xs
xsm
sm
md
lg

“กาก้าเมืองไทย” เวอร์..คลั่ง..บ้า..เพื่อสังคม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เวอร์ได้อีก..บ้าหรือเปล่า..อะไรจะคลั่งขนาดนั้น!! คือปฏิกิริยาตอบสนองของคนในสังคม เมื่อเห็นกลุ่มแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ “เลดี้กาก้า” ศิลปินป็อบมากความสามารถจากฝั่งตะวันตก แต่งหน้า ทาตา สรรหาแฟชั่นหลุดโลกมาใส่เลียนแบบไอดอลอย่างไม่แคร์สายตาใคร ซึ่ง “โอม-วรัชญา พุกรอด” คือหนึ่งใน “ลิตเติลมอนสเตอร์” ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในฐานะ “สาวกตัวจริง”
เพราะเธอคือเจ้าของชฎาที่มอนสเตอร์ตัวแม่ขอหยิบยืมไปใส่ กระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม จนต้องเดินสายให้สัมภาษณ์ทุกสื่อตลอดช่วงที่ผ่านมา และแน่นอนว่า M-Lite เองก็ไม่พลาดเช่นกัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ถามตอบกันแค่เรื่องชฎาอีกต่อไป เพราะรู้ดีว่า Lady Gaga of Thailand คนนี้มีมุมมองที่น่าสนใจกว่านั้นเยอะ





ไม่รักไม่ไหวแล้ว
จะบอกว่าก่อนหน้านี้โอมไม่เคยเป็นแฟนคลับใครมาก่อนเลยนะคะ จะเกาหลี ฝรั่ง หรือแนวไหนก็ไม่เคยคลั่งเท่านี้มาก่อน ด้วยความที่เรามีความเป็นตัวของตัวเองสูงอยู่แล้วด้วย แต่กาก้าเขาแสดงออกเรื่อง Gay Community ชัดเจนมาก ทั้งเพลงและคำพูดของเขาสื่อเรื่องการแบ่งแยกทางเพศออกมาตลอดเวลา ซึ่งมันอิมแพคเรามาก เพราะโอมก็เป็น Transgender เป็นผู้หญิงข้ามเพศเหมือนกัน
มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเขาใส่ใจสังคมและมีความตั้งใจที่จะพูดเรื่องนี้เพื่อกลุ่มคนที่เป็นแบบพวกเรา LGBT (Lesbian, Gay, Bisexual and Transgender) จริงๆ เลยทำให้ตัดสินใจได้เลยว่าต้องรักผู้หญิงคนนี้แล้วล่ะ โอมว่าแฟนคลับที่เป็นชายจริงหญิงแท้ อาจจะไม่รู้สึกในจุดนี้เท่าเราแน่ๆ

 

พอรู้สึกแบบนั้นมากๆ เข้า โอมเลยตัดสินใจเปิดตัวบนเฟซบุ๊กและตั้งเพจชื่อ “Shade of Gaga” ขึ้นมา แล้วเผยแพร่ข่าวและอัปเดตชีวิตของเขาเป็นภาษาไทย จุดประสงค์ของโอมมีแค่อย่างเดียวคือต้องการให้คนไทยรู้จักศิลปินที่เราปลาบปลื้มมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักกาก้าเท่าไหร่ อาจจะเคยฟังเพลงผ่านหู แต่ไม่เคยเห็นหน้า หรือถ้าเคยเห็นหน้า ดูมิวสิกวิดีโอก็อาจจะมองไปว่าผู้หญิงบ้าๆ คนนี้เองเหรอที่ร้องเพลงนี้
ซึ่งจริงๆ แล้วเขามีอะไรหลายๆ อย่างในตัวที่น่าสนใจกว่านั้นเยอะ โอมศรัทธาในความคิด ความสามารถของเขาจริงๆ พูดได้เต็มปากเลยว่าถ้าเราไม่ได้รักเขาจริงๆ เราคงไม่มาคอยสรรหาชุดเป็นร้อยๆ ชุดมาใส่ตามเขา หรือเราคงไม่สามารถหยัดยืนจนเป็นที่รู้จักในบรรดาแฟนๆ ด้วยกันเองได้อย่างทุกวันนี้แน่นอน ทุกๆ อย่างที่ทำมาจากความรักจริงๆ ค่ะ

 
โอมเชื่อว่าถ้าคุณได้ติดตามผลงานของศิลปินสักคนหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ศิลปินเพลงป็อบ อาจจะเป็นนักวาดภาพ นักแต่งเพลง หรือด้านไหนก็ได้ คุณจะหาจุดคลิกในตัวของคนคนนั้นได้ไม่ยากเลย แล้วถ้ายิ่งลองติดตามเสพงานของเขาไปนานๆ อย่างโอมเองที่ติดตามกาก้ามา 4 ปีได้แล้ว เราถึงได้เข้าใจความรู้สึกที่ไม่เคยเข้าใจ
บางทียังลืมไปเลยว่านี่เราชอบเขามากขนาดนี้แล้วเหรอ แค่ได้ยินเพลงเขาตามที่ต่างๆ เรายังรู้สึกภูมิใจเหมือนเป็นเพลงของเราเองเลย เคยกลับมานั่งถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเราต้องภูมิใจ เพลงตัวเองก็ไม่ใช่ แต่คำตอบที่ได้คือไม่มีคำตอบ... It can't explain by the words. ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด แค่รู้สึกดี แค่นี้พอแล้ว แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่โอมได้รับมันมากกว่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้เราจะถูกเรียกว่า Lady Gaga of Thailand ซึ่งโอมปลื้มใจมากเลยค่ะ (ยิ้มปิดประโยคด้วยแววตาแห่งความสุข)





คลัง-บ้า-ไร้สาระ?
พูดจริงๆ โอมเข้าใจนะถ้าใครจะมองเราอย่างนั้น เพราะเข้าใจดีค่ะว่าพื้นฐานวัฒนธรรมไทยเราหล่อหลอมให้เด็กไม่กล้าแสดงความรู้สึกจริงๆ ออกมาทั้งหมด เวลาชอบสิ่งไหนมากๆ แล้วแสดงออกมากๆ ก็อาจจะถูกเอ็ดว่า “จะบ้าเหรอ จะคลั่งอะไรขนาดนั้น” สังคมเราค่อนข้างมีกรอบค่ะ เด็กที่เพิ่งโตขึ้นมา ส่วนใหญ่ก็เลยไม่สามารถออกจากกรอบได้ นอกจากคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองจริงๆ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้สังคมเรามีเด็กอยู่สองประเภทใหญ่ๆ ที่แตกต่างกันและเป็นปัญหาขัดแย้งกันอยู่ทุกวันนี้
 

เชื่อไหมว่าโอมเคยทำงานออฟฟิศ ดูแลด้าน New Media ที่บริษัทเนชั่นมาก่อน แต่พอเราค้นพบตัวเองว่าชอบแสดงออกด้านนี้มากกว่า และไม่สามารถให้เวลากับงานประจำได้มากพอ ก็เลยขอลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์รับงานอีเวนต์อย่างทุกวันนี้แทน บางคนอาจจะมองว่าเราเพ้อเจ้อ อยู่กับโลกความฝันมากเกินไปหรือเปล่า แต่โอมว่าเราทุกคนมีฝันนะ และถ้าเลือกได้หลายคนก็คงอยากอยู่ในโลกนิยายมากกว่า เพราะมันน่าอยู่กว่าโลกความจริงเยอะ
แล้วในเมื่อเรามีโอกาสทำให้โลกความจริงกลายเป็นโลกความฝันที่สามารถทำตามจินตนาการ ทำในเรื่องที่เราอยากทำได้ มันก็ดีไม่ใช่เหรอคะ และทุกวันนี้โอมก็พยายามทำอย่างนั้นอยู่ ทำตามฝันและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ คนอื่นอาจจะมองต่างไป แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

 

ทุกวันนี้โอมเป็นแฟนคลับของกาก้า และโอมก็มีแฟนคลับเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกัน เวลากาก้าสื่อสารอะไรมา โอมก็จะส่งต่อให้ทุกคนได้รู้ด้วย อย่างตอนนี้กาก้าตั้งมูลนิธิ “Born This Way Foundation” สนับสนุนเด็กที่ถูกเหยียดและแบ่งแยกในสังคม ทั้งเรื่องสีผิว เพศ และศาสนา ให้พวกเขารู้จักภูมิใจในสิ่งที่มี เพื่อจะเติบโตและก้าวสู่สังคมในแบบที่ตัวเองเป็น ซึ่งโอมกับเพื่อนๆ ก็กำลังจะทำโปรเจกต์ “I Love Myself” เพื่อต่อยอดโปรเจกต์ของเลดี้กาก้าเหมือนกัน เพราะมูลนิธิของกาก้าใหญ่มาก ระดับโลก แต่ยังเข้าไม่ถึงคนไทย เราเลยอยากช่วยให้เด็กไทยที่ถูกแบ่งแยกเหมือนกัน ให้เขารู้สึกว่าไม่ได้โดดเดี่ยวในสังคมอีกต่อไป
 
โอมว่ามูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเด็กที่พิการทางกายมีเยอะมากแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่ในเมืองไทยยังไม่มีมูลนิธิไหนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเยียวยาเรื่องจิตใจให้เด็กๆ บ้างเลย สมัยนี้เด็กครบ 32 แต่ผิดปกติทางจิตใจเยอะมากนะ ยิ่งเด็ก ม.ต้น-ม.ปลายนี่ เป็นช่วงวัยที่กำลังสับสน อยากเป็นที่ยอมรับของสังคม บางคนเพื่อนไม่รักหรือไม่มีแฟน ก็คิดเลยเถิดไปว่าฉันควรทำยังไงดี จะต้องไปทำหน้าให้สวย ฉีดผิวให้ขาวหรือเปล่า ถึงจะมีคนมารักฉัน ทำไมไม่ลองมองอีกมุมดู ถ้าอยากหาใครสักคนมารัก ทำไมไม่ลองแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา ให้เห็นกันไปเลยว่าในใจของฉันมันงดงามกว่าใบหน้านะ นี่แหละค่ะคือที่สิ่งที่เราอยากจะบอกน้องๆ อยากให้ทุกคนรู้สึกภูมิใจในตัวเอง ซึ่งโอมว่าเด็กไทยมีตรงนี้น้อยมากนะ 
 
ที่เห็นว่าทุกวันนี้โอมแต่งตัวเลียนแบบกาก้าก็จริง แต่ลึกๆ แล้วโอมก็ยังมีความเป็นตัวเองอยู่นะ ยังภูมิใจในความเป็นตัวเองเสมอ ถึงเรากับเพื่อนๆ จะเป็นสาวประเภทสอง แต่ไม่มีใครเคยมีความคิดลบๆ ต่อตัวเองเลย ไม่เคยคิดว่าเราไม่สวย ไม่ดี แต่เด็กสมัยนี้คนไหนไม่สวย ตัวดำ ก็จะไม่ภูมิใจในตัวเองละ ต้องหาครีมไวเทนนิ่งมาทา ไปฉีดผิวให้ขาวขึ้นเพราะไม่อยากดำ ไม่อยากถูกล้อ
เราเลยอยากจะบอกว่าไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย เกิดมาผิวดำก็สวยได้ ภูมิใจในตัวเองได้นะ คือถ้าจะศัลยกรรมเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นก็ไม่ผิดหรอก แต่เราไม่เห็นจำเป็นต้องเกลียดสิ่งที่ตัวเองเป็นเลย ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นยังไง เราก็ควรจะภูมิใจในตัวเองแบบนั้น นี่คือเมสเสจที่โอมได้รับมาจากกาก้าและอยากจะส่งต่อให้คนอื่นๆ รับรู้เหมือนๆ กัน





เด็กไทย “ติ่งแตก”
ถามว่าทำไมต้องเจาะจงไปที่เด็กๆ ก็เพราะโอมว่าเด็กไทยค่อนข้างสับสนในตัวเองมากเลย มันจะมีแฟนคลับประเภทที่โอมเรียกว่า “เด็กติ่งแตก” ที่จะออกมาต่อต้าน ค้านทุกอย่างหัวชนฝาตลอดเวลา อย่างล่าสุดกระทรวงวัฒนธรรมออกมาวิจารณ์กาก้าเรื่องชฎาและยื่นหนังสือให้ตรวจสอบเรื่องนี้ น้องๆ ก็จะเข้ามาโพสต์บอกโอมว่า อย่าไปยอมนะพี่โอม (ทำเสียงแอ๊บแบ๊วเลียนแบบ) พี่โอมต้องสู้นะ สู้เพื่อแม่ของเรา (ทำหน้าเนือย) โอมก็ไม่ได้ตอบอะไรไป แต่ไปพูดในรายการทีเดียวว่าโอมไม่สนับสนุนความคิดแบบนี้นะ
 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเตือนน้องๆ ออกไปแบบนั้นแล้วจะทำให้เขาเกลียดเราหรือเปล่า แต่โอมไม่อยากให้เด็กๆ ต้องมาหมกมุ่นกับการชอบศิลปินคนหนึ่งไปในทางนั้นไงคะ อย่างโอมเอง โอมรักกาก้ามากก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสนับสนุนเธอไปทุกอย่าง คือถ้าวันนั้นกาก้าไม่ได้เอาชฎาไปสวมที่หัว แต่เอาไปสวมที่อื่นแทน มันก็ไม่ใช่ว่าโอมจะโอ้! ดีมาก (ปรบมือชื่นชม) ที่สำคัญเลย เราไม่อยากให้เด็กๆ มีความคิดว่าถ้าใครไม่ชอบหรือคิดไม่เหมือนฉัน ฉันจะต้องด่า จะต้องไปถล่มมัน โอมว่ามันไม่ใช่นะ
 

บางคนพิมพ์มาว่า “ฆ่ามันเลยพี่โอม ผมเป็นกำลังใจให้” (ทำหน้าตกใจ) โอมยังคุยกันกับเพื่อนเลยว่าทำไมน้องๆ หัวรุนแรงกันจังวะ คือเรารู้นะว่าเขาพิมพ์เล่นๆ แต่บางทีมันก็ไม่ควร เราก็เข้าใจความเป็นเด็กนะคะว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมากหรอก เน้นอารมณ์อย่างเดียว แต่โอมว่าน้องๆ ควรเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่นะ ต้องหัดฟังผู้ใหญ่ในสังคมบ้าง ไม่ใช่จะค้านอย่างเดียว ไม่ฟังใครเลย
คือถ้าเปรียบไปแล้ว กระทรวงวัฒนธรรมก็เหมือนคุณยาย เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเราที่จะเคร่งเรื่องกฎระเบียบมาก แล้วถ้าจะให้ยายพูดให้เด็กฟัง เด็กก็จะรำคาญ คิดว่ายายพูดมาก ขี้บ่น แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นโอมพูด เด็กๆ เขาอาจจะฟังมากกว่า เพราะมีจุดคลิกกันมากกว่า ตอนที่มีประเด็นเรื่องชฎาขึ้นมาเลยกลายเป็นว่าโอมเป็นตัวเชื่อมระหว่างคนสองกลุ่ม เชื่อมระหว่างยายกับเด็ก ซึ่งหลังจากโอมพูดไปก็ดูเหมือนน้องๆ จะสงบลงไปได้บ้าง (เธอยิ้มมุมปากอย่างครุ่นคิด ก่อนเผยประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังเพิ่มเติม)

 

พูดถึงเรื่องความติ่งแตกของเด็กสมัยนี้ ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้โอมหงุดหงิดมาก คือทุกครั้งที่โอมให้ข้อมูลอะไรไปในเพจ จะต้องมีคนมาถามว่า “วันไหนคะพี่ ที่ไหนนะคะ” คือแบบ...(ทำหน้าเซ็งมาก) หนูลองย้อนกลับขึ้นไปอ่านดูใหม่ดีไหมคะ (เสียงดุ) จะบอกว่าน้องๆ ยังเด็กอยู่ แต่เราก็ไม่ได้แก่กว่าเขามากนะ ก็ 20 ต้นๆ (เธอหมายถึง 25 ปี) อันนี้โอมวัดจากตัวเองนะ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว เวลาเราไม่รู้เรื่องอะไร เราก็จะหาข้อมูลเอง แต่เด็กสมัยนี้ ขนาดป้อนข้อมูลให้ยังไม่สนใจเลย แล้วยังมาถามอีกว่ามันคืออะไร โอมว่าสงสัยป้อนให้อย่างเดียวคงไม่พอแล้ว คงต้องเคี้ยวๆ แล้วก็กลืนให้ด้วย เด็กสมัยนี้ถึงจะมีสติ รับสารที่เราส่งไปได้
 

อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือนิสัยดราม่าไว้ก่อนของคนไทยนี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะประเด็นเรื่องชฏาหรือประเด็นเรื่องใช้นมวาดภาพออกรายการ ที่เถียงกันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ โอมว่าสาเหตุหลักๆ เลยคือทุกคนเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ลองให้มานั่งคุยกันซึ่งหน้าสิ จะกล้าพูดอย่างที่พิมพ์ไปในเน็ตแรงๆ อย่างนั้นกันไหม ไม่กล้าหรอก โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เกรียนๆ ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว และส่วนใหญ่ไม่ศึกษาข้อมูลด้วยค่ะ ไม่ได้อ่าน ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย แต่พอเห็นเรื่องไหนเป็นประเด็นก็เข้าไปด่าตามๆ กัน
 
โอมว่ายุคนี้ทุกอย่างแพร่กระจายไปเร็วมาก เรื่องราวเกิดขึ้นเร็ว ส่งต่อกันเร็ว แล้วก็ยิ่งใส่อารมณ์กันเร็ว แต่ถ้าลองเปิดใจกว้างๆ ลองฟังความเห็นที่แตกต่างจากอีกฝั่งบ้าง ลองฟังเหตุผลจากกระทรวงวัฒนธรรมดูซิว่าเขาต้องการอะไร ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเขาไม่ได้ต้องการไล่จับกาก้าเข้าคุกหรอก เขาแค่ต้องการแสดงตัวว่ายังมีกระทรวงนี้อยู่ในประเทศไทยนะ ทำอะไรก็ต้องเกรงใจ มันก็แค่นั้นจริงๆ แต่สังคมไทยติดนิสัยด่าไว้ก่อนค่อยฟังทีหลัง หรือไม่ก็ไม่ฟังเลย มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นกันอยู่



ความหวังของเหล่าเกย์
หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เพจของโอมที่ชื่อ “Shade of Gaga” เป็นส่วนที่แตกมาจาก “Shade of Divas” ซึ่งมาจากการรวมกลุ่มกันของเพื่อนๆ สาวประเภทสอง เรารู้จักกันตอนที่ไปออดิชันวง Venus Flytrap ที่รวมเอาสาวประเภทสองมาไว้ด้วยกัน ทุกคนมีความสามารถด้านการแสดง การพูด แล้วก็หลายๆ ด้าน พวกเราก็เลยรวมกลุ่มกันขึ้นมาเพื่อทำงานในวงการบันเทิง แต่ที่ผ่านมารับรู้ได้เลยว่าประเทศเรายังไม่มีพื้นที่รองรับตรงนี้ มีแต่บทตลกๆ ในละครหรือเกมโชว์เหลือไว้ให้ พอเห็นบทสาวประเภทสองทีไรต้องฮาทุกที ซึ่งพวกเราอยากจะเปลี่ยนภาพเหล่านั้นในสังคม
 
ทุกวันนี้ลองให้คนอื่นแต่งเป็นกาก้ามาเดินตามท้องถนน คนอื่นมองแล้วอาจจะขำ แต่ตั้งแต่โอมออกสื่อมา ยังไม่เคยมีใครขำโอมเลย ด้วยทัศนคติของเรา สิ่งที่เราเสนอออกไปมันชัดเจน สื่อให้ทุกคนรู้ว่าอินเนอร์ของเราไม่ใช่ตลก เรามีศักยภาพพอที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างในสังคม และโอมก็อยากจะส่งต่อความรู้สึกนี้ให้ทุกคนได้รับรู้ ไม่ใช่แค่มองว่าเราแต่งตัวแปลก ใส่วิก ใส่ส้นสูง แล้วต้องถูกหัวเราะเยาะ แต่แค่อยากให้รู้ว่าถึงฉันเป็นแบบนี้ ฉันก็สามารถอยู่ร่วมกับสังคมชายจริงหญิงแท้ของพวกคุณได้นะ
 

ถ้าพูดถึงตัวโอมจริงๆ พอเสร็จงาน โอมก็ถอดวิก ลบเครื่องสำอาง แต่งตัวปกติอย่างที่เราชอบ แต่ช่วงหลังๆ ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว กลายเป็นว่าพอเขาเห็นเราในเวอร์ชันที่ไม่ได้แปลงร่างเป็นกาก้า น้องๆ ในเพจกลับตกใจ ทักว่าใช่พี่โอมจริงๆ เหรอ แสดงว่าการแต่งหน้าแต่งตัวจัดๆ กลายเป็นภาพติดตาพวกเขาไปแล้ว ซึ่งบางทีเราก็แอบน้อยใจนิดๆ อยู่เหมือนกันนะว่า นี่ถ้าฉันไม่มีถุงมือ ไม่มีถุงน่อง ไม่ใส่วิก ไม่สวมรองเท้าส้นสูง น้องๆ ต้องฆ่าฉันแน่ๆ เลย (ทำหน้าเนือยๆ) บางครั้งก็อยากให้มองกันลึกลงไปกว่าเมกอัปบ้าง อยากให้มองถึงจิตวิญญาณ อยากให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเรากำลังต้องการสื่อสารเรื่องอะไรอยู่
 

อย่างโอม โอมเรียนโรงเรียนชายล้วนมา โอมมีเพื่อนเป็นสาวประเภทสองก็เยอะ ทางครอบครัวของโอมก็รับได้ที่โอมเป็นแบบนี้ สังคมก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ยังมีบางคนที่ไม่ได้โชคดีอย่างโอม เขายังถูกแบ่งแยก ยังต้องรับความกดดันจากสังคม เราได้รับรู้มาก็รู้สึกแย่ ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใคร ก็เลยรู้สึกมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วว่าฉันต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพราะเท่าที่ผ่านมาการเลือกปฏิบัติชัดเจนมาก ถ้าเขาไม่รู้ว่าเราเป็นสาวประเภทสอง คิดว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชายคนนั้นจะปฏิบัติต่อเราดีมาก แต่พอรู้ปุ๊บ พฤติกรรมเปลี่ยนทันที เห็นได้ชัดมากเลย 
 

พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าโอมอยากให้สังคมมองว่าเราเป็นผู้หญิงนะ แต่แค่มองว่าโอมเป็นสาวประเภทสองที่ต้องปฏิบัติกับเราให้เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ หรือกลุ่มเลสเบี้ยน ทอม ดี้ เกย์ ก็ควรจะได้รับสิทธิ์นั้นเหมือนกัน ไม่ต้องมองโอมปกติ เพราะโอมก็ไม่ได้ปกติค่ะ (หัวเราะเบาๆ) แค่ปฏิบัติต่อพวกเรา ให้เกียรติเราเหมือนชายจริงหญิงแท้อย่างที่ควรจะเป็น แค่นั้นเอง มันเหมือนกับว่าตอนนี้เขายอมรับเราแค่นามธรรม รู้ว่ามีอยู่ในสังคม แต่รูปธรรมยังไม่มี กฎหมายก็ยังไม่ชัดเจน คือถ้าโอมยังยืนอยู่ตรงนี้แล้วมีโอกาสที่จะผลักดันไปถึงเรื่องกฎหมายได้ โอมก็จะทำ...ทำให้สุดความสามารถ (ปลายเสียงของเธอเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆ)
 

คนจะชอบคิดว่าการคบกับกะเทยมันเป็นเรื่องน่าอาย จริงๆ แล้วอยากจะให้ทุกคนเข้าใจว่าเซ็กซ์มันก็แค่เรื่องรสนิยมบนเตียง ไม่ควรเอามาแบ่งแยกเรื่องต่างๆ ในสังคม ความรักของเราไม่ได้แตกต่างจากชายจริงหญิงแท้หรอก ความรักไม่ว่าจะเกิดกับใครมันคือสิ่งสวยงาม ผู้ชายกับผู้หญิงรักกัน ไม่ยืดยาวก็เยอะแยะ เพราะฉะนั้นมันไม่มีเหตุผลอะไรต้องมานั่งวัดว่าความรักของเพศอย่างเราจะต้องไม่ยืดยาวหรือไม่มีจริง อยากบอกว่าเราไม่เคยท้อแท้เลยนะเรื่องความรัก คือถ้ามีเข้ามาก็ต้องคว้าไว้ (เธอทำท่าประกอบจนเรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งวงสนทนา)

สุดท้ายสิ่งที่โอมอยากจะบอก ก็เหมือนที่กาก้าบอกไว้ในเพลงนั่นแหละค่ะ “No matter gay, straight, or bi,“Lesbian, transgendered life. I'm on the right track, baby. I was born to survive. No matter black, white or beige Chola or orient made. I'm on the right track, baby. I was born to be brave.”
ไม่ว่าคุณจะเป็นเกย์ ชายจริงหญิงแท้ ผิวดำ ผิวขาว นับถือศาสนาอะไรก็ตาม ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง เกิดมาเพื่อจะเป็นตัวเอง จงรู้ไว้ว่าคุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้แหละ ไม่ว่าเราจะแตกต่างจากคนอื่นยังไง ก็แล้วไงล่ะ ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจงภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นและเดินไปบนเส้นทางนั้นอย่างสง่างาม






---ล้อมกรอบ---
รักอย่างมีสติ
เห็นโอมเป็นสาวกตัวแม่แบบนี้ แต่เชื่อไหมว่าของสะสมเกี่ยวกับเลดี้กาก้า เธอกลับมาไม่กี่ชิ้นเอง “โอมมีแค่อัลบั้มเพลงทุกเพลงกับนิตยสารบางเล่ม แต่พวก Edited Edition ไม่มีเลยนะ เพราะโอมรู้สึกว่าเราชอบ เรารัก แต่เราไม่จำเป็นต้องทุ่มทุนและทุ่มเทขนาดนั้น เราช่วยอุดหนุนเท่าที่เรามีกำลังก็พอ โอมว่าศิลปินทำงานเพลงออกมาเพื่อที่จะให้เราเสพ เราก็ต้องเสพอย่างมีสติค่ะ
 

“แต่เด็กสมัยนี้จะมีความคิดอีกแบบ คิดแค่ว่าอยากให้ศิลปินมีรายได้ ได้รับผลตอบแทนจากเราไปเยอะๆ แต่ไม่เคยคิดจะนำสิ่งเหล่านั้นกลับมาให้ตัวเองยังไงได้บ้าง แต่โอมกลับกัน โอมพยายามรับเอาสิ่งที่กาก้าส่งมา กลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด สมัยที่ยังเรียนอยู่ ยังไม่มีงานประจำทำ ไม่มีอีเวนต์เข้ามาเยอะขนาดนี้ โอมไม่เคยซื้ออะไรแพงๆ เลยนะ แต่ก่อนชอบกาก้ามากก็แค่ฟังเพลง พอเริ่มมีงานประจำ มีเงินเป็นของตัวเองก็เริ่มหาซื้ออัลบั้มมาเก็บไว้ เริ่มซื้อชุดใส่บ้าง จะเป็นแฟนคลับใครก็ต้องรู้จักพอประมาณค่ะ”

ที่เห็นว่าโอมมีชุดหรูๆ แต่งเลียนแบบกาก้าใส่ออกงานเยอะแยะ จริงๆ แล้วยืมเขามาใส่บ้าง มีสปอนเซอร์สนับสนุนบ้าง ชุดที่ตัดเองและยอมรับว่าแพงที่สุดก็ราคา 4 หมื่น แต่เธอยืนยันชัดเจนว่าเงินที่ตอบแทนกลับมาจากอีเวนต์สามารถหักลบกลบหนี้กันได้ ถึงจะไม่มากแต่ถือว่า win-win กันไป ลูกค้าที่จ้างงานก็มีความสุขที่จ้างเราไปออกงาน เราเองก็มีความสุขที่ได้ใส่ชุดสวยๆ “แต่ก่อนไม่เคยคุ้มเลย ทำด้วยใจตลอด เพิ่งมาถอนทุนคืนได้ช่วงหลังๆ นี่เอง”

ภาพโดย... ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพจากแฟนเพจ Shade of Gaga













ชฎาต้นเหตุ




เวอร์ชันไร้เมกอัป
กำลังโหลดความคิดเห็น