xs
xsm
sm
md
lg

ข้าวนอกนา ตอนที่ 3 - 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ข้าวนอกนา ตอนที่ 3

ค่ำนั้นดำเข้ามาในห้องนอนคนใช้ ส่องกระจกมองตัวเอง แล้วนึกเกลียดตัวเอง เกลียดโชคชะตาที่ทำให้แตกต่างกับเดือนราวฟ้ากับเหว เสียงโจ้กับจิ๋มยังก้องในหัว

“อิจฉาหรือไง สวยกว่าแกตั้งเยอะ แถมบ้านรวยมหาศาล”
“คนนี้น่ะเหรอคุณหนูคนเดียวของบ้านดนัยธำรง...ลูกอธิบดีดนัยธร”
ดำทุบกระจกจนมือเลือดไหลโชกอย่างแค้นใจ
“ทำไมชีวิตฉันถึงต่างกับแกนัก นังเดือน”
ดำทุบกระจกอีก ประนอมเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ว้าย ทำอะไรน่ะดำ จะบ้าเหรอ พอแล้วๆ”
ประนอมรีบเข้าไปจับตัวห้ามดำไว้
“เป็นอะไรของแก เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันเห็นพี่สาวฉัน”
“แกเจอที่ไหน”
“ฉันเห็นเขาในรูปที่คุณโจ้เอามา เขาเรียนที่เดียวกันแล้วก็ปลื้มว่าสวยยังงั้นสวยยังงี้”
“พี่สาวที่แกเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นลูกครึ่งฝรั่งน่ะเหรอ”
“ใช่ คนเขาขอเอาไปเลี้ยง เหมือนคุณนายขอเรามานี่แหละ แต่เขาคงสบายกว่าเรา เขาสวยนี่ ใครๆ ก็รักเขา คนที่ขอเอาไปเลี้ยงก็คงขอไปเป็นลูก ไม่ได้ขอมาเป็นคนใช้อย่างเรา”
“แล้วแกเป็นบ้าอะไร ทำไมต้องทำอย่างนี้ อยู่ดีๆหาเรื่องเจ็บตัว”
“ก็เกลียดนังนั่น เกลียดมันที่สุด”
“เขาเป็นพี่สาวแท้ๆ ไปเกลียดเขาทำไมกัน”
“ไม่รู้ เราเกลียดก็แล้วกัน เกลียดมาตั้งแต่เด็กแล้ว เกลียดๆๆ”
ดำเม้มปากกำมือแน่นอย่างแค้นใจและน้อยใจ แต่ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด ประนอมมองดำอย่างไม่เข้าใจ

ดึกคืนนั้น เดือนนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง พอจะหยิบน้ำมาดื่มก็ชะงัก เพราะน้ำหมดแก้วแล้ว เดือนหยิบแก้วน้ำลุกเดินไปที่ประตู เปิดประตูจะออกไป แต่เสียงมือถือเดือนดังขึ้นเสียก่อน เดือนเลยกลับไปหยิบมือถือที่โต๊ะมาดูเบอร์ อย่างสงสัยเพราะเป็นเบอร์ไม่คุ้น ก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมไวนะครับ”
เดือนแปลกใจกึ่งดีใจ แต่ก็ทำเป็นตลกกลับไป
“เดือนก็ไม่เคยว่าคุณช้านี่คะ”
ไวภพหัวเราะๆ
“ไม่นึกเลยนะครับว่าเดือนจะเล่นมุก ผมจะไปยังไงต่อดีครับเนี่ย”
“แหม...ปกติเดือนดูซีเรียสมากเลยเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ แต่ผมไม่เคยเห็นมุมนี้ของเดือน ก็เลยแปลกใจ แต่ผมชอบนะครับ”
ดนัยธรเดินผ่านมา เห็นประตูห้องแง้มอยู่ และได้ยินเสียงเดือนคุยโทรศัพท์อยู่ก็ชะงัก แอบฟังอย่างสนใจ
“ขอบคุณค่ะ ไวโทรมามีธุระอะไรกับเดือนหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...ผมแค่เป็นห่วง อยากรู้ว่าเดือนกลับถึงบ้านปลอดภัยใช่ไหมครับ”
“เดือนถึงบ้านนานแล้วค่ะ ทานข้าวเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ”
ดนัยธรแกล้งเคาะประตู แล้วตะโกนภาม
“ยังไม่นอนเหรอลูก...เดือน”
เดือนรีบบอกกับไวภพ
“แค่นี้ก่อนนะคะ คุณพ่อมา”
“ครับ ฝันดีนะครับ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
เดือนวางสาย ดนัยธรเดินเข้ามาในห้อง
“ใครโทรมาเหรอลูก”
“เอ่อ...เพื่อนที่มหาลัยค่ะ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
เดือนอึกอักเล็กน้อย
“ผู้ชาย...ค่ะ”
ดนัยธรมองเดือน หน้าเครียดทันที เสียงห้วน
“โทรมาดึกป่านนี้ ไม่หลับไม่นอนกันหรือยังไง แล้วลูกก็ยังจะคุยกับเขาอีก”
เดือนหน้าเจื่อนไป
“ทีหลังอย่ารับสายเพื่อนคนนี้อีกนะ เลิกคบไปเลยก็ดี เห็นเลยว่ามีเจตนาไม่ดี กลับบ้านแล้วก็ควรอ่านหนังสือทำการบ้าน ไม่ใช่โทรมาคุยไร้สาระอย่างนี้...”
เดือนเห็นดนัยธรเคืองๆ จึงเข้าไปเกาะแขนประจบ
“ค่ะคุณพ่อ ต่อไปเดือนจะปิดมือถือตั้งแต่หัวค่ำ ไม่คุยกับใครแล้วค่ะ”
ดนัยธรยิ้มอารมณ์ดีขึ้น ลูบผมเดือนแล้วกอดไว้อย่างพอใจ โอบเธอออกมาหน้าห้อง
“ทำการบ้านเสร็จแล้วก็นอนซะ อย่านอนดึกนัก”
“ค่ะ คุณพ่อ”
ดนัยธรหอมหน้าผากเดือนอีกอย่างเอ็นดู เขมวรรณเปิดประตูออกมาจากห้องตัวเอง พอเห็นก็จะเข้าไปทัก แต่แล้วกลับชะงักนิดหนึ่ง ความระแวงสงสัยแว่บขึ้นมา นึกถึงคำพูดของขจิต
“นี่เขาจะกอดจูบลูกสาวจนโตเลยเหรอนี่...ระวังให้ดีนะ แม่เข็ม ถ้าเป็นพ่อลูกกันจริงๆก็ไปอย่าง...”
เขมวรรณรีบยกมือปิดหูตัวเอง...เดือนกับดนัยธรหันมาเห็นเขมวรรณ ทั้งสองเดินมาหา
“คุณแม่ขา เดือนพาคุณพ่อมาส่งค่ะ”
เขมวรรณพูดลอยๆ
“จ้ะ”
ดนัยธรแปลกใจ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเหมือนไม่สบาย”
“ฉันคงง่วงค่ะ หลับไปสักพักแล้วเห็นคุณยังไม่ขึ้นมานอน เลยออกมาดู”
เดือนบอกกับดนัยธร
“คุณพ่อรีบพาคุณแม่เข้านอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้คุณแม่ต้องไปวัดแต่เช้าด้วย...กู๊ดไนท์ค่ะคุณพ่อ คุณแม่”
เขมวรรณเข้าไปหอมแก้มเดือน ดนัยธรหอมเดือนบ้าง เขมวรรณเบือนหน้าไม่มองพยายามไม่คิดอะไร แล้วกลับเข้าไปในห้อง

เมื่ออยู่ในห้อง เขมวรรณกับดนัยธรนอนหันหน้าไปคนละด้าน ดนัยนอนขยับตัวกระสับกระส่าย ส่วนเขมวรรณลืมตาโพลง นิ่วหน้าครุ่นคิด พอดนัยธรขยับตัวอีก เธอรู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องทำให้นอนไม่หลับ จึงหันไปมองเห็นเขานอนก่ายหน้าผาก
“คิดเรื่องอะไรอยู่คะ”
“เรื่องยัยเดือนน่ะสิ”
เขมวรรณหน้าเครียดยิ่งขึ้น
“ยัยเดือนทำไมเหรอคะ”
“ผมเป็นห่วงลูก เมื่อกี้เห็นแกคุยโทรศัพท์กับเพื่อนผู้ชายจนดึกดื่น”
“แกเพิ่งเข้ามหาลัยปีแรก หลังจากเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอด ก็คงต้องมีเพื่อนผู้ชายมาสนใจบ้างเป็นธรรมดานี่คะ”
“ทำไมคุณถึงเห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้นะเข็ม ลูกเราโตเป็นสาวแล้ว ถ้าเกิดอะไรไม่ดีไม่งามขึ้นมา เรานี่แหละจะเป็นคนที่เสียใจที่สุด”
“ฉันไม่อยากให้เราตีตนไปก่อนไข้ เด็กสมัยนี้ถ้าเรายิ่งกักไว้ไม่ให้รู้จักโลกภายนอกบ้าง แกอาจจะไม่ทันคน ถูกหลอกถูกชักจูงได้ง่าย มันจะยิ่งอันตรายนะคะ”
“แล้วคุณจะปล่อยให้ลูกเราคบกับผู้ชายไม่เลือกหน้างั้นเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เราก็ปล่อยให้แกเลือกคบ แล้วให้คำแนะนำอยู่ห่างๆก็พอ ไม่อย่างนั้นแกอาจจะอึดอัด”
“เรื่องนี้เราคงมองต่างมุมกันแล้วละเข็ม สมัยนี้สังคมมันอันตราย แม้แต่ในสถาบันการศึกษาก็ไว้ใจไม่ได้ ถึงยังไงผมก็จะไม่ยอมให้ไอ้หนุ่มหน้าไหนมาเกาะแกะยัยเดือนแน่”
เขมวรรณจะเถียงอีก แต่ดนัยธรรีบตัดบท
“นอนเถอะ ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง ผมง่วงแล้ว”
ดนัยธรฮึดฮัด แล้วหันไปอีกทาง แต่ยังไม่หลับเพราะหงุดหงิด เขมวรรณหันกลับโดยหันหลังให้เขาเหมือนเดิม เครียดหนักขึ้น

สายวันใหม่...โจ้ตะโกนเรียกดำดังลั่น
“ดำ...ดำ...อีดำ”
ดำรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับรองเท้าของโจ้ มือข้างขวามีผ้าพันแผล โจ้ยืนรอที่หน้าประตูหน้าตาหงุดหงิด
“มาแล้ว มาแล้ว เรียกซะดังเลย”
“ไม่ดังแกก็ไม่ได้ยินสิ”
ดำเอารองเท้าให้โจ้ แต่กึ่งโยนกึ่งวาง
“แล้วกระเป๋าล่ะ”
“เดี๋ยวสิ สั่งอยู่ได้”
“อะไรวะ ลืมอีกแล้ว เดี๋ยวปั๊ด”
โจ้ทำท่าจะเตะดำแต่เซไป ดำรีบวิ่งปรู๊ดออกไป

ดำมาที่โต๊ะซึ่งโจ้วางกระเป๋าไว้ หันไปมองโจ้ เห็นเขากำลังสวมรองเท้า ไม่ได้มองมา จึงเอาตัวบังไว้ เสียงจรูญศรีดังขึ้น
“นังดำ”
ดำสะดุ้งเฮือก มองไปเห็นจรูญศรีตีหน้ายักษ์ใส่
“ยัยจิ๋มล่ะ”
“เอ่อ...ออกไปรอข้างนอกแล้วค่ะ”
จรูญศรีเดินออกไป ดำโล่งใจ แล้วแอบหยิบมือถือออกจากกระเป๋าโจ้ พลางยิ้มหน้าเจ้าเล่ห์ รีบปิดกระเป๋า ก่อนจะวิ่งกลับไปหาโจ้

จิ๋มนั่งหน้ามุ่ยอยู่ในรถ ประนอมยืนคุยกับศักดิ์ที่หน้ารถแบบกระซิบกระซาบอยู่ข้างรถ
“รีบกลับมาเร็วๆนะพี่ศักดิ์ จะซื้อส้มตำน้ำตกไว้รอ”
“จ้ะนอม แต่ไม่รู้คุณจิ๋มจะให้ไปรับกี่โมงน่ะสิ”
“โอ๊ย...ออกไปเจอแฟนคงไม่รีบหรอก”
“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป”
ศักดิ์พยักเพยิดให้ประนอมรู้ตัว ประนอมหันไปเห็นจรูญศรีออกมาพร้อมโจ้ โดยมีดำหิ้วกระเป๋าตามออกมา แล้วส่งให้โจ้ก่อนขึ้นรถ จิ๋มตะโกนเร่งจากในรถ
“เร็วหน่อยค่ะแม่ เดี๋ยวจิ๋มไปโรงเรียนสาย”
“มาแล้วจ้ะ มาแล้ว”
จรูญศรีขึ้นรถ ศักดิ์ขับออกไป ประนอมมองตามศักดิ์ แล้วโบกมือให้ ดำมายืนข้างประนอม โบกมือให้ศักดิ์ด้วย แถมเลียนแบบท่าทางประนอม
“กลับมาเร็วๆนะพี่ศักดิ์”
“นังเด็กแก่แดด”
ประนอมยกมือทำท่าจะตี ดำรีบวิ่งปรู๊ดเข้าไปในบ้าน

ดำยกตะกร้าผ้าที่ยังไม่ได้ซักมาใส่เครื่อง พลางร้องเพลงไปด้วยเต้นไปด้วยอย่างอารมณ์ดี ประนอมเข้ามามองแปลกใจ
“ไง...อารมณ์ดีแล้วเหรอดำ”
“ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรนี่พี่นอม”
“ดีแล้วที่คิดได้ พี่สาวแกได้ดีก็ควรจะดีใจกับเขา ไม่ใช่อิจฉาเขา”
“เรื่องอะไรจะดีใจกับมัน”
ประนอมมองดำงงๆ
“อ้าว...”
“ฉันจะเอาชนะมันให้ได้ต่างหาก อยากรู้จริงๆ ถ้ามันเจอหน้าฉันจะเป็นยังไง”
ดำยิ้มกริ่มอย่างรอเวลา

โจ้เข้ามานั่งที่โต๊ะประจำกลุ่มใต้ตึกเรียน แล้วจะหยิบมือถือออกมา แต่ล้วงกระเป๋าแล้วไม่เจอ
“เฮ้ย...หายไปไหนวะ”

โจ้ก้มลงมองหาใต้โต๊ะก็ไม่เจอว่าหล่น จึงเทกระเป๋าออกมาดู แต่ยังไม่พบอีก เขาเซ็งจัด

โจ้เดินมาโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะ...เสียงมือถือโจ้ดังขึ้น ดำยื่นมือมาหยิบไปรับสาย

“สวัสดีค่ะ”
“แกเอามือถือฉันไปเหรอดำ”
ดำยิ้มกริ่ม
“เปล่านะ คุณโจ้ลืมมือถือไว้ที่โต๊ะต่างหาก”
“แล้วทำไมไม่บอกวะ”
“ฉันเพิ่งเห็นเมื่อกี้นี้ แล้วไม่รู้จะติดต่อคุณโจ้ยังไงด้วย”
“งั้นแกรีบเอามือถือมาให้ฉันที่มหาลัยเลยนะ เร็วๆ เลย”
ดำยิ้มกริ่มดีใจที่ทุกอย่างเข้าแผน

ดำเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัย มองบรรยากาศโดยรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ นักศึกษาและคนที่เดินผ่านไปมามองดำเหมือนตัวประหลาด โจ้ยืนอยู่มุมหนึ่ง เรียกดำด้วยเสียงเบา
“ดำ...ดำ...ดำ”
ดำหันไป เห็นโจ้หลบอยู่หลังต้นไม้
“คุณโจ้”
คนอื่นมองดำ โจ้เลยรีบหลบไม่ให้ใครเห็น ดำอ้าปากจะเรียกอีก โจ้ทำท่าจุ๊ปาก แล้วกวักมือเรียกเข้าไปใกล้ ดำงงๆ แต่ก็เดินเข้าไป
“ทำไมต้องมาหลบตรงนี้ด้วย”
“ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่ารู้จักกับแก ทำไมมาช้านักล่ะ”
“นี่ก็รีบแล้วนะ”
“ยังจะเถียงอีก” โจ้ชี้หน้า “กลับบ้านไปแกเจอดีแน่”
“อุตส่าห์เอามาให้แล้วยังจะบ่น”
“แกกลับไปได้แล้ว”
ดำฟึดฟัด โจ้หันหลังกลับ แต่พอเหลียวหลังกลับมาก็ยังเห็นดำยืนมองไปรอบๆ อยู่ที่เดิม ก็ดุเสียงเข้ม
“ยังไม่ไปอีก”
“มหาลัยคุณโจ้น่าเรียนจังเลย นักศึกษาแต่ละคนแต่งตัวดีดูไฮโซทั้งนั้น คงจะรวยกันทุกคน”
“ไม่ต้องมาชื่นชม รีบกลับไปซะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นมอง”
“ทำไมคุณโจ้ ฉันเป็นยังไงเหรอ”
“จนป่านนี้ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่าตัวเองทั้งดำทั้งน่าเกลียดน่ากลัว ถ้าใครถามก็ไม่ต้องบอกนะว่ารู้จักฉัน”
โจ้รีบเดินออกไป ดำมองตามเจ็บใจ แล้วมองไปรอบๆ อย่างคิดจะทำอะไรบางอย่าง

ดำเดินหาเดือน จนเห็นนักศึกษาคนหนึ่งทรงผมเหมือนเดือน และย้อมผมสีทองแกมแดง ดำรีบตามไปทันที
“เดือน...”
แต่แล้วดำก็ผิดหวัง เมื่อคนที่หันมาไม่ใช่เดือน
“เรียกฉันเหรอ”
“เอ่อ...คุณ รู้จักนักศึกษาชื่อเดือนมั้ย”
“เดือนไหนอ่ะ มีตั้งหลายเดือน”
“เดือนไขแสงน่ะ ที่หน้าตาสวยๆ เหมือนลูกครึ่งฝรั่ง”
“อ๋อ...ดาวมหาลัยน่ะเหรอ เห็นนั่งประจำอยู่ใต้ตึกนั้นไง”
ดำมองตามที่นักศึกษาชี้ให้ดูอย่างหมายมาด

ดำเดินมาที่ใต้ตึก มองหาเดือนท่ามกลางนักศึกษามากมายที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ แต่ไม่เห็น คนอื่นๆ มองดำเหมือนเป็นตัวประหลาด แต่ดำไม่สนใจ
“คุณๆ เห็นเดือนมั้ย”
นักศึกษาส่ายหน้างงๆ
“เดือนไขแสง ดาวมหาลัยน่ะ”
“อ๋อ...นั่นไง”
ดำมองตาม สักพักสีหน้าเปลี่ยนเป็นดีใจ...เดือนเดินเข้ามากับเอ๋และฝ้ายและนั่งลงที่โต๊ะ ไวภพเอาน้ำเข้ามาให้ เดือนขอบคุณ ไวภพนั่งคุยกับเดือนอย่างสนุกสนาน ดำมองด้วยความริษยา ตรงเข้าไปหาทันที แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อใครบางคนเข้ามาดักหน้า ใครคนนั้นคือโจ้ มองด้วยความไม่พอใจ แต่คุยด้วยเสียงเบาลอดไรฟันเหมือนไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นหรือได้ยิน
“แกมาทำอะไรแถวนี้นังดำ ทำไมยังไม่กลับ”
ดำอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ด้วยความเป็นคนไม่กลัวใครจึงตอบกลับไป
“ฉันหลงทาง จำทางกลับไม่ได้”
“แกนี่มันโง่จริงๆ โน่น...แกออกไปทางโน้น ตรงไปก็จะเจอประตูทางออก รีบไปซะ”
ดำมองเดือนอีกทีอย่างเสียดาย
“จะมายืนหาอะไรอีก ไปสิวะ”
ดำจำต้องเดินออกไป โจ้มองตามหงุดหงิด

โจ้เข้ามาหาเดือน พูดเสียงนุ่มนวลผิดกับตอนพูดกับดำ
“น้องเดือนครับ”
เดือน เอ๋ และฝ้ายยกมือไหว้โจ้ เอ๋ถามอย่างแปลกใจ
“พี่โจ้รู้จักเด็กนิโกรคนนั้นด้วยเหรอคะ”
โจ้ทำไก๋
“คนไหนน่ะ”
ฝ้ายสวน
“ก็คนที่ยืนคุยด้วยเมื่อกี้ไงคะ”
“อ๋อ...เขามาถามทาง ไม่มีอะไรหรอก” โจ้กลบเกลื่อนหันไปหาเดือน “น้องเดือน เย็นนี้ไปซ้อมเชียร์
ด้วยกันนะครับ”
“เย็นนี้เดือนต้องกลับบ้านเร็วค่ะ เมื่อวานโดนคุณพ่อดุ”
“พี่ไปคุยกับคุณพ่อให้”
“อย่าดีกว่าค่ะ เดือนจะค่อยๆบอกท่านเอง ขอบคุณนะคะพี่โจ้”
“ไม่เป็นไรครับ” โจ้เหล่ไวภพแบบไม่พอใจ “แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่เหรอ”
ไวภพหันมาตอบ
“ครูเจนกำลังหาคนเข้าประกวดในงานเพลงคนดนตรี พอดีผมได้ยินมาว่าเดือนร้องเพลงเก่ง เลยมาทาบทามเดือนให้เข้าประกวดด้วยครับ”
เดือนออกตัว
“ที่จริงเดือนร้องได้แต่ในคาราโอเกะเท่านั้นค่ะ ร้องเพลงบนเวทีไม่ได้หรอก”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวครูเจนช่วยซ้อมให้ ผมก็จะเล่นกีตาร์ให้ด้วย รับรองว่าเดือนขึ้นรองบนเวทีได้สบาย”
โจ้ไม่พอใจข่มๆไวภพ
“แต่เดือนมีกิจกรรมซ้อมเชียร์ แล้วยังต้องไปซ้อมร้องเพลงอีก จะหนักเกินไปหรือเปล่า”
“ผมคิดว่าเดือนแบ่งเวลาได้แน่” ไวภพหันไปอ้อนเดือน “นะครับเดือน ผมขอแค่เวลาช่วงบ่ายวันพุธ เอาเอ๋กับฝ้ายไปด้วยก็ได้”
เอ๋กับฝ้ายพยักหน้าสนับสนุน เดือนอิดออดเล็กน้อย ฝ้ายยุ
“ไปเหอะเดือน ลองดูสนุกๆก็ได้ ถือเป็นประสบการณ์”
เอ๋เสริม
“ฉันว่าเธอซ้อมแป๊บเดียวก็ร้องได้แล้วละ”
เดือนตัดสินใจ
“งั้นก็ได้”
ไวภพยิ้มกว้างพอใจ
“ขอบคุณเดือนมากครับ”
โจ้แอบเบะปากใส่ ไวภพทำเฉยไม่สนใจ หันไปยิ้มกับเดือน เดือนยิ้มตอบ ดำแอบดูอยู่มุมหนึ่ง มองเดือนกับไวภพอย่างมีแผน

ดำไปหาสมพันธุ์ที่บ้านลุงหวัด บอกกับเขาว่าเธออยากประกวดร้องเพลง สมพันธุ์อุทานหน้าตาตื่น
“อะไรนะ จะไปประกวดร้องเพลงเหรอ”
“ฉันอยากเป็นนักร้องให้ได้ ฉันจะร้องเพลงฝรั่งด้วย แต่ฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกสักตัว พี่พันช่วยแกะเพลงให้ฉันด้วยนะ”
“เพลงฝรั่งมันยากนะ ดำจบแค่ ป.6 ภาษาไทยยังอ่านไม่ค่อยคล่องแล้วจะร้องเพลงฝรั่งได้ยังไง”
“ฉันจะทำให้ได้ อ่านไม่ออกก็ใช้จำเอา ฟังหลายๆ เที่ยวเดี๋ยวก็ได้เอง”
“แต่ดำต้องยอมรับนะ รูปร่างหน้าตามันก็มีผลเหมือนกันเวลาประกวด ยิ่งอะไรที่ต้องอาศัยคนโหวต มันมีส่วนเยอะมาก”
“ฉันจะใช้เสียงนี่แหละ เอาชนะคนอื่นให้ได้”
“พี่ไม่อยากให้ดำหวังมาก แล้วพี่ก็จะสอบแล้ว คงไม่มีเวลาช่วยเท่าไรด้วย”
ดำหน้าเศร้า ลุงหวัดเข้ามา
“ช่วยดำหน่อยเถอะพัน มันไม่เสียเวลาอะไรนักหรอก”
สมพันธุ์ชะงัก
“แต่...”
“เดี๋ยวนี้นักร้องไม่ต้องเอาหน้าตามีเยอะแยะ ดำน่ะเสียงดีเหมือนพวกนักร้องฝรั่ง ถ้าซ้อมดีๆ มีคนช่วยสอน ต่อไปดำอาจจะชนะเป็นแชมป์เลยก็ได้ พ่อเชื่อว่าถ้าดำตั้งใจทำอะไรแล้วมันต้องสำเร็จ”
ดำมองหน้าลุงหวัดอย่างดีใจ สมพันธุ์ครุ่นคิดตัดสินใจ ดำหันมองหน้าเขาอย่างมีความหวัง

ดำยกมือไหว้ลุงหวัดอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณลุงหวัดมากจ้ะ ที่พูดให้พี่พันยอมช่วยหนู”
“ไม่เป็นไรหรอกดำ ลุงรู้ว่าหนูเป็นคนมีความพยายามมีความสามารถ ถ้ามีโอกาสก็ต้องทำให้ได้”
“แต่บางทีโอกาสของหนูมันก็มายากซะจริงๆ เพราะหน้าตาของหนูนี่แหละ”
ดำเศร้าไป ลุงหวัดลูบผมของดำด้วยความสมเพชเวทนาจับใจ
“เราอาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น แต่เราก็ใช้ความพยายามนี่แหละเอาชนะคนอื่นให้ได้”
“ลุงหวัด หนูเป็นคนไทยหรือเปล่าน่ะ”
“เป็นซี ไม่ว่าใครที่เกิดในเมืองไทยก็ต้องเป็นคนไทย โดยเฉพาะแม่ของหนูเป็นคนไทย ยังๆไง หนูก็ต้องเป็นคนไทยอยู่วันยังค่ำ”
“แต่หนูไม่เหมือนคนไทยนี่ลุงหวัด ใครเห็นใครๆ เขาก็ว่าหนูเป็นนิโกรทั้งนั้น บางทีนะ บางทีหนูก็อยากเจอพ่อของหนู แต่บางทีหนูก็เกลียดพ่อจัง”
“อ้าว...ไปเกลียดเขาทำไมล่ะ”
“ก็เขาน่าเกลียดนี่ลุงหวัด เวลาหนูเห็นพวกนิโกรเหมือนพ่อหนูเดินอยู่กลางถนน หนูยังไม่อยากมองเลย ดำออกจะตายไป”
“โธ่เอ๊ย...ดำ รูปโฉมมันไม่สำคัญเท่าจิตใจและความดีหรอก คนสวยพอแก่ตัวไปก็เหี่ยวก็โทรม มันไม่คงทนเหมือนความดีหรอกนะ”
“แต่ทำไมใครๆ ถึงได้อยากสวยกันทั้งนั้นล่ะ ใจของคนใครเขาจะมาเห็นว่าดีหรือไม่ดี สู้สวยไม่ได้ มองดูแป๊บเดียวก็รู้ว่าสวย ใคร ๆ เขาก็รักก็ชอบทั้งนั้น”
“สักวันนะดำ ถ้าหนูเป็นคนดี ก็ต้องมีใครเห็นคุณค่าของหนูจริงๆ เชื่อลุง แล้วหนูจะรู้ว่าความดีทำให้คนอื่นมองเห็นตัวหนูมากกว่าความสวยงามภายนอก”

ดำยังไม่ค่อยเชื่อ ลุงหวัดได้แต่มองดำอย่างเห็นใจ

ข้าวนอกนา ตอนที่ 3 (ต่อ)

เขมวรรณก้มลงกราบหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์ แล้วเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าอมทุกข์

“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึโยม”
“ดิฉันไม่สบายใจกับความคิดอกุศลของตัวเองค่ะ”
“ความคิดนี้เกิดจากอะไร”
“เกิดจากใจดิฉันเองที่คิดระแวงสงสัย กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตค่ะหลวงพ่อ”
“แล้วมันเกิดขึ้นจริงหรือยังล่ะโยม”
“ยังค่ะ ที่จริงดิฉันก็ไม่แน่ว่าจะเกิดหรือเปล่า ดิฉันอาจจะคิดไปเอง แต่ก็ยังเลิกคิดไม่ได้สักที รู้สึกว่าตัวเองบาปที่คิดไม่ดีกับคนอื่น”
“แสดงว่าโยมรู้เท่าทันจิตของตัวเอง เมื่อยังเป็นแค่ความคิดก็ไม่เป็นไร ยิ่งถ้าคิดเล่นๆ แล้วสามารถมีสติรู้ทันได้ว่าอกุศลเกิดขึ้นอย่างนี้นอกจากจะไม่เป็นบาป แล้ว ยังยืนยันด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบุญต่างหาก บุญที่เราได้รู้ ได้เท่าทัน ไม่ให้อกุศลมันงอกเงยขึ้นในจิตของเรา”
เขมวรรณโล่งขึ้น แต่ยังไม่หายสงสัย
“ดิฉันอยากจะเลิกคิดค่ะ แต่ก็ยังเลิกไม่ได้”
“ค่อยๆ เลิกไปนะโยม เวลาอาจจะช่วยได้ ถ้าเรื่องที่ระแวงสงสัยไม่เกิดขึ้นจริง มันก็จะหายไปเอง แต่เราต้องห้ามไม่ให้ความคิดนี้ไปก่อให้เกิดการกระทำที่เป็นบาป และไม่ให้งอกขยายต่อไปอีก”
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะหลวงพ่อ”
เขมวรรณก้มกราบหลวงพ่อ สบายใจขึ้น

เขมวรรณออกมาจากโบสถ์ด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้น เจอจรูญศรีที่เดินเข้ามาจากอีกทาง
“อ้าว...คุณเข็ม มาพบหลวงพ่อเหมือนกันเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ มีเรื่องไม่สบายใจ เลยแวะมาสนทนาธรรมกับท่านเสียหน่อย”
“แหม...อย่างคุณเข็มจะมีอะไรไม่สบายใจคะ คุณดนัยธรก็เพิ่งได้เป็นอธิบดีที่อายุน้อยที่สุด หรือว่า...มีใครคอยเลื่อยขาเก้าอี้เหรอคะ”
“ไม่มีหรอกค่ะ ที่จริง...ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ได้มาคุยกับหลวงพ่อ แล้วก็เลยสบายใจขึ้น”
“วันนี้ฉันก็ทั้งสุขใจสบายใจเหมือนกันค่ะ เพราะเมื่อกี้เพิ่งบริจาคเงินสร้างโบสถ์ไปห้าหมื่น โอ๊ย...มีความสุขยังกับได้ขึ้นสวรรค์ เขาถึงว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจน่ะค่ะคุณเข็ม”
เขมวรรณยิ้มรับตามมารยาท รู้ว่าจรูญศรีตั้งใจจะอวด
“คุณศรีใจบุญจริงๆ มิน่าทำอะไรถึงประสบความสำเร็จ หน้าตาอิ่มบุญทุกครั้งที่ได้เจอกัน”
จรูญศรีหัวเราะร่วนถูกใจ
“คุณเข็มก็ลองทำบุญแบบฉันสิคะ รับรองว่าผลบุญส่งให้ทันตาเห็น เดินออกไปก็อาจจะมีลาภลอยมาตรงหน้า ถูกหวยถูกรางวัลเป็นล้าน หรือไม่เราก็สะสมบุญไว้ชาติหน้า จะได้เกิดมาสบายไม่ลำบากอีกไงคะ”
เขมวรรณยิ้มรับ แม้ในใจจะไม่เห็นด้วยกับจรูญศรีนัก

ประนอมทำความสะอาดห้องคาราโอเกะอยู่ ดำเข้ามามองซ้ายมองขวา
“คุณนายยังไม่กลับเหรอพี่นอม”
“ยังหรอก แกจะทำอะไรอีกล่ะ”
ดำเข้าไปจับๆ เครื่องเสียงคาราโอเกะ
“แกเปิดเป็นเหรอ”
“เป็นซี่ เห็นคุณโจ้เปิดบ่อยๆ ก็จำเอา”
“ระวังนะ ถ้าคุณนายหรือคุณโจ้คุณจิ๋มกลับมาเจอ แกเละแน่”
“กลัวตายละ”
ดำไม่สนใจ หยิบแผ่นเพลงฝรั่งมาเปิด
“เมื่อกี้คุณนายเพิ่งโทรให้พี่ศักดิ์ไปรับ แกอย่าเสี่ยงเลย”
“เปิดแค่เพลงสองเพลง คุณนายกลับมาไม่ทันหรอก”
“ฉันไม่ยุ่งด้วยนะ ไปดีกว่า”
ประนอมรีบออกไปด้วยความกลัว ดำเปิดหาเพลงต่อ

ประนอมออกมากวาดลานบ้าน ได้ยินเสียงเพลงที่ดำร้องดังออกมาเบาๆ เพราะเป็นห้องเก็บเสียง แต่ดำร้องดังมาก
“เสียงนังดำหรือเสียงนักร้องเนี่ย”
ประนอมฟังเพลงเพลินๆ แต่แล้วพอมองไปหน้าบ้านก็ตกใจ
“แย่แล้ว”
รถของจรูญศรีแล่นเข้ามาในบ้านโดยมีศักดิ์เป็นคนขับ ประนอมจะเข้าบ้านไปบอกดำ แต่จรูญศรีเรียกเสียก่อน
“จะไปไหนยะนังนอม มาช่วยเอาของไปเก็บด้วย”
ประนอมชะงัก ค่อยๆ หันไป ลำบากใจ จรูญศรีมองขึ้นไปบนห้องคาราโอเกะ
“คุณโจ้กลับมาแล้วเหรอ”
ประนอมยิ่งเสียวสันหลังวาบ

ดำร้องเพลงคาราโอเกะอย่างเมามัน เป็นเพลงฝรั่งจังหวะแดนซ์ๆมันๆ จรูญศรีเปิดประตูเข้ามา โกรธจัด
“ใครใช้ให้หล่อนขึ้นมาหอนอยู่บนนี้ยะ นังดำ”
ดำชะงักตกใจ รีบปิดเครื่อง หายใจหอบเพราะเต้น แต่ก็ยังเถียง
“หนูร้องเพลงต่างหากล่ะ ไม่ใช่หมานี่จะได้หอน”
“เอ๊ะ...นังนี่ เดี๋ยวแม่ตบล้างน้ำซะหรอก”
“อะไรก็ตบ อะไรก็ตี หนูโตแล้วนะ คุณนายเลิกซะทีได้มั้ย”
“หนอย...นังดำ ถ้าแกไม่แส่หาเรื่องฉันจะตีแกทำไม แกกล้าเข้ามาเปิดเครื่องเสียงในห้องนี้ ถ้ามันเสียหายขึ้นมาฉันเอาแกตายแน่”
“แล้วหนูทำเสียหรือยังล่ะ นี่ดูสิ มันยังเปิดได้ใช้ได้ ไม่เห็นเสียเลย”
ดำใช้รีโมทกดเปิด เสียงเพลงกระหึ่ม ดำลองเบาเสียงและเร่งเสียง จรูญศรีสั่งเสียงเฉียบ
“ปิดเครื่องเดี๋ยวนี้นะนังดำ”
ดำหาปุ่มจะปิด แต่จรูญศรีโมโหมาก เลยรู้สึกไม่ทันใจ คว้ารีโมทจากมือดำมาปิดเอง แต่กดผิด เลยกลายเป็นเสียงดังกระหึ่มหนวกหู จรูญศรีตกใจทำรีโมทหล่น ดำหน้าเหวอ
“อ้าวๆ นั่นคุณนายทำหล่นเองนะคะ ถ้าเสียอย่ามาโทษหนู”
“แกนั่นแหละทำเสีย เพราะแกเข้ามาในห้องนี้”
“หนูไม่ได้ทำ คุณนายนั่นแหละทำ”
จรูญศรีตบหน้า ดำอึ้งไป
“นังเด็กเนรคุณ เถียงคำไม่ตกฟาก”
“เนรคุณยังไง ที่ผ่านมาก็ตอบแทนคุณนายมาเกินพอแล้ว คุณนายนั่นแหละเลิกเห็นหนูเป็นทาส เลิกกดขี่หนูซะที หนูสุดจะทนแล้ว หนูอยากเป็นอิสระ อยากไปให้พ้นจากบ้านนี้ซะที”
“คนอย่างแกจะไปอยู่ที่ไหน หน้าดำปิ๊ดปี๋ยังกับถ่าน ไม่มีใครไว้ใจเอาแกไปอยู่ในบ้านหรอก”
“หนูจะไปให้ดู คนอย่างคุณนายก็ไม่มีใครอยากอยู่ด้วยเหมือนกัน”
ดำวิ่งออกไป จรูญศรีมองตามเจ็บใจ

ดำเข้ามาเก็บของในห้อง ประนอมตามเข้ามา
“แกจะไปไหนน่ะดำ”
“ไปตามทางของฉัน”
“แล้วแกจะไปอยู่ที่ไหน”
ดำชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วก็ตอบออกมาอย่างมั่นใจ
“ไปอยู่บ้านลุงหวัดก่อน แล้วพอหางานทำได้ ฉันก็ค่อยไปเช่าที่อื่นอยู่”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกวะดำ บ้านลุงหวัดอยู่กันตั้งกี่คน แล้วมันก็เป็นห้องเช่าของคุณนาย แกไปอยู่นั่น คุณนายก็ตามแกกลับมาจนได้”
ดำยิ่งโมโหเพราะหมดหวัง ปาเสื้อผ้าลงกระเป๋าเปะปะ
“แต่ฉันทนยัยคุณนายนี่ไม่ไหวแล้วนะ ฉันโตแล้ว แต่ยังถูกโขกสับยังกับเป็นทาส”
“ทนหน่อยน่าดำ ฉันยังทนมาตั้งสิบกว่าปี”
“แล้วทำไมพี่นอมต้องทนด้วยล่ะ”
“มันยังไม่ถึงเวลาน่ะสิ”
“รู้นะพี่นอมรอพี่ศักดิ์อยู่”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย ว่าแต่แกเถอะ ออกไปอยู่ข้างนอกจะทำมาหากินอะไร แกจบแค่ป.6 ทำได้ก็แค่งานใช้แรง เอาไว้ให้ประกวดร้องเพลงได้รางวัลก่อน แกจะไปอยู่ที่ไหนก็ค่อยไปดีกว่า คิดดูให้ดีๆนะดำ”
ดำกำมือกัดริมฝีปากแน่นอย่างพยายามข่มอารมณ์

เย็น นั้น เดือนมาขออนุญาต ดนัยธร เพื่อไปแข่งร้องเพลง ดนัยธรส่ายหน้าคัดค้านหัวชนฝา
“ไม่ได้ จะไปประก่งประกวดอีกทำไม ลูกทำกิจกรรมตั้งหลายอย่างยังไม่พออีกหรือไง”
“คือ...งานนี้เดือนอยากทำเพื่อชื่อเสียงของคณะกับสถาบันน่ะค่ะ”
“ให้คนอื่นเขาทำก็ได้นี่ ลูกควรจะสร้างชื่อเสียงเรื่องการเรียนมากกว่า ไม่ใช่มาประกวดร้องเพลง”
“แต่เดือนรับปากอาจารย์ไปแล้วค่ะคุณพ่อ”
ดนัยธรหงุดหงิด
“ลูกไม่ควรรับปากอะไรโดยไม่ได้ปรึกษาพ่อแม่ก่อนนะ เดี๋ยวพ่อจะไปคุยกับอาจารย์ของลูกเองว่าพ่อไม่อนุญาต”
เขมวรรณขัดขึ้น
“นัยคะ เดือนปรึกษาฉันแล้ว ฉันเป็นคนอนุญาตลูกเองค่ะ”
ดนัยธรไม่พอใจ
“อ้อ...เดี๋ยวนี้ขออนุญาตจากคุณก็ทำอะไรๆได้ทุกอย่างงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่ฉันเห็นว่ามันเป็นกิจกรรมที่ไม่เสียหายอะไร แล้วยัยเดือนก็ชอบร้องเพลง แกจะได้ผ่อนคลายไม่คร่ำเคร่งกับการเรียนมากเกินไป”
“ไม่เสียหายยังไง ลูกเราต้องไปซ้อมเชียร์ แถมยังมาประกวดร้องเพลงอีกแล้วจะเอาเวลาที่ไหนเรียน”
“คุณพ่อขาคุณแม่ขา อย่าเถียงกันเลยค่ะ หนูขอประกวดครั้งนี้ครั้งเดียวนะคะ ต่อไปเดือนจะไม่ตัดสินใจอะไรโดยไม่ปรึกษาคุณพ่ออีกแล้ว คุณพ่ออนุญาตเดือนนะคะ คุณพ่อขา”
ดนัยธรใจอ่อน
“สัญญานะลูก...”
“สัญญาค่ะ เดือนทำอะไรจะขออนุญาตคุณพ่อก่อนทุกครั้งค่ะ”
ดนัยธรพยักหน้ารับ
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
เดือนเข้าไปกอดซบพ่อ ดนัยธรโอบแล้วหอมผมลูกสาวเริ่มใจอ่อน

เขมวรรณรีบเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น พยายามไม่คิดอะไร

ค่ำนั้น โจ้โยนกระเป๋าลงกับพื้นดังโครม ก่อนจะมานั่งกระแทกก้นลงที่โต๊ะกินข้าว จรูญศรีมองอย่างเป็นห่วง

“เป็นอะไรไปโจ้ อารมณ์เสียอะไรมา”
“ที่มหาลัยน่ะแม่ หมั่นไส้ใครบางคน”
ดำร้องเพลง “อกหักค่า” ของเนโกะ จัมพ์
“อกหักค่า อกหักค่า...”
โจ้หันขวับมาทางดำ
“แกว่าอะไรนะดำ”
ดำลอยหน้าลอยตาร้องเพลง
“ก็อยากจะหาคนมาช่วยฉันที” แล้วหันมาบอก “ฉันร้องเพลงอยู่”
โจ้เงื้อเท้า
“แกนี่มันกวนบาทาฉันจริงๆ”
ดำสะดุ้ง
“อย่านะคุณโจ้ เป็นผู้ชายหัดให้เกียรติผู้หญิงบ้าง”
จรูญศรีดุ
“นังดำ หยุดเถียงคุณโจ้ได้แล้ว ผู้หญิงอย่างแกไม่จำเป็นที่เขาต้องให้เกียรตินักหรอก”
“คุณนายไม่สั่งสอนลูกให้ดีๆ ต่อไปใครมาเป็นเมียคุณโจ้คงซวยตาย”
“เอ๊ะ...นังนี่ วอนซะแล้ว อยากโดนตบปากหรือไง”
จรูญศรีจะเข้าไปตบปากดำ แต่เห็นจิ๋มทำท่าพะอืดพะอม จรูญศรีหันมาถาม
“เป็นอะไรไป กับข้าวไม่อร่อยเหรอลูก”
“สงสัยจิ๋มจะแพ้กุ้ง”
“ทุกทีไม่เคยเห็นแพ้นี่”
จิ๋มวิ่งออกไปที่ห้องน้ำ ส่งเสียงโอ้กอ้าก โจ้พูดขึ้นลอยๆ
“แพ้อาหารหรือแพ้ท้องกันแน่”
จรูญศรีดุลูกชาย
“โจ้ ทำไมไปว่าน้องอย่างนั้น พูดจาอะไรให้มันเป็นมงคลหน่อย”
โจ้ยิ้มแหยๆ
“ล้อเล่นน่ะแม่”
ดำกับประนอมแอบมองหน้ากันอย่างสงสัย

ประนอมกับดำช่วยกันยกจานกับข้าวเข้ามาวางที่อ่างล้างจาน ประนอมเบ้หน้า
“ฮึ...คุณจิ๋มนี่ท่าทางจะไม่รอด”
ดำงงๆ
“ไม่รอดยังไงพี่นอม”
“ไม่รอดเป็นท้องมารน่ะซี่”
ดำคิดๆ
“ท้องมาร...พี่นอมหมายถึง...อย่างว่าน่ะเหรอ รู้ได้ไง”
“เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ารู้มากเลย ไว้แกก็รู้เอง”
“แต่ฉันอยากรู้ตอนนี้นี่”
“อย่ามาซักไซ้เลยดำ ฉันไม่บอกแกหรอก มันยังไม่ถึงเวลา”
ประนอมเดินออกไป ดำยิ่งอยากรู้

วันใหม่...ในห้องซ้อม เดือนซ้อมร้องเพลง “Someone Like You” โดยมีครูเจนช่วยสอน ไวภพช่วยเล่นกีตาร์ให้
“ดีมากจ้ะเดือน ลองเปลี่ยนคีย์ตรงช่วงนี้ให้สูงขึ้นอีกนิดนะจ๊ะ”
“ค่ะ”
เดือนเริ่มร้องเพลง
ครูเจนพอใจ
“โอเค ดีมาก...”
เดือนร้องเพลงแล้วหันมามองไวภพ เห็นเขามองอยู่ ทั้งสองสบตากัน เดือนรีบหลบตาเขินๆ

ในบ้านลุงหวัด...ดำยายามจะอ่านเนื้อเพลง “I Will Survive” ในกระดาษ ซึ่งสมพันธุ์แกะออกมาเป็นภาษาไทย
“แอทเฟิร์สไอวอทอะเฟรด ไอวอท...ตรงนี้ร้องว่าไงน่ะพี่พัน”
สมพันธุ์ซึ่งกำลังนั่งพิมพ์รายงานในคอมเหลือบมองเบื่อๆ หยิบมือถือยื่นให้
“เอาไปลองเปิดฟังก็แล้วกัน”
ดำเปิดเพลงจากยูทูป แล้วร้องเต้นตาม
“ไอวิวเซอร์ไวว์ เฮๆ”
ลุงหวัดกับสมพันธุ์หันมามองอย่างทึ่ง...ดำร้องเพลงจนมาถึงท่อนสุดท้ายจนจบ เสียงร้องดีขึ้น
“...I will survive. I will survive. Yeah, yeah”
ลุงหวัดตบมือให้ สมพันธุ์ตบตามด้วย ดำยกมือไหว้ขอบคุณลุงหวัด
“เพราะจริงๆ ดำ ถึงลุงจะฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ แต่ลุงรู้ว่ามันเพราะมาก”
“แต่หนูยังไม่เข้าใจเนื้อเพลงสักเท่าไรเลยลุง”
“ให้พันมันแปลให้ฟังซิ”
“พ่อก็รู้ ภาษาอังกฤษฉันไม่กระดิกเท่าไร ที่เขียนเนื้อภาษาไทยมาให้ก็ต้องไปขอร้องเพื่อนช่วยอ่านให้ฟัง”
“ก็ไปขอให้เพื่อนคนนี้แปลให้อีกทีสิ มันไม่ยากหรอก สงสารดำมัน”
สมพันธุ์มองแอบเซ็ง แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ

วันใหม่...ดำแต่งตัวด้วยสีสันจัดจ้าน กำลังหมุนตัวไปมาหน้ากระจก
“แกจะแต่งอย่างนี้ไปร้องเพลงเหรอ”
“ใช่ ทำไมเหรอพี่นอม”
“มัน...ไม่เข้ากับสีผิวแกน่ะสิ แกไปเอามาจากไหนน่ะ”
“ฉันไปรื้อมาจากกองเสื้อผ้าที่คุณจิ๋มจะทิ้งน่ะ เห็นเขาใส่แค่ครั้งเดียวเอง”
“ถ้าคุณนายหรือคุณจิ๋มรู้เข้าละเอาแกตายแน่”
“ก็เขาจะทิ้งแล้วนี่ แล้วถ้าวันนี้ฉันเข้ารอบ ฉันอาจจะไม่ต้องกลับมาบ้านนี้แล้วก็
ได้”
“มั่นใจนักนะแก แล้วถ้าไม่เข้ารอบล่ะ”
“ฉันต้องเข้ารอบ ไม่รู้ละ ฉันชอบสีนี้ ฉันจะแต่งแบบนี้ รับรองไม่เหมือนใคร”
“เออๆ ตามใจ คงมีใครอยากเหมือนแกหรอก”
ดำค้อนประนอมขวับ แต่ก็ยังหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกอย่างภูมิใจ
“พี่นอมๆ แต่งหน้าให้ฉันหน่อยนะ”
“เฮ้ย...เครื่องสำอางฉันไม่เข้ากับผิวแกหรอก มันคนละสีกัน”
“แต่งๆ ไปเหอะน่า ถ้าฉันผ่านเข้ารอบจะซื้อแป้งกับลิปสติกของตัวเอง รอบนี้พี่นอมช่วยแต่งให้ก่อนก็แล้วกัน”
ประนอมอ่อนใจ หยิบเครื่องสำอางของตัวเองที่อยู่หน้ากระจกขึ้นมา ดำยื่นหน้าให้ประนอมแต่งอย่างดีใจ

เขมวรรณกับดนัยธรนั่งรอเดือนอย่างกระสับกระส่าย
“ทำไมยัยเดือนยังไม่ลงมาอีกนะ ผมต้องรีบไปประชุมแล้ว”
“เดี๋ยวฉันไปตามให้เองค่ะ”
เขมวรรณลุกจะขึ้นไป แต่เดือนเดินลงมาพอดี โดยสวมชุดสวยสะดุดตา ดนัยธรถึงกับมองตะลึง เขมวรรณจับตัวเดือนให้หมุนไปมา ดนัยธรยืนมองอย่างชื่นชม
“วันนี้ลูกแม่สวยที่สุดเลยจ้ะ”
ดนัยธรบอกกับลูกสาว
“เสียดายวันนี้พ่อติดงาน เลยไม่ได้ไปเชียร์ด้วย”
“งั้นคุณพ่อต้องส่งกำลังใจไปเชียร์เดือนด้วยนะคะ”
“แน่นอนจ้ะ”
ดนัยธรหอมหน้าผากเดือนแล้วโอบไว้
“โชคดีนะลูก”
เขมวรรณดึงเดือนออกมาเบาๆ
“ไปจ้ะลูก”
เขมวรรณจูงมือเดือนออกไป

ดำเดินมาตามทางในซอยห้องเช่าด้วยท่าทางเหมือนนางแบบเดินบนแคทวอล์ก ผ่านหน้าบ้านป้าแก้ว ป้าแก้วถึงกับยิ้มเยาะ
“แม่เจ้าโว้ย แต่งตัวซะสวย จะไปไหนวะนังดำ”
ดำหมุนตัวให้ดู
“ไปประกวดร้องเพลงจ้ะป้า”
ป้าแก้วหัวเราะขำจนน้ำลายกระเด็น
“หน้าอย่างเอ็งเนี่ยนะ ฮ่าๆๆ”
“หัวเราะอะไรป้า ญาติเสียเหรอ”
ป้าแก้วชะงักทันที ถึงกับสำลักน้ำลาย
“นังดำ หนอย...ตัวก็ดำปากยังร้ายอีก เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น”
“ก็เห็นซะสิป้า ตัวดำปากร้ายก็ยังดีกว่ายัยแก่ปากกระโถน...ด่าไปก่อนนะป้า ฉันไม่อยู่ฟังหรอก”
“อีดำ กลับมาก่อนสิวะ แน่จริงกลับมา”
ดำไม่อยู่ให้ด่าต่อ รีบเดินออกไป แล้วหันมาโบกมือส่งจูบด้วยท่าทางกวนๆ

ดำเปิดประตูบ้านลุงหวัดมาด้วยท่าทางดีใจ
“ลุงหวัด พี่พัน ฉันมาแล้ว”
ดำเข้ามาในบ้าน หมุนตัวให้สมพันธุ์ดู
“เป็นไง ฉันสวยมั้ย”
สมพันธุ์ฝืนใจพูด เสียงแหบแห้ง
“สวย...สวยมากดำ”
สมพันธุ์น้ำตาไหลพราก ดำมองอย่างสงสัย
“พี่พันเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า”
สัมพันธุ์ได้แต่ส่ายหน้า พูดอะไรไม่ออก ดำเพิ่งสังเกตเห็นว่าสมพันธุ์ใส่ชุดดำ
“เอ๊ะ...พี่พันทำไมแต่งสีนี้ มันดูหมองๆยังไงพิกลนา ไปเปลี่ยนสีอื่นเถอะ แล้วลุงหวัดล่ะ แต่งตัวเสร็จหรือยัง”
สมพันธุ์กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องโฮออกมา
“ตำรวจโทรมาบอกว่า พ่อถูกรถชน พ่อพี่เสียแล้วดำ…”
ดำตกใจมาก
“ลุงหวัด”
กระเป๋าที่ดำถือมาร่วงจากมือหล่นลงพื้น

หลังเวทีประกวด...กระเป๋าของเดือนตกลงพื้น ไวภพก้มลงเก็บให้
“ขอบคุณค่ะ”
เขมวรรณถาม
“ตื่นเต้นเหรอลูก”
“ค่ะคุณแม่”
เขมวรรณจับมือเดือนไว้
“ใจเย็นๆจ้ะ แม่เป็นกำลังใจให้หนูนะ คิดว่าร้องให้แม่ฟังนะจ๊ะ”
โปรดิวเซอร์เข้ามา
“น้องเดือน เดือนไขแสงเตรียมออกคิวต่อไปเลยนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ทำให้เต็มที่นะลูก”
ไวภพกับครูเจนเข้ามาให้กำลังใจ
“ร้องให้ได้อย่างที่ซ้อม หนูทำดีอยู่แล้ว”
ไวภพยิ้มให้
“เป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆ”
เดือนเข้าไปกอดแม่กับครูเจน แล้วตามโปรดิวเซอร์ออกไป

ดนตรีเริ่มขึ้น เดือนมองไปที่คนดูอย่างตื่นเต้น เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แสงสปอตไลท์ส่องมาที่เธอ เดือนเริ่มร้องเพลง “Someone Like You” คนดูส่งเสียงกรี๊ด พร้อมเสียงปรบมือดังกึกก้อง เขมวรรณมองเดือนอย่างภาคภูมิใจ

รูปหน้าศพของลุงหวัดในศาลาวัด เหมือนมองมาอย่างใจดีแต่แฝงความเศร้า ดำน้ำตาไหลพราก
“ทำไมคนดีๆ อย่างลุงหวัดต้องตายด้วย ทำไม...”

ดำมองรูปของลุงหวัดด้วยความเสียใจ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

ข้าวนอกนา ตอนที่ 4

พิธีกรประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบในการประกวด

“ผู้เข้าประกวดคนต่อไปที่ผ่านเข้ารอบ คุณเดือนไขแสง ดนัยธำรง ครับ”
ทุกคนตบมือกึกก้อง เดือนเดินออกมาสมทบกับผู้เข้าประกวดที่ผ่านเข้ารอบคนอื่นๆ ไวภพ เขมวรรณ และครูเจน ยืนขึ้นตบมือให้ เขมวรรณปลาบปลื้ม ถึงกับปาดน้ำตา

เดือนเข้ามาหลังเวที เขมวรรณเข้ามากอดลูกไว้อย่างภูมิใจ ช่างภาพตามมาถ่ายภาพไว้
“ทำได้ดีมากลูก แม่ภูมิใจในตัวหนูมาก”
ครูเจนเข้ามากอดเดือน
“ในที่สุดเดือนก็ทำสำเร็จ ครูไม่ผิดหวังเลย”
“ดีใจด้วยนะครับ เดือนทำได้แล้ว” ไวภพเข้าไปกอดแสดงความยินดีด้วย
“เดือนก็ต้องขอบคุณทุกคนค่ะ ที่ทำให้เดือนผ่านเข้ารอบ ขอบคุณไวด้วยที่ชวนเดือนเข้ามาประกวด เดือนดีใจจริงๆค่ะ”
เดือนสบตากับไวภพอย่างมีความหมายลึกซึ้ง เขมวรรณสังเกตเห็นสายตานั้น แต่ก็พลอยยินดีกับลูกไปด้วย พิธีกรเข้ามา
“คุณเดือนรู้สึกยังไงบ้างครับที่ผ่านได้เข้ารอบ 10 คนในวันนี้”
“เดือนดีใจมากค่ะ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เข้ารอบ แต่ก็ทำเต็มที่...”
เดือนบอกอย่างมีความสุข

ค่ำนั้น ดำเดินซึมเข้ามาในบ้าน หลังจากไปงานศพมา ได้ยินเสียงจรูญศรีบ่นดังลั่น
“โอ๊ย...ค้างค่าเช่าตั้งหลายเดือนแล้วจู่ๆ มาตายอย่างนี้ฉันก็ขาดทุนแย่...”
ดำโผล่ไปแอบดู เห็นจรูญศรีบ่นกับจิ๋มและโจ้ จิ๋มนั่งจิ้มมือถือ ไม่ได้สนใจฟัง ส่วนโจ้นั่งเล่นเกมในไอแพด
“ทำไมเพิ่งกลับมาน่ะดำ คุณนายโมโห ด่าซะยกใหญ่เลย” ประนอมเข้ามากระซิบกับดำ
“แต่เมื่อกี้คุณนายแกไม่ได้บ่นถึงฉันนี่”
“แกบ่นเรื่องลุงหวัด ดำรู้เรื่องลุงหวัดแล้วใช่มั้ย”
ดำพยักหน้า
“ฉันเพิ่งไปงานศพลุงหวัดมานี่แหละ”
“เฮ้อ...สงสารลุงหวัดนะ แกเป็นคนดี ไม่น่าตายเร็วเลย”
ดำสะอื้น น้ำตาไหลออกมา
“ร้องไห้ทำไมน่ะดำ”
“ร้องไห้สงสารลุงหวัดน่ะซี คุณนายนี่ใจดำเป็นบ้าเลย คนตายทั้งคนบ่นแต่เรื่องค่าเช่าอยู่นั่น”
ประนอมน้ำตาคลอไปด้วย ลูบผมดำเบาๆ
“ถ้าฟ้องเอาเงินจากลูกเมียลุงหวัดได้ แกคงเอาแน่”
จรูญศรีก้าวเข้ามา
“แกหายไปไหนมาทั้งวัน นังดำ”
ดำหันไปตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ไปงานศพลุงหวัดมา”
“สะเออะไปทำอะไรที่นั่นล่ะ งานการมีเยอะแยะไม่ทำ ว่างนักหรือไง”
ดำเลือดขึ้นหน้าที่จรูญศรีทำท่าไม่สนใจลุงหวัดเลย
“หนูไปงานศพลุงหวัดมา เพราะหนูนับถือลุงหวัดเหมือนพ่อคนนึง หนูผิดด้วยเหรอ”
“ผิดสิ เพราะแกหนีงานไป แกไม่ได้บอกฉัน”
“บอกแล้วคุณนายจะให้หนูไปเหรอ”
“นังดำ แกชักจะจองหองขึ้นทุกวันแล้วนะ”
จรูญศรีตีดำ ดำปัดป้อง จรูญศรีจะเข้าไปตีอีก แต่ชะงักเมื่อโจ้ตะโกนเสียงดังลั่น
“แม่...แม่... ยัยจิ๋มเป็นอะไรไม่รู้แม่”
ทุกคนหันไป เห็นจิ๋มร้องไห้โฮ โงนเงนจะเป็นลม แล้วก็ล้มพับลงไปบนโซฟา จรูญศรีร้องตกใจ
“ลูก...ลูกจิ๋ม”

โจ้อุ้มจิ๋มออกมาที่รถ จรูญศรีวิ่งตามมา
“ฮือๆ ยัยจิ๋มอย่าเป็นอะไรนะลูกแม่ ยัยจิ๋ม”
จรูญศรีