หากยังนึกไม่ออกว่า “วันแม่แห่งชาติ” ปีนี้จะมอบอะไรเป็นของขวัญเพื่อทดแทนบุญคุณผู้หญิงที่รักคุณมากที่สุดในโลกดี แนะนำให้ลองอ่านบทสัมภาษณ์จาก “ลูกกตัญญู” สองคนนี้ดู อาจทำให้คุณได้คำตอบว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่คนเป็น “แม่” ต้องการจากลูกมากที่สุดคืออะไร?
“กตัญญูกตเวที” คือค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทุกคนรู้แก่ใจดีว่าเราควรทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะผู้ให้กำเนิด ให้ชีวิต และให้การดูแลทะนุถนอมเรามาตั้งแต่ยังเป็นก้อนเนื้อชิ้นเล็กๆ อยู่ในครรภ์ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ซึ้งถึงคำว่า “แม่” และจะมีสักกี่คนได้ชื่อว่าเป็น “ลูกกตัญญู” อย่างแท้จริง
ถ้ายังนึกไม่ออกขอเสนอชื่อ “เปา-เปาวลี พรพิมล” เงาเสียงพุ่มพวงดวงจันทร์ ขวัญใจคอลูกทุ่ง และ “โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” ขวัญใจชาวร็อก-คอละคร เอาไว้ ในฐานะศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ให้เป็นตัวแทนลูกกตัญญูปีล่าสุด
“เปาวลี”...รักแท้ “แม่” ใกล้ชิด
“รักแท้แพ้ใกล้ชิด” อาจเป็นนิยามรักที่ใครหลายๆ คนเคยพบเจอ แต่สำหรับสาวน้อยบ้านนา ขวัญใจคนลูกทุ่งอย่าง “เปาวลี พรพิมล” แล้ว นิยามรักของเธอตั้งแต่ลืมตาดูโลก จนถึงทุกวันนี้ผ่านพ้นมาได้ 20 ปี ก็ยังคงมีคุณแม่ “บังอร เฟื่องฟุ้ง” อยู่ในทุกความทรงจำเสมอ เรียกได้ว่าเป็น “รักแท้แม่ใกล้ชิด” อย่างแท้จริง เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของกันและกันไปแล้ว และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันดีๆ ที่ทั้งคู่ยินดีนำเรื่องราวน่ารักๆ ระหว่างแม่-ลูกมาแบ่งปัน ให้ย่อหน้าถัดจากนี้เต็มไปด้วยอุ่นไอความอบอุ่นจากครอบครัวศิลปินติดดินรายนี้
ฝันของแม่ = ฝันของลูก
เปาวลี: ที่จริงครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรค่ะ ถือว่าพอมีพอกิน เมื่อก่อนขายเสื้อผ้ากันค่ะ ตอนที่ยังไม่มีตลาดสด พ่อแม่จะหอบของไปขายตามตลาดนัด ต้องย้ายที่ขายไปเรื่อยๆ วันหนึ่งต้องไป 2 ที่ ไปตั้งแต่ตีหนึ่งตีสอง มันมีตลาดเช้ากับตลาดเย็น ก็จะเอาหนูไปด้วย แต่ตอนเรียนอนุบาลจะไม่ได้ไปกับแม่ เราต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะพี่ชายก็ไปเรียนในตัวจังหวัด ก็ถือว่าเป็นช่วงที่ลำบากสำหรับแม่ เพราะแม่ก็เป็นห่วงเรา ปล่อยเราอยู่บ้านคนเดียว แต่พอเราเริ่มประกวดร้องเพลงประมาณ 9 ขวบ แม่ก็ย้ายเข้ามาขายของเป็นที่เป็นทางพอดี ขายในตลาดสด พ่อแม่ก็เลยสนับสนุนเปาได้เต็มที่
พาไปประกวดร้องเพลงที่ต่างๆ พอกลับมาจากโรงเรียนปุ๊บ สี่โมงเย็น พ่อก็จะพาเปาไปประกวด แม่ก็เฝ้าร้าน บางวันก็ผลัดเวรกัน แม่พาไป จะช่วยกันในครอบครัว (ยิ้มกว้าง) แม่ก็จะยอมเก็บร้านคนเดียวเพื่อให้พ่อได้ไปส่งเราประกวด ซึ่งการตั้งร้าน-เก็บร้านคนเดียว มันหนักมากนะคะ เพราะร้านเรามี 7 แผง 7 ล็อก แม่ก็ต้องสอยผ้าขึ้นลงคนเดียว กว่าพ่อลูกจะกลับมาก็ตีสองตีสาม หรือถ้าวันไหนไปประกวดต่างจังหวัดก็กลับเช้าเลย ก็ต้องขอบคุณแม่กับพ่อมากๆ (หันไปยกมือไหว้คุณแม่) ที่อุตส่าห์พาไปประกวดตั้งแต่ 9 ขวบ จนหนูอายุ 18 ถึงจะเป็นเวลาสุดท้าย ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เป็นนักร้องหรือเปล่าด้วยนะ ได้แต่ประกวดไปเรื่อยๆ
แม่บังอร: มันชอบไง (ยิ้ม) แม่ก็ชอบด้วย เรารู้สึกว่าเราคือคนลูกทุ่งอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นนักร้องนะ เราเป็นนักร้องในบ้าน (หัวเราะ) เพราะสมัยแม่ไม่มีเวทีประกวดขนาดนี้ ไม่มีใครสนับสนุน ไปเองก็ไม่ได้ ก็เลยชอบร้องอยู่ในบ้าน ทุกเย็นครอบครัวเราจะกินข้าวด้วยกัน 4 คน พ่อแม่ลูก แล้วก็จะชอบร้องคาราโอเกะกัน แม่ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าลูกจะต้องเป็นนักร้อง แต่ลูกมันเห็นแม่ร้องเพลงตลอดก็ร้องตาม (หัวเราะ) เพลงแรกที่เปาร้องได้คือ “ส้มตำ” กับ “มอเตอร์ไซค์นุ่งสั้น” ตอนนั้นพูดยังไม่ชัดเลยแต่ร้อง ทำนองเป๊ะหมด (ยิ้มอย่างเอ็นดู) สนุกกันอย่างเดียว แม่ก็ร้อง ลูกก็ร้อง แย่งไมค์กันร้อง หลังๆ ถึงได้เริ่มคิดว่าลูกมีแววน่าจะเป็นนักร้องได้
