แรกเริ่มเดิมทีที่เราได้ยินชื่อตำแหน่งของเธอ - นางงามทุเรียนโลกประจำปี 2555 ฟังดูแปลกๆ ชวนให้ขบขันเสียด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องจินตนาการถึงรูปลักษณ์...ไปถึงกลิ่น แต่ทว่าเจ้าของตำแหน่งอย่าง เม็ดทราย - วิลาวัลย์ ภิรมย์นา กลับภูมิใจและชอบในความมีเอกลักษณ์
“ชอบนะ น่ารักดี ก็ได้อีกชื่อหนึ่งที่คนเรียก มิสทุเรียน” เธอยิ้มตอบอย่างสบายอารมณ์ และเป็นรอยยิ้มหวานน่ารักที่ดูเป็นธรรมชาติ
และเมื่อเริ่มพูดคุยกัน เธอเผยถึงความชอบในการจะหาประสบการณ์แปลกใหม่ให้ความชีวิต ทำให้เธอชอบที่จะเดินสายประกวด เมื่อความน่ารัก รูปหน้าสวยหวาน บวกกับความเป็นตัวของตัวเองมาอยู่บนเวที ก็ไม่แปลกที่จะทำให้เธอสามารถพิชิตตำแหน่งต่างๆ มาได้แล้วจากหลายเวที
จากภาพของนางงามตามเวทีที่ต้องแต่งหน้าจัด ตีโป่ง(เธอเป็นคนหนึ่งที่ทำทรงผมนี้แล้วดูดีมาก) วันนี้เธอมาในชุดสีหวานดูสบายๆ พร้อมหิ้วลูกหมามาด้วย และเธอสั่งน้ำส้มเลี้ยงทีมงาน น้ำส้ม-น้ำนางเอก!
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกและตรงข้ามกับความเป็นนางงามก็คือเธอเป็นนักชิมตัวยง
“เรื่องอื่นๆในชีวิต หนูจะเฉยๆ ไม่ได้เป็นผู้นำ แต่เรื่องกินเพื่อนทุกคนต้องถามหนู ไม่รู้นะ หนูเป็นคนมีความสุขกับการกินมาก มันก็ไม่ดีหรอก ทำให้อ้วน แต่พอใกล้ประกวดแล้วหนูค่อยลดอีกที”
ด้วยความเป็นตัวของตัวเองแบบนี้แหละ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอชนะใจใครหลายๆ คน
พ่อปลูกฝัง แม่พรวนดิน และเติบโตมากับพี่ชาย
“พ่อชอบการประกวดมาก ชอบให้หนูทำกิจกรรม การประกวดครั้งแรกก็เป็นพ่อนี่แหละที่เป็นคนสมัครให้” เธอเล่าย้อนถึงครั้งแรกที่เธอลงประกวดซึ่งพ่อเป็นคนเขียนใบสมัครส่งประกวดให้เธอ และเป็นส่วนสำคัญผลักดันให้เธอทำกิจกรรมต่างๆมาตลอด
งานกิจกรรมสมัยเรียน เชียร์รีดเดอร์ ดรัมเมเยอร์ ไม่ว่ากิจกรรมอะไร คุณครูจะคุยกับพ่อเท่านั้น และพ่อก็เป็นคนสนับสนุนเธออย่างดีมาตลอด คอยขับรถไปส่ง รอรับกลับบ้านแม้ว่าการประกวดจะไปเสร็จสิ้นเอาหลังเที่ยงคืนก็ตาม นอกจากนี้ในช่วงที่ว่างเว้นจากการประกวด พ่อของเธอยังเป็นคนที่โทรศัพท์ถามพี่เลี้ยงที่ส่งประกวดว่า ช่วงนี้มีประกวดหรือไม่
“ผู้ใหญ่ต้องการให้เป็นเด็กดีนะ ตั้งใจเรียน เวลาทำอะไรก็อยากให้ประสบความสำเร็จ และเลือกทำในสิ่งที่ดีๆ ที่หนูเข้ามาประกวดได้ก็เพราะพ่อนะ เมื่อก่อนพ่อจะขับไปส่ง พออายุ 21ก็เริ่มขับไปประกวดเองแล้ว และให้แม่นั่งไปด้วยไปดูแล เพราะช่วงหลังพ่อจะงานยุ่ง แต่พ่อเขาก็ยังเป็นห่วงนะ ยังติดตาม ประกวดเสร็จตีหนึ่งตีสอง พ่อจะตั้งนาฬิกาปลุกแล้วโทรมาถามผล พูดคุย ให้กำลังใจเสมอ”
คงไม่ใช่พ่อทุกคนที่เป็นแบบนี้ ยิ่งกับพ่อที่มีอีกหน้าที่สำคัญอย่างการเป็นทหาร
“ถึงจะเป็นทหาร แต่พ่อไม่ใช่คนดุ พ่อเป็นคนน่ารักและกลัวแม่” เธอพูดถึงพ่อยิ้มๆ พร้อมเล่าว่า แม่เป็นคนคุมกิจการซัก อบ รีดของที่บ้าน ดังนั้นแม่จึงเป็นผู้หญิงทำงานซึ่งหลายๆ คนจะกลัวเกรง แม้แต่สุนัขที่บ้านรวมไปถึงตัวเธอ
เมื่อนึกย้อนถึงวัยเด็กที่เติบโตมาในกรมทหาร เธอโตมากับของเล่นมากมายซึ่งพ่อแม่ซื้อให้อย่างไม่เคยขาด ของเล่นมีตั้งแต่เครื่องเกม ไพ่ จนถึงทามาก็อตจิ และพี่ชายก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่เป็นเพื่อนในวัยเด็กไม่ได้ไปเล่นไกลบ้านนักด้วยเพราะกรอบเกณฑ์และความเป็นห่วง เธอจะเล่นได้รอบๆ บ้านเท่านั้น และต้องกลับเข้าบ้านก่อนหกโมงเย็นทุกวัน ซึ่งเป็นกฎของกรมทหาร ดังนั้นในช่วงวัยเด็กเธอจึงไม่ได้ออกไปเล่นโลดโผนมากนัก แต่ก็จะได้อยู่กับพี่ชาย ซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนเล่นของเธอมาจนถึงปัจจุบัน
“พี่หนูเขาก็ดีนะ ไม่เคยลืมหนู ไปไหนก็พาไป ทุกวันหกโมงเย็นพี่ต้องกลับมาบ้านมาอยู่ดูแล เพราะแม่สั่งไว้ แล้วพี่ชายเขาเป็นคนคำไหนคำนั้น บอกเพื่อนต้องกลับบ้านหกโมงคือกลับ เขามีจุดยืนของเขาอยู่”
แม้จะอายุห่างจากพี่ชายถึง 10 ปี แต่พี่ชายก็เล่นกับเธอ กระโดดหนังยาง เตะบอล ไปไหนไปกันตลอด ทำให้เมื่อโตขึ้นมาเธอก็มีมาดลุยๆ แบบไม่ห่วงสวยอยู่เหมือนกัน
“ถ้าเวลาจะไปเที่ยวไปทำอะไร หนูไม่กลัวดำนะ ลุยเต็มที่แล้วค่อยมาดูแลทีหลัง” เธอยืนยันเต็มเสียง เราสังเกตเห็นผิวสีน้ำผึ้งของเธอ เป็นสีผิวดูมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ
หากบอกว่าพ่อเป็นผู้ผลักดันเธอขึ้นสู่เวทีประกวด ก็คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าแม่เป็นคนที่บ่มเพาะความเป็นเธอจนได้รับรางวัลต่างๆมา เพราะแม่ของเธอคอยสอนเกี่ยวกับความเป็นกุลสตรี
“ที่บ้านจะมีคนใช้ แต่แม่จะให้หนูทำงานบ้านเองมากกว่า แม่เป็นคนเจ้าระเบียบ อยากได้อะไรแม่ให้หมด แต่จะสอนให้รับผิดชอบ ถ้าจะเล่นก็ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน”
ตารางชีวิตในช่วงวัยเรียนของเธอจึงเต็มไปด้วยการเดินทางประกวด ตั้งแต่นางนพมาศ ไปจนถึงนางส้มโอ พร้อมกันกับผลงานงานโฆษณาเข้ามาพอสมควร
นางงามทุเรียนโลก
“จังหวัดจันทบุรีโดดเด่นเรื่องผลไม้คะ เป็นคิง ออฟ ฟรุต พวกเงาะ มังคุด ทุเรียนจะเด่นมาก ตอนนี้ที่กรุงเทพฯ ทุเรียนกิโลกรัมละ 60 บาท แต่ที่จันทบุรีกิโลกรัมละ 30 บาทเท่านั้น” เธอเริ่มพูดถึงจังหวัดจันทบุรีในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนางงามทุเรียนโลกที่เธอได้มาจากการเข้าประกวด ซึ่งสำหรับเธอแล้วมันไม่ใช่แค่การแข่งขัน หากแต่เป็นการได้เรียนรู้และเติมเต็มในสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิต
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่การประกวดครั้งแรกๆ มีพ่อเป็นคนคอยผลักดันตั้งแต่อายุ 18 มาถึงตอนนี้เธอเดินหน้าหาเวทีประกวดด้วยตัวเอง ด้วยหน้าตาที่สวยหวานในแบบไทยๆ ก็ทำให้เวทีส่วนมากเธอไปประกวดจะเป็นเวทีที่มีการแต่งชุดไทยอยู่เสมอ
“ไม่ถึงกับเดินสายประกวดล่าเงินรางวัล แต่ใจหนูรักการประกวด เพราะเหมือนคนเรามันไม่ได้จะประกวดกันง่ายๆ หนูรู้สึกถนัดที่จะมาประกวด รู้สึกดีเหมือนถูกโฉลกถูกชะตา เพราะได้เดินทางไปเรียนรู้วัฒนธรรมตามที่ต่างๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสมาทำแบบนี้ อย่างหนูเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่มีเวลาไปเรียนรู้วัฒนธรรมอยู่แต่กรุงเทพฯ พอได้ไปประกวดเราจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมอื่น ไปอีสานก็ได้ใส่ชุดอีสาน แต่งตัวแล้วได้เรียนรู้ในวัฒนธรรมของเขา อาหารของเขา ของพื้นเมืองต่างๆ ได้ลงไปสัมผัสในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถ้าเราไปเที่ยวก็จะได้อีกแบบหนึ่ง หนูมีโอกาสก็อยากทำอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต”
โอกาสอย่างการได้มาเที่ยวที่จันทบุรีในแบบที่เข้าถึงชุมชน ได้พบเจอชาวบ้าน แม้ก่อนการประกวดเธอจะรู้จักจันทบุรีอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่ในฐานะของนางงามซึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของจังหวัด เธอก็ได้รับโอกาสให้ทำความรู้จักกับหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น
“ประทับใจชาวบ้านและเจ้าบ้าน ทุกคนให้การต้อนรับดีมาก ได้ลงไร่ผลไม้จริงๆ แล้วจังหวัดจันทบุรีมีความโดดเด่นหลายอย่างมาก ทั้งเป็นเมืองผลไม้ เป็นเมืองประวัติศาสตร์ เป็นกองกอบกู้ชาติเมื่อสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีความหลากหลายเพราะเป็นเมืองโบราณ ยังมีเขาคิชฌกูฏซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยวอีกด้วย บนนั้นมีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา และมีหินลอยได้ตั้งอยู่บนผาหินข้างบน” นี่คือส่วนหนึ่งที่เธอได้รู้เกี่ยวกับจังหวัดจันทบุรี เมื่อเธอมาประกวด
และท่ามกลางการประกวดครั้งนั้น เหล่านางงามบทเวทีประชันโฉม มีการถ่ายทอดสดออกทีวี เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ก็กำลังใจดี เพราะมีหลายคนช่วยเชียร์ ทั้งแฟนคลับที่รู้จักเธอจากทั้งงานโฆษณา และงานประกวด รวมถึงพ่อแม่และพี่ชาย ในการประกวดแข่งขันเวทีนางงาม ความสวยงามเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสิน แต่อีกส่วนที่สำคัญก็คือความสามารถ ซึ่งจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนในช่วงของการตอบคำถาม
“หนูได้คำถามว่า ถ้าจะแนะนำอาหารให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่จันทบุรีจะแนะนำอาหารอะไร? เพราะเหตุใด?”
อาจเพราะโชคช่วย คำถามแบบนี้เข้าทางเธอเลย ! เพราะเธอเป็นผู้เข้าประกวดคนเดียวที่ซื้อของกินมากมายของจันทบุรีกลับบ้าน ดูเหมือนสายตาของเธอจะสอดส่ายหาอาหารรสเด็ด ของกินพื้นเมืองอยู่เสมอ
“หนูก็ตอบไปว่าอยากแนะนำเป็นแกงหมูชะมวง มันเป็นแกงโบราณที่หาทานยาก และเป็นของเด่นของจังหวัดจันทบุรี แล้วคนจะไม่ค่อยรู้จัก หนูเคยทานตั้งแต่ตอนเด็กๆ”
และแล้วตำแหน่งนางงานทุเรียนโลก 2555 ก็ตกเป็นของเธอ
“อันที่จริงเพื่อนๆ ก็เก่งกันหมดนะ แต่คำถามมันมาเข้าทางหนูด้วย” เธอเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้ตำแหน่งนางงามทุเรียน และสิ่งตามมากับตำแหน่งอย่างหนีไม่พ้น คงจะเป็นการรับประทานทุเรียน เธอเผยว่า ยังไม่ได้มีงานให้เธอรับประทานทุเรียนโชว์ แต่หากถามว่า ทำได้มั้ย? เธอพยักตอบชัดเจนว่า ตอนนี้...ได้แล้ว
“หนูไม่ได้ทั้งชอบหรือไม่ชอบทุเรียน เพราะเมื่อก่อนไม่ได้ลองทาน แต่พอมาทานดูก็ชอบนะ หนูชอบทานแบบเละๆ นิ่มๆ ล่าสุดพึ่งทานก้านยาวกับหมอนทองมา แต่ทานเยอะไม่ได้ เดี๋ยวอ้วน”
มาถึงกับช่วงวัย 24 เธอสารภาพว่าเป็นช่วงท้ายๆ ของการเดินสายประกวดแล้ว เพราะเวทีประกวดส่วนมากจะจำกัดอายุที่ 25 ปี ทั้งนี้ตลอดการประกวดที่ผ่านมาในชีวิต เธอยืนยันว่าไม่เคยรู้สึกเบื่อ มีแต่จะคิดว่า ในวันที่ไม่ได้ออกมาเดินสายประกวดแบบนี้แล้ว...จะรู้สึกเหงามั้ย
“คือมีความสุขที่ได้ทำแบบนี้ ได้สายสะพาย ได้ถ้วยรางวัลของตัวเอง หนูจะจดเป็นลิสต์ว่าหนูประกวดอะไรมาบ้าง หนูไม่ลืมนะ ชอบน่ะ บางทีก็ไปเที่ยวจังหวัดนั้นเองต่อด้วย ไม่ได้มองที่เงินเป็นสำคัญ เงินก็เป็นของรางวัล แต่ลึกๆ แล้วสำหรับหนูการเข้ามาประกวดมันเป็นรางวัลของชีวิตโดยตัวมันเองอยู่แล้ว”
นางงามนักชิม
ขณะที่พ่อเป็นทหารซึ่งต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบ แม่ก็ดูแลกิจการซัก อบ รีด ดังนั้นเมื่อใดครอบครัวเธอได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ พี่ชายและตัวเธอจะต้องออกไปเที่ยวด้วยกันเสมอแทบจะทุกอาทิตย์ที่ว่างเว้นจากการงาน
“บ้านหนูจะชอบไปเที่ยวกัน บางทีจะตระเวนกิน มีบ่อยๆที่ไปไกลถึงบางแสน บางทีก็บางขุนเทียนเพื่อไปหาอะไรกินที่นั่น ขับไปแล้วขับกลับ อย่างล่าสุดก็มีวางแผนว่าจะไปอัมพวากัน เหมือนครอบครัวจะเบื่อๆไม่ได้ต้องออกไปที่ไหนสักแห่ง”
สำหรับหลายเรื่องราวในชีวิต กับกลุ่มเพื่อนสมัยเรียน เธออาจจะไม่ใช่ผู้นำ ไม่ได้มีวีรกรรมมากมาย จะเป็นคนที่ยิ้มและหัวเราะง่ายในกลุ่มเพื่อนๆ จนหลายคนก็ขำในความเป็นเธอที่เหมือนจะตามคนไม่ทัน ยิ่งว่าเธอเป็นคนผวนคำไม่เป็นแล้ว ยิ่งกลายเป็นคนที่ขาดไม่ได้ในกลุ่มเพื่อน ที่จะต้องมีสักคนหนึ่งที่มักจะถูกแกล้งอยู่เป็นประจำ
“หนูเป็นคนไม่มีมุกตลกนะ แต่หนูหัวเราะเก่ง ยิ้มง่าย ร่าเริ่ง เหมือนว่าหนูเส้นตื้นน่ะ แต่จริงๆแล้วคือ เวลาเพื่อนเล่นมุก ถึงหนูจะไม่เข้าใจมุกเพื่อนจริงๆ แต่หนูก็หัวเราะนะ เหมือนว่าหนูรู้ว่ามันตลกแม้จะไม่เข้าใจ”
ทว่าในชีวิตของเธอ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เพื่อนต้องยกให้เธอเป็นผู้นำ นั่นคือเรื่องการกิน เพราะเธอชอบชิมชอบเสาะแสวงหาร้านอร่อย ชอบถึงขั้นว่าเธอเคยนั่งลงจดรายชื่อร้าน วางแผนการแล้วตระเวนชิมทั้งหมด เธอกล้ายืนยันว่าในกรุงเทพฯ ร้านไหนเด่น ร้านไหนดัง แทบจะทุกร้านอยู่ในบทบันทึกการตระเวนชิมของเธอหมดแล้ว
“เพื่อนๆ ต้องถามหนูค่ะ คือถ้าจะให้คำแนะนำ ต้องถามก่อนว่าอยากทานอะไร แนวไหน หนูจัดให้ได้ว่าย่านไหนมีอะไรเด็ด” น้ำเสียงเธอฟังดูสนุกขึ้นเมื่อพูดถึงเรื่องโปรด
และนั่นเองที่นำพาเราไปสู่วีรกรรมในบทบาทนักชิมของเธอ ซึ่งเป็นวีรกรรมที่ยาวไกลไปถึงต่างจังหวัด ตั้งแต่ตะโก้เบญจรงค์แถวโรงแรมฮิวตัน ถึงข้าวเหนียวมะม่วงแม่นงนุชหน้าตลาดหัวหิน เธอมีความสุขจากการกินถึงขนาดที่อยากจะแบ่งปันให้คนอื่น ซึ่งไม่ใช่เพียงการบอกต่อ แต่ถึงขั้นซื้อฝากแบบเป็นลังๆ
“มีบางทีเขาก็ตกใจกันที่หนูเอาลังไปเอง ไปซื้อของมาฝากเพราะที่บ้านเป็นกรมทหารก็จะสนิทกับทหารหลายคน ฟังดูเหมือนน่ากลัวสนิทกับทหาร แต่ทหารที่บ้านจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วกันคะ เลยมีสนิทกันซื้อของมาฝาก”
แม้แต่วันนี้ เรานัดพบเธอที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเธอก็ยืนยันว่า แถวนี้เธอกินมาหมดแล้ว
“มีแถวข้างเสาชิงช้า ประตูผีจะมีข้าวต้มเป็ดอ้วน เป็นร้านธรรมดาเล็กๆ เลยนะ แต่เขาขายมานานเก่าแก่แล้ว ร้านนั้นอร่อย แล้วกลางวันมีราดหน้าตรงศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งแถวนั้นจะมีเยอะ”
พอสลับภาพนักชิมกึ่งมืออาชีพของเธอ มาเป็นภาพนางงาม เธอยิ้มเขินๆ พร้อมเผยเคล็ดลับดูแลตัวเองว่า ไม่ได้มีอะไรมากมาย เพียงช่วงก่อนประกวด 2 อาทิตย์ เธอจะลดอาหารลง และทานผัก
“ไม่น่าเชื่อ หนูไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่แค่ทานผักและลดอาหารพวกของหวานลงมันก็ลดลงได้ โดยพื้นฐานเป็นคนกินมาก ครอบครัวก็จะรุ่นเฮฟวี่เวตกันหมด เลยคิดว่าอนาคตต้องอ้วนแน่ๆ เลย”
และด้วยบุคลิกที่ดูเป็นลูกคุณหนู เธอจึงมีปัญหาแปลกๆ อย่างการกินผักไม่เป็นจนกระทั่งสองปีก่อน เธอบอกเล่าประสบการณ์ว่า ต้องหันมาตั้งใจฝึกกินผักอย่างจริงจัง
“เล่าให้ใครฟัง มันก็น่าจะหมั่นไส้มาก คือช่วงแรกที่ฝึกกินผัก หนูต้องกินผักผลไม้แพงๆ เท่านั้น ต้องซื้อผลไม้ตามซูเปอร์แพงๆ ถ้าเป็นผักก็ต้องเป็นผักของเอ็มเคที่ต้มจนเปื่อยแล้ว เพราะผักตามปกติมันจะขมมาก ผักที่หนูกินช่วงนั้นมันเลยโคตรแพง” เธอเล่าอย่างเสียดายเงิน แต่หลังจากหัดกินผักจนสำเร็จ จนตอนนี้ผลไม้ในห้างแทบจะไม่อยู่ในสายตาเธอ มะละกอที่เมื่อก่อนขมมากสำหรับเธอ ก็สามารถกินได้อย่างไม่รู้สึกอะไร
ในส่วนของงานในวงการ เธอมองว่าอายุของตัวเอง เลยวัยที่จะหันมาทำงานในวงการอย่างจริงจังแล้ว จะมีผลงานก็เพียงโฆษณาออกมาประปราย ซึ่งเธอก็พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะเธอไม่อยากจะผืนทำในสิ่งที่ไม่เหมาะกับตัวเอง
“หนูเป็นคนที่แอ็กติ้งไม่เป็นเลย ก็เลยคิดว่าไม่เหมาะกับงานละครหรือหนัง มันยากนะ หนูยังเป็นคนไม่นิ่ง ยังมีความเป็นเด็กอยู่พอสมควรเลย”
มาถึงตอนนี้เธอก็มองไปที่การต่อยอดกิจการของทางบ้านที่มีกิจการซัก อบ รีด และธุรกิจวุ้นเส้นที่ต่างจังหวัด แต่นั่นก็ยังเป็นอนาคตที่เธอยังคงต้องวางแผน และมองหาไอเดียที่ลงตัวก่อนจะลงมือทำ
ความลับ...ความรัก
“ซึมๆ แล้วนะ” เธอพูดขึ้นมากลางการสนทนา เธอพูดกับสุนัขของเธอ มันเป็นลูกสุนัขตัวน้อย นอนคุดคู้อยู่ในกระเป๋าเลี้ยง และเธอตั้งชื่อมันว่า ซีเคร็ท ที่แปลว่า ความลับ
“พี่ชายชอบเรียกมันว่า ไอ้จุก แต่มันชื่อซีเคร็ทเพราะว่าตอนแรกหนูซื้อมาไม่ได้บอกใคร แล้วมันก็เรียบร้อยนะ ไม่เห่าเลย อยู่มาตั้งนานไม่มีใครรู้จนมันป่วย หนูให้มันอยู่ในห้องอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องเอามันออกมา”
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โต สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบ และเธอก็ตั้งใจดูแลมันอย่างดี เพราะอย่างไรเสีย บ้านเธอก็มีสุนัขหลายตัวอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นสุนัขตัวใหญ่กว่าก็เท่านั้น
“ที่บ้านมีสุนัขอยู่แล้ว 3 ตัว คือพ่อเป็นคนใจดี ช่วงน้ำท่วมพ่อเป็นทหารก็ลงไปช่วย แล้วเจอสุนัขพวกนี้ ตอนแรกพ่อจะเอามาเลี้ยงที่บ้านเป็น 7 ตัวเลย แต่แม่ไม่ให้เลี้ยง เพราะที่บ้านเดี๋ยวจะไม่มีคนดูแล”
ในที่สุดบ้านเธอก็มีสุนัขถึง 4 ตัว ทำให้วันว่างๆ ของเธอที่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ดูทีวี เล่นเกม ดูหนัง สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการอัปเดตชีวิตให้ทันกับเทคโนโลยี ทั้งกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ พร้อมกันไปกับการอัปเดตชีวิตบนโซเชียลมีเดีย และการถ่ายรูปกับสุนัขคู่ใจอย่าง ซีเคร็ทก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำยามว่าง
“มันเป็นอะไรที่สนุกดี เพลินๆ ว่างๆ ก็ชอบแต่งรูปเล่น”
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดกับเรื่องความรัก เธอตอบเพียงสั้นๆ ว่า เศร้ามาก พร้อมถอนหายใจ
“หนูเป็นคนคิดไว้แล้วนะ ถ้ามีแฟน ผู้ชายสมัยนี้ไม่รู้จักคำว่าพอหรอก” ตอนนั้นเองที่เธอส่งสายตาราวกับรู้ทันบางอย่าง “คำว่าพอ สะกดไม่ถูกหรอก ถ้ามีแฟนต้องเขียนคำว่าพอติดไว้รอบทิศที่เขาอยู่”
แม้ว่าจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมบอกว่า ความรัก ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดก็ได้ กับการใช้ชีวิตนั้น ต่างคนต่างใช้ชีวิต ต่างมีโลกของตัวเอง ไม่ตัวติดกัน 24 ชั่วโมง เธอถือเป็นเรื่องปกติ จากยุคสมัยจากหน้าที่การงาน เธอรู้ดีว่า การเที่ยวกลางคืนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
“มันบังคับจิตใจกันเกิน คือไปเที่ยวไหนก็บอก วันนี้ไปเจอกลุ่มเพื่อนนี้ เดี๋ยวไปกินข้าวเย็น กินข้าวกับเพื่อน หนูก็ปล่อยไม่ได้อะไร แต่ไม่อยากให้คบใครซ้อนกับหนู”
กับเรื่องของความรักสิ่งสำคัญคือความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่ก็ยังมีอีกคำหนึ่งที่เธอบอกว่าสำคัญไม่แพ้กันก็คือคำว่า พอ
“หนูก็ไม่ได้แย่นะ ยังไม่รู้จักพอแล้วต้องการคนที่ดีกว่าหนู ก็ไปเถอะ หนูก็มีจุดยืน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรักมาก เพราะหนูอยู่กับที่บ้าน อยู่กับพ่อแม่พี่อยู่กับซีเคร็ทด้วย ทำแบบนั้นหนูถือว่าไม่ให้เกียรติกัน”
และเธอยืนยันกับชีวิตทุกวันนี้ ในช่วงปีสุดท้ายของการประกวดเวทีนางงาม เธอยังมีความสุขกับชีวิตที่เติมเต็มตัวเธอเอง ด้วยพ่อแม่พี่ชาย สุนัขคู่ใจ และการเดินทางไกลของชีวิต
ชื่อ วิลาวัลย์ ภิรมย์นา ชื่อเล่น เม็ดทราย
วันเกิด 13 สิงหาคม พ.ศ. 2531
การศึกษา จบจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ส่วนสูง 171 น้ำหนัก 49 กก.
ผลงาน โฆษณา วัน ทู - คอล ชุดดาวมหาลัย มิตซูบิชิ ซิตร้า โฆษณาภาพนิ่งธนชาต เอสซีจี,ตำแหน่ง นางงามส้มโอจังหวัดชัยนาทปี2553 ,นางงามทุเรียนโลกจังหวัดจันทบุรี 2555 ,สุดยอดนางสงกรานต์ช่องสามปี2554 ,ธิดาแรงงานปี2554 ,มิสโมบายไทยแลนด์ 2551
ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