xs
xsm
sm
md
lg

หวานหวาน “แม่ศรีเมือง” ยุค 2012

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในโลกละคร เธอคือ “ศรีเมือง” ที่เรียบร้อย อ่อนหวาน กิริยามารยาทงดงาม เป็นที่หมายตาของหนุ่มๆ ทั่วแคว้นอโยธยา แต่ในโลกความเป็นจริง เธอคือ “หวานหวาน” บัณฑิตหมาดๆ จากรั้วจามจุรี ถึงแม้จะไม่ได้เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้อย่างนางในวรรณคดี แต่บุคลิกที่ภูมิฐาน คำพูดคำจาที่ดูฉะฉาน บวกกับความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัว ช่วยเสริมให้เธอเป็นตัวอย่างของผู้หญิงเก่งสมัยนี้ได้ไม่ยากนัก พูดง่ายๆ ว่าเธอคือ “ศรีเมืองยุค 2012” ดีๆ นี่เอง



หนุ่มๆ ที่ได้ติดตามละครเรื่อง “ขุนศึก” คงยังติดตาตรึงใจในความเพียบพร้อมของ “ศรีเมือง” จนอยากได้ภรรยาที่แสนดี ช่างเอาอกเอาใจ และทุ่มเททุกอย่างเพื่อความรักได้สารพัดแบบนี้สักคน เรียกได้ว่า “หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ” ซึ่งรับบทนางรองผู้มั่นคงต่อความรักครั้งนี้ ได้คะแนนนิยมไปเต็มๆ จนทำให้ใครต่อใครอยากรู้จักตัวตนจริงๆ ของเธอขึ้นมา และการพูดคุยกันในครั้งนี้ก็ได้ข้อสรุปว่า เธอไม่ได้แค่หวานเหมือนชื่ออย่างเดียว แต่เต็มไปด้วยมุมเปรี้ยว แสบ ลุย ซน น่าสนใจไม่แพ้ใครเหมือนกัน

ศรีเมืองที่รัก
ดีใจค่ะที่มีคนเรียกเราตามชื่อในละคร แสดงว่ายังพอมีคนจำได้บ้าง (ยิ้มรับด้วยแววตาปลาบปลื้ม) และเท่าที่ดูฟีดแบ็กที่เข้ามา ก็มีทั้งคำวิจารณ์และติชมค่ะ เห็นมีตั้งกระทู้ในพันทิปว่า “เด็กใหม่จะรุ่งไหม” ซึ่งมีรายชื่อเราอยู่ในนั้นด้วย บางคนก็บอกว่าไม่รุ่ง ไม่เหมาะกับบท บอกว่าไม่เห็นจะสวยเลย (ยิ้ม) บางคนก็บอกว่ารุ่งแน่ๆ อ่านแล้วก็สนุกดีค่ะ กับอีกกระทู้ตั้งประมาณว่า “ศรีเมืองก็สวย ทำไมชายในอโยธยาถึงไม่มาเลือก ไปเลือกแต่คนมีเจ้าของแล้ว” (หัวเราะเบาๆ)
 

ตัวหนูเอง หนูโอเคกับทั้งคำติและคำชมนะคะ ถ้าเขาติมาแล้วมันเป็นจริง เราก็เอามาปรับปรุงตัวเอง หรือถ้าชมก็ดีไป ถือเป็นกำลังใจในการทำงาน แต่ที่รู้สึกดีมากๆ คือเวลามีใครติเรา แล้วมีคนมาแก้ต่างให้ บอกอิจฉาเขาล่ะสิ มาว่าเขาอยู่ได้ ตลกดีค่ะ น่ารักดี รู้สึกว่ายังมีคนเป็นกำลังใจให้เราอยู่บ้างเหมือนกันนะ
 

บางกระแสก็หาว่าหนูเป็นเด็กเส้น ทำไมจู่ๆ ได้แสดงเป็นตัวเด่นๆ มาถามว่าเป็นลูกใครหรือเปล่า หนูเป็นลูกแม่จ๋าค่ะ (หัวเราะ) ไม่ใช่ลูกใคร หนูแค่โชคดี มีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน เขาเอ็นดูให้โอกาสเรา แล้วที่ได้บทนี้ก็เพราะว่าอาปิ่น (ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์) เห็นหนูจากโฆษณาเลยติดต่อให้เข้ามาลองแคสต์ที่ทีวีซีนดู ตอนแรกก็ยังงงๆ ตัวเองอยู่ คิดว่าถ้าเป็นละครไทย เราไม่น่าจะได้ เพราะมีหลายคนเคยบอกว่าหน้าเราไปในโทนสาวฮ่องกงมากกว่า มาถึง อาปิ่นบอกให้ลองรวบผม ดูหน้าเราแล้วก็ (พยักหน้า) อื้ม…น่าจะได้ๆ พอลองแคสต์ก็ได้จริงๆ พี่เขาบอกว่าเราเป็นคนหน้าตาดูเรียบร้อยมาก น่าจะเหมาะ
 

(ยิ้มแววตาเป็นประกายก่อนรำลึกความหลังให้ฟัง) ยังจำได้เลยค่ะ ฉากแรกที่ถ่ายตื่นเต้นมาก แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยมีบทพูดเท่าไหร่ แต่ที่ยากคือภาษาในเรื่องเป็นภาษาโบราณหมดเลย เราเลยต้องท่องบทเหมือนท่องหนังสือเลยค่ะ ทุกคำต้องเป๊ะจริงๆ เช่น ขอบน้ำใจแม่หญิงเจ้าค่ะ, รับกับข้าวแลผัดเสื้อผ้า แล้วก็คำว่า “ฉัน” ก็ต้องออกเสียงว่า “ฉัน” จริงๆ ไม่ใช่ “ชั้น” อย่างที่เราพูดๆ กัน เพื่อนๆ ที่ดูละครก็จะแซวกันใหญ่ เรียกเราว่า “แม่หญิง” อย่างนั้นอย่างนี้ หนูก็ว่ามันน่ารักดีค่ะ ดีเหมือนกัน บอกให้ช่วยพูดกับเราบ่อยๆ หน่อย เราจะได้ชิน
 

แต่ก็มีโมเมนต์แอบโหดเหมือนกันค่ะ คือจริงๆ แล้วพี่ดุล (อดุลย์ บุญบุตร ผู้กำกับ) เป็นคนน่ารักมากนะ เวลาพูดหรือเตือนอะไรก็มีแต่ความหวังดีต่อเราตลอด แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โดนหนักกว่าทุกวัน วันนั้นถ่ายซีนร้องไห้มาทั้งวันแล้ว และก็ร้องได้มาตลอด แต่จู่ๆ ก็เหมือนมีคนมากดปิดสวิตช์ น้ำหมด ไฟตัด (หัวเราะ) น้ำตาหยุดไหลไปเลยค่ะ ร้องไม่ได้อีกเลย ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ยังไม่มา ทั้งอาเอก (สรพงษ์ ชาตรี) พี่อั้ม (อธิชาติ ชุมนานนท์) ต้องมารอ กองถ่ายทั้งหมดวันนั้นก็รอเราคนเดียว เลยเจอคำว่า “ร้องไม่ได้ก็ยกกอง” อึ้งเลย (ทำหน้าเหรอหราประกอบ) แล้วก็ไปถ่ายฉากที่อาเอกเสียแทน แต่คราวนี้เล่นได้เพราะอาเอกช่วยส่งอารมณ์ให้เต็มๆ พอกลับมาถ่ายฉากเดิมที่ต้องนั่งร้องไห้คนเดียวก็ถ่ายได้ไหลลื่นเลย ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่สนุกดีค่ะ
 
ตอนที่ดูละครตัวเองออกอากาศครั้งแรก เขินมากเลยค่ะ ดูแล้วรู้เลยว่าฉากไหนถ่ายก่อนถ่ายหลัง คือฉากที่ถ่ายแรกๆ จะแสดงแข็งจนเห็นได้ชัดเลย ครั้งแรกที่ดูตัวเองในทีวีเขินมากค่ะ ดูแล้วต้องปิดตา แอบดูผ่านจั๊กแร้เอา (หัวเราะ) ตื่นเต้นกับละครเรื่องแรกมากค่ะ แต่ก็พยายามจะควบคุมสติตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะคุมได้ มองในแง่ดี ความตื่นเต้นมันก็ดีเหมือนกันนะคะ หนูว่าเวลาทำงานแล้วตื่นเต้นนิดๆ มันทำให้งานที่ออกมาดูกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวาดี (รอยยิ้มของเธอช่วยย้ำความหมายของถ้อยคำที่พูดไปให้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง)




อย่าเยอะ!
การเล่นละครทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ หลายๆ อย่างเลยค่ะ อย่างตอนที่แสดงเป็นศรีเมือง หนูว่าหนูได้เรียนรู้ว่า “ความช้าอย่างเป็นธรรมชาติ” มันเป็นยังไง (ยิ้มหวาน) ด้วยความที่เป็นละครย้อนยุค ตัวละครจะทำอะไรก็ต้องทำแบบช้าๆ เนิบๆ ตลอด แต่หนูไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ค่ะ ปกติเป็นคนทำอะไรเร็วๆ พี่ที่เป็นแอกติ้งโค้ชก็ต้องคอยเตือนตลอด พอเราตั้งใจจะเคลื่อนตัวช้าๆ บางครั้งมันก็จะดูช้าเกินไป หนูก็ต้องฝึกใหม่หมดเลยค่ะให้ช้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ ต้องเดินแบบเนิบๆ เวลาจะนั่งทีก็ต้องปาดสไบ ทำอยู่อย่างนั้นจนชิน จนดูเป็นธรรมชาติถึงจะผ่าน
 

ส่วนเรื่องที่ต้องพูดให้ช้าๆ ชัดๆ อันนี้โชคดีหน่อยค่ะ เพราะหนูเคยเป็นพิธีกรรายการที่ JSL มาก่อนตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ปี 1 ปี 2 แล้วค่ะ คุณต้น-ลาวัลย์ กันชาติ ท่านก็จะคอยบอกคอยสอนอยู่ตลอดว่า เป็นพิธีกรต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดนะ ร-เรือ ล-ลิง ควบกล้ำทุกอย่าง แล้วตั้งแต่ตอนเรียนอยู่เซนโยฯ ก็จะรับหน้าที่เป็นพิธีกรของโรงเรียนบ่อยมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน (ยิ้ม) เวลามีแสดงละคร เราก็จะเป็นคนถือไมค์แล้วพากย์เสียงเล่าเรื่อง ได้ฝึกมาทางนี้ตลอด เลยอาจจะทำให้เรากลายเป็นคนพูดชัดไปเองโดยอัตโนมัติ พอมาแสดงเรื่องนี้ วิธีออกเสียง การพูดของหนูเลยไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่ค่ะ ไม่ต้องฝึกหนักอะไรมาก
 

ที่ต้องปรับตัว น่าจะเป็นเรื่องการแสดงกับคนอื่นๆ ค่ะ ต้องแอบข่มความตื่นเต้นเอาไว้ (ยิ้ม) เพราะนอกจากนี่จะเป็นละครเรื่องแรกของหนูแล้ว ยังเจอแต่นักแสดงมีฝีมือทั้งนั้นด้วย มีอาเอก-สรพงษ์, อาหนิง-นิรุตต์, แม่อี๊ด-ดวงใจ เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ รู้สึกว่าได้รับประสบการณ์กลับไปเยอะมาก โดยเฉพาะอาเอกที่เข้าฉากด้วยกันบ่อย เพราะแสดงเป็นพ่อลูกกัน ถึงจะไม่ค่อยมีเวลาคุยบทกันมากเท่าไหร่ เพราะอาเอกเขาก็คิวเต็มเหมือนกัน แต่อาเขาก็พยายามใช้เวลาเท่าที่มีมาสอนเรา แล้วผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ก็จะคอยสอนเรื่องการวางตัวในวงการด้วยค่ะ บอกเราว่าต้องเป็นเด็กอยู่ง่ายกินง่ายนะ เชื่อฟังผู้ใหญ่ ถ้าเทียบเป็นภาษาวัยรุ่นก็คือ “ไม่เยอะ” ค่ะ (ยิ้มบางๆ ปิดท้ายก่อนขยายความให้ฟัง)
 
คือถ้าเราเป็นคนกินยาก ก็ควรจะเตรียมของไปเอง ไม่ต้องไปลำบากคนอื่น เรื่องน้ำดื่ม ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็เดินไปหยิบเองบ้าง ง่ายๆ คือให้ติดดินเข้าไว้ค่ะ ทุกคนก็จะคอยบอกคอยสอนเราแบบนี้ ถ้าเรื่องไหนที่เรารู้ว่าเราเยอะ หนูก็จะพยายามดูแลตัวเองค่ะ อย่างเรื่องยุง หนูเป็นคนแพ้ยุง แล้วเรื่องนี้หลักๆ ไปถ่ายทำกันที่อยุธยา ยุงที่นั่นตัวใหญ่มาก (เน้นเสียง) กัดทะลุกางเกงยีนส์เลยค่ะ (หัวเราะ) ก็ต้องเตรียมยากันยุงไปเอง แล้วก็อาจจะต้องระวังเรื่องอาหารการกินด้วย เพราะเป็นคนแพ้ง่ายค่ะ แม้แต่อาหารที่ชอบอย่างแครอต สาหร่าย แล้วก็มะม่วง หนูยังแพ้ได้เลย ล่าสุดเพิ่งรู้ตัวว่าแพ้แลกโตสในนมวัวด้วย กินแล้วท้องจะอืด อาหารไม่ย่อย ดูเยอะเนอะ (หัวเราะ)




น้ำตาไหลกลางห้าง
ถ้าได้ดูเรื่องนี้จะรู้ว่าหนูเข้าฉากกับอาเอกบ่อยมาก แล้วก็มีฉากอาเอกเสียตอนจบด้วย ซึ่งหนูอินมาก (ยิ้มเศร้าๆ) เพราะพ่อของหนูเพิ่งเสียไปเมื่อปลายปีก่อน ถ่ายละครเรื่องนี้มีหลายอย่างให้นึกถึงคุณพ่อมากๆ เลยค่ะ เพราะพ่อชอบอาเอกมากด้วย นี่ถ้าพ่อหนูยังอยู่แล้วได้ดูละครนะ (ปลายเสียงสั่นเล็กน้อย) อินค่ะอิน (หัวเราะไล่น้ำตา)
 

หนูจะอินมากเวลาเห็นเพื่อนมีรูปครอบครัวอยู่ด้วยกันครบหมด เสียใจค่ะ เราเองก็อยากถ่ายรูปแบบนั้นบ้าง แล้วยิ่งเพิ่งรับปริญญาด้วย ก็แอบคิดน้อยใจว่าทำไมพ่อไม่อยู่รอเราก่อนนะ อย่างน้อยรอเราจบก็ยังดี (กะพริบตาถี่ไล่น้ำใสๆ ในตา) ตอนคุณพ่อเสีย หนูยังไม่ได้เล่นละครเลยนะคะ อย่างน้อยอยากให้เขาเห็นว่าเราประสบความสำเร็จระดับหนึ่งก่อน รู้สึกเสียดายมากๆ เลย เพราะช่วงที่ยังอยู่ด้วยกัน หนูก็เน้นเรียนอย่างเดียว เราได้เจอกัน แต่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาชิลๆ ด้วยกัน ยังอยากทำหลายๆ อย่างกับคุณพ่อ ยังอยากเที่ยวด้วยกันเหมือนแต่ก่อน ไปเที่ยวพัทยากันทุกอาทิตย์เลยค่ะ (ดูเหมือนว่าการกะพริบตาไล่น้ำใสๆ ในตา จะช่วยไม่ได้อีกต่อไป)
 

ตอนนั้นคุณพ่อสั่งงานลูกน้องเสร็จก็มานั่งพัก สักพักก็ไปเลยค่ะ (น้ำเสียงราบเรียบอย่างเห็นได้ชัด) เส้นเลือดแตกที่ก้านสมอง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีอาการเตือนอะไรเลยนะคะ ไม่มีโรคแทรกซ้อนด้วย แล้วคุณหมอก็บอกไม่ใช่เพราะเครียดด้วย เป็นเคสต์ที่จะเกิดขึ้นแค่หนึ่งในหมื่นจริงๆ ค่ะ เขาบอกว่ามันเป็นเพราะยีน มีวิธีเดียวที่จะรู้ว่าเรามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้คือ ต้องฉีดสีเข้าสมองแล้วเอกซเรย์ จะเห็นว่าตรงไหนเส้นเลือดปูดผิดปกติค่ะ แต่นี่เราไม่รู้มาก่อนเลย ก็เลยไม่มีใครตั้งตัวทัน งงมาก เพราะวันนั้นคุณตาก็ทำงานกับคุณพ่อ ทำรับเหมาออกแบบด้วยกันค่ะ
 

พอคุณพ่อเสีย ตอนนี้หนูก็กลายเป็นเสาหลักของบ้านไป เพราะคุณแม่ไม่ได้ทำงานแล้ว คุณแม่เคยทำงานแบงก์ที่สำนักงานใหญ่ แล้วก็ออกมาดูแลหนูตั้งแต่ตอน ป.4 เพราะเมื่อก่อนหนูเรียนอยู่เซนโยฯ บางนา แล้วที่ทำงานคุณแม่อยู่สุขุมวิท ในเมืองเลย รถติดมาก พอโรงเรียนเลิก เพื่อนๆ ได้กลับกันหมดแล้ว เราก็น้อยใจว่าทำไมคนอื่นได้กลับสี่โมงเย็นกัน แต่เราต้องรอจนสองทุ่ม คุณแม่กับคุณพ่อก็เลยปรึกษากัน คุณแม่ก็เลยออกมาดูแลหนูดีกว่า พอมาตอนนี้ หนูเลยต้องรับหน้าที่ดูแลคุณแม่แทนคุณพ่อค่ะ มีเครียดๆ เหมือนกันตอนแรก แต่สุดท้ายก็ต้องเก็บความเครียดไว้ ตั้งใจทำงานดีกว่าค่ะ เพราะเครียดไปก็ไม่ได้ตังค์เพิ่มอยู่ดี (ยิ้มบางๆ) ต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้
 

ช่วงคุณพ่อเสีย ตอนนั้นทุกคนเป๋หมดเลย หนูเองก็เบลอ คุณแม่ยิ่งเป็นหนัก ขับรถไปรับเราที่จุฬาฯ ยังขับผิดเลย ทั้งๆ ที่ไม่เคยหลงมาก่อน หนูก็เลยต้องพยายามตั้งสติมากขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณแม่ไปซื้อเค้กกล้วยหอมมาให้คุณพ่อ แต่ตอนนั้นท่านเสียแล้ว เราก็ถามว่าแม่ซื้อมาทำไม เพราะหนูก็ไม่กิน คุณแม่ก็ไม่ชอบ แม่บอกก็ซื้อมาให้พ่อไง เท่านั้นแหละ หนูน้ำตาคลอเลย บอกพ่อเสียแล้วนะแม่ ร้องไห้กันกลางห้างตรงนั้นเลยค่ะ เราสงสารแม่เขาด้วย ตอนเขาพูดดูรู้เลยว่าเขาลืมไปจริงๆ ว่าคุณพ่อเสียแล้ว เป็นโมเมนต์ที่จำมาได้จนถึงตอนนี้เลย
 
ทำให้รู้เลยว่าบางอย่างในชีวิตเรามันเข้ามาโดยกะทันหัน ชีวิตมันสั้นจริงๆ เวลามันผ่านไปเร็วมาก เพราะฉะนั้นคนที่ยังมีคุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่อยากตอบแทนบุญคุณท่านอยู่ ถ้าอยากทำอะไรก็ให้รีบทำค่ะ ยิ่งกับคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา อย่าเพิ่งมาคิดถึงเขาในวันที่สายไปแล้ว




ที่ปรึกษาของแฟนๆ
เรื่องดีๆ ที่ได้จากละครเรื่องนี้อีกหนึ่งอย่างคือแฟนคลับค่ะ หลัง “ขุนศึก” ฉายทำให้มีน้องๆ แฟนคลับอยากรู้จักเราเยอะขึ้น ก็เป็นเรื่องน่าดีใจค่ะ แต่จริงๆ แล้วจะมีน้องสองคนที่เขาสร้างแฟนเพจในเฟซบุ๊กให้หนู คอยสนับสนุนผลงานเรามาตั้งแต่ตอนเล่นโฆษณาแล้วนะ เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนค่ะ เขาน่ารักมาก คือเขาไม่ได้คอยมาตามกรี๊ดตามทึ้งเรา หรือทำเหมือนเราเป็นดาราอะไรขนาดนั้น เวลามีอะไรก็ปรึกษากันได้ เขาบอกอยากเข้าคณะครุฯ จุฬาฯ หนูก็บอกเดี๋ยวพี่ช่วยดูให้นะ แล้วก็จะเตือนเขาตลอดว่าไม่จำเป็นอย่าซื้อของแพงมาให้พี่นะ หรือไม่ต้องซื้อมาเลยดีกว่า
 

คงเป็นเพราะนิสัยของหนูด้วยมั้งคะ ที่ชอบให้คำแนะนำคนอื่น อย่างตอนที่ยังเป็นดีเจคลื่น 103.5 Max Radio อยู่ มีคนโทร.มาหลังไมค์ประจำ ขอปรึกษาเรา หนูก็ยินดีนะคะ รู้สึกดีที่มีส่วนได้ช่วยคนอื่น ครั้งหนึ่งมีน้องคนหนึ่งโทร.มาปรึกษาว่าแฟนขอมีอะไรด้วย จะยอมดีหรือเปล่า แล้วน้องเขาอายุแค่ 15-16 เอง หนูก็บอกว่ายังเด็กเกินไป น้องเขาก็บอก แต่ผู้ชายรักเขาจริงๆ นะ หนูเลยถามว่ารักยังไง แค่มาเจอ เอาของมาให้ พูดหวานๆ มันไม่ใช่นะ เราก็แนะนำเขาไป หนูว่าด้วยวุฒิภาวะของเขาคงยังคิดไม่ถึง อย่างน้อยเขาได้คุยกับเรา ถ้าเขาเชื่อก็ดีไป แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็น่าจะมีแวบหนึ่งที่ทำให้เขาได้ฉุกคิดบ้างว่ามันไม่ควร
 

หนูว่าหนูเตือนน้องๆ บ่อยเหมือนกันนะ บางทีมีน้องบางคนที่โดดเรียนมาหาเรา ก็จะเตือนไป แต่ก็เข้าใจค่ะว่าเป็นความสุขของเขา แต่ถ้าเขาโดดเรียนมาแล้วยังเรียนดี ยังสอบได้คะแนนสูงๆ มันก็โอเคนะ (ยิ้ม) นี่ไม่ได้ส่งเสริมนะคะ แต่อย่างเพื่อนหนูบางคนไปเรียนแล้วหลับ แต่ตอนสอบก็ทำคะแนนได้ดี มันก็มี ง่ายๆ คือถ้าจะทำอะไร อย่าให้เสียการเรียน ทำให้มีความสุข เลือกทำแต่พอดี ทำแล้วไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อนคนอื่นก็พอ ไม่ใช่ว่าโดดตลอดแล้วให้เพื่อนตามงานให้จนเขาเดือดร้อน อันนั้นก็คงไม่ใช่แล้ว ส่วนตัวหนูชอบคิดว่า ทำอะไรก็ได้ค่ะ ตราบใดที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่เขาต้องไม่เดือดร้อนจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่อ้างแต่ปากว่า ฉันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่สุดท้ายก็เดือดร้อนคนอื่นอยู่ดี ถ้าแบบนั้นก็ไม่ได้
 

แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นวันธรรมดา ตรงกับที่น้องๆ เรียน หนูก็จะบอกเขาว่าอย่ามาเลย มันเสียการเรียนนะ มีอะไรก็โทร.ติดต่อกันเอาก็ได้ ให้เบอร์ติดต่อน้องไว้ด้วยค่ะ เพราะเรารู้นิสัยกัน รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนหนู 16-17 แล้ว ถามว่าเราให้เบอร์เขาไป เราไม่หวงความเป็นส่วนตัวเหรอ หนูก็หวงนะคะ แต่ตราบใดที่ไม่ล้ำเส้นก็ไม่เป็นไร ซึ่งมันก็มีน้องบางคนที่ล้ำเส้นมากไปเหมือนกัน บางคนขอมานั่งเล่นที่บ้าน ขอของของเรา บอกว่ามีรองเท้าที่พี่ไม่ใส่แล้วไหม เราก็จะปฏิเสธไปตรงๆ เลยว่าไม่ได้นะคะ เพราะหนูเองก็จะมีเส้นแบ่งอยู่ว่าอะไรคือความพอดี ถ้าบางครั้งบางคนมากเกินไป เราก็ถอยออกมาดีกว่า


เปลี่ยนชื่อแล้วเฮง
จริงๆ แล้วก่อนจะมาแสดงละคร หนูเคยประกวดเดอะสตาร์มาก่อนด้วยนะ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรค่ะ แค่อยากลอง หนูชอบร้องเพลง แต่ก็รู้ตัวว่าไม่ได้เสียงดีขนาดนั้น คิดว่าถ้าเข้ารอบ น่าจะช่วยให้เรามีโอกาสพัฒนาตัวเองได้อีกเยอะ ก็เลยลองดู แล้วก็ได้เข้ารอบ 20 คน แต่ไม่ติดรอบ 8 คน ก็โอเคค่ะ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ถือเป็นประสบการณ์ไป แต่ประกวดเวทีเดียวก็ไม่ไปแล้ว เพราะคิดว่าเสียงเราคงไม่ได้จริงๆ (ยิ้ม) ถ้าจะให้ผันตัวมาร้องแนวเต้นๆ ก็คงไม่ได้อีก เพราะนักร้องสมัยนี้ที่เต้นเก่งๆ ก็ต้องขายเซ็กซี่ด้วย ซึ่งเราไม่อยากเน้นไปทางนั้น ก็เลยอย่าดีกว่า
 

ถ้าอยากเห็นคลิปเก่าๆ ตอนหนูประกวดเดอะสตาร์ 8 ลองเสิร์ชชื่อ “จุ๊กจิ๊ก-นริศรา มานะวานิช” ดูก็ได้ค่ะ เพราะถ้าใช้ชื่อตอนนี้ไปเสิร์ชคงไม่เจอ เพราะหนูเพิ่งเปลี่ยนชื่อ พอดีเอาชื่อไปปรึกษาหลวงพี่อุเทน วัดท่าไม้ แล้วท่านทักหลายเรื่อง ทักว่าให้ไปเอาไฝที่หลังออก ทั้งๆ ที่เราไม่เคยสังเกตเลยว่าเรามีไฝที่หลังด้วย หลังจากนั้นพอไปดู ปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วตอนนั้นกำลังจะไปผ่าฟันคุดพอดี ท่านก็ทักว่าฟันคุดที่จะไปเอาออก ต้องเปลี่ยนชื่อก่อนนะ ไม่อย่างนั้นพอไปผ่าแล้วหน้าจะเบี้ยวตลอดชีวิต เพื่อความสบายใจของคุณแม่และตัวหนูเอง ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนค่ะ
 

ท่านบอกว่าชื่อเล่นจุ๊กจิ๊ก ฟังแล้วนึกถึงคำว่าจุกจิกจู้จี้ ออกแนวติดลบ จะนำความเสื่อมเสียมาสู่ตัวเอง ก็เลยเปลี่ยนเป็นหวานหวาน เพราะอยากได้ชื่อภาษาไทยที่ฟังแล้วติดหู จำง่าย เหมาะกับคาแรกเตอร์ เพราะหน้าเราหวาน ส่วนนามสกุล ที่ต้องเปลี่ยนเพราะท่านบอกว่านามสกุลนี้ทำให้เป็นหม้าย ลองสังเกตจากคนในครอบครัว ก็เป็นหม้ายกันจริงๆ ถ้าไม่ใช่ ก็ยังไม่ได้แต่งงานเลย สรุปเลยเปลี่ยนทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง แล้วก็นามสกุล ตอนยังไม่เปลี่ยน ยังคุยๆ อยู่ว่าจะได้งานละครหรือเปล่า พอเปลี่ยนปุ๊บ หลังจากนั้นทุกอย่างก็ลงตัว ได้แสดงเรื่อง “ขุนศึก” พอดี
 
ส่วนเรื่องต่อไป เท่าที่วางไว้ น่าจะเป็นปลายปีนะคะ รู้สึกจะชื่อเรื่อง “ฟ้ากระจ่างดาว” ถามว่ามีโอกาสจะได้เป็นนางเอกไหมเหรอคะ (ยิ้ม) หนูเป็นคนชอบมองอะไรตามความเป็นจริงค่ะ เช่น ถ้าเราแสดงดี ฟีดแบ็กดี มันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่หนูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรค่ะ แค่อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ผู้ใหญ่ให้โอกาสเรามาแบบไหน เราก็จะทุ่มเทเท่าที่จะทำได้ แค่นี้ก่อนดีกว่า




รักเดียวของศรีเมือง
ตอนนี้หลายคนอาจจะยังแยกไม่ออกว่า “หวานหวาน” กับ “ศรีเมือง” ต่างกันยังไง จริงๆ แล้วถ้ามองภายนอกก็อาจจะคล้ายๆ กันค่ะ เพราะเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ หนูก็จะเรียบร้อยแบบนั้นแหละ แต่ถ้าเทียบเรื่องชีวิตประจำวัน คงไม่ขนาดนั้น ทำอาหารไม่ค่อยเป็นค่ะ เน้นหน้าตาอาหารสวยไว้ก่อน รสชาติค่อยว่ากัน (หัวเราะเบาๆ)
 

จริงๆ แล้วหนูมีหลายบุคลิกค่ะ ถ้าซนก็จะซนมากไปเลย ชอบเล่นอะไรเอ็กสตรีม เล่นบาสฯ ขี่ม้า ว่ายน้ำ เจ็ตสกี ได้หมด ชอบออกแรงค่ะ แต่อีกด้านก็จะมีมุมกุ๊กกิ๊กบ้าง หรือเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ก็จะต้องรู้จักวางตัว หนูว่าที่หนูมีหลายบุคลิกคงเพราะได้รับอิทธิพลมาจากทั้งคุณพ่อคุณแม่มั้งคะ หนูจะมองโลกในแง่ดี สบายๆ เหมือนคุณพ่อ แต่คุณแม่จะคิดลึก เพราะท่านจบด้านจิตวิทยามา จะระมัดระวัง มองทุกอย่างเผื่อไว้ตลอด แล้วก็จะสอนเรื่องการวางตัว มารยาทในสังคมจริงจังมาก เราก็เลยกลายเป็นคนสองบุคลิกค่ะ ถ้าอยู่กับเพื่อนที่สนิทจะเป็นคนชิลมาก แต่ถ้าอยู่กับคนเพิ่งรู้จักใหม่ๆ ก็ต้องวางตัวอีกแบบ คนอื่นเขาจะได้ไม่ตกใจ (ยิ้ม)
 

ส่วนเรื่องความรัก คงจะเหมือนๆ กับแม่ศรีเมืองค่ะ เป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่ชอบคนเจ้าชู้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่ชอบคนเห็นแก่ตัวค่ะ เพราะหนูมองว่าคนเจ้าชู้คือคนเห็นแก่ตัว อย่างเรื่องการมีกิ๊ก ตราบใดที่คุณยังไม่ได้แต่งงานกับใคร คุณก็มีสิทธิที่จะเรียนรู้คนที่เข้ามาในชีวิตไปได้ แต่ก็ไม่ควรเสียมารยาทถึงขนาด บ่ายนี้ไปกับอีกคน พอตกเย็นไปกับอีกคน มันไม่มีใครทนได้หรอกนะหนูว่า เป็นปกติของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วที่ต้องมีนิสัยหวงเพื่อน หวงของ หวงคนรัก
 

คนที่มีกิ๊ก หนูว่าเขาก็คงรู้จุดจบอยู่แล้วว่าจะเป็นยังไง ยิ่งถ้าคุณรักผู้หญิงคนแรก อยากให้เขาเป็นคู่ชีวิตด้วยแล้ว บอกได้เลยว่าไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนที่เขาอยากใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่นหรอกค่ะ ไม่มีใครอยากรู้สึกโง่ เพราะการที่อีกฝ่ายไปมีคนใหม่ ก็เหมือนกับไม่เห็นคุณค่าของความรักที่เรามอบให้ไป วันหนึ่งถ้าผู้หญิงคนนั้นไปเจอผู้ชายที่ดีกว่า เขาก็ไปแน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้น คนที่จะคบกับหนูได้ อันดับแรกที่ต้องขอเลยคือไม่เจ้าชู้ค่ะ ชอบคนตลก น่ารัก เพราะบางครั้งเราก็ต้องการคนมาโอ๋เราบ้าง ไม่ต้องมีเหตุผลตลอดทุกครั้งก็ได้ แต่บางครั้งก็ต้องการให้เขาเป็นที่ปรึกษา เป็นคนมีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวด้วย

ตอนนี้ก็มีคุยๆ อยู่บ้าง เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ปรึกษาเรื่องต่างๆ ได้ ความรักสำหรับหนู บางครั้งดูจากการกระทำก็บอกได้ทุกอย่างแล้วค่ะ รักคือการเอาใจใส่ ไม่เห็นแก่ตัว ความรักคือการให้แบบที่ยินดีรับทั้งสองฝ่าย รักคือการเสียสละ คงคล้ายๆ ศรีเมืองมั้งคะ รักคือการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข ชอบความรักแบบนี้ค่ะ ได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุข เราก็สุขไปด้วยแล้ว บางครั้งเราหิวข้าว แต่พอเราได้ทำอะไรดีๆ เพื่อคนที่เรารัก เราจะรู้สึกอิ่มจนลืมกินไปเลย ความรักมันทำให้เราอยู่ได้จริงๆ





---ล้อมกรอบ---
เกือบจะไฮเปอร์
เห็นชื่อ “หวานหวาน” หน้า “หวานหวาน” แบบนี้ ใครจะรู้บ้างว่าในอดีตเธอเกือบเป็น “เด็กไฮเปอร์” มาก่อน อีกนิดเดียวเท่านั้น
 

“ตอนเด็กๆ หนูซนมากค่ะ คือหนูไม่ได้ทำข้าวของเสียหาย หรือหยิบมีดมากรีดโซฟานะ เราแค่วิ่งไปมาตลอดเวลา ตอนแรกคุณแม่คิดว่าเราคงซนตามประสาเด็กทั่วไป แต่เผอิญได้ดูรายการทีวีรายการหนึ่งพูดถึงอาการของเด็กที่สมาธิสั้น คุณแม่เลยนึกเอะใจว่าลูกเราเข้าข่ายมากเลย (ยิ้ม) ก็เลยไปปรึกษาคุณหมอ ผลก็คือเรายังไม่ถึงขั้นเป็นเด็กไฮเปอร์ค่ะ แค่เกือบๆ แต่ต้องรักษาตามที่คุณหมอบอก หมอบอกว่าถ้าฝึกสมาธิ แล้วจะกลายเป็นคนที่สามารถเก่งไปด้านใดด้านหนึ่งได้เลย”
 

หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ของหวานหวานก็จับเธอนั่งสมาธิตั้งแต่อายุได้ 4-5 ขวบ ให้นับ 1 ถึง 5 ช้าๆ แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มเป็น 1 ถึง 10 จนนั่งได้เป็นนาทีๆ พอเริ่มนิ่งได้มากขึ้นก็เริ่มเรียนบัลเล่ต์ เทนนิส ว่ายน้ำ จนมาเจอกีฬาขี่ม้าที่เธอชอบมาก และเพิ่งมารู้ทีหลังว่าการขี่ม้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดทางเลือกหนึ่งในการรักษาเด็กสมาธิสั้น
 

“ตอนที่เลือกขี่ม้า หนูไม่รู้นะคะว่าเขาช่วยบำบัดเราได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ทราบ เพิ่งมารู้ตอนหลัง ความชอบมันเริ่มมาจากการ์ตูนค่ะ ชอบยูนิคอร์นมาก (หัวเราะเบาๆ) รู้สึกว่าน่ารักดี อยากเลี้ยงอยากอยู่ใกล้ชิด เป็นเด็กที่อยู่ชอบอยู่กับเรื่องจินตนาการค่ะ (ยิ้ม) พอรู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง ก็เลยเลือกม้าแทน รู้สึกว่าม้าเป็นสัตว์ที่สง่างามมาก เริ่มเรียนตั้งแต่ 8-9 ขวบ จนถึงประมาณ 14-15 ค่ะ มีช่วงที่เล่นบ่อยมากจนได้เข้าแข่งด้วย แล้วก็ตกม้าบ่อยมากเหมือนกัน”
 

เคยตกทั้งหมด 3 หน ครั้งที่หนักที่สุดคือกับเจ้าบ๊อบบี้ ม้าลายวัวขาวดำ เขาเป็นม้าที่ซนมาก มองหน้าแล้วรู้เลยว่าไอ้ตัวนี้ชอบแกล้ง ถ้าใครยังไม่เก่งแล้วขี่มัน มันจะแกล้งทันที แต่จริงๆ แล้วเป็นความประมาทของเรามากกว่าค่ะ คือเวลาขี่ม้าต้องนั่งหลังตรง หู ข้อศอก สะโพก ส้นเท้า จะต้องรับกันเป็นเส้นตรง แต่ข้อศอกของหนูจะมาข้างหน้าตลอด อาจารย์เตือนหลายรอบจนเขาเริ่มฉุน เลยสั่งให้เอาแส้มาดัดหลังให้ศอกเข้าที่"
"มีอยู่จังหวะหนึ่ง รู้สึกว่าแส้จะหล่น เราก็หันไปคว้าไว้ เจ้าบ๊อบบี้เขาตกใจ นึกว่าเราจะเอาแส้ง้างตี ก็เลยดีดเราตกจากหลัง หนูก็เลยลอยฟิ้ว ไกลมาก แล้วก็ปั้ก ตกลงที่พื้น ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก พักวันหนึ่ง แล้วก็ไปขี่ต่อได้” นั่นสิ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เราคงไม่มีแม่ศรีเมืองหน้าหวานๆ อย่างตอนนี้ให้ได้ยลโฉมกันแล้ว




---ล้อมกรอบ---
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ
วันเกิด: 21 มิ.ย. 2533
ส่วนสูง: 168 ซม.
น้ำหนัก: 49 กก.
การศึกษา: เกียรตินิยมอันดับสอง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความสามารถพิเศษ : ขี่ม้า, เต้นแจ๊ซ, เล่นเจ็ตสกี, ถ่ายรูป
ผลงานเด่นๆ: เข้ารอบ 20 คนสุดท้าย The Star ปีที่ 6, เป็นหนึ่งในผู้แทนนิสิตและผู้อัญเชิญพระเกี้ยวแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ- ธรรมศาสตร์ ครั้งที่65 และล่าสุดรับบท “แม่หญิงศรีเมือง” ในละครเรื่องขุนศึก และโฆษณาอีกหลายชิ้น

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พลภัทร วรรณดี
ภาพบางส่วนจาก: Varnvarnsweety แฟนเพจ
ขอบคุณสถานที่: คอนโด Prime11








ศรีเมืองที่ใครๆ ต่างหลงใหล


หลายคนอยากเป็นท่านเสมา
แม่หญิงทั้งหลาย
แม่หญิงเวอร์ชั่นหลุดโลก
รักการขี่ม้าตั้งแต่เด็กจนโต
คุณแม่คนรู้ใจ กับคุณพ่อในวันวาน
บัณฑิตหมาดๆ จากรั้วจามจุรี
เด็กกิจกรรมตัวยง
เด็กหญิง จุ๊กจิ๊ก
กำลังโหลดความคิดเห็น