ถ้าเป็นประชาชนคนธรรมดา จะทวีต-โพสต์-อัพโหลด หรือแชร์ ข้อความ รูปภาพ คลิป และอัพเดตชีวิตใดๆ ก็คงไม่มีใครมาคอยสนใจ นอกจากกลุ่มเพื่อนของคนคนนั้น แต่ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “คนของประชาชน” เป็นบุคคลสาธารณะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาเผยแพร่บนโลกออนไลน์จึงกลายเป็นข่าว เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมวงกว้างทันที โดยเฉพาะยุคที่ข้อมูลทุกอย่างเดินทางได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เห็นทีว่าเหล่าดาราคงต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียแล้ว ก่อนจะเผยแพร่ข้อมูลใดๆ ออนไลน์ มิเช่นนั้น ความซวยอาจมาเยือน คนดังอาจดับได้เพียงข้ามคืน ด้วยเหตุที่ว่า คิดก่อนโพสต์น้อยเกินไป!
ทวีตจนถูกแบน!!
ก่อนหน้านี้ก็เป็นที่รู้กันในวงการว่า “แป้ง-อรจิรา แหลมวิไล” คือสาวมั่น กล้าคิดกล้าทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นั่นก็เป็นเรื่องยอมรับกันได้ แต่ถึงวันนี้ เมื่อความกล้าของเธอมาเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องการเมือง โดยการโผล่ไปร่วมฉลองงานวันเกิดนักโทษหนีคดีอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ถึงเกาะฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องที่เคยรับได้จึงกลายเป็นรับไม่ได้ไปในทันที
หลังจากรูปถูกทวีตขึ้นบนหน้าเพจของเธอ ด้วยน้ำมือของเธอเอง บรรดาแฟนละครและคนไทยอีกหลายล้านคนซึ่งไม่ใช่ประเภทความจำสั้น ยังคงจดจำประวัติศาสตร์การโกงกินชาติบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ก็ถึงกับลุกฮือกันออกมาต่อว่าและต่อต้านการกระทำในครั้งนี้ เกิดกลายเป็นสงครามคอมเมนต์ระหว่างคนรักแป้งและคนรักชาติ ทะเลาะกันข้ามวันข้ามคืน กระทั่งคนจำนวนไม่น้อยในสังคมตัดสินใจออกมาประกาศกร้าวว่าจะขอแบนทุกผลงานของนางเอกหน้ายาวคนนี้ไปแล้ว โดยเฉพาะละครเรื่องล่าสุด “นางสิงห์สะบัดช่อ” และซิตคอมเรื่อง “เป็นข่าว” ของค่ายเอ็กแซ็กต์ซึ่งกำลังออกอากาศอยู่
ถึงแม้แป้งจะออกมาทวีตข้อความอธิบายในภายหลังว่า “เป็นเพื่อนกันค่ะ รักเพื่อน ไม่แบ่งแยก จบ” แต่ดูเหมือนว่าเชื้อไฟที่เธอก่อขึ้นนั้นกลับไม่พร้อมยอมจบและยากที่จะมอดดับลงเสียแล้ว หลายคนเข้าใจในดีว่าเธอเป็นคนรักเพื่อน จึงลงทุนเดินทางไปร่วมงานตามคำเชิญของเพื่อนรัก “เอม-พิณทองทา” แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องโพสต์รูปให้สังคมได้รับรู้ในเรื่องที่ไม่น่ารู้เช่นนี้ด้วย มันส่อเจตนาลึกๆ ว่าอยากประกาศตัวให้เห็นแจ้งแดงแจ๋กันไปเลย หรือมองในแง่ที่ดีขึ้นมาหน่อย เรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะเธอคิดถึงผลที่ตามมาน้อยเกินไป แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ในเมื่อกล้าโพสต์แล้ว เธอคงต้องยอมรับผลของมัน
ซวยเพราะโพสต์การเมือง
ไม่ใช่แป้งคนเดียวที่เคยตกอยู่ในห้วงแห่งความ “ซวย” เพราะพฤติกรรมการโพสต์ของตัวเอง หากย้อนมองดูอดีตจะเห็นว่ายังมีเพื่อนร่วมวงการอีกหลายคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันมาแล้วหลายครั้งหลายครา
ยกตัวอย่าง “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย” ในกรณี “อากง” เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หากยังจำกันได้ อากงหรือ “อำพล ตั้งนพคุณ” คือหนึ่งในกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งถูกศาลอาญาตัดสินให้จำคุก 20 ปีด้วยข้อหาคดีดูหมิ่นเบื้องสูงผ่านทาง sms ระหว่างขอพระราชทานอภัยโทษเกิดเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเสียก่อน ผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันจึงถือโอกาสใช้ร่างไร้วิญญาณของเขาแห่แหนเรียกร้องความเห็นใจและใช้เป็นข้ออ้างขอแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 112 ซึ่งเป็นหมวดหมู่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ จนเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมวงกว้างว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วหรือ?
แต่คนที่แสดงความคิดเห็นได้ดุเดือดที่สุดขณะนั้น คงหนีไม่พ้นตั๊ก-บงกช ซึ่งนำรูปเหตุการณ์ดังกล่าวมาแชร์ผ่านหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอเอง จนเป็นเหตุให้กลุ่มแดงพัทยาตามขับรถไล่กวดรถยนต์ส่วนตัวของนางเอกสาวเซ็กซี่รายนี้ ทั้งยังบีบแตรลั่น ตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคาย ข่มขู่สารพัด เล่นเอาตั๊กและทีมงานซึ่งลงพื้นที่เพื่อไปถ่ายทำภาพยนตร์ขณะนั้น ถึงกับขวัญหนีดีฝ่อจนต้องล้มกองถ่ายไปในที่สุด และย่อหน้าข้างล่างนี้คือความคิดเห็นของเธอบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นชนวนของความโกรธแค้นทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“เวรกรรมของอากง...แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น... ถึงฉันจะเปิดนม เปิดอะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี อะไรก็ตามที่คุณจะสันหามาด่า แต่ฉันก็ไม่โง่... แล้วเมื่อไหร่คุณจะตายคะ จะได้ไปช่วยอากงต่อในนรก เพราะอากงคุณตกนรกแน่ จากกรรมที่หมิ่นพ่อของฉัน... คุณรักอากง ฉันก็รักครอบครัวพ่อของฉัน ทำไมเหรอ”
คิดให้เยอะก่อนแชร์
ไม่ใช่แค่โพสต์เรื่องการเมืองเท่านั้นที่สามารถนำความซวยมาให้เหล่าคนดังได้ แม้แต่การตั้งสเตตัส อัพเดตความคิดตัวเองก็เป็นข่าว เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้เหมือนกัน อย่างที่ “พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” ของขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อรู้ตัวว่าถูกมือดีบางคนกำลังพยายามแฮ็กอินสตาแกรมของเธอ จนต้องโพสต์ข้อความออนไลน์ขึ้นด่าว่า “ไอ้เ-ี้ย บ้านมึงขาด Followers เหรอ”
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่อินสตาแกรมของพลอยจะถูกแฮกหรือเปล่า แต่อยู่ที่คำพูดคำจาของเธอต่างหาก จากปกติ คิดว่าเป็นคนตรงๆ แรงๆ อยู่แล้ว นี่ดันแรงกว่าที่คาดคิดเอาไว้หลายเท่า ห่ามถึงขนาดกล้าโพสต์ถ้อยคำเหล่านี้ออนไลน์โดยไม่แคร์ภาพลักษณ์นางเอกแม้แต่นิดเดียว เมื่อถูกจี้ถามในจุดนี้ พลอยก็ให้เหตุผลโต้กลับสังคมมาว่า
“คำพูดพวกนี้ใครๆ ก็พูดกัน พลอยไม่ใช่แฟนต้ายุวทูตหรือเยาวชนดีเด่น ที่จะต้องทำตัวถูกต้องตลอดเวลา พลอยก็คน พลอยไม่ชอบนะ ที่เอะอะ อะไรก็ดาราต้องเป็นคนดีของเยาวชน ถ้าคิดว่าไม่สุภาพก็ขอโทษด้วยนะคะ แต่อย่างที่บอก เรามีเจตนาตลกร้ายเท่านั้นเอง”
“ทาทา ยัง” คืออีกคนที่โดนสังคมรุมประณามว่าโพสต์ภาพไม่เหมาะสมลงไปในอินสตราแกรม นั่นก็คือภาพคีบบุหรี่นั่นเอง ครั้งแรกที่ชาวเน็ตเห็น หลายคนพยายามเดากันไปต่างๆ นานาว่าในมือของทาทานั้นคืออะไร พอคำตอบสุดท้ายคือบุหรี่เท่านั้นแหละ เจ้าของเพจก็โดนจวกยับ หาว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน ยังดีที่เจ้าตัวออกมาขอโทษขอโพยสังคม ยอมรับผิดและอธิบายถึงมุมมองของตัวเองที่คิดต่างออกไป เรื่องก็เลยจบ
“เป็นเพราะว่าทาคิดน้อยไปนิดหนึ่ง ตอนนี้ก็ได้ลบภาพนั้นไปแล้วค่ะ ทาเชื่อว่าคนที่ตามทาในอินสตาแกรม คือคนที่อยากจะรู้ชีวิตประจำวันของทา แต่ถ้าเกิดทำอะไรออกไปแล้วประชาชนไม่ชอบ ทาก็พร้อมที่จะแก้ไข ต่อไปก็คงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มากขึ้นค่ะ เพราะว่าอินสตาแกรมมันเป็นอะไรที่ทาอยากจะแชร์เอง ไม่ใช่ว่าใครจะเอามาใส่ เพราะฉะนั้นความผิดมันก็จะอยู่ที่ทาเอง แต่ถ้าถามความรู้สึกของทาต่อกระแสของภาพนี้ ทาไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เพราะทาไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ทาว่าภาพที่ทาลง มันไม่ได้ต่างไปจากรูปที่ถือแก้วไวน์ แต่เราต้องยอมรับในประเทศของเราเป็นประเทศไทย ทาเลยอาจจะทำให้คนรู้สึกผิดหวัง”
เห็นหลายๆ ตัวอย่างแบบนี้แล้ว อดนึกถึงคำที่ “บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ทวีตทิ้งเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ข้อความในทวิตเตอร์ ดังกล่าว คาดการณ์กันว่าเป็นสิ่งที่เขาอยากเตือนเด็กในสังกัดอย่างแป้ง-อรจิรา อย่างอ้อมๆ หลังจากนางเอกสาวโพสต์ภาพแฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูในฮ่องกงจนเป็นเหตุให้ถูกแบน แต่ถือเป็นประโยคคลาสสิคที่เหล่าดาราควรท่องให้ขึ้นใจเลยทีเดียว
“@BoyTakonkiet: เมื่อไหร่ดาราจะเข้าใจซะทีว่าการ post ใน Twitter&Instagram ก็ไม่ต่างจากการให้ข่าวในหน้าบันเทิงดีๆ นี่เอง...อะไรที่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้โลกรู้ ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องโพสต์เลย โตๆ กันแล้วน่าจะรู้ เจอแบบนี้ถ้าเป็น โอม ณ เป็นข่าว จะทำยังไงหนอ?!? คงเครียดน่าดู :(”
สงคราม “น้ำลาย” ระหว่างคนดัง
อย่างที่บอกว่าสังคมออนไลน์ ไม่ว่าข้อมูลข่าวสารเรื่องอะไรก็เดินทางไปได้อย่างรวดเร็วไปเสียหมด ถ้าคิดน้อยไปและตัดสินใจแชร์ความคิดเห็นหรือภาพใดๆ ลงไป คนคนนั้นก็อาจจะซวยได้โดยไม่ทันตั้งตัว และจะยิ่งซวยมากขึ้นอีก ถ้าหากเรื่องราวที่แสดงความคิดเห็นออกไปดันพาดพิง เกี่ยวพันกับบุคคลที่สาม จนเกิดเป็น “สงครามน้ำลาย” ตอบโต้กันไปมา อย่างที่เคยเกิดให้เห็นมานัดต่อนัดแล้ว
ที่ฮอตฮิตติดลมบนคงหนีไม่พ้นนางเอกสาวมั่น เจ้าแม่อินสตาแกรมอย่างพลอย-เฌอมาลย์ อีกแล้วครับท่าน นอกจากจะกล้าโพสต์ทุกความเห็นลงไปด้วยความแรงเต็มพิกัด เธอยังกล้ากัดจิกทุกคนที่ผ่านเข้ามาให้รำคาญสายตา อย่างที่เคยตั้งสเตตัสด่า “ได๋-ไดอานา จงจินตนาการ” แบบไม่ไว้หน้าในกรณีที่เข้ามาพัวพันกับ “นาวิน ตาร์” แฟนหนุ่มของเธอ
“ไม่เข้าใจว่าต้องการอะไรคะถึงไปให้ข่าวว่ายังคุยกับพี่ต้าร์ทางอีเมล ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องภายใน!! อย่ามาบอกพลอยนะคะว่าไม่ได้ให้ข่าว แล้วหมาที่ไหนมันพูดจนให้เป็นข่าวล่ะคะ??” แถมยังออกมาให้สัมภาษณ์อีกว่า “พลอยมีเพื่อนในวงการทั้งหมด 200 กว่าคน เพื่อนหลายคนเป็นเพื่อนกับทางนั้นด้วย พลอยตั้งใจให้เขารู้ เพราะว่าไม่ชอบการกระทำแบบนี้ พลอยมีสิทธิ์อะ” แรงออกสื่อได้ขนาดนี้ โชคยังดีที่ไม่มีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น
แต่ที่เกือบจะโดนฟ้องจริงๆ ก็คือกรณี “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ที่ทวีตว่า “อยากหน้าเหมือนอยากหน้าเหมือนออย-ศรุตา” หลังจากออยเปิดใจในรายการๆ หนึ่งว่าหน้าของเธอเคยผ่านการศัลยกรรมมาจริง และยังบอกอีกว่าเคยคบอยู่กับ “น็อต-วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์” แฟนหนุ่มของเธอ ดังนั้น พอเจอทวีตแฝงนัยแบบนี้ คนที่ถูกพาดพิงอย่างออยจึงโมโหถึงขั้นประกาศไม่ขอร่วมงานกับนางเอกสาว ทั้งยังขู่จะส่งเรื่องขึ้นศาลเลยทีเดียว แต่แล้ววันรุ่งขึ้น ชมพู่ก็ออกมาโพสต์ขอโทษขอโพยเป็นภาษาอังกฤษ อ้างว่าเธอไม่ได้เป็นคนทวีต กระทั่งความจริงก็ไขกระจ่างหลังจากนั้น เมื่อเพื่อนของผู้จัดการส่วนตัวชมพู่ ออกมายอมรับผิดเอง จึงเป็นอันว่าต่างคนต่างเลิกแล้วต่อกันไป
ยังมีเรื่องราววุ่นวายอีกมากมายที่เกิดขึ้นจากการทวีต-โพสต์-อัพโหลด-แชร์ บนโลกออนไลน์อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเหล่าคนดัง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ “ปุ๊กลุ๊ก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” ตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊กของตัวเองว่า “ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ กรุณาพูดให้ชัดและงดดัจด้วยค่ะ” ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าเธอตั้งใจแขวะ “น้องฟ้า-ชัญษร สาครจันทร์” มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สรุ่นน้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการประกวดในขณะนั้น แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยคำอธิบายสั้นๆ ของปุ๊กลุ๊กว่าเธอแค่ตั้งสเตตัสด่าเพื่อนของเธอเองก็เท่านั้น
หรืออย่างในตอนที่ “เมย์-พิชญ์นาฏ สาขากร” พลั้งมือโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์แซว “ริท เดอะสตาร์” ว่าเป็น "ตุ๊ดเด็ก" สร้างความไม่พอใจให้แฟนคลับของหนุ่มริท จนสาวเมย์โดนรุมยำเละจนต้องออกมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เรื่องราวถึงได้สงบลง “เมย์แค่พูดเล่นๆ สนุกๆ ลืมคิดตรงนี้ไปว่ามันจะมีผลกระทบกับใครบ้าง ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงทำร้ายจิตใจหลายๆ คนขนาดนี้ เอาเป็นว่าเมย์ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว และจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกค่ะ”
ระวัง!! ฟ้องร้องออนไลน์
เมื่อคนดังทั้งหลายพลั้งพลาดบ่อยครั้งจนเสี่ยงต่อการขึ้นโรงขึ้นศาลกันขนาดนี้ “สุวัตร อภัยภักดิ์” ทนายความผู้ผ่านคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องบนโลกออนไลน์มาอย่างมากมาย จึงขอฝากคำแนะนำให้แก่คนดังเอาไว้เตือนใจให้คิดกันสักนิดหนึ่ง
“ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารถึงกัน มีสิทธิที่จะพูดจะอ่านจะเขียน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น อย่าไปใส่ร้าย หมิ่นประมาทใคร ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นคดีความ ขึ้นโรงขึ้นศาลกัน โดยเฉพาะคดีหมิ่นประมาทจากเฟซบุ๊กทุกวันนี้นี่มีเยอะมาก แล้วโทษจำคุกสูงด้วย 5 ปี เป็นความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ คือถ้าใครไปความคิดเห็นนั้นเป็นการใส่ความอีกคน ถึงจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ถ้าบ่งบอกให้สาธารณชนเข้าใจได้ว่าเป็นใคร นั่นก็นำไปฟ้องได้อยู่ดี หรือถึงจะอ้างว่าโดนแฮก ไม่ได้โพสต์เอง มันก็มีวิธีตรวจสอบทางไอทีที่ทำให้รู้ได้เหมือนกัน
ฉะนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กคือสื่อชั้นดี มีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่ข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป ก็เหมือนไฟฟ้านั่นแหละ มันวิ่งไปบ้านคุณ ถ้าไม่มี คุณก็ไม่มีแสงสว่าง แต่ถ้ามีแล้วใช้ไม่ถูก คุณก็ถูกมันช็อตตาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีคุณและโทษทั้งนั้น อยู่ที่เราจะเลือกใช้ แล้วยิ่งคนที่เป็นดารา เป็นคนของประชาชนด้วยแล้ว ก็ควรจะโพสต์ในสิ่งที่มีประโยชน์ อย่าทำอะไรเอามันอย่างเดียว ควรรู้ว่าคุณถูกจับตามองอยู่ตลอด จะโพสต์อะไรก็ให้นึกถึงคำว่า “ศีลธรรม” ไว้ก่อน อะไรที่มันผิดศีลธรรม อะไรที่ละเมิดกฎหมาย เราก็อย่าไปทำ แค่นั้นก็จบ”
หากรู้จักใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กไปในทางสร้างสรรค์ ใช้โปรโมตผลงานในวงการ ใช้สื่อสารกับกลุ่มแฟนคลับ หรือแม้แต่ใช้เป็นพื้นที่ให้ข่าว อย่างที่ “เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ทวีตข้อความเกี่ยวกับกรณีระหว่างแอนนี่-บรู๊คและฟิล์ม-รัฐภูมิ ทิ้งเอาไว้ ในช่วงเวลาที่ยังไม่พร้อมจะเจอสื่อมวลชน หรืออย่างที่ “นิชคุณ หรเวชกุล” ทวีตข้อความแทนใจในกรณีเมาแล้วขับที่ประเทศเกาหลี ส่งความรู้สึกผิดข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่แฟนๆ ของเขาที่นี่ จนหลายๆ คนยอมให้อภัยและให้โอกาสเขาแล้ว
แค่เพียงรู้จักใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กให้เป็น ก็จะได้ “อำนาจแห่งการสื่อสาร” เอามาไว้ในกำมืออย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องไปเทียวออกอีเวนต์ เปิดหวอ โชว์จุก หรือสร้างประเด็นให้ได้ออกสื่อเลย ที่สำคัญ อย่าลืมว่าทุกสิ่งที่คุณทวิต-โพสต์-อัพโหลด-แชร์ ลงไป คือเครื่องสะท้อนความคิด ทัศนคติของคนคนนั้นได้เป็นอย่างดี ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว เจ้าของเพจเป็นคนแบบไหน ถึงแม้หลายๆ คนจะชอบอ้างว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ในเมื่อตั้งค่าเป็น public ให้คนทั่วไปมองเห็นได้ ก็เท่ากับว่าคุณยินยอมให้ทุกคนได้เห็นตัวตนของคุณในด้านนั้น ไม่ว่าจะตกเป็นข่าวหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายมันก็คือผลลัพธ์ที่ว่า คุณเป็นคนรู้จักคิดก่อนโพสต์มากน้อยแค่ไหน หรือแค่โพสต์ไปโดยไม่รู้จักคิด...