“ทุกๆ 7 ปี คนเรามักเดินทางมาพบกับความพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต” ภาพยนตร์เรื่อง “รัก 7 ปี ดี 7 หน” บอกเอาไว้อย่างนั้น แต่ชีวิตจริงในวงการตลอด 7 ปีที่ผ่านมาของ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” กลับได้ค้นพบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้น... มากกว่าคำว่าการเปลี่ยนแปลง เพราะมันคือการเรียนรู้ที่จะใช้ “ใจ” ใส่เข้าไปในทุกเรื่อง
เช่นเดียวกับที่เขากล้า “เปิดใจ” ให้เราเข้าไปขุดคุ้ยได้ทุกอณูในบทสัมภาษณ์นี้ ตั้งแต่ความคิดเห็นต่อวัยรุ่น เรื่องน่าผิดหวังของวงการภาพยนตร์ไทย จนไปถึงเรื่องหนักสมอง สะท้อนสังคมอย่างปัญหาช่างกลตีกัน ไม่เว้นแม้แต่ประเด็นเรื่องแบ่งสีเลือกข้าง ซึ่งน้อยคนนักจะกล้าพูด
เห็นรับเล่นแต่หนังจีทีเอช เพราะเป็นค่ายที่ทำให้แจ้งเกิด เลยปฏิเสธไม่ได้?
ไม่หรอกครับ จริงๆ แล้วหนังของจีทีเอชที่ผมไม่รับเล่นก็มีเยอะเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่ได้มานั่งบอก แต่ส่วนใหญ่จะสนิทกับทีมงานในนั้น ไม่มีงานก็ชอบเข้าไปเม้าท์กัน ข้างในเขาไม่ทำอะไรกันเลยจริงๆ ครับ (หัวเราะ) เอาแต่เม้าท์คน โดยเฉพาะพี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) นี่ แผนกเม้าท์เลยแหละ
ส่วนใหญ่เวลาผมจะรับเล่นเรื่องไหน จะไม่ได้มองว่านั่งดูว่ามันเป็นหนังของค่ายไหนนะ ในเมื่อเขามีเจตนาดีที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรและเราก็อยากทำด้วย ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมานั่งถามว่าเรื่องนี้ของค่ายไหน แต่ที่ส่วนใหญ่เห็นรับเล่นของจีทีเอช ผมว่าคงเป็นเพราะเรารู้สึกชอบที่นี่และสิ่งที่เขาเสนอมามากกว่า มันทำให้มีสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้น และผมก็ภูมิใจทุกครั้งเวลาเขาเห็นว่าผมทำอะไรได้บ้าง มันทำให้ผมรู้สึกดี แต่ล่าสุดก็มีรับของค่ายอื่นเหมือนกันนะครับ เรื่อง “ซัมบาร่า” เดี๋ยวรอดู
ทำไมถึงไม่เซ็นสัญญากับค่ายใดค่ายหนึ่งไปเลย?
เพราะผมดื้ออยู่แบบนี้ไงครับ (ยิ้ม) เพราะถ้าเซ็นแล้ว ผมคงทำตามความต้องการของใครไม่ได้ ผมอยากทำตามความต้องการของตัวเอง ก็เลยอย่าไปให้คนอื่นเขาลำบากกับเราเลยดีกว่า
มีความเป็นตัวเองสูงขนาดนี้ เคยกลัวบ้างไหมว่าจะทำให้มีงานเข้ามาน้อยลง?
ผมไม่ได้สนใจครับ ผมอยากทำอะไร ผมก็ทำ ไม่ใช่ว่าจะต้องมีงานตลอดเวลาเพื่อให้คนมองว่านี่แหละคือดาราดัง หืม! (เลิกคิ้วอย่างสงสัย) มันไม่จำเป็นนะ ความสุขมันไม่ได้อยู่จุดนั้นครับ คือถ้าทุกคนมองว่าต้องมีงานทุกวันถึงจะเรียกว่าดารา นี่คือสิ่งที่ถูก งั้นผมไม่เป็น (ยกมือทำท่าห้าม) งั้นผมเป็นนักแสดงแล้วกัน
นานๆ รับงานที ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินบ้าง?
ใช้ความรู้สึกครับ ถ้าเป็นสิ่งที่เราอยากทำ อันไหนที่เรารู้สึกว่าทำแล้วให้อะไรกับตัวเรา รู้สึกดีกับมัน ทำให้กระตือรือร้นขึ้น เราก็จะรับ บางทีก็ดูว่าเราจะแสดงให้เขาได้แค่ไหน ถ้าให้เขาได้แค่ 70-80 เปอร์เซ็นต์ เราก็ไม่เอา ผมว่าการแสดงมันไม่ใช่แค่คุณเก่งแล้วคุณเล่นได้ทุกเรื่อง ยิ่งภาพยนตร์ด้วย มันต้องมีความเหมาะสมในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสียง-ท่าทางของตัวละครตัวนั้น ต้องเหมาะกับเรา มันไม่ใช่แค่ว่าคุณแสดงเก่งมากแล้วคุณเล่นเป็นได้ทุกตัวในโลก ผมไม่เคยเชื่อแบบนั้นเลย
บางทีคนก็ชอบคิดว่าซันนี่ต้องเซอร์ๆ ต้องรับบทแบบนี้นะ หรือส่งบทมาให้ผมแล้วบอกว่า เนี่ย! เล่นเป็นซันนี่เลย เป็นคนเซอร์ๆ ผมไม่รับนะ มันไม่ใช่ความต้องการของผม หน้าที่ของนักแสดงคือเราต้องเอาตัวเข้าไปหาบท ไม่ใช่ให้บทเข้ามาหาเรา การได้เล่นเป็นตัวละครที่แตกต่างกันมันเป็นความสุขอย่างหนึ่งครับ แต่ละตัวมีจิตใจ มีความเป็นมนุษย์ในมุมต่างกัน อย่างตอนเล่นเป็นไข่ย้อย (เรื่อง “เพื่อนสนิท”) เราก็ได้เรียนรู้ว่ามันยังมีคนแบบนี้ในโลกอยู่นะ เหมือนไข่ย้อย มันยังมีคนที่ไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ เพราะติดเรื่องความรัก เวลาของเขาถอยหลังจนไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ เพราะเขาคิดถึงแต่คนคนหนึ่งตลอดเวลา
เวลาได้แสดง มันทำให้ผมมีความสุข รู้สึกว่าเราได้สร้างคนคนหนึ่งขึ้นมาจริงๆ เพราะเราไม่มี Reference มาก่อน อยากให้เขาเป็นคนแบบไหน เราได้คิด ได้ออกแบบ มันคือความสนุกของการแสดงเลยล่ะ พอคิดว่าอยากให้เขาเป็นแบบไหน เราก็ต้องเชื่อว่าเขาเป็นแบบนั้น แล้วก็เล่นออกมา ผมว่ามันเป็นหน้าที่ของนักแสดงนะที่ต้องอ่านบท คุยกับผู้กำกับแล้วก็เสนอความคิดออกไป ไม่อย่างนั้นให้เขาเลือกใครมาเล่นก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องเลือกผมเลย แค่เลือกใครก็ได้ที่หน้าคล้ายผม ถ้าหน้าที่ของนักแสดงแค่ไปยืนหน้ากล้องแล้วก็ทำตามคำสั่ง
เห็นว่าเรื่อง “รัก 7 ปีฯ” ต้องขุนให้อ้วนเพื่อถ่ายทำด้วย ทำไมถึงยอมลงทุนขนาดนั้น?
คงเพราะถ้าเกิดผมไม่รับเล่น เขาคงหาคนมาเล่นไม่ได้แล้วครับ คงต้องเปลี่ยนบทแทน พี่ปิ๊ง (ผู้กำกับ) เขาบอกว่าบทนี้มันต้องการมากกว่านักแสดงทั่วไป ต้องใช้เวลากินให้อ้วนอยู่ประมาณ 5 เดือน เสร็จแล้วก็ต้องออกกำลังกายให้ตัวเราดูหนาขึ้นด้วยครับ จะได้สุขภาพดีๆ ไม่งั้นเดี๋ยวไขมันอุดตันในเส้นเลือดตายก่อน (หัวเราะ) แล้วก็ต้องมาลดน้ำหนักทีหลังอีก มันยากครับ แต่ที่ทำเพราะผมอยากทำ ผมรักการแสดง นานๆ จะได้เจอสิ่งที่มีพลังขับเคลื่อนเราสักที คือเวลาอ่านบทหลายๆ เรื่องก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ พออ่านบทปุ๊บ ไม่ได้คิดเลยว่าถ้ารับเล่นแล้วเราต้องทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าอยากทำก็ทำ แค่นั้นเอง ส่วนเขาจะให้เราทำอะไร มันก็แค่เป็นระยะทางเพื่อไปสู่เป้าหมาย
คิดว่านักแสดงบ้านเราควรทุ่มเทเพื่อการแสดงขนาดนี้เลยไหม?
มันไม่ใช่ว่าควรหรือไม่ควรหรอก มันน่าจะมากกว่า ต้องถามว่าเราจะแสดงกันแบบเดิม อีก 10 ปีก็จะทำกันแบบนี้ต่อไปจริงๆ เหรอ แล้วก็ยังมีอีกหลายเรื่องนะที่ผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง คือเราชอบคิดว่าทำหนังแบบนี้แล้วคนจะชอบ ทำแล้วได้เงิน ไม่เจ๊ง คิดกันอยู่แค่เนี้ย มันเลยวนเป็น Loop เดิม ถ้าไม่มีคนสร้างสิ่งใหม่ๆ ออกมา แล้วจะทำไปทำไม ทำไปก็เหมือนเดิม
ดูง่ายๆ เลยถ้าเป็นหนังไทย จะต้องใส่ชุดนักเรียน-นักศึกษา เห็นแล้วรู้เลยว่า เฮ้ย! นี่แหละหนังไทย! ไม่มีหรอกที่พระเอกจะอายุเยอะๆ อย่างเมืองนอก อย่างจอร์จ คลูนีย์ แก่กว่าพ่อผมอีก เขายังเป็นพระเอกได้อยู่เลย แต่บ้านเราชอบกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว 30-40-50 คุณเล่นเป็นพ่อได้แล้ว! แล้วก็ชอบมานั่งโทษคนดูว่าเพราะคนดูชอบอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ก็ในเมื่อคนทำหนังไม่เปลี่ยน ผมจะเปลี่ยนคนดูได้ยังไงล่ะ จะให้ผมทำยังไง ส่งหนังฝรั่งให้ทุกคนดูทุกวัน ทุกบ้านเลยเหรอ มันไม่ใช่ไง ก็ต้องทำขึ้นมา แต่ถ้ามัวแต่กลัวหนังเจ๊งก็ไปทำอย่างอื่น เพราะนั่นแสดงว่าคุณไม่ได้รักหนังจริงๆ คุณแค่อยากได้เงิน
แสดงว่าทุกวันนี้ไม่ได้ยึดเรื่องเงินเป็นสำคัญ?
เงินก็เป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตครับ แต่ว่าความสุขของผมไม่ได้วัดจากเงิน ความสุขผมคือการได้ทำสิ่งที่รัก ได้ทำงานแสดง เงินเป็นแค่ผลที่ตามมา สิ่งอื่นที่ผมไม่ได้รัก ผมก็ไม่ฝืนที่จะทำ นี่คือความสุขของผม แค่นี้ ผมพอแล้ว
นี่คือนิยาม “ความพอเพียง” ของซันนี่?
ผมว่าความพอเพียงมันไม่เกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย แต่มันเกี่ยวกับตัวเรามากกว่าว่าเราอยากใช้ชีวิตเป็นคนแบบไหน ถ้าต้องการธรรมชาติก็อยู่กับธรรมชาติ ไม่ต้องการความหรูหรา เท่านี้ก็พอเพียงแล้ว คนชอบคิดว่าพอเพียงคือการไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย นั่นมันเป็นเรื่องของพฤติกรรมครับ ที่ถูกจริงๆ คือต้องเปลี่ยนที่ความคิด ต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่าสิ่งไหนเราต้องมี อันไหนที่เกิน ไม่จำเป็น ก็ไม่เห็นต้องอยากได้เลย แค่นั้นจบ ทุกวันนี้ผมนั่งรถไฟฟ้า แท็กซี่ รถตู้กองฯ คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้รถ ผมก็ไม่ใช้ บางคนมีรถสิบคัน ถามว่าคุณขับกี่คัน ทีละคันหรือเปล่า ขับทีละสิบไม่ได้อยู่แล้ว แล้วจะมีทำไมเยอะแยะ ผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น
แล้วยังขึ้นรถเมล์เหมือนเดิมด้วยหรือเปล่า?
ไม่ได้ขึ้นแล้วครับ กลัวถูกลูกหลง ถูกช่างกลชก (ยิ้มกวนๆ)
งั้นขอให้แสดงความคิดเห็นเรื่องช่างกลตีกันเสียเลย
ผมว่ามันเป็นเรื่องของค่านิยมครับ ไม่เห็นเหรอว่าใครเข้าไปเรียนที่นี่ก็เป็นอย่างนี้หมด มันเหมือนเป็นประเพณีสืบทอดกันมา คนในนั้นคงไม่ได้คิดหรอกว่า เอ้อ! วันนี้ออกไปตบคนกันเถอะ แต่พอเข้าไปอยู่ในนั้นปั๊บจะรู้สึกเก๋าทันที เห็นคู่อริไม่ได้ คงต้องลองออกมามองไกลๆ ดูว่า เฮ้ย! ทำไมถึงเป็นเหมือนกันหมดวะ แตกต่างได้ไหม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครไปเริ่มปลูกฝังค่านิยมว่าคนเป็นช่างต้องเก๋า ต้องไปตีกับไอ้โรงเรียนคู่อริ จริงๆ นี่คือสายอาชีพที่ดีนะครับ ช่างฝีมือ ช่างศิลป์ดีๆ ในนั้นก็มีเยอะแยะไป แต่ดันมามีปัญหาเรื่องตีกัน เจริญแหละ!
คำว่า “เก๋า” อย่างลูกผู้ชายของซันนี่เป็นอย่างไร?
ผมว่าจิตใจดี จิตสำนึกดี ทำอะไรที่มีคุณค่าออกมา เก๋ากว่าอีก ไม่จำเป็นต้องทำปากเก่งหรือข่มใคร เก๋าคือต้องให้คนยกย่อง ไม่ใช่ไปข่มขู่เพื่อให้คนมายกย่องตัวเอง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ยกย่องด้วยซ้ำ แล้วถามว่าทำไมต้องมองว่าคนที่คิดต่างเป็นศัตรูด้วย เขาทำอะไรให้ ทำไมคุณต้องไปเกลียดเขาล่ะ แค่มีคนมาบอกว่าต้องเกลียดก็เกลียดเหรอ ไม่มีความคิดของตัวเองเลยเหรอ ก็เหมือนเรื่องการแบ่งสีเสื้อทุกวันนี้แหละครับ มันก็แค่เป็นเรื่องความเชื่อคนละแบบ
แล้วเราเองเชื่อแบบไหน?
สำหรับตอนนี้ ผมมองว่าก็แค่คนสองกลุ่มแย่งอำนาจกันเพื่อจะเข้าไปแล้วโกงประเทศชาติไม่ใช่เหรอ แล้วผมจะต้องไปสนับสนุนหรือเอามาเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตทำไม ผมทำหน้าที่อย่างอื่น มีประโยชน์ต่อสังคมได้อีกตั้งเยอะ ทำไมจะต้องไปให้ท้ายเพื่อให้ใครก็ไม่รู้เป็นใหญ่ แล้วตัวคุณเป็นใคร เป็นลูกน้องเขาเหรอ ผมไม่ได้มองว่าการเมืองเป็นเรื่องสำคัญเลยครับ ถ้ามันยังเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับผมด้วยซ้ำ ประเทศชาติต้องการคนที่จะเข้าไปทำให้พัฒนาขึ้น แต่นี่แค่แย่งเงินแย่งอำนาจกันเฉยๆ นี่หว่า ไม่เห็นมีอะไรพัฒนาขึ้นเลย พัฒนา 10 เปอร์เซ็นต์ อีก 90 โกง สรุปแล้วเราต้องรับค่านิยมแบบนี้เหรอ การโกงคือค่านิยมที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม?
กับคนที่ชอบพูดว่า “โกงแล้วพัฒนาก็ยังดีกว่าโกงแล้วไม่ทำอะไรเลย” ล่ะ?
เฮ้ย! ถ้าให้ผมโกงบ้านคุณล่ะ โอเคปะ ประเทศพัฒนาแต่ผมโกงบ้านคุณหมดตูด โอเคไหม คุณอย่ามาเหมาแบบนั้น คิดแบบนั้นคือคนที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ไม่มีจิตสาธารณะครับ ผิดก็คือผิด ผิดไม่มีวันถูก อย่ามาหน้าด้านว่าตัวเองถูก
มีเรื่องอะไรอีกไหมที่เห็นเป็นปัญหาแล้วอยากให้เปลี่ยนแปลง?
ความยุติธรรมครับ บางเรื่องที่คนหมู่มากเห็นว่าถูก มันก็ไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป แค่คนฝั่งคุณมากกว่า ไม่ได้หมายความว่ามันถูก แล้วอีกฝ่ายหนึ่งผิด ผมว่ามันไม่ยุติธรรรม
ตัวเราเอง ตลอด 7 ปีในวงการนี้ เปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม?
คนเราโตขึ้นมันต้องเปลี่ยนอยู่แล้วครับ อย่างเมื่อก่อนผมเคยมองว่าคนแก่กว่าแล้วไง บางทีก็ไม่ได้ฉลาดกว่าคนอายุน้อยกว่า แต่กับบางเรื่อง ถ้าไม่โตเท่าเขา วัยวุฒิไม่ถึง มันคิดไม่ได้จริงๆ นะ หรือถ้าไม่ผ่านประสบการณ์ขนาดนั้น เราจะไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่น่ะมันเด็กมาก อย่างบางคนเคยจะเป็นจะตายเรื่องความรักตอนเด็กๆ พอโตขึ้น มองกลับไป โอ๊ย! อายว่ะ ทำไมฉันทำแบบนี้ในช่วงวัยนี้แล้วฉันเห็นว่ามันดีวะ (ยิ้มเขินๆ) หรือบางเรื่อง เคยรับไม่ได้ เปลี่ยนเป็นรับได้ก็มีเหมือนกัน
เรื่องอะไรที่รับไม่ได้ ถูกปาปารัซซี่ถ่ายรูป?
(หัวเราะ) อันนั้นไม่เป็นไรครับ รับได้ เอาเลย เต็มที่ หรือถ้าใครอยากเขียนด่าผมก็ตามสบายเลย เพราะแม่ผมอ่านภาษาไทยไม่ออก (ยิ้ม) ผมไม่แคร์อยู่แล้ว เขาเลยไม่รู้ว่าลูกเขาโดนด่า แต่ถ้าเขารู้ เขาคงเสียใจ (ทำหน้าทะเล้น) ที่ผ่านมา เวลามีข่าว ผมก็อ่านหมดนะ อ่านแล้วก็รู้สึกขำดี เคยโดนเขียนถึงหลายอย่างเหมือนกัน หาว่าเราเศร้า อกหัก เมาหัวราน้ำก็มี เฮ้ย! เราอยู่บ้านเฉยๆ เลยนะ คนเราชอบหาว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่แล้วครับ หาว่าเราติสต์ ถามว่าติสต์คืออะไรล่ะครับ (สีหน้าสงสัย) ผมก็เป็นปกติของผม
สำหรับเรา คำนี้แปลว่าอะไร?
ถ้าแปลตรงตัวตามความหมายเลยก็คือ Artist ครับ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับความหมายที่ว่า คือคนที่มีความคิดไม่เหมือนคนอื่นนะ สังคมเราน่ะชอบใช้คำผิดในภาษาไทยบ่อย เอาคำว่าติสต์มาใช้กับคนที่เป็นอย่างนี้ สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เราชอบจำกัดความทุกอย่างอยู่ตลอด แต่จริงๆ แล้วคนเรามีหลักเกณฑ์ในการใช้ชีวิตไม่เหมือนกันอยู่แล้วครับ
เคยรู้สึกท้อบ้างไหมกับคำพูดต่างๆ นานาเหล่านี้?
ไม่เห็นจะท้อเลย ก็เขามั่วอ่ะ แล้วผมจะท้อทำไม (ท่าทีสบายๆ) มันเป็นความผิดผมเหรอ คนคนหนึ่งมั่วเรื่องผมแล้วผมต้องท้อเหรอ ไม่เกี่ยวเลย แล้วมันก็ไม่ใช่หน้าที่ผมที่จะต้องคอยออกมาแก้ข่าวหรือมานั่งอธิบายให้ทุกคนฟังว่าผมไม่ใช่แบบนั้น ใครจะคิดยังไง มันเรื่องของเขาครับ
ดูเป็นคนทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ
บางเรื่อง ถึงเราไม่อยากให้มันเป็น แต่มันก็ต้องเป็นไป แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จะผ่านไปครับ คงไม่ถึงกับต้องทำใจเรื่องต่างๆ หรอก แค่เข้าใจและยอมรับมัน ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรที่ผมรับไม่ได้นะ คือตอนนี้ผมไม่มีศาสนาก็จริง แต่ผมเชื่อในความดีครับ ผมเชื่อว่าแค่เราเป็นคนไม่เลว จิตสำนึกเราดี แค่นี้ก็พอแล้ว
ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงครั้งไหนถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต?
ได้ค้นเจอสิ่งที่ไม่เคยนึกว่าจะรู้จักและรักมันครับ จำได้เลยว่าตอนมาแคสต์เรื่องเพื่อนสนิท ผมรู้แค่ว่าอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 ผมก็ลงรถไฟฟ้าแล้วเดินจากปากซอยเข้ามา กว่าจะถึงเหงื่อท่วมตัวไปหมดเลย พอแคสต์เสร็จก็กลับบ้าน ไม่ได้คิดอะไร แต่เขาดันชอบ ผมก็ลองดู อยากเห็นกระบวนการทำหนังเฉยๆ ครับ ไม่เคยคิดว่าเฮ้ย! จะได้เป็นดาราแล้วนะ คิดแค่ว่าถ้าเขาจ้างเรา สิ่งที่เราต้องการคือต้องไม่เข้าไปถ่วงใคร อยากทำให้มันดีที่สุด ตอนที่เล่นเรื่องแรกก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบบไหนเรียกว่าการแสดง พอมีคนมาสอน เราถึงได้อ๋อ! แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน รู้สึกมันมีพลังขับเคลื่อนชีวิตเรา
อย่างเมื่อก่อน จะเล่นดนตรี แป๊บๆ ผมก็เบื่อ จะทำอะไรก็เบื่อ แต่สิ่งนี้ ผ่านมา 7 ปีแล้ว ยังไม่เคยเบื่อเลย ไม่เคยสักครั้งที่จะรู้สึกว่า โอ๊ย! ขี้เกียจทำ ขี้เกียจรับงาน ไม่เคยเลยจริงๆ (น้ำเสียงหนักแน่น) คือตอนเล่นดนตรี มันก็สนุกนะครับที่ได้เล่นกับเพื่อน แต่ผมไม่เคยคิดว่าอยากจะเป็นนักดนตรี ต้องมีชื่อเสียงเลย แต่กับการแสดง เรามีความสุขและอยากจะเป็นนักแสดงจริงๆ
ให้มองเด็กวัยรุ่นสมัยนี้บ้าง เห็นคิดถึงแต่เรื่องต้องเด่นต้องดังกันเยอะมากๆ
ผมว่าจริงๆ แล้วคนเรามีความเก่งกันไปคนละแบบนะ อย่าไปปลูกฝังเลยว่าฉันจะต้องร้องเพลง จะต้องอยู่หน้าจอทีวี แค่เจอว่าเราชอบทำอะไรและทำแล้วทำได้ดี รู้สึกดีกับมัน มันก็คือความสุขแล้ว ไม่ใช่ว่าความเด่นดังคือความสุข หรือจะต้องรวยแล้วถึงจะสุข ถ้ามีคนเคยพูดว่า ฉันกะทำเงินอีกสัก 20 ปีนะ พอฉันรวยแล้วฉันจะเลิก อ้าว! แสดงว่างานที่คุณทำอยู่ คุณไม่รักมันเลยสิ คุณรักแต่เงินงั้นสิ เป็นผม ถ้าผมจะทำงาน ผมทำจนเหนื่อยไปจนถึงแก่ จนตาย ผมก็ยังอยากทำอยู่นะ เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราที่ทำเพื่อคนไทย ท่านทำแค่ไหน ท่านก็อยากทำ ท่านไม่เหนื่อยเลย ดูก็รู้แล้ว เพราะท่านรักที่จะทำ
จะบอกว่าสังคมเราควรรู้จัก “ใช้ใจ” ใส่เข้าไปในเรื่องต่างๆ มากกว่านี้?
ผมว่าแค่อย่าไปรู้สึกตามสิ่งที่ใครบอกก็พอ สังคมเป็นแบบนี้ แต่เราไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามนั้นก็ได้ อายุเท่านี้ต้องแต่งงาน มีลูก อายุเท่านี้ต้องรวย ไม่จำเป็นเลย ผมว่าแค่ทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุด คุณก็เป็นคนที่มีคุณค่าได้ คนบางคนไม่เห็นต้องรวยเลย แค่สอนเด็กบนดอย เขาก็มีความสุขในชีวิตแล้ว แถมมีประโยชน์ต่อคนอื่นอีก ได้สร้างเจเนอเรชันที่ดีๆ ขึ้นมา ไม่เห็นต้องไปโกงใครเพื่อให้ตัวเองมีความสุขเลย
เห็นอยู่ในหนังรักตลอด แต่ไม่ค่อยรู้จักตัวจริงของซันนี่ในมุมนี้เลย อยากให้พูดถึงสักหน่อย
ความรัก...ก็เป็นสิ่งสวยงามครับ ไม่ว่าจะรักอะไร การที่คนคิดจะแบ่งปันอะไรให้ใครมันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เวลาจะชอบใคร ผมไม่ค่อยคิดถึงเรื่องสเป็กเท่าไหร่ มันเป็นความรู้สึกมากกว่า เหมือนเวลาอ่านบทนั่นแหละครับ เราจะรู้สึกว่านี่แหละใช่ คงต้องเป็นคนจิตใจดีมั้งครับ แต่ถ้าให้ผมทำหนังรักสักเรื่องหนึ่ง ผมคงอยากทำมุมที่ไม่ต้องชู้สาวบ้างก็ได้ เป็นมุมความรักที่ตัดกันไม่ขาด รักแบบครอบครัว หลายคนอาจจะมองว่ามันก็แค่หนังรักเรื่องหนึ่ง แต่ผมว่าคนเราให้ความสำคัญกับความรักกันมากนะ เราสามารถมองเห็นว่าความรักอยู่ทุกที่เลย ลองสังเกตตามรายการทีวีดูก็ได้ รายการข่าวนะ แต่มี sms ส่งมาว่ารักเป้จัง อยากเจอเป้ รักคนนั้นคนนี้ส่งเข้ามาตลอด เฮ้ย! รายการข่าวนะ จะมารักอะไรกันมากมายเนี่ย (ยิ้ม) แต่ก็แสดงว่ามันคือสิ่งที่คนสนใจ เพราะความรักมันอยู่รอบตัวเราจริงๆ มันคือสิ่งที่เราพูดถึง ไม่ว่าทำอะไร อาชีพไหน ก็จะมีความรักอยู่ในนั้น... มันคือชีวิตครับ
---ล้อมกรอบ---
ความเชื่อของคนไทย
ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสผันตัวไปเป็นคนหลังเลนส์ หนุ่มมาดเซอร์หน้าใสคนนี้ก็มีพล็อตหนังดีๆ เขียนเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่าบทของเขาต้องไม่เหมือนใครอย่างที่เขาเองก็ไม่มีใครเหมือนเช่นกัน เพราะมันเกี่ยวกับ “ความเชื่อของคน”
“ผมอยากเล่าเรื่องราวความเป็นมนุษย์นี่แหละครับ เล่าเรื่องความเชื่อของคน เพราะความเชื่อนี่แหละครับที่ปลูกฝังให้ทุกคนคิดไปในทางนั้นๆ อย่างเวลาหมอดูมาทักว่าคุณจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จิตเราจะคิดไปในทางนั้น ถึงจะพยายามไม่คิดแล้วก็เถอะ อย่างคนนี้เลย (ชี้ไปที่ทีมงานที่นั่งข้างๆ) หมอดูทักว่าจะอยู่ได้ไม่นาน มานั่งฝากทุกคนว่าป้าคงไม่มีโอกาสได้อยู่ดูโลกนี้อีกแล้ว แล้วทุกวันนี้เป็นไง อยู่นานสุดเลย (หัวเราะ) ผมว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจดีนะ หรืออย่างเรื่องความบังเอิญในชีวิต เรื่องจินตนาการ ผมก็ชอบครับ”
เมื่อจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา จึงลองให้พระเอกมาดกวนคนนี้ลองขยายความเรื่อง “ความเชื่อ” ดูบ้างว่าเขาคิดเห็นอย่างไร ซันนี่จึงตอบรับด้วยยิ้มมุมปาก เอนหลังด้วยท่าทีสบายๆ แล้วถ่ายทอดออกมาในมุมของเขา
“เรื่องนี้มันก็...นะ (ยิ้ม) ลองเสิร์ชกูเกิลคำว่า “ดูดวง” สิ ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งเลย “หวย” กับ “ดูดวง” เนี่ย อันดับแรกๆ เลย นี่แหละครับ ประเทศไทย ถามว่าต้องเปลี่ยนไหม ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ ไม่ได้ให้รักษาไว้ด้วยนะ แต่ต้องทำอะไรออกมาให้เขาเห็น ให้เขาได้รู้ แต่ไม่ต้องมานั่งบอกนั่งห้ามกันหรอก เดี๋ยวจะเห็นเองว่าอันไหนดี-ไม่ดี ถ้าเล่นหวยแล้วเจ๊ง มันก็ไม่ดีหรอก หรือดูดวงแล้วตัวเองไม่ทำอะไรเลย ดูแต่ดวงแล้วสวดมนต์อ้อนวอน สุดท้ายก็จนเหมือนเดิม เขาก็จะรู้เอง... แต่แม่ผมชอบเล่นหวยนะ (หัวเราะ) แล้วเขาก็ชอบซื้อถูกตอนวันเกิดผมด้วย ออกทุกปีเลยจริงๆ ตอนเดือน 5 ซื้อไว้นะฮะ ไม่ 18 ก็ 05 ปีนี้ก็ออก 81-18 ออกประจำเลย วันเกิดผมเนี่ย” แล้วก็หัวเราะปิดท้าย
อย่าให้ผมเล่นละครเลย
สังเกตดูจะเห็นว่าซันนี่ไม่เคยรับงานละครเลยสักเรื่อง มีก็แต่ซิตคอมบ้างประปราย ซึ่งนั่นก็ยังไม่ถือว่าเป็นละครจ๋าเสียทีเดียว เพราะรูปแบบหลายๆ อย่างยังคงเอนเอียงไปในทางภาพยนตร์เสียมากกว่า จึงเกิดความสงสัยว่าทำไม? และแน่นอนว่าเขามีคำตอบในใจพร้อมอยู่แล้ว
“ผมมองว่ามันเป็นคนละศาสตร์กันมากกว่าครับ อย่างละคร เขาจะมี pattern ของเขาอยู่แล้วว่าใครผิดจากนี้ก็จะผิด แต่ศาสตร์ของผมเป็นอีกแบบหนึ่ง ลองนั่งดูก็รู้ครับ ผมคงไปเล่น “ฉันว่าแล้วว่าเธอต้องเป็นแบบนี้” (พูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงหล่อๆ เลียนแบบละคร) ผมคงทำไม่ได้ คือผมไม่ได้ว่าอะไรนะครับ ในเมื่อ pattern มันมาแบบนั้น แต่ผมแค่ไม่ถนัดที่จะทำ ผมก็เลือกที่จะไม่ทำดีกว่า เพราะถึงทำออกมาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาด้วย ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม สู้ให้คนที่เขาเก่งเรื่องนี้ทำดีกว่า”
เมื่อถามว่าอยากเห็นละครทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนบ้างไหม ในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง เขาก็พูดเรื่องที่คิดออกมาในทันที “ผมไม่เข้าใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าสมมติมีละครเรื่องหนึ่งเคยทำมาก่อน อีก 10 ปีต่อจากนั้นเอามารีเมค ทำไมสองคนต้องเล่นเหมือนกันด้วย ทำไมไม่เล่นตามที่ตัวเองคิดล่ะ มันกี่ปีผ่านมาแล้ว ทำไมต้องไปเล่นเหมือนเวอร์ชันเก่าล่ะ หรือว่าคนชอบแบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ คงต้องให้คอละครหรือผู้สร้างเป็นคนตอบเอง แต่ที่แน่ๆ ถ้าผู้ชายคนนี้เล่นละครรีเมคในบทเดียวกัน จะต้องว่าออกมาไม่เหมือนใครแน่นอน
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร