป็นใคร เพราะคนๆ นั้นนั่งอยู่ในใจเธออยู่แล้ว นั่นคือคุณพ่อ แล้วโบว์ลิ่งก็เล่าต่อว่า “คิดว่าคุณพ่อเป็นคนเก่งและเป็นคนดีค่ะ คือเป็นผู้ชายที่เก่งมาก เป็นหัวหน้าครอบครัวที่เยี่ยมมาก เขาเป็นคนมีความอดทน เวลามีปัญหา หรือมีอะไรเข้ามาในชีวิต เขาจะเก็บเอาไว้ แล้วแก้ปัญหา ทำให้เรารู้ว่าเขาเข้มแข็ง รู้สึกว่าจริงๆ คนเราทุกคนมีจุดที่อ่อนแอ แต่เราไม่จำเป็นต้องแสดงความอ่อนแอออกมา อย่างคุณพ่อเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งมาก ไม่ใช่เพียงแค่ข้างนอก แต่ข้างในด้วย”

สาวสวยกับหนุ่มๆ เป็นของคู่กัน ยิ่งถ้าสวยระดับนางสาวไทยก็ต้องเลือกความรักที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ถี่ถ้วนเสียก่อน และเธอคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักกันคือ ความเข้าใจกันและกัน และการให้เกียรติกัน

“ถ้าจะมีใครมาอยู่ข้างๆ จริงๆ ต้องเป็นคนที่เข้าใจเรา แล้วเป็นคนที่ต้องให้เกียรติกัน คุณพ่อคุณแม่ก็เหมือนกันค่ะ เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยรักพ่อแม่ ทะเลาะกัน โบว์ลิ่งคิดว่าการที่เราใกล้กันมากเกินไป มันทำให้เราไม่เกรงใจกัน ซึ่งจริงๆ แล้วการที่เรายิ่งอยู่ใกล้กันต้องเกรงใจกัน แต่คนชอบลืม ฉะนั้นเวลาอยู่ใกล้ใครก็แล้วแต่ อาจจะเป็นแฟน เพื่อน พ่อแม่ ยิ่งใกล้กันก็ต้องยิ่งเกรงใจกัน แล้วจะทำให้อยู่ด้วยกันนาน ถ้าถามถึงสเปก สำหรับโบว์ลิ่งคิดว่าไม่ต้องหล่อมาก ขอแค่ดูดี บุคลิกดี นิสัยดี เข้าใจเราได้ก็พอ”

เสียงจากนางงามถึงปัญหาสังคมไทย
หากติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ มักจะเห็นปัญหาของสังคมไทยมากมาย จนก่อให้เกิดคดีไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น ยกพวกรีรันฟันแทง วิ่งราว ชิงทรัพย์ เด็กติดเกม อาชญากรออนไลน์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้นับวันจะเพิ่มความรุนแรงและน่ากลัว ลองมาฟังความเห็นของนางสาวไทย และรองอันดับ 1 และ 2 ดูซิว่า นอกจากนี้พวกเธอเห็นถึงปัญหาอะไรบ้างในสังคมไทยที่ควรแก้ไข

โบว์ลิ่ง นางสาวไทย บอกว่า ปัญหาสังคมตอนนี้ที่คิดว่าอยากจะแก้ไขคือ เราจะเห็นว่าเด็กสมัยนี้รับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาเยอะ เด็กไทยไม่ค่อยเห็นคุณค่าของความเป็นไทย แต่ว่าจะเห็นคุณค่ากระแสของคนต่างชาติมากกว่า อันนี้ไม่ใช่เฉพาะชีวิตประจำวันนะ แทบทุกเรื่องเลย อย่างศิลปินเคป๊อบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี เราสามารถรับสิ่งดีๆ ของเขามาได้ เพียงแต่เราต้องไม่ลืมว่าไทยเราก็มีของดีเหมือนกัน ฉะนั้นกระแสต่างชาติเข้ามาแล้วเราให้ความสนใจมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ของไทยก็มีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่เหมือนกัน ไม่อยากให้มองข้าม

“อีกอย่างโบว์ลิ่งเป็นพิธีกรมาก่อน รู้สึกว่าภาษาสำคัญมาก โบว์ลิ่งคิดว่าเด็กไทยสมัยนี้พูดไม่ค่อยชัด ซึ่งการพูดชัดมันมีเสน่ห์ เวลาเราคุยกับเด็กๆ พี่รู้สึกรึเปล่าค่ะ เสียงแบบแอ๊บแบ๊ว เวลาเขาพูดก็น่ารักนะ แต่ความน่ารักมันจะอยู่กับเราไม่ได้นาน ถ้าสมมติน้องพูดแบบนี้ ตอนนี้น้องอายุ 15 มันน่ารัก ถ้าน้องอายุ 20 แล้วยังพูดแบบนี้ มันอาจจะไม่น่ารักแล้วก็ได้ จึงอยากให้น้องๆ ลองหัดพูดให้ชัดเจน เพราะจะเป็นบุคลิกภาพที่ดีในอนาคต”

ด้านน้องใบเตย ตำแหน่งรองอันดับ 1 ได้คิดว่าเรื่องการทำแท้งเป็นปัญหาสังคมที่ควรรีบแก้ไข โดยให้ความเห็นว่า “เพราะเป็นเรื่องของผู้หญิงด้วย อย่างคนที่ทำแท้งก็อยากจะให้ข้อมูลเขา ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับข้อมูลว่าอาจจะไม่ต้องทำแท้งก็ได้ เราสามารถเรียนด้วยได้ ถ้ามีลูกก็ไม่จำเป็นต้องตัดอนาคต”

ส่วนน้องดาว ตำแหน่งรองอันดับ 2 สะท้อนปัญหาของเยาวชนในสังคมออกมาเช่นเดียวกันว่าเป็นเรื่องเด็กนักเรียนตีกันบนรถเมล์ “มีปัญหาที่คนโดนยิง เพราะถูกลูกหลง ส่วนใหญ่คนวัยทำงาน วัยเรียน ซึ่งไม่ได้มีรายได้เยอะ เขาจะใช้รถเมล์เดินทางเป็นประจำ ดาวคิดว่าเขาใช้ชีวิตไปทำงาน ไปเรียนตามปกติ พอมีนักเรียนตีกันก็ทำให้คนเหล่านี้ได้รับความเดือดร้อน แล้วบางคนอาจไม่ได้มีฐานะอยู่แล้ว ต้องดูแลครอบครัว บางทีอาจจะเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วมาโดนลูกหลงตายไป ครอบครัวเขาจะอยู่ยังไง เลยคิดว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขค่ะ”


ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : นางสาวปริศนา กัมพูสิริ หรือโบว์ลิ่ง
วันเกิด : 8 ตุลาคม 2529 (อายุ 25 ปี)
ส่วนสูง 170 ซม. น้ำหนัก 51 กก. รอบอก 30.5 นิ้ว รอบเอว 24 นิ้ว รอบสะโพก 35.5 นิ้ว
การศึกษา : มัธยม - ร.ร.สามเสนวิทยาลัย, ปริญญาตรี - สาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และกำลังศึกษาปริญญาโท - สาขาวิชาบริหารสื่อมวลชน คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความสามารถพิเศษ : พิธีกร, ร้องเพลง และเล่น ukulele
ผลงานที่ผ่านมา : ผ่านเข้ารอบ 14 คนสุดท้าย โครงการสรรหาผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่ช่อง 7 สี และเข้ารอบสุดท้ายในการประกวด ไนน์ เอ็นเตอร์เทน เฟรชชี่ รวมทั้งเคยเป็นพิธีกรรายการทางช่อง 5 และ ช่อง 11 นอกจากนี้ยังเป็น เคกรุ๊ป อี-เกิร์ลส์ รุ่นที่ 5 ของเครือธนาคารกสิกรไทย (พ.ศ.2552-2554)
ผลงานปัจจุบัน : เป็นพิธีกรอยู่ที่กรังด์ปรีซ์ ชาแนล ของพีเอสไอ ทีวี ช่อง 111 แอคส์ ชาแนล และทรูวิชั่นส์ ช่อง 67
 
 
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์











คุณแม่กับโบว์ลิ่ง
โบว์ลิ่ง และรองอันดับ 1 และ 2

กำลังโหลดความคิดเห็น