xs
xsm
sm
md
lg

เชิดชูลูกรักแม่ “น้องได” หัวใจยอดกตัญญู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เชื่อเลยว่าคนไทยเกินครึ่งประเทศยังคงจดจำภาพน้องได หรือ น.ส.ณัฐธิดา สุปิรัยธร สาวน้อยยอดกตัญญูที่คอยปรนนิบัติแม่ของตัวเองซึ่งกำลังป่วยหนัก หลังจากต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อแม่ของเธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงฉับพลัน ท่ามกลางปัญหาและอุปสรรคมากมาย ทำให้เธอต้องพักการเรียนเพื่อมาดูแลแม่อย่างใกล้ชิด ทั้งๆ ที่อนาคตอันสดใสกำลังรอเธออยู่ข้างหน้า

เมื่อแม่ซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านล้มป่วย รายได้จึงค่อยๆ หมดไปกับการรักษา จึงทำให้เธอต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการรับจ้างเป็นผู้ช่วยครูสอนนักเรียนที่บ้านเกิด จ.สุโขทัย ก่อนเว้นวรรคการเรียน เธอกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ด้วยความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นคุณครู เธอจึงเดินตามความฝันเข้ามาหาความรู้ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่สถานการณ์บีบบังคับให้เธอต้องเลือกระหว่างความฝันของตัวเองกับการทำหน้าที่ของลูกที่ดี
“ญาติฝ่ายหนึ่งให้กลับไปเรียน อีกฝ่ายหนึ่งให้อยู่ดูแลแม่ หนูรู้สึกสับสนมาก แม่ก็เข้าใจว่าหนูมีสองทางเลือก มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหนู แต่สุดท้ายก็เลือกดูแลแม่ และพักการเรียนไว้ก่อน”

ขอหยุดเรียนเพื่อดูแลแม่
เกือบครึ่งปีแล้วที่น้องไดเลือกดูแลแม่ด้วยตัวเอง ด้วยความเป็นห่วงที่ไม่อยากให้แม่รู้สึกโดดเดี่ยวในเวลาที่ต้องการกำลังใจ และคิดว่าคงไม่มีใครดูแลแม่ได้ดีเท่ากับตัวเองที่เป็นลูกแท้ๆ ซึ่งแม่ของเธอก็คงคิดอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เธอจึงเลือกที่จะอยู่เคียงข้างแม่ตลอดระยะเวลาที่รักษาตัว
“มาถึงตอนนี้เกือบ 6 เดือนแล้วค่ะ ที่แม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ครั้งแรกที่แม่เข้าโรงพยาบาลรามาฯ กรุงเทพฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ตอนนั้นเป็นช่วงสอบปลายภาคของปี 1 พอดี แต่ก็ยังไม่ได้ห่วงแม่มาก เพราะก็อยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ และอาการก็ยังพอช่วยเหลือตัวเองได้อยู่ หลังจากนั้นช่วงปิดเทอมแม่อาการทรุดลงมากค่ะ เลยมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ตั้งแต่เดือนมีนาคม และเฝ้าอยู่โรงพยาบาลหนึ่งเดือน จากนั้นเมื่อรู้แล้วว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออักเสบก็ถูกส่งไปทำกายภาพและรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม”
“ตอนนั้นไดเป็นห่วงแม่ คอยเฝ้าแม่ เพราะเป็นช่วงปิดเทอมพอดี เลยไม่ต้องห่วงเรื่องเรียน แต่พอเปิดเทอม ก็ไม่คิดว่าแม่จะเป็นนานขนาดนี้ค่ะ ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจระหว่างเรียนกับดูแม่ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สับสน ไดเครียดมากเลยค่ะ ร้องไห้ เพราะตอนนั้นอยากเรียน และก็ได้คุยกับแม่ ญาติ หลายๆ คน สับสนอยู่หลายวันเหมือนกันกว่าจะตัดสินใจ”
เมื่อมีญาติ 2 ฝ่ายที่ขัดแย้งกัน ฝ่ายหนึ่งให้ดูแลแม่ พักการเรียนไว้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอยากให้เรียน ด้วยการหาคนมาช่วยดูแลแม่แทน ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ก็หาทางช่วยอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอได้กลับเข้าไปเรียนอีกครั้ง และดูแลแม่ไปด้วยเหมือนกัน
“คนอื่นเขาก็มีภาระ คงไม่มีใครดูแลแทนเราได้ อีกอย่างเป็นความต้องการของแม่ด้วยค่ะ แม่ก็อยากให้เราอยู่ใกล้ๆ เพราะตอนนั้นแม่มั่นใจว่าจะต้องเป็นไม่นาน และต้องดีขึ้น จะต้องหาย มันลำบากด้วยค่ะ ถ้าต้องฝากให้คนอื่นช่วยดูแลแม่แทน เพราะไดทำหน้าที่ตรงนี้ ไดรู้ว่ามันยากค่ะ และอีกอย่างก็เป็นแม่เรา ถ้าเป็นคนอื่นมาดูแลก็คงทำไม่ได้เหมือนที่เราทำ และแม่เองก็คงต้องคิดแบบนั้นด้วย และช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่แม่ต้องการกำลังใจมากด้วยค่ะ แต่แม่เป็นคนที่ใจแข็งมาก”
ขณะที่แม่ของน้องไดกำลังรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่โรงพยาบาลพุทธชินราช แพทย์ได้ตรวจพบมะเร็งที่ปากมดลูก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อฟื้นฟูช้า
“แม่มารักษาตัวอีกครั้งเมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา พอดีว่าคุณหมอต้องเช็คทั้งร่างกายใหม่เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมกล้ามเนื้อถึงฟื้นฟูช้า ก็พบว่าแม่เป็นมะเร็งปากมดลูก แต่ว่าเป็นระยะเริ่มแรก จึงสามารถรักษาได้ คุณหมอรีบผ่าตัดออก โดยที่แม่และไดแทบไม่รู้ตัวเลยค่ะ แล้วคุณหมอมาบอกให้ทราบทีหลังก็โอเคแล้วคะตอนนี้ ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ถือว่าเป็นข่าวดี ที่หาสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อฟื้นตัว”
“ปกติแล้ว ตอนแม่ไม่ป่วยเขาก็สุขภาพแข็งแรง ทำงานมาตลอด เคยถามคุณหมอนะคะว่าที่แม่ป่วยเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นเกิดจากอะไร คุณหมอก็บอกว่ามันไม่มีสาเหตุ ที่เป็นมะเร็งปากมดลูก คือสาเหตุหลัง สาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อฟื้นฟูช้า มะเร็งไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้แม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แม่ป่วยเป็นโรคนี้ คุณหมอไม่สามารถสันนิษฐานได้เลยว่าเกิดจากอะไร”
ตอนนี้แม่ของน้องไดยังคงรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลพุทธชินราช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเปิดห้องพิเศษให้ และอยู่ฟรีตลอดการรักษาจนกว่าแม่ของเธอจะหาย ส่วนทางมหาวิทยาลัยนเรศวรก็ให้ทุนการศึกษาแก่เธอจนจบปริญญาตรี และถ้าจะย้ายแม่ย้ายน้องมาอยู่ด้วยกันที่ จ.พิษณุโลก ก็จะให้ทุนการศึกษาแก่น้องจนจบ ม.6 นอกจากนี้ยังมีผู้ใจบุญร่วมบริจาคเงินเพื่อใช้ในการรักษาแม่ของเธออีกจำนวนหนึ่ง
“ปกติไดทำกับข้าวที่บ้าน พออยู่ที่โรงพยาบาลพุทธชินราชก็ไม่ได้ทำ ต้องซื้อข้าว แต่มีหน้าที่เหมือนเดิมค่ะ ต้องป้อนข้าวแม่ ทำกายภาพให้แม่ เปลี่ยนผ้าปูที่นอน เปลี่ยนชุด ส่วนอาบน้ำต้องช่วยกันกับญาติ ไม่ได้อาบทุกวันนะคะ เพราะคนเดียวไม่ไหว อาบลำบากมาก ประมาณ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่น้า (ลูกพี่ลูกน้องของแม่) จะเป็นคนช่วยกันดูแล พอถึงเวลา 10 โมงเช้าต้องไปทำกายภาพบำบัดอย่างนี้ทุกวันเป็นประจำ ประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะตอนนี้เหลือแต่ขั้นตอนฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ทุกวันนี้ก็ต้องไปทำกายภาพอย่างเดียว”
“ตอนนี้ก็มีบ้างค่ะที่รู้สึกเหนื่อย หรือท้อบ้าง คือตอนนี้เรื่องของเงินก็ไม่ขาดแล้ว ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันก็เบาลงนิดนึง แต่ก็ยังเหนื่อยและเป็นห่วงกับอาการของแม่ ส่วนแม่ก็ยังท้ออยู่บ้าง เพราะมีช่วงที่เหมือนอาการจะดี แต่ก็มาทรุดลงอีก คุณหมอบอกเป็นอาการคงที่ ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งก่อน แต่บอกไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการรักษา ก็ทำให้เราเป็นห่วงอยู่เรื่อยๆ ด้วย”

หนูจะเข้มแข็งเหมือนแม่
“แม่ คือเสาหลักของครอบครัว” ก่อนหน้านี้แม่ของน้องไดจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวเพียงคนเดียว เนื่องจากพ่อซึ่งมีอาชีพขายขนมเครป มักจะดื่มเหล้าและติดการพนัน จึงไม่เคยสนใจหรือดูแลรับผิดชอบคนในบ้านเลย
“แม่ไปทำงานเป็นแม่บ้านที่ประเทศฮ่องกง ทำมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว จริงๆ แล้วแม่ไปตั้งแต่ไดเด็กๆ แล้วเปลี่ยนงานเรื่อยๆ และนานๆ กลับมาที ตลอดที่แม่ไปทำงานต่างประเทศ ไดก็ต้องดูแลน้องแทนแม่ หน้าที่หลักๆ ที่ต้องทำแทนแม่ คือดูแลน้องชาย ไดกับน้องเลยสนิทกัน ดูแลบ้าน บางทีก็อยู่กับน้องสองคน ช่วงก่อนที่ไดจะจบมัธยม แม่ขอน้ามาอยู่เป็นเพื่อนด้วย น้าก็มาช่วยดูแลน้องอีกคน
ส่วนพ่อเพิ่งมาอยู่ด้วยตอนที่ไดจบ ม.6 ตอนนั้นไดจบมัธยมแล้วต้องมาเรียนต่อที่พิษณุโลกใช่ไหมคะ แล้วน้าเขาต้องกลับบ้านที่ จ.อุบลฯ แม่ก็เลยขอให้พ่อมาอยู่ด้วย ต้องขอเลยนะคะ เหมือนต้องใช้คำว่าจ้างด้วยซ้ำคะ คือแม่เล่าให้ฟังว่า “แม่ใช้เงินจ้างพ่อมาดูแลน้อง” มาตอนนี้พ่อก็มาบ้างไม่มาบ้าง ก็ทิ้งๆ ขว้างๆ น้องอยู่เหมือนกันค่ะ
เราสองคนพี่น้องเริ่มห่างกันตอนที่ไดไปเรียนที่ จ.พิษณุโลก แล้วตอนนี้น้องเข้า ม.1 ก็เป็นวัยรุ่นมากขึ้น กับแม่ก็อยู่ไกล กับไดก็อยู่ไกล น้องจึงเป็นคนที่ค่อนข้างขาดความอบอุ่น เพราะเกิดจากการไม่ค่อยไม่รับความเอาใจใส่ ไดจึงต้องดูแลน้องให้เต็มที่เพื่อทดแทนแม่ตอนที่แม่ไม่อยู่ด้วย”
“ส่วนเงินที่แม่ส่งมาให้ เราก็แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเอง รวมถึงค่าเล่าเรียนที่ผ่านมาก็มาจากแม่ทั้งหมดเลย แม่ไม่เคยบ่นเหนื่อย แม่โทร.มาก็จะถามสารทุกข์สุกดิบของไดกับน้อง บางครั้งถ้ามีปัญหาเรื่องพ่อ เมื่อแม่ทนไม่ไหวก็ร้องไห้ แต่นานๆ ที เพราะแม่เป็นคนเข้มแข็งมาก เป็นคนขยัน มีความอดทนมาก และเป็นคนที่ห่วงลูกมากค่ะ ห่วงทั้งไดและก็น้อง ถึงแม้ว่าแม่จะอยู่ต่างประเทศ แต่แม่โทร.หาตลอดค่ะ โทร.บ่อยมาก ทุกวันเลย และวันละหลายๆ รอบ ถามว่าทำอะไรอยู่ อยู่ไหน และบอกให้ไดโทร.ไปหาน้องบ้าง”

“แม่” คือ ต้นแบบของชีวิต
แม่สอนตั้งแต่การเดิน จนถึงการปลูกฝังเรื่องของจิตใจ...ความเข้มแข็ง ความขยัน ความอดทน มุมานะ เป็นสิ่งที่น้องไดเก็บเกี่ยวจากแม่ ทว่าเธอมีแม่เป็นแบบอย่าง โดยเห็นจากสิ่งที่แม่ทำมาตลอดชีวิตนั่นเอง
“สิ่งที่แม่มีและเราเอามาเป็นแบบอย่าง คือความเข้มแข็ง ส่วนความขยันก็มีบ้าง แต่ไดคงยังสู้แม่ไม่ได้ หนูรู้สึกว่าหนูมีนิสัยที่คล้ายแม่หลายอย่างเลย โดยเฉพาะความเข้มแข็ง มุมานะ อดทน แต่บางเรื่องหนูก็อ่อนไหวง่ายๆ อย่างเรื่องที่มันกระทบความรู้สึกแบบนี้
ถ้าเล่าถึงเรื่องความขยันของแม่นั้นมาเป็นอันดับแรกเลย ท่านทำงานมาตั้งแต่เด็ก ต้องเลี้ยงพี่น้องที่มีอยู่ 8 คน แม่เป็นคนที่ 3 แต่แม่ทำงานหนักกว่าทุกคนเลย ส่งน้องเรียน และส่งเงินให้ตากับยาย เป็นเสาหลักของครอบครัวมาตั้งแต่เด็กเลย แต่ตอนนี้แม่มาล้มป่วยเสียก่อน แม่หวังที่จะกลับมาเหมือนเดิม หายจากอาการป่วยเร็วๆ ที่แม่คิดว่าตัวเองจะต้องสู้ไหว เพราะเป็นห่วงไดกับน้อง เนื่องจากไดกับน้องก็ยังเรียนไม่จบกันสักคนเลยค่ะ ก็ยังเล็กอยู่สำหรับแม่”
โดยเฉพาะความอดทนและการมีสติเป็นสิ่งที่แม่ของเธอคอยเตือนอยู่เสมอ ยิ่งต้องเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน อย่างการเจ็บป่วยกะทันหันที่ครอบครัวของน้องไดพบเจออยู่ตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้เธอได้ฝึกความเข้มแข็ง โดยมีคำสอนของแม่คอยย้ำเตือน
“แม่สอนทุกอย่างให้กับไดตั้งแต่เล็กๆ เลย ตอนนี้เรื่องของความเข้มแข็ง แม่สอนให้ไดอดทนและมีสติ เพราะตอนแรกไดฟุ้งซ่าน และทำใจไม่ได้เกี่ยวกับสภาพที่เป็นอยู่เหมือนกัน เพราะไดก็อยู่ในช่วงเรียนและไม่ได้อยู่ใกล้กับแม่ เราอยู่ในสภาพกดดัน ช่วงนั้นเจอหลายอย่าง แต่แม่ก็สอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ให้ทำใจ
ตอนนี้หนูก็ปรับตัวปรับใจได้หลายอย่างค่ะ ทำให้รู้ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต และเรื่องของความอดทน การรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองกับสภาพที่เกิดขึ้น”
พอเจอเรื่องพลิกผันชีวิตแบบนี้ ทำให้ไดคิดเรื่องเกี่ยวกับชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม เธอบอกว่าถ้าสมมติว่าแม่หายป่วยและกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม เมื่อถึงตอนนั้นไดก็คงหายห่วง และแม่ก็คงได้อยู่กับน้องที่บ้าน
“ตั้งแต่ตอนแรกที่แม่มาล้มป่วย ไดตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ให้แม่กลับไปทำงานที่ต่างประเทศอีกแล้วค่ะ ถ้าแม่หายป่วยก็ไม่อยากให้ทำงานอีก ไม่อยากให้แม่คิดแล้วว่าถ้าหายจะต้องมาทำงานส่งเสียไดและน้อง จะต้องไปดิ้นรนอะไรอีก คือขอให้แม่หายก็พอ อยู่บ้าน ทำงานบ้าน ไดคิดจะตั้งใจหาเงินเรียนเองเลยค่ะ”
“ลูกยอดกตัญญู” ประโยคนี้สังคมเต็มใจมอบให้น้องได แม้จะไม่มีโล่รางวัลสวยงามมาการันตีความดี แต่เธอก็แสดงหน้าที่ของลูกที่ดีให้คนทั้งประเทศเห็นด้วยตาแล้วว่าคุณค่าความดีงามอยู่ที่ตัวตน เป็นสิ่งที่เธอปฏิบัติ โดยไม่ต้องมีเครื่องหมายหรือรางวัลใดๆ ยกย่องเชิดชู
“น้องได ลูกกตัญญู” จึงกลายเป็นชื่อเรียกเธออย่างไม่เป็นทางการ
“ภูมิใจมากเลยค่ะที่มีคนเรียกหนูแบบนั้น ตอนแรกไดคิดว่าสิ่งที่เราทำ มันแค่นี้เอง แต่ทำไมคนเขายกย่องชื่นชมมากขนาดนั้นเลย แต่พอมาคิดดูอีกที จริงๆ แล้วบางครั้งที่เราเหนื่อยมากๆ ไดก็คิดว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นกำลังใจจากทุกคน มันก็คุ้มค่าต่อความเหนื่อยของเราคะ”
“สุดท้ายนี้ไดอยากขอฝากขอบคุณผู้มีพระคุณทุกคนเลยคะ ตั้งแต่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ นายก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อนบ้านทุกคน รวมถึงสื่อมวลชนทุกแขนง และผู้ที่มีน้ำใจช่วยเหลือครอบครัวของได ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หรือเรื่องของกำลังใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกท่านให้มาเป็นกำลังใจให้ไดมีกำลังสู้ต่อไปมากขึ้นค่ะ”


*** ล้อมกรอบ ***


อยากเป็นแม่พิมพ์ของชาติ
ในขณะที่ดูแลแม่ เธอต้องทำงานพิเศษเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายในครอบครัว ด้วยการเป็นผู้ช่วยครูสอนเด็กที่โรงเรียนหนองผักบุ้ง แม้ได้ค่าจ้างไม่มากนัก ซึ่งมาจากครูในโรงเรียนที่เจียดเงินส่วนตัวมาให้เป็นค่าจ้างสอน เพียงเดือนละ 1,000 บาท แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ เพราะนอกจากจะนำเงินมาจุนเจือครอบครัวแล้ว ยังเป็นสิ่งที่เธอรักและชอบในอาชีพนี้ด้วย
“ถ้าเขามีอะไรให้ช่วย ไดจะชอบอาสา และบังเอิญครูที่สนิทกัน เขาเห็นว่าเราลำบากเลยอยากช่วยเหลือ การได้สอนเด็กๆ วันละชั่วโมง ถือเป็นการคลายเครียดด้วยคะ หลังจากดูแลแม่เสร็จแล้วก็จะขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปสอนเด็กๆ ที่โรงเรียน
เดิมทีไดมีความใฝ่ฝันอยากเป็นครู อาจเป็นเพราะความที่เราเป็นนักเรียนมาตลอด และเจอครูดีๆ หลายคน เลยอยากเป็นแบบนั้นบ้าง จริงๆ แล้วเรามองเห็นการทำงานของครูแล้วชอบ รู้ว่ามันเหนื่อย แต่ว่าเราชอบ อยากทำ เวลาเห็นครูอยู่กับเด็กๆ แล้วมีความสุขก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างค่ะ ถึงบางครั้งจะเหนื่อย แต่ก็มีบางครั้งที่มีความสุข สนุกสนาน”

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE



กำลังโหลดความคิดเห็น