ก็พาไปประกวดหลายที่เหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเน้นไปประกวดในงานวัด เพราะแม่ก็ไม่รู้ว่าหนทางสู่อาชีพนักร้องมันต้องทำยังไง หวังจะพึ่งรรมการอย่างเดียว คิดว่าเขาน่าจะรู้จักกับคนในวงการเพลงบ้าง หวังให้เขาเห็นแววและชวนไปทำงานเพลง แต่มันก็ไม่มี ไม่เคยมีใครมาติดต่อเลย จนได้เข้าประกวดในกรุงเทพฯ ครั้งแรก รายการคว้าไมค์คว้าแชมป์ที่ตึกแกรมมี่ ได้ออกทีวี แล้วโชคดีที่ อาตี๋-กริช ทอมมัส ผู้บริหารแกรมมี่โกลด์ เขาได้เปิดช่องดูรายการวันนั้นพอดี บอกว่ารู้สึกว่าไอ้เด็กคนนี้มันมีอะไร ก็เลยติดต่อทางรายการให้เรียกเข้ามาคุย จนได้เซ็นสัญญา
จากนั้นก็ได้กลับไปอยู่สุพรรณฯ 2 อาทิตย์ พอดีว่าทาง คุณอ๊อด-บัณฑิต ทองดี (ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง”) เขาจะทำหนังและยังหานักแสดงไม่ได้ อาตี๋ก็เลยบอกให้เราลองไปแคสต์ดู แล้วก็ได้ แต่ตอนแรกที่ไปแคสต์ เขาบอกว่าไม่ผ่านนะ มันเซ่อๆ ซ่าๆ (ยิ้ม) พี่อ๊อดเขาบอกว่ามันไม่เห็นมีอะไรเลย แต่อาตี๋เขายืนยันว่ามีสิ เขาเห็นมาแล้ว ก็เลยให้เปาอัดวิดีโอมาให้ดูดูใหม่ แล้วก็เรียกไปเรียนการแสดงก่อนถ่ายทำ 5 วัน แล้วก็ถ่ายทำเลย ตอนแรกแม่ก็กลัวว่ามันจะเล่นได้เหรอ หนังระดับนี้ ต้องแสดงเป็นราชินีลูกทุ่งด้วย แต่พอหนังออกมาแล้ว คนดูก็ชอบกัน เราก็ดีใจ ดูกัน 5 รอบเลย เอ้อ! มันก็ทำได้เนอะ ไม่คิดว่าจะทำได้ ก็ภูมิใจนะ (แววตาบ่งบอกความรู้สึกได้เป็นอย่างดี)
เวลามีคนมาถาม อยากรู้ความรู้สึกแม่ว่าดีใจขนาดไหนที่เห็นลูกทุกวันนี้... (กะพริบตาปริบๆ) มันนึกไม่ออกว่าดีใจขนาดไหน ทุกวันนี้แม่ก็หวังแค่ให้เขาเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ให้มีผลงาน เป็นขวัญใจของคนดู อย่างอื่นก็ไม่รู้จะหวังอะไรแล้ว (คุณแม่ยิ้มสดใสเหมือนคนไม่มีเรื่องเครียดหลงเหลืออยู่ในใจจริงๆ)
ติลูกเอง ดีกว่าให้คนอื่นติ
เปาวลี: แม่จะคอยพูด คอยพร่ำสอน ให้เข้าหูเราทุกวันตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน หลายอย่างมากเลยค่ะ ถ้าเป็นเรื่องเพลง แม่จะให้ปรับปรุงทุกวัน จะบอกว่าตรงนี้ไม่ดีนะ เวลาไปออกงานที่ไหน เห็นเราพูดบนเวทีแล้วมันดูไม่ดี แม่ก็จะคอยเตือน บางครั้งด้วยความที่เรายังเด็กอยู่ แล้วไปพูดมุกทะลึ่งแซวกัน (หัวเราะ) แม่ก็จะบอกว่ามันไม่เหมาะ แม่เป็นคนคิดมากค่ะ นิดหน่อยก็จะเก็บมาคิด (มองคุณแม่แบบหยิกแกมหยอก) โดยเฉพาะเรื่องมารยาท
สอนมาตั้งแต่เด็กว่าต้องมือไม้อ่อน เจอใครก็ให้ไหว้ เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่ควรเคารพก็ต้องไหว้ เวลาเดินผ่านผู้ใหญ่ก็ต้องก้มหลัง มันทำให้ตอนนี้หนูติดเป็นนิสัยไปแล้ว จนคนอื่นอาจจะมองว่ามันเกินไปหรือเปล่า คนไม่รู้จักก็ไหว้ เพื่อนเคยถามว่า เฮ้ย! ขนาดภารโรงยังจะไหว้อีก จะไหว้ทำไม เราก็มองว่าภารโรงก็เป็นคน เป็นผู้ใหญ่ในโรงเรียน และเราก็รู้จักเขา เจอเขาทุกวัน มันเป็นสิ่งที่เราทำแล้วสบายใจ คนอื่นไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่เราทำดีกว่า
แม่บังอร: ส่วนใหญ่ก็เตือนก็ติลูกทุกเรื่องเลย แม่ถือว่าให้แม่ติแล้วให้คนอื่นชมดีกว่า ดีกว่าเราชมแล้วไปให้คนอื่นติ จริงๆ นะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิสัยใจคอ แม่จะบอกจะติทุกเรื่อง ถ้าเกิดเห็นว่าลูกไม่นอบน้อมถ่อมตน แม่จะไม่สบายใจ แต่ถ้าลูกนอบน้อม รู้กาลเทศะ แม่ก็จะสบายใจ บางครั้งแม่ก็ให้ลูกทั้งสองคนสำรวจตัวเอง บางทีเราสำรวจให้ลูกก็ไม่เท่ากับให้เขาสำรวจตัวเองว่าเราทำดีไหม คำหนึ่งที่แม่สอนมาตั้งแต่อนุบาลคือ ถ้าเราจะทำอะไร เราถามตัวเองก่อนว่ามันดีไหม ไม่ใช่ทำแล้ว แล้วค่อยมาถามตอนหลัง แล้วค่อยมาคิดว่ามันไม่ดี ให้คิดก่อนทำน่ะ พอสอนบ่อยๆ เขาก็จำ เขาก็ชิน
แต่ที่ผ่านมา แม่ก็ยังไม่เคยเห็นเปาเหลิงหรือข่มใครนะ ยังไม่เคยรู้สึกด้วยซ้ำว่าลูกเราคือเปาวลี พอไปคอนเสิร์ต เห็นคนมารอกันเยอะมาก เราถึงคิดขึ้นได้ว่า เออ! คนเขามาเพราะลูกเราคือเปาวลีนี่หว่า แต่เวลาอยู่กับลูก เห็นลูกแล้วไม่เคยนึกเลย เพราะเขาก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่คนยังไม่รู้จัก ยังชอบกินข้าวร้านริมทางกัน ร้านใหญ่ๆ ก็ไม่ชอบ ครอบครัวของเราไม่ชอบหรูๆ ไม่รู้ว่าทำไม เข้าไปกินได้นะ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ เราชอบอะไรบ้านๆ กัน ทุกวันนี้กินข้าวที่บ้านก็นั่งขัดสมาธิ ล้อมวงกัน จะไม่มีโต๊ะกินข้าวเลย เราชอบกันแบบนี้ เราก็ทำแบบนี้ ทุกวันนี้แม่ก็ยังเรียกลูกเป็น “ไอ้เปา” คนเดิมอยู่เลย (ยิ้ม)
เปาวลี: ตั้งแต่หนูมีผลงานเรื่องพุ่มพวง จนมีอัลบั้ม หนูก็คิดว่าหนูก็ไม่ได้ดังอะไรนะ ก็ยังเป็นเปาคนเดิม เป็นเปาที่ชอบร้องเพลง แต่ตอนนี้เราแค่มีงานเยอะขึ้น มีอาชีพหลักเป็นของตัวเองเกี่ยวกับการร้องเพลงและการแสดง มีคนชอบในสิ่งที่เราทำ แต่เราก็ไม่ได้ถือว่าเราดังแล้ว ก็พยายามทำให้เป็นแบบนี้ทุกวัน แล้วแม่กับพ่อก็จะคอยบอกเราตลอด มีพี่ๆ ทีมงานคอยสอนว่าพี่เห็นแบบนี้มาเยอะแล้ว บางครั้งก็มีแอบดูตัวเองบ้างเหมือนกันว่าเราเป็นแบบคนที่เขายกตัวอย่างหรือเปล่า
ความภูมิใจของเด็กบ้านนอก
เปาวลี: ถามว่าทุกวันนี้หนูภูมิใจเรื่องอะไรที่สุดเหรอคะ... (ยิ้มแฉ่ง) มันหลายอย่างมาก (หัวเราะแก้เขิน) ตั้งแต่เด็ก เราก็เป็นเด็กบ้านนอก เป็นเด็กสุพรรณที่ไม่ลืมถิ่น เราภูมิใจที่เราเป็นแบบนี้ เราไม่ได้ชอบอะไรหรูๆ
แม่บังอร: ภูมิใจที่เราเป็นบ้านนอก (หัวเราะ)
เปาวลี: (พยักหน้ารับทันที) ใช่ค่ะ หนูไม่อายเลยนะถ้าใครมาบอกว่าหนูบ้านนอก หนูดีใจนะ เพราะถึงเราก็ไม่ใช่คนที่หน้าตาสวย ไม่ได้เด่นกว่าคนอื่น แต่เราก็ถือว่าเราเป็นตัวของตัวเองดีกว่า เราภูมิใจที่จะเหน่อ ภูมิใจที่จะบ้านนอก แต่เราก็เป็นเรา เราไม่เหมือนใคร คนอื่นจะมองว่าเชย ว่าตลก แต่สำหรับเรา เราภูมิใจมากกว่า แล้วก็ภูมิใจที่เราร้องเพลงลูกทุ่งได้ ซึ่งวัยรุ่นคนอื่นอาจจะมองว่าเชยหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าพอเรามาร้องลูกทุ่งแบบนี้ เพื่อนๆ ก็เริ่มหันมาฟังกันบ้าง ก็ดีใจที่มีส่วนได้สืบสานเพลงลูกทุ่งค่ะ
แล้วก็ภูมิใจที่ได้ทำฝันของตัวเองให้สำเร็จไปก้าวหนึ่ง คือการเป็นนักร้องนี่แหละค่ะ เหมือนทำฝันของแม่ให้เป็นจริงไปแล้ว และอย่างสุดท้ายคือภูมิใจที่ได้ทำงานเลี้ยงครอบครัวค่ะ ภูมิใจเยอะมากเลย (หัวเราะ)
มันก็เหมือนความฝันเหมือนกันนะ เพราะแต่ก่อนตอนเห็นแม่ขายของที่ตลาดนัด มันหนักมาก เราก็คิดกับตัวเองว่าอยากรีบทำงาน รีบมีอาชีพ จะได้ให้แม่พ่อไม่ต้องทำงานแล้ว ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว ตอนที่ขายของ ทุกวันพ่อแม่ต้องหอบเต๊นท์ใหญ่ๆ ไปตั้งร้าน พ่อต้องตอกเหล็กกางเต็นท์ แม่ก็ต้องขนของจากกระบะมาตั้ง พอฝนตก ลมมา น้ำท่วมครึ่งหน้าแข้งก็ต้องเก็บของ บางครั้งขายไม่ได้ก็เศร้ากันไป ช่วงนั้นถือว่าลำบากจริงๆ แต่ตอนนี้สบายขึ้นแล้วค่ะ มีคุณพ่อเป็นคนขับรถให้ พี่ชายคอยเป็นซาวด์เพลง เป็น Sound Engineer ให้ตอนออกคอนเสิร์ต คุณแม่คอยดูแลหนู เป็นอุตสาหกรรมครอบครัวเลยค่ะ (หัวเราะ)
แม่บังอร: ส่วนแม่ แค่ลูกไม่ดื้อ แม่ก็ภูมิใจแล้วค่ะ แค่เขาเข้าใจว่าแม่ห่วงแม่รัก ไม่เคยมีท่าทางว่าจะเบื่อแม่ ทั้งๆ ที่แม่ก็ทำตัวติดกับเขาเป็นเงาเลย แม่จะเป็นโรคห่างลูกไม่ได้ ไม่งั้นมันจะเศร้า (ยิ้ม) เวลาไปกองละคร แม่นั่งดูมอนิเตอร์ได้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่งตีสอง แม่ก็อยู่ได้นะ มันมีความสุข ลูกก็ต้องมีเบื่อบ้างแหละ แต่เปาก็ไม่เคยแสดงออกเลยว่าเบื่อแม่ เขาอาจจะมีรู้สึกบ้าง แต่เขาก็เก็บไว้ ไม่ทำให้แม่น้อยใจเลย
ถึงลูกๆ ขี้หงุดหงิด
เปาวลี: หนูเชื่อว่าลูกๆ ทุกคนรักพ่อแม่นะ แต่บางครั้งก็อาจจะมีบ้างที่ฉุนเฉียวหรือเถียงบ้าง แต่โชคดีที่หนูไม่ค่อยเป็น หนูเป็นคนตัดอะไรได้ง่ายๆ (ยิ้ม) บางครั้งก็มีบ้างที่คิดว่าแม่พูดเรื่องเดียวทั้งวัน บางวันพูดข้ามวันด้วย สามวันติดเรื่องเดิมยังไม่จบเลย (หัวเราะ) ก็ต้องมีบ้างที่คิดว่า เฮ้ย! พอเห๊อะ (ยิ้มขี้เล่น) แต่หนูค่อนข้างนิ่งแล้วก็เก็บอารมณ์ แล้วก็เอาคำพูดแม่มาคิดก่อน ก็มีเบื่อบ้างเล็กน้อย แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าเขาห่วงค่ะ
จริงๆ แล้วเวลาอยู่กับบ่อยๆ เราก็แอบอยากมีพื้นที่ส่วนตัวเหมือนกันนะคะ เพราะเราก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง เทียบกับวัยรุ่นคนอื่นเขาอาจจะได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ก็ต้องยอมรับว่าชีวิตของเราตรงนั้นก็ขาดหายไป แต่เราก็ได้ทำงาน ได้อยู่กับพ่อแม่ มันก็ดีคนละแบบนะ เพื่อนๆ อาจจะสนุกสนาน แต่เราก็ได้ทำตามที่ฝัน ทำเพื่อครอบครัว มันก็ได้คนละอย่าง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ลูกๆ ทุกคนคิดก่อนทำ ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าไปฉุนเฉียว อยากให้นำคำที่แม่สอนมาคิดก่อนสักนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งใช้อารมณ์มากกว่า ขอให้คิดสักนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งไปอคติว่าสิ่งที่แม่พูดมันน่าเบื่อ เพราะถ้าฟังดีๆ จะรู้ว่าที่แม่พูดทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริง เป็นความจริงที่เราควรนำไปใช้ ก็อยากให้เห็นคุณค่า เห็นความปรารถนาดีของแม่
แล้วก็อยากให้รักแม่ทุกวัน แสดงออกได้ยิ่งดีค่ะ แต่ของหนูไม่ได้บอกทุกวันนะ (ยิ้มอายๆ) หนูเขิน เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่ต้องบอกกันทุกวันก็ได้มั้ง ก็มีหอมแก้มกันบ้าง ส่วนมากแม่จะเข้ามาหอมก่อน แล้วหนูก็หอมกลับ หนูว่าทุกคนน่ะมีความกตัญญูอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ว่าอาจจะแสดงออกอีกแนวหนึ่ง บางคนกตัญญูอยู่ในใจแต่อาจจะไม่ได้แสดงออกมาก
แม่บังอร: เขาเรียกว่ากตัญญูหลบใน (หัวเราะ)
เปาวลี: แต่บางคนก็แสดงออกว่ารักเลย ให้แม่ให้พ่อชื่นใจ ส่วนของหนู ความกตัญญู ถ้าจะให้นิยาม หนูคงพูดไม่ถูก ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วต้องทำยังไง รู้แค่ว่าทำให้พ่อให้แม่ไม่เครียด มันก็ดีแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าอาจจะมีอะไรที่ทำผิดไปบ้าง แต่แค่ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจก็พอแล้ว
แม่บังอร: ความกตัญญูที่แม่มองเห็นคือเปาจะไม่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนใจ คือถ้าเราเป็นห่วงเขาแล้วถ้าเขาไม่เห็นความเป็นห่วงของเรา เราก็คงเสียใจ แต่นี่เขาเห็นว่าเราเป็นห่วง เขาก็เข้าใจ เขาก็ยอม รู้ว่าแม่ห่วงนะ แม่เลยพูดเยอะ และเปาเขาก็จะฟังที่แม่คอยสอนคอยปรามตลอด แม่ว่าลูกๆ คนอื่นๆ ก็ต้องอดทนนะ ต้องรู้ว่าเพราะพ่อแม่รัก เขาก็เลยต้องห่วง ต้องพร่ำสอน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ให้สิ่งไม่ดีกับลูกหรอก มีแต่อยากจะให้แต่สิ่งดีๆ มีล้านเปอร์เซ็นต์ก็ให้ล้านเปอร์เซ็นต์แน่นอน
“โตโน่”...แลกทุกอย่างเพื่อ “ยิ้ม” ของแม่
“คนเราเกิดมา ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง อยากเป็นหมอ อยากเป็นนักร้อง เป็นนายกฯ ได้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ กะอีแค่ดูแลผู้หญิงที่คลอดเรามาคนเดียว... แค่ทำให้ท่านยิ้มและมีความสุขได้ แค่นี้ผมก็นอนตายตาหลับแล้วครับ”
นี่คือหนึ่งในเสี้ยวความคิดของสุภาพบุรุษลูกกตัญญูที่ชื่อ “โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” กับอีกหลายๆ มุมมองที่คุณต้องนับถือในฐานะลูกที่แสนกตัญญูของ คุณแม่ “น้อย-สุดลมโชย คำวิลัยศักดิ์” หากได้ทำความรู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาจากย่อหน้าต่อไปนี้
แค่อยากให้แม่สวยเหมือนเดิม
ก่อนอื่นผมต้องบอกว่ารู้สึกภูมิใจมากแล้วก็ปลื้มมากๆ ครับที่ได้รับเกียรติให้รับรางวัลลูกกตัญญูปีนี้ ผมก็ไม่เคยคิดหรอกว่าเราจะได้ เราแค่รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นหน้าที่ของลูก หน้าที่ของคนคนหนึ่งที่ควรจะทำ เพราะว่าแม่ก็เลี้ยงเรามา แล้วก็ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ เราเองก็ไม่ได้โตมาแบบครอบครัวที่สุขสบาย พวกผมลำบากด้วยกันมาก่อน เพราะว่าคุณพ่อเสียตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ผมยังอายุ 9 ขวบ บ้านก็เป็นหนี้หลายล้าน ค่ายมวยที่เคยทำก็ต้องล้มไป และคุณแม่ก็ต้องเลี้ยงผมกับน้องสาวตัวคนเดียว ท่านต้องทนลำบากมาตั้งแต่ตอนนั้น
สมัยก่อน ตอนที่ยังมีคุณพ่ออยู่ บ้านเราค่อนข้างจะมีพร้อม มีรถ มีทุกอย่าง ไม่เคยขัดสน แต่พอคุณพ่อเสีย เราก็ต้องขายทุกอย่างที่เคยมีเพื่อใช้หนี้ธนาคาร ขายของในบ้าน ขายบ้าน จากที่คุณแม่ไม่เคยต้องมานั่งทำงานหนัก ก็ต้องเปลี่ยนเป็นมานั่งทำทุกอาชีพเพื่อให้มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินข้าวให้พวกเรา มันก็เลยฝังใจเรามาจนถึงทุกวันนี้
ในตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้สามารถเป็นนายตัวเองได้ เอาง่ายๆ เลย ถ้าเกิดพี่เคยมีโต๊ะสนุกฯ พี่เคยมีทุกอย่าง แล้วจู่ๆ วันหนึ่งพี่เห็นคนมายกโต๊ะสนุกฯ ออกไปจากบ้านพี่ พี่จะทำใจได้ไหมที่จะเดินไปขอเงินแม่ บอกว่าขอเล่นเกมหน่อยครับ มันทำใจไม่ได้หรอก เราก็เลยทำยังไงก็ได้ที่จะไม่ต้องไปขอความช่วยเหลือเขาเรื่องเงิน เพราะเราก็รู้ว่าบ้านเราเป็นหนี้ แล้วแม่ก็เครียดมากว่าจะมีเงินจ่ายค่าดอกธนาคารไหม ต้องขายทอง ขายเพชรที่พ่อเคยซื้อให้แม่
เราตื่นมา เรามาเห็นแม่แอบร้องไห้ หรือมาเจอไดอารี่ที่แม่เขียนถึงพ่อว่าน้อยเหนื่อยจังเลย เราเป็นลูก เราจะมีหัวสมองมาคิดไหมว่าจะขอเงินแม่ยังไงดี (ส่ายหน้า) ไม่หรอกครับ มันก็เลยกลายเป็นความคิดอัตโนมัติว่าจะทำยังไงให้แม่กลับมาเหมือนในตอนที่แม่ยังมีพ่ออยู่ เพราะเรารู้ว่าในเวลาที่มีพ่ออยู่ มันมีความสุขขนาดไหน
ผมยังจำได้ดีในตอนที่พ่อคอยจับเราตั้งการ์ดสอนมวย มีแม่คอยยืนข้างๆ ให้น้ำพ่อ เวลาที่พ่อเหนื่อยหรือเราเหนื่อย (กะพริบตาถี่) เรานั่งเก็บลูกเห็บด้วยกันเวลาที่ฝนตก มันโคตรน่าจดจำเลย แต่พอวันหนึ่งมันไม่มี เราก็คิดว่ามันทำยังไงให้มันกลับไปมี ทุกอย่างก็เลยฝังอยู่ในใจเรา แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้คิดนะครับว่าผมอยากจะเป็นอะไร ผมไม่ได้มีความฝันว่าอยากจะเป็นหมอ เป็นทหาร หรือเป็นนายกฯ แต่ความฝันของผมคือ ทำอะไรก็ได้ให้เห็นแม่กลับมาสวยอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อก่อนแม่เราแต่งตัวสวย ยิ้ม มีความสุข แต่พอวันหนึ่งต้องมาเปิดร้านซักอบรีด ต้องใส่เสื้อผ้าขาดๆ ยกตะกร้าผ้าคนอื่น ซักกางเกงในเหม็นๆ (เงียบไปพักหนึ่ง) ภาพมันฝังใจเรา เราไม่อยากเห็น เราก็เลยอยากทำอะไรก็ได้ให้ท่านสบาย แค่นั้นเองครับ คิดว่าเราจะทำยังไงก็ได้ให้บ้านเรากลับมาเหมือนเดิม อยากให้แม่ยิ้ม อยากให้น้องมีโอกาสดีๆ เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เขา ผมคิดอย่างนี้ตั้งแต่ตอน 9 ขวบ ตอนที่เห็นแม่ร้องไห้
แต่ว่าตอนเด็กๆ เราก็ทำได้แค่ประมาณหนึ่ง ยังดูแลท่านไม่ได้ เราเริ่มต้นจากทำยังไงให้ไม่ต้องขอเงินท่าน ผมก็เอาของเล่นที่ผมมีไปขาย ที่ขอนแก่นจะมีเปิดท้ายขายของ เราก็ไปขอเช่าที่ของญาติเราที่เขาขายเสื้อผ้า เอาพวกของเล่นเก่าๆ ของเราไปตั้งขายด้วย เป็นของเล่นที่เรารักมาก หวงเกือบทุกชิ้นเลยครับ เพราะตอนคุณพ่ออยู่ คุณพ่อซื้อให้ เป็นของเล่นดีๆ พวกมาร์เวลคอมมิค ทั้งกัปตันอเมริกา สไปเดอร์แมน ตัวสวยๆ ทั้งนั้นเลย แต่เราอยากได้เงินก็เลยต้องยอมเอาไปขายตัวละ 50-60 บาท มีความรู้สึกว่าถ้าเรามีเงิน แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย พอเราเห็นคุณแม่ลำบาก เราก็พยายามทำทุกอย่าง จนมามีวันนี้
ได้เงิน ผมทำหมด!
ตอนคุณพ่อเสีย น้องอายุแค่ 2-3 ขวบ ยังเข้าใจแค่ว่าป๊าไปสวรรค์ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าที่บ้านลำบาก แต่ผมอายุห่างจากน้อง 7 ปี เริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่างได้แล้ว พอเราโตขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็เลยพยายามหาทางทำทุกอย่างที่มันจะได้เงิน เริ่มจากไปปั่นจักรยานแจกโปรชัวร์ตอนม.ต้น พอดีผมไปสมัครเรียนคอมพิวเตอร์กับเพื่อน ครูเห็นแล้วสอนเขาสงสาร ก็เลยให้เราแจกโปรชัวร์และสอนคอมพิวเตอร์ให้เราฟรี แถมให้เงินด้วยวันละ 300 บาท แต่ต้องแจกให้หมดปึกนะ ผมเองก็ชอบปั่นจักรยานอยู่แล้ว เราก็ปั่นไปหนีบตามรถกับเพื่อนเราสองคน
แล้วก็ไปเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร พอช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่หัวหิน ก็หุ้นกับเพื่อน เปิดร้านนมขายหน้ามหาวิทยาลัย แล้วก็เล่นดนตรีตอนกลางคืน ทำหลายอย่างมากครับ แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าลำบากใจ เพราะเราก็รู้สึกว่าอย่างน้อยก็หาเงินได้เอง ไม่ต้องเป็นภาระให้ที่บ้าน ผมอาจจะไม่ได้เกรดดีๆ สวยๆ อย่างคนอื่น ไม่ได้หวังเกียรตินิยม ผมขอแค่เรียนให้จบได้ตามเกณฑ์ ให้จบไวที่สุด เพื่อผมจะได้ทำงานและเลี้ยงดูคนที่ผมรัก
สมัยมหาวิทยาลัย ผมเรียนวิทยาลัยการบินที่หัวหินครับ ที่เลือกเรียนก็เพราะเป็นคณะที่สามารถทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยได้ ทุกซัมเมอร์ ผมจะลงเรียนตลอด เพื่อให้จบได้ไวๆ แล้วผมก็จบได้ภายใน 3 ปี คิดว่าจบไวจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมนาน พอจบปุ๊บ ผมก็ไม่ได้ไปถ่ายรูปรับปริญญาเพื่อที่จะไปเยอรมัน ไปทำงาน เอาภาษา เก็บประสบการณ์ที่นั่น 3 เดือนครับ ก็ไปเป็นเด็กล้างจานกับขัดส้วมที่นู่น ทำงานที่คนอื่นเขาไม่ยอมทำกันน่ะครับ (ยิ้ม) เพราะเราเห็นว่างานพวกนี้ที่คนอื่นเขาไม่ทำนี่แหละที่ได้เงินเยอะ
ถ้าล้างจานเฉยๆ เขาให้แค่วันละ 20 ยูโร แต่ขัดส้วมด้วย เขาให้เพิ่มอีก 20 ยูโร ตกวันหนึ่งผมได้ 40 ยูโร เท่ากับวันละ 2,000 บาท ผมก็เลยทำครับ คิดว่าทำไปเรื่อยๆ ก็น่าจะเก็บตังค์คืนญาติที่ขอยืมเงินค่าเครื่องบินเขามาได้ ได้ตังค์กลับมาก็มาใช้หนี้เขา ที่เหลือก็เอาไปซื้อพวกตู้เติมเงินมือถือให้แม่ พอมีคนมาเติมเงินครั้งหนึ่ง เราก็จะได้กำไรครั้งละ 3 บาท คิดว่าเป็นการลงทุนที่น่าจะคุ้ม เพราะสิ่งที่เราซื้อให้แม่ไว้ มันไม่ใช่เงินก้อนที่ให้แม่เอาไว้ใช้เฉยๆ แต่มันสามารถสร้างกำไรได้ ก็เลยซื้อให้แม่ครับ เพราะตั้งใจว่ากลับมาจากเยอรมัน เราต้องไปเล่นดนตรีที่หัวหินเหมือนเดิม พอเสาร์-อาทิตย์ก็ทำงานขับรถส่งของให้เขาไปด้วย
ส่วนคุณแม่ ทำซักอบรีดตั้งแต่คุณพ่อเสียจนผมจบมัธยม แล้วก็เปลี่ยนมาทำงานเป็นเลขาฯ เป็นคนทำบัญชีในบริษัทรถสิบล้อขนส่งของญาติทางพ่อแทน ได้เงิน 8-9 พันบาทต่อเดือน เทียบแล้วได้เงินน้อยกว่าตอนทำซักอบรีด ที่ได้ตกเดือนละหมื่นกว่าๆ แต่มันเหนื่อยน้อยกว่ากันเยอะ แม่ก็อายุมากขึ้น ท่านก็คงจะไม่ไหว บวกกับผมเองก็ไม่ได้เป็นภาระ ผมก็สบายใจจะให้แม่ทำงานที่ใหม่มากกว่า โชคดีที่แม่แนะนำให้ผมสมัครเดอะสตาร์ ตอนนั้นอายุ 23 ปี ก็รู้สึกว่าไปสมัครก็ไม่เสียหายอะไร และเป็นสิ่งที่เรารักด้วย เพราะตอนนั้นผมก็เล่นดนตรีอยู่ในผับที่หัวหินทุกคืน พอคิดว่าเราคงได้ทำสิ่งที่มีความสุข ก็เลยลองดู คิดว่าเผื่อฟลุคขึ้นมามันสามารถพลิกชีวิตเราได้ แล้วมันก็พลิกได้จริงๆ
วันที่แม่ร้องไห้
พอรู้ว่าผมติดเดอะสตาร์ ผมเห็นเลยว่าแม่ดีใจขนาดไหน ยังไม่ต้องพูดถึงตอนติด 1 ใน 8 คนสุดท้ายนะ แค่รู้ว่าผมติด 1 ใน 20 แม่ก็ดีใจร้องไห้แล้วครับ รู้เลยว่าถ้าเขาห่วงเราขนาดไหน ถ้าจะให้เราไปทำงานตอนกลางคืน หามรุ่งหามค่ำ แม่ก็คงไม่สบายใจ เราก็เลยมุ่งมาทางนี้ คือใจจริงแล้วถ้าพลาดเดอะสตาร์ ผมกะไปทำงานที่เยอรมันอีก เพราะคิดว่าเป็นหนทางที่จะหาเงินช่วยครอบครัวได้มากที่สุด แต่มันต้องรอขอวีซ่าให้ห่างจากเดิมก่อน ประมาณ 6 เดือน ระหว่างรอ ผมวางแผนทุกอย่าง จองตั๋วเครื่องบินไว้หมดแล้ว แต่ได้ติดเดอะสตาร์พอดี ถือว่าเป็นดวงจริงๆ ครับ
ตอนอยู่ในบ้าน เราก็ยังไม่รู้ว่าจะดังหรือไม่ดัง จะมีงานหรือไม่มีงาน รู้แต่ว่าไหนๆ ได้เข้ามาแล้ว ถึงมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน มันก็ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เพราะว่ามันไม่ได้ใช้เส้นเลย แต่เข้ามาเพราะการคัดเลือกจริงๆ เราก็เลยอยากทำให้เต็มที่ แล้วยิ่งตอนออกมาจากบ้านแล้ว เราก็ได้เรียนรู้อีกหลายอย่างเลย จากแต่ก่อนคิดแค่เรื่องจะทำเพื่อแม่เพื่อน้อง เราก็ได้มารู้ว่างานที่เราทำ นอกจากแม่กับน้องเรามีความสุขแล้ว มีคนอีกไม่รู้กี่คน เขามีความสุขไปกับเราได้ เราสามารถทำให้คนที่เขาไม่รู้จักเราเลย และเราก็ไม่รู้จักเขา ยิ้มแล้วก็หัวเราะไปกับเรา ยิ่งย้อนมองกลับไปในหลายๆ เรื่องที่เคยผ่านมา เคยลำบากมา ยิ่งรู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน
ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้รวย ไม่ได้มีเงินหลายๆ ล้าน บ้านก็ยังต้องจ่ายธนาคารอยู่ แต่สิ่งที่ผมได้คือแม่ผมมีความสุข แม่ผมไม่ต้องมาคอยนั่งคิดมากว่า เดือนนี้ค่าน้ำค่าไฟจะพอไหม แต่ก่อนเป็นอย่างนั้นตลอด เดือนชนเดือน กินข้าวยังต้องกะไว้เลยว่ากินกัน 4 คน มีแม่ น้อง ผม แล้วก็ยาย อย่าเกินมื้อละ 120 บาท (ยิ้มปลงๆ) แต่ทุกวันนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้วครับ แม่ก็ยังทำงานเป็นเลขาฯ บริษัทขนส่งเหมือนเดิม ได้เงินเท่าเดิม แต่เขามีความสุขมากขึ้น เขาไม่เครียดแล้วไงครับ จากแต่ก่อนต้องคิดตลอด ปลายเดือนมาทีไรทั้งค่าเทอมน้อง ค่าเสื้อผ้า ค่าเรียนพิเศษ แต่ตอนนี้แม่ไม่ต้องคิดแล้วครับ เพราะผมเป็นคนทำเองทั้งหมด ก็มีความสุขนะครับ
แล้วเดี๋ยวนี้เวลาแกไปไหน มีคนมาทักตลอด อุ้ย! แม่โตโน่ (ยิ้มอย่างปลื้มใจ) เงินก็ซื้อไม่ได้นะครับ แม่ก็หน้าบานเลย (หัวเราะ) แม่ดูเป็นสาวขึ้น กลับมาสวยเหมือนเดิม อย่างที่เราเคยฝันไว้เลย เคยฝันไว้ว่าเราจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้เหมือนตอนที่พ่อยังอยู่ ตอนที่แม่เรา-น้องเรามีพร้อม ให้แม่ได้อยู่อย่างสบายๆ บ้าง แม่เหนื่อยมามากแล้ว แล้วพอเราทำได้ เราก็รู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่ทำให้เราหายเหนื่อย ผมทำงานทุกวันนี้ก็ไม่ใช่สบายนะ งานก็หนัก แต่พอมองย้อนไปในสิ่งที่เราผ่านมา ก็รู้สึกว่ามันคุ้มแล้ว
แต่ก่อนนี้ตอนช่วงวัยรุ่น ประมาณม.ปลาย ผมเคยทำให้แม่เสียใจจนร้องไห้ เพราะเคยมีเรื่องตีกันกับเพื่อนในห้อง แต่เห็นน้ำตาแม่ครั้งเดียว ผมก็ไม่ทำอีกแล้วครับ หลังๆ ถ้าจะให้แกร้องไห้ อยากให้ร้องไห้เพราะความปลาบปลื้มอย่างเดียว (ยิ้มตาหยี) ร้องไห้เพราะผมเข้าเดอะสตาร์ได้ ผมมีงานทำ ผมซื้อบ้าน ซื้อที่ให้เขา แค่นี้แกมีความสุขแล้วครับ
ทุกวันนี้ผมยังถือคติเดิมครับ ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนและอย่าไปเดือดร้อนคนอื่น ไม่ว่าเราจะเป็นดารา เป็นนักเรียน หรืออะไรก็ตาม การไม่ทำตัวให้เป็นภาระคนอื่น ผมคิดว่ามันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีตัวตนได้แล้วนะ แค่ไม่เป็นกาฝากของใคร ไม่เกาะใครกิน แค่นั้นก็มีศักดิ์ศรีเท่ากับทุกคนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรวย-คนจน แค่ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมคิดว่าพอแล้วครับ แต่พอโตขึ้น ยิ่งทำให้คนอื่นได้มากก็ยิ่งดี และผมก็จะทำต่อไป
เลี้ยงดูน้อง-แม่ ไม่ใช่ภาระ
ผมไม่เคยมองว่าเป็นภาระเลยจริงๆ ครับ มันไม่ใช่เลย (น้ำเสียงหนักแน่น) การที่คนเราคิดอยากจะทำอะไรแล้วได้ทำเนี่ย เราจะไม่รู้สึกว่ามันหนักหรอกครับ เลยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระอะไร ถ้าคิดแล้วทำเลย เราจะไม่มาคอยนั่งเครียดว่า เฮ้ย! เมื่อไหร่จะได้วะ เมื่อไหร่จะรวยวะ เพราะเราทำอยู่ตลอด วันนี้หาได้ 120 ก็คือได้เท่านั้น แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้รบกวนครอบครัว แต่พอยิ่งโตขึ้น เราก็ยิ่งมีวิธีที่จะหาเงินได้เยอะขึ้น รับผิดชอบตัวเองได้มากขึ้น พอถึงวันนี้ ได้มาทำตรงนี้ด้วย ก็เลยโชคดีไป
ที่ผ่านมา มันก็สอนอะไรเราหลายๆ อย่างนะครับ ผ่านอะไรมาเยอะ ทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าทำไมเราโชคร้ายจังเลย ไอ้ไม่เข้าใจมันก็ไม่เข้าใจนะ ว่าทำไมพ่อต้องมาตายก่อน เพราะว่าพ่อแข็งแรง ไม่ได้ดูดบุหรี่ ไม่ได้ดื่มเหล้า แต่เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตก อยู่ดีๆ ก็เป็นด้วย คุณหมอบอกถ้าเปรียบเทียบแล้วเหมือนคนถูกล็อตเตอรี่ คืออยู่ดีๆ จะเป็นก็เป็น เส้นเลือดอยู่ดีๆ ก็พองแล้วก็แตก แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้มันดีขึ้น
ทุกวันนี้ง่ายๆ เลยก็พยายามทำสิ่งที่จะทำให้แม่ยิ้มและมีความสุขได้ครับ เพราะจริงๆ แล้วผมว่ามันไม่จำเป็นที่เราต้องซื้อบ้านราคาหลายล้าน หรือต้องซื้อทองซื้อเพชรให้ท่านหรอกครับ ถึงผมจะไม่ได้เป็นดารา ผมก็จะทำให้แม่ผมยิ้มทุกวันครับ ไม่ว่าผมจะได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัล โถพี่ คนเราเกิดมา ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง อยากเป็นหมอ อยากเป็นนักร้อง เป็นนายกฯ ได้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ กะอีแค่ดูแลผู้หญิงที่คลอดเรามาคนเดียว มันไม่จำเป็นเลยครับว่าเราจะเป็นอะไร เราเป็นอะไรเราก็ดูแลท่านได้ เราก็คิดแค่นั้นแหละครับ เพียงแค่พอเราโตขึ้นเรื่อยๆ พอมีงานที่ดี มีโอกาสที่ดี สิ่งที่เราให้มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่ามันลำบากอะไร แค่นั้นเองครับ
คนอื่นอาจจะบอกว่าต้องรอให้พร้อมก่อน ให้มีเงินเท่านี้ก่อน ถึงจะดูแลพ่อแม่ได้ แต่ผมว่าไม่เห็นจำเป็นเลยครับ เพราะเรารักท่านครับ เราเลยอยากดูแล ไม่เห็นจำเป็นเลยว่าเราต้องอายุเท่าไหร่ถึงจะดูแลได้ ไม่ต้องรอให้หาเงินได้เป็นล้านหรอกครับ เรารู้แค่ว่าเราอยากทำ เราก็ทำ เราไม่รู้นี่ครับว่าเราจะตายวันไหน อย่างพ่อเราที่แข็งแรงอยู่ดีๆ อายุ 36 ปี อยู่ดีๆ ก็ตาย เพราะฉะนั้น เราไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง ทำในแต่ละวันให้มันดี ทำแต่ละวันให้เขายิ้มดีกว่า วันนี้ทำให้เขายิ้มแล้วหรือยัง ถ้าทำแล้วก็โอเคแล้ว ตายไปจะได้ไม่เสียใจ ตัวผมเอง ผมก็ไม่ได้ความฝันว่าอยากมีรถสปอร์ตขับ ต้องเก็บตังค์ซื้อให้ได้ ความฝันของผมคือทำเพื่อคนที่ผมรัก ให้คนที่ผมรักยิ้ม เวลาผมตายไป ผมจะได้ตายตาหลับ
ผมเข้าใจนะครับเวลาที่เราไม่มีเวลาหรือเวลาที่เหนื่อยเป็นยังไง แต่เราดูดนมเขามา โตมากับเลือดเขาครับ ที่มีอยู่ในตัว ที่วิ่งอยู่ก็คือเลือดของเขา ดังนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่อยู่เหนือเหตุผลสำหรับผม
หลายๆ คนอาจจะมีเหตุผลของตัวเองที่จะรัก จะชอบ หรือจะปฏิบัติต่อใครแตกต่างกันไป แต่สำหรับผมมีอยู่แค่สองอย่างที่ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรเลยแล้วผมรัก คือ “ในหลวงและพ่อแม่ของผมครับ” ไม่ต้องมีเหตุผลว่าทำไมต้องรัก รู้แค่ว่าในหลวงท่านคือพระเจ้าแผ่นดินของผม ผมเหยียบอยู่บนแผ่นดินของท่าน ส่วนคุณแม่ผม ผมเกิดมาได้เพราะเขา เขาเลี้ยงดูผมมา
เพียงพอแล้วครับที่ผมจะทำทุกๆ อย่างเพื่อให้เขายิ้มหรือให้เขามีความสุข อย่าลืมว่าเราโตมาได้เพราะท่านครับ
---ล้อมกรอบ---
นี่แหละ “แม่ของเรา”
ถึงจะมีก๊อบปี้หรือโคลนนิ่งกันยังไง แต่รับรองว่าลูกๆ ทั้งสองคนนี้ต้องจับได้อย่างแน่นอนว่าคนไหนแม่ตัวจริง-แม่ตัวปลอม เพราะทั้งคู่ยืนยันว่าไม่มีใครเหมือนคุณแม่คนเก่งของตัวเองแล้วจริงๆ
“แม่บังอร” ของหนู
คุณแม่เป็นเทรนเนอร์อันดับหนึ่งจริงๆ ค่ะ เทรนให้เราตั้งแต่เด็กเลย ตอนแรกหนูเอื้อนแบบลูกทุ่ง ทำลูกคอไม่เป็นเลย ก็พยายามดูจากแม่ตอนเขาร้องเพลง แม่ก็ค่อยๆ สอน มันก็ได้เอง หรืออย่างเวลาหนูใจเสียก่อนขึ้นคอนเสิร์ต เวลาเห็นคนน้อยๆ หนูจะเศร้าค่ะ (หัวเราะ) แต่เวลาคนเยอะๆ จะตาใสเลย
เคยมีคอนเสิร์ตที่ชุมพรล่าสุดนี่เอง ฝนตกหนักมาก เต็นท์กองรวมกันหมดเลย เหลือคนดูแค่ 4 คนหน้าเวที ตอนแรกนี่ใจหายเลย แต่แม่บอกว่า ถึงจะมีคนดูแค่ 4 คนหรือหมื่นคน ก็ต้องเล่นให้เต็มที่เท่ากัน ต้องให้ค่าเท่ากัน หนูก็เลยทำใจแล้วก็ทำให้เต็มที่ พอร้องไปสักพัก พิธีกรประกาศว่าตอนนี้น้องเปาวลีขึ้นร้องเพลงแล้ว ฝนเริ่มซา คนก็เริ่มมา จากสี่คนก็กลายเป็นร้อยกว่าคน ตอนแรกเงียบถึงขนาดต้องร้องแข่งกับเสียงอึ่งแถวนั้นเลยค่ะ เขาปลูกนาอยู่แถวนั้นพอดี เขียดก็ร้องแอ้บๆ ดังมาก กลบเสียงนักร้องหมดเลย (หัวเราะ)
ตอนที่ยังไม่ได้เป็นนักร้อง เคยเกือบจะถอดใจแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นประกวดรายการ “คว้าไมค์คว้าแชมป์” ตอนประกวดเครียดมากเพราะป่วยหนักมาก เป็นทอมซิลอักเสบ มีหนองในคอ เสียงแหบ ร้องไม่ค่อยไหว แต่ต้องออกไปร้องสองรอบ รอบแรกเขาให้ร้องเพลงช้า พอร้องไปก็รู้ตัวเลยว่าเสียงไม่ไหวเลย เอาไม่อยู่แล้ว แพ้แน่ๆ (สีหน้าถอดใจ) ใจเสียแล้ว
พอรอบต่อไป จะต้องร้องเพลงเร็วแล้ว ก่อนขึ้นร้องก็มานั่งตักแม่ แม่ก็บอกไม่เป็นไร เพลงช้าไม่ดีก็ไม่เป็นไร แต่เพลงต่อไปเพลงเร็ว เสียงเราเป็นแบบนี้ มันแก้ไม่ได้แล้ว ก็แสดงให้เต็มที่ ให้ทุกคนสนุกไปกับเรา เน้นเอนเตอร์เทนไปเลยดีกว่า ปรากฏว่ากรรมการชอบ สุดท้ายก็ได้แชมป์ไป (ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม) ที่มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะมีคุณแม่เป็นเทรนเนอร์อันดับหนึ่งจริงๆ ค่ะ
“แม่น้อย” ของผม
คุณแม่ไม่เคยคาดหวังอะไรในตัวผมเลยครับ ไม่เคยบังคับผมเลยว่า โน่ต้องเป็นหมอ ต้องเป็นวิศวะ หรือต้องเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีๆ เพื่อเชิดชูวงศ์ตระกูล ไม่เลย แม่ขอแค่ให้ผมเป็นคนดี นี่คือสิ่งเดียวที่แม่ขอ เวลาผมบอกว่า แม่...ผมเรียนไม่เก่งนะ ได้เท่านี้ แม่ก็จะบอกว่า “ไม่เป็นไรลูก ขอแค่เป็นคนดีก็พอ” แค่ซื่อสัตย์ ไม่ไปขโมย ไม่ไปติดยา แค่นั้นก็พอ
แล้วผมจะคุยกับแม่ทุกเรื่องเลย เวลาโดนใครทิ้งก็เล่าให้เขาฟัง ตอนอกหักครั้งแรก ผมก็ไปนอนตักแม่ ให้แม่นวดให้ (เล่าไปยิ้มไป) จีบหญิงไม่ติดครับ ไปชอบรุ่นพี่ ตอนนั้นอายุประมาณ 14 ไปชอบรุ่นเดียวกัน แต่เขาไปชอบรุ่นพี่ รุ่นพี่มีมอเตอร์ไซค์แต่เราปั่นจักรยาน ก็อันนี้แหละครับที่รุ่นพี่ซื้อหมา เราซื้อตุ๊กตาหมาให้เขา เลยอกหักเลย (หัวเราะ) แม่ก็จะบอกว่าเดี๋ยวเอ็งก็ไปชอบคนอื่น แล้วก็จะบอกว่าเอ็งมันโง่ ไม่เคยตามใครเขาทัน ซึ่งก็จริงๆ ครับ ภายนอกเราเป็นคนดูเก๋าเกม รู้หมดทุกอย่าง แต่ให้ตายเถอะ พอเจอจริงๆ เราตามไม่ทันจริงๆ
แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับที่ซื่อ แม่ผมก็ซื่อมาก (เน้นเสียง) มากรุงเทพฯ ทีไร หลงทางตลอดครับ หรืออย่างตอนไปเดินห้างฯ ผมหาแม่ไม่เจออยู่นานมาก สงสัยว่าทำไมไม่ออกมาจากห้องน้ำเสียที จริงๆ คือแม่เขาหาที่เปิดก๊อกน้ำไม่เจอครับ ไม่รู้ว่ามันเป็นก๊อกแบบเซ็นเซอร์ครับ แกซื่อมากครับ (หัวเราะอย่างเอ็นดู) เจอแฟนคลับก็ตามมุกเขาไม่ค่อยทัน คิดอะไรไม่ค่อยออก ซื๊อซื่อ นี่แหละครับแม่ผม
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร