เขาคือผู้ก่อตั้งวงดนตรีอมตะแห่งยุค 60 คือจ่าฝูงผู้ปลดปล่อย “เสือสีชมพู” ให้ออกมาโลดแล่นเคล้าบทเพลงหวานๆ ระรื่นหู คือหนึ่งในผู้สร้างสรรค์ตัวโน้ตคนสำคัญแห่งวงการดนตรี และคือคนที่กำลังจะทำให้ท่วงทำนองเย็นๆ กับความทรงจำในวันวาน กลับมาเสนาะหูอีกครั้งในวันนี้...
...วันที่วง “พิ้งค์แพนเตอร์” พร้อมแสดงเขี้ยวเล็บแห่งความประณีตในคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีที่กำลังจะมีขึ้น “ต๋อย-วิชัย ปุญญะยันต์” ในฐานะหัวหน้าวง จึงถือโอกาสกลับมาสะกิดให้คนยุคนี้ได้ลองมองย้อนผลงานเพลงในอดีต ผ่านรอยเท้าศิลปินรุ่นเก่าที่ยังคงความเก๋าเอาไว้ได้จนถึงปัจจุบัน
เพลงสมัยนี้ “ไม่มีความรู้สึก”
เนื่องจากผมเป็นคนทำเพลงที่อยู่ในยุคดนตรีฝรั่งกำลังฟูเฟื่อง หรือที่เรียกกันว่ายุค 60 ได้เริ่มได้หัดดนตรีในแบบนั้น ทีนี้พอมาเจอดนตรีในยุคสมัยใหม่อย่างตอนนี้ บอกตรงๆ ว่า ไม่ว่าเป็นคำสัมผัสในประโยค หรือภาษาที่ใช้ในการร้องก็ตาม จะเห็นเลยว่าต่างกันมาก ใช้คำว่าต่างกันน่าจะเพราะกว่า (ยิ้มมุมปาก)
ถามว่าเคยคิดจะหยิบเพลงสมัยนี้มาร้องบ้างไหม ผมคงไม่เอามาร้องหรอก เพราะถึงเอามาร้องก็คงไม่มีใครฟัง คงไม่มีใครอยากฟังคนอายุ 60 มาร้องเพลงวัยรุ่นหรอก จริงไหม (หันมาถามคู่สนทนาด้วยรอยยิ้มขี้เล่น) เปล่าหรอกครับ คือถ้าจะให้มานั่งจำเนื้อเพลงสมัยนี้ บอกตรงๆ ว่าจำไม่ได้และไม่คิดจะจำด้วย เพราะว่าสัมผัสมันตลกๆ นะผมว่า แล้วภาษาที่ใช้มันไม่ค่อยได้ เราร้องเพลงเก่าดีกว่า รู้สึกว่าร้องเพลงมากกว่า
ต้องบอกว่าผมไม่มีความรู้สึกต่อเพลงสมัยนี้เอาเสียเลย ไม่ใช่สิ จริงๆ แล้วผมคงมีความรู้สึกอะไรบางอย่างกับงานเพลงสมัยนี้ แต่ผมพูดมากไม่ได้ เพราะเราเป็นนักร้องในยุคนั้น แต่เผอิญได้ทำงานมาจนยุคนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงทำงานมาได้จนถึงยุคนี้ ทั้งๆ ที่มีคนบอกว่าเพลงพิ้งค์แพนเตอร์เชยแล้ว เก่าแล้ว แต่เวลาจัดคอนเสิร์ตทีหนึ่งก็มีคนมาดูนะ (ยิ้มเย็นๆ) เราเองก็พยายามเอาคำว่าเชยเหล่านี้แหละออกมาให้พวกเขาได้ดูกัน ผมเชื่อเสมอว่าเพราะมีคำว่า “เชย” มันถึงทำให้มีคำว่า “อมตะ”
อย่างตัวผมเอง เคยมีโอกาสทำเพลงโฆษณา เอาเพลงเก่ามาอัดเสียงใหม่ ทำในแนวใหม่เหมือนกัน ปรากฏว่าวัยรุ่นชอบ โหลดฟังกันเป็นล้านๆ เลย อย่างเพลง “รักไม่รู้ดับ” ถึงจะสิ้นวิญญาณกี่ครั้ง ฉันก็ยังรักเธอฝังใจ (ร้องให้ฟังพร้อมดีดนิ้วคุมจังหวะไปด้วย) เด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้จักมาก่อนชอบกันใหญ่ บอกว่าทำไมเนื้อเพลงมันดีจัง เพราะจังเลย (ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม) นี่แหละครับคือความคลาสสิก ความเป็นอมตะของบทเพลงสมัยก่อนล่ะ ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยผ่านไป ก็ยังสร้างความประทับใจให้แก่คนฟังได้เหมือนเดิม
เพลงกักขฬะ รับไม่ได้!
พูดถึงเพลงสมัยนี้ ที่รับไม่ได้เลยคือเพลงบางจำพวกที่พูดถึงผู้หญิงในทางเสียๆ หายๆ ด่าว่าเธอนอกใจ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ได้ยินนิดเดียวก็ไม่ฟังต่อแล้ว อย่างที่บอกว่าผมไม่มีความรู้สึกกับเพลงแบบนี้เลย รู้อยู่อย่างเดียว เอ้อ! แต่งออกมาได้ยังไง คนแต่งเขาคงอยากจะทำให้เพลงแปลกแหวกแนว แต่งออกมาเผื่อขายได้ล่ะมั้ง แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่มีในวงพิ้งค์แพนเตอร์เด็ดขาด วงของเรามีแต่จะเปรียบเทียบผู้หญิงเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ แต่ก่อนเป็นยังไง ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่
วงพิ้งค์ฯ ของเราจะไม่เล่นเพลงที่ต่อว่าต่อขานกัน หรือใช้ภาษาที่ไม่มีคุณภาพ เราจะชอบงานเพลงที่เป็นบทกวี กลั่นกรองออกมาจากนักแต่งเพลงที่ไม่มีความกดดันทางด้านการขาย แต่แต่งขึ้นมาด้วยอารมณ์สุนทรี เพลงทุกเพลงที่พิ้งค์แพนเตอร์เล่นก็เลยมีแต่คำสุภาพ มีแต่คำหวานๆ น่าฟัง เรียกผู้หญิงว่าคุณ เรียกตัวเองว่าผม หรืออย่างน้อยๆ ก็ฉันกับเธอ เราจะชอบแบบนั้น
ผมว่านักแต่งเพลงสมัยก่อนที่แต่งผลงานเพลงอมตะออกมาได้ ทั้งเพลงเรือนแพ, บุพเพสันนิวาส, รักไม่รู้ดับ, ถ้าหัวใจฉันมีปีก ฯลฯ พวกเขามีค่ายิ่งกว่าเพชรอีกนะ เพราะขนาดเพชรเม็ดงามว่าหายากแล้ว แต่ก็ยังสามารถขุดขึ้นมาได้ใหม่ เจียระไนใหม่ได้ แต่คนพวกนี้พอเสียชีวิตไปแล้ว ขุดขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ไม่มีอีกแล้ว
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้นักแต่งเพลงสมัยนี้คิดถึงคุณค่าของเพลงมากกว่านี้ ไม่ใช่แต่งออกมา 2-3 เดือนก็เก็บทิ้งได้แล้ว อยากให้เป็นอย่างเพลงสมัยก่อน อย่างเพลง “รักฉันนั้นเพื่อเธอ” เชื่อไหมว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมยังสามารถหยิบมาร้องได้อย่างไม่เคอะเขินเลย เป็นเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นอมตะจริงๆ
หรืออย่างเพลง “ถ้าหัวใจมีปีก” หากหัวใจฉันมีปีกบิน เหลิงลอยเมฆินทร์ได้ดังฝัน แต่บัดนี้เราห่างกันสุดกู่ เธอคงไม่รู้ว่าฉันพร่ำเพ้อ ค่ำเช้าทุกวันฉันเฝ้ามองเหม่อ คร่ำครวญเรียกเธอหาเธอเรื่อยมา (ร้องให้ฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนหู)
ฟังแค่นี้ก็รู้เลยว่าไม่ใช่ธรรมดา ภาษาที่คนสมัยก่อนใช้แต่งมันเพราะมาก แต่สมัยนี้ไม่มีแบบนี้หรอกครับ เราร้องแล้วรู้สึกเลยว่า เฮ้ย! ทำไมเขาแต่งดีจัง เปรียบเปรยได้น่าฟังมากๆ บอกได้เลยว่าให้เอาศิลปินใหม่ๆ ที่แต่งเพลงเก่งๆ มารวมหัวกัน ยังไม่เท่าประโยคที่คนรุ่นก่อนแต่งไว้ประโยคเดียวเลย
แต่ถ้าจะให้เพลงสมัยนี้กลับมาเป็นเหมือนเพลงสมัยก่อน ผมว่าคงทำไม่ได้แล้วล่ะ วัฒนธรรมเราถูกเปลี่ยนแปลงจนกลายมาเป็นแบบนี้ไปแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าคนทำเพลงจะทำออกมายังไงให้เป็นงานเพลงที่มีคุณภาพดีกว่า คืออาจจะไม่ต้องใช้ภาษากวีตลอดทั้งเพลงก็ได้ แค่เพลงหนึ่งเพลงน่าจะมีสัมผัสที่สวยงามบ้าง มันไม่เชยหรอกครับ แต่คนที่บอกว่ามีสัมผัสแล้วเชย เป็นเพราะเขาทำไม่ได้มากกว่า เพราะผมก็เคยลองแต่งเหมือนกัน เลยรู้ว่ามันไม่ใช่ง่ายๆ เลย
ลองสังเกตดูดีๆ สมัยนี้ เพลงประกอบละครจะดัง เพราะได้เปิดฟังกันบ่อยๆ แล้วทำไมถึงดังรู้ไหม? ก็เพราะเขาเอาเพลงเก่าๆ นั่นแหละมาเรียบเรียงใหม่ อย่างละครเรื่อง “วนิดา” เอาเพลง “บุพเพสันนิวาส” มาใช้ ดังเปรี้ยงปร้างเลย เปิดกันทุกที่ พอพวกเราวงพิ้งค์ฯ ไปเล่นเพลงนี้ เด็กวัยรุ่นได้ยินแล้วกรี๊ดเลย บอกว้าย! วงลุงรู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ (ทำหน้างง) อ้าว! หนู ฉันเล่นมาก่อนหนูเกิดอีกนะ กลายเป็นอย่างนี้ไป (ศิลปินมากประสบการณ์ได้แต่หัวเราะหึหึในลำคอทิ้งท้าย)
วงเราไม่เน้นขาย
เคยมีคนถามว่าทำไมวงพิ้งค์แพนเตอร์ไม่มีงานเพลงอัลบั้มใหม่ เพลงใหม่ๆ ออกมาเสียที จริงๆ แล้วมันก็มีความเป็นไปได้นะ ถ้าเกิดว่าเรามีทุน (ยิ้มบางๆ) เพราะตัวเราเอง เราไม่เคยคิดว่าความอายุมากของเรา หรือความเป็นวงรุ่นเก่าของเรา มันเป็นอุปสรรคอะไรนะ แต่อุปสรรคของเราคือ เราเป็นนักดนตรีแท้ๆ เราไม่ใช่นักธุรกิจที่มีทุนมหาศาล และเราก็ไม่มีเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจที่มาซี้กับเรา หรือมาคอยสนับสนุนว่า เฮ้ย! เอาเลย ทำเลย เดี๋ยวผมลงทุนให้เอง คนที่จะมาลงทุนเขาก็กลัวว่าเราจะทำให้เขาขาดทุน ก็เลยไม่มีใครมาทำตรงนี้ ทุกวันนี้เราก็เลยได้แต่ดูแลเรื่องดนตรีให้แก่วงอื่นๆ ไป
ถ้าพูดกันถึงเรื่องตัวเพลงและคำร้อง จริงๆ แล้ววงเราสามารถทำเองได้หมด ศักยภาพของเรายังมี ห้องอัดของเราก็มี ถ้าจะทำชุดใหม่ออกมามันก็ได้ แต่ติดอยู่ที่ทุนเราไม่มี ตอนนี้ก็เลยได้แต่ไปซื้อลิขสิทธิ์เพลงเก่าๆ มา cover ใหม่ ทำซีดีขายไปพร้อมกับคอนเสิร์ต
ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนกัน เรานำเพลงเก่ามาเรียบเรียงดนตรีใหม่ ทำเป็นอัลบั้มใหม่ และมีเพลงใหม่อยู่ในนั้นด้วย ชื่อเพลง “อีกครั้ง” แต่งขึ้นมาสำหรับร้องคู่กันโดยเฉพาะ โดยให้คุณจันทนีย์ (อูนากูล) ซึ่งเคยแต่งและร้องเพลง “สายชล” แล้วโด่งดังมากในอดีต มาเป็นคนที่แต่งเนื้อเพลงให้ เพราะเธอจบด้านภาษามาโดยเฉพาะ (อักษรศาสตร์ จุฬาฯ) เนื้อเพลงก็เลยออกมาไม่เชยและน่าฟัง พูดจริงๆ ผมว่ามีเหลืออยู่คนเดียวแล้วในยุคนี้ที่สามารถแต่งเพลงแนวนี้ออกมาได้ดีขนาดนี้
คอเพลงแนวเดิมที่อยากฟังเพลงแนวเก่าๆ อาจจะต้องทำใจกันหน่อย เพราะค่ายเพลงสมัยนี้ยังไม่มีพื้นที่ให้ดนตรีแนวนี้เท่าไหร่นัก ทางแกรมมี่เองก็เคยลงทุนนะ เรียกศิลปินเก่าๆ มาร้องเพลงที่แต่งกันขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อาจเป็นเพราะเรายังไม่ทำให้มันเป็นเรื่องสำคัญ บางทีเอาครูบาอาจารย์ที่เขาไม่แต่งเพลงแล้ว มาแต่งใหม่อีกรอบ ผมรู้สึกว่าเป็นของมีค่ามากๆ แต่พอหยิบมาทำแล้วไม่โปรโมตอะไรมากมาย ทำแค่ให้รู้ว่าทำแล้ว สุดท้ายมันก็เลยหายไป ทั้งๆ ที่เป็นของดี ทุกวันนี้ก็เลยไม่มีเพลงใหม่ๆ แนวเดิมๆ ออกมาให้ฟังกันอีกแล้ว
ตัวผมเป็นนักดนตรีอาชีพมาตั้งแต่อายุ 16 ตอนเด็กๆ ก็ไม่เคยคิดหรอกว่าจะมาทำเป็นอาชีพ คิดแค่เพียงว่าชอบเล่นกีตาร์-ร้องเพลง แต่พอได้โอกาสมาทำตรงนี้ เราก็ทำเต็มที่ จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังพยายามทำให้เต็มร้อยทุกครั้ง ไม่ว่าค่าอามิสสินจ้างจะขนาดไหน ทำแล้วได้ตังค์หรือไม่ได้ก็ตาม
และถ้ามีโอกาส ผมก็อยากจะหยิบบทเพลงของสุนทราภรณ์มาทำคอนเสิร์ตสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะผมเคยเป็นมิวสิกไดเร็กเตอร์ให้กับอัลบั้ม “โกลด์ซีรีส์ สุนทราภรณ์” แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำคอนเสิร์ต ผมคิดว่าเพลงสุนทราภรณ์ทุกเพลงทรงคุณค่า ควรแก่การให้ความสำคัญ และถ้าได้โอกาสนั้น ผมก็อยากจะทำให้ยิ่งใหญ่ ให้สมศักดิ์ศรีบทเพลงดีๆ ผมว่าบางครั้งเราก็ไม่ควรจะตัดสินอะไรจากการขายได้-ไม่ได้อย่างเดียว อย่างวงพิ้งค์ฯ ของเรา เราก็ไม่เคยเน้นขายครับ เราเน้นฟังได้นาน
เคล็ดลับความเป็น “อมตะ”
ผมว่าเราโชคดีตรงที่มีเพลงฮิตไม่กี่เพลง แต่ว่าเพลงหนึ่งร้องได้นาน ฟังได้นาน เราประสบความสำเร็จมากกับเพลง “รักฉันนั้นเพื่อเธอ” ต่อมาก็เพลง “รอยเท้าบนผืนทราย” และ “คอยเธอคืนมา” อันนี้ผมแต่งเอง แล้วคนเขาก็ชอบกัน
แต่หลังจากนั้นพยายามแต่งเท่าไหร่ก็หาอะไรดีๆ เทียบกับคนที่แต่งเอาไว้เก่าไม่ได้ ก็เลยไม่แต่งดีกว่า อาศัยเรียบเรียงเสียงประสาน คำร้อง แล้วก็แต่งทำนองอย่างเดียว จึงทำให้วงพิ้งค์ฯ เป็นวงที่มีแต่เพลงเก่าๆ เล่นวนเวียนกันอยู่อย่างนั้น เพราะเพลงใหม่ๆ ที่แต่งออกมาก็ดังอยู่ไม่กี่เพลง ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่ยังอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ (ยิ้มขำๆ)
อย่างวง “ดิ อิมพอสสิเบิ้ล” ของพี่ต้อย (เศรษฐา) ก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด ทุกคนมีหน้าที่การงานอย่างอื่นให้ทำ พอมีคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ครั้งหนึ่งถึงมารวมตัวกันทีหนึ่ง ส่วนวง “แกรนด์เอ็กซ์” ก็ยังอยู่ แต่เรียกมาทำคอนเสิร์ตครั้งหนึ่ง มูลค่ามหาศาลเลย เพราะตามตัวแต่ละคนยาก ส่วนวงพิ้งค์ฯ ของเรา เนื่องจากตัวผมเองเป็นหัวหน้าวง เราก็ยังชอบที่จะเล่นดนตรี มีความสุขกับคนดู-คนฟัง ก็เลยทำให้พวกเรายังอยู่ ยังรวมวงกันได้มาจนถึงวันนี้
เชื่อไหมว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เราซ้อมกันทุกอาทิตย์นะ (ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ) หลักสำคัญที่ผมจะยึดไว้เสมอคือ
1.เราต้องมีคุณธรรมในการเป็นหัวหน้าวง ไปเล่นที่ไหน เราไม่เคยเอาเปรียบซึ่งกันและกัน
2.ผมรับงานเอง คัดงานเอง เลยทำให้ทำงานด้านนี้เหนื่อยมากๆ บางทีแค่พูดถูกหู ก็ไปเล่นให้ฟรีแล้ว (ยิ้ม) แต่ต้องดูแลอย่างดีนะ ให้เกียรติเรา อยากฟังเพลงของเราจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นการกุศลด้วย ยิ่งเล่นให้ฟรีเลย แต่ก็ต้องดูด้วยว่าทุกคนในวงต้องอยู่ได้ ถ้าจะให้เล่นฟรีหมด เพื่อนๆ ก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน แล้วก็ข้อสุดท้ายข้อ
3.ทุกคนจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เดินทางไปไหนก็ตาม แม้กระทั่งต่างจังหวัด เราจะไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่าหัวหน้าขึ้นเครื่องบินไป ลูกน้องนั่งรถตู้ มันไม่ได้ หัวหน้าก็ต้องนั่งรถตู้ไปด้วย ตอนแบ่งตังค์ หัวหน้าก็อาจจะได้ตังค์มากกว่าหน่อยหนึ่ง ให้มันยุติธรรม มันถึงจะอยู่ด้วยกันได้ยาว
45 ปีแห่งความหลัง
แรงบันดาลใจอย่างเดียวเลยที่ทำให้ผมยังมีแรงทำงานเพลงอยู่ทุกวันนี้ได้คือเพลงที่เราเลือกเล่น ส่วนที่เข้ามาเสริมให้ยิ่งรู้สึกมีแรงยิ่งขึ้นไปอีกคือความรู้สึกที่ดีๆ ที่ได้จากคนรอบข้าง เช่น เพื่อนที่เขาดีกับเรา แฟนเพลงที่เคยพูดคุย-ช่วยเหลือกัน เวลาได้ร้องเพลงความหมายดีๆ ยิ้มๆ เราก็จะนึกถึงความรู้สึกเหล่านั้นที่ได้รับมา
หรืออย่างบางเพลงที่ความหมายกินใจ ถึงแม้ว่าตัวเราเองไม่ได้มีเรื่องเข้ามากระทบจิตใจ ถึงเราไม่ได้มีคนรักที่อยู่ห่างไกลกันอย่างในเนื้อเพลงว่าไว้ แต่เราก็อินไปด้วยได้ เพราะแค่ถ้อยคำในเพลงที่เขียนขึ้นมาอย่างประณีตบรรจงก็ทำให้เรารู้สึกตามได้แล้ว
บางทีเราเอาเพลงเพลงหนึ่งมาร้อง ซึ่งเป็นเพลงประกอบหนังที่มีพระเอกตาบอด ตัวเราไม่ได้ตาบอดด้วยเสียหน่อย พอหยิบมาร้องปุ๊บ ด้วยความไพเราะของเพลง ความซาบซึ้งที่ได้รับ มันก็สามารถทำให้น้ำตาซึมได้เหมือนกัน
ผมว่าอาชีพนักร้องก็เหมือนนักแสดงอย่างหนึ่งนะ เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ต่อเรื่องอย่างนี้เยอะแยะอะไรเลย เป็นคนที่อยู่ในกรอบของศีลธรรมมาตลอด เที่ยวก็ไม่เที่ยว ไม่ได้ไปหลงรักใครง่ายๆ เป็นคนที่มีรักเดียวใจเดียว แต่เวลาร้องเพลงปุ๊บ เราก็อินได้ เหมือนนักแสดงที่เวลาเขาแสดงละคร เปลี่ยนบทบาทปุ๊บ เขาก็จะรู้สึกไปกับบทบาทนั้น เราก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ของผมจะอินไปกับบทเพลง
ตลอด 45 ปีในวงการเพลง สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของผมก็คือเหตุการณ์เมื่อปี 2512 (นับนิ้วแล้วยิ้มกับจำนวนปีที่ผ่านไป) ผมได้รับพระราชทานรางวัลกีตาร์ยอดเยี่ยมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (แววตาเป็นประกาย) ซึ่งมีศิลปินแค่ไม่กี่คนที่จะได้รางวัลจากแขนงนี้ แล้วเราไม่ได้เรียนมาทางสายดนตรีโดยตรง เรียนจบพาณิชย์การบัญชีมา ทำงานธนาคาร แล้วเบนสายมาทางนี้ จึงยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมาก
เพราะในสายเลือดของนักดนตรีทุกคน ยกย่องให้ในหลวงเป็นนักดนตรีที่เก่งที่สุดอยู่แล้ว ท่านเป็นเทพด้านนี้ โดยเฉพาะบทเพลงพระราชนิพนธ์ของท่าน รับรองได้ว่าไม่มีใครไม่ประทับใจ และใครที่เอาบทเพลงของท่านมาปู้ยี่ปู้ยำ ร้องไม่เป็นภาษามนุษย์เนี่ย ผมไม่ชอบเลย เขาคงเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ถึงทำไปอย่างนั้น
ถ้าให้มองจากจุดที่เคยยืนในอดีต ถือว่าทุกวันนี้วงการเพลงบ้านเราเปลี่ยนไปมากนะ มีการประกวดเยอะขึ้น หยิบเครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์กันได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าดีมาก พัฒนาขึ้นมาก มันทำให้ดนตรีขยายวงไปได้กว้างมากขึ้น คนเข้าถึงได้มากขึ้น คือเราอาจจะไม่ต้องตีกลองจริงๆ เพื่อให้ได้เสียงกลองอีกแล้ว เพราะมันมีเครื่องดนตรีชนิดอื่นที่แทนเสียงนั้นได้
หรือแม้กระทั่งตอนอัดเสียง ยังแก้จากเสียงเพี้ยนๆ เป็นไม่เพี้ยนได้อีก ก็เลยทำให้นักร้องสมัยนี้อาจจะไม่ต้องสนใจเรื่องเสียงร้องกันมากเท่าไหร่แล้วก็ได้ ทุกอย่างปรับแก้ได้หมด ผมเองยังใช้เลยบางครั้ง เพราะมันสะดวกกว่า ประหยัดกว่าด้วย แต่ถ้าถึงตอนต้องเล่นสดบนเวทีจริงๆ ก็ต้องใช้ของจริง เล่นกันให้เต็มที่ ต้องทำให้ออกมาละเมียดละไมที่สุดเหมือนกัน
ทุกครั้งที่ทำงาน ผมจะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด ไม่ว่าจะมีผลประโยชน์เข้ามาหรือไม่มีก็ตาม จนเพื่อนๆ ในวงเรียกผมว่าเป็น “คุณนายละเอียด” (หัวเราะ) ที่สำคัญคือต้องจริงใจและให้ความเคารพผู้มีพระคุณของเรา ผมถือว่าความกตัญญูเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วครับ เพราะไม่อย่างนั้น เราคงไม่ได้อยู่เป็นวงดนตรีเก่าแก่มาจนถึงทุกวันนี้ และจะเป็นแบบนี้ไปจนตลอดชีวิต
พูดจริงๆ ว่าผมอยากเล่นดนตรีไปตลอดชีวิตครับ ถ้าเลือกได้ สถานที่ที่ผมอยากจบชีวิตลงมากที่สุด ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลหรือที่บ้านนะ แต่อยากตายบนเวที เพราะนั่นถือเป็นความสุขที่สุดแล้ว
หมายเหตุ: ร่วมรำลึกวันวานไปกับเสือสีหวานในคอนเสิร์ต “30 ปี พิ้งค์แพนเตอร์” ได้ ณ ศูนย์วัฒนธรรมฯ ในวันที่ 18 ก.ค. นี้ รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย นำไปสมทบทุนสร้างศูนย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรุงเทพฯ จองบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... วรวิทย์ พานิชนันท์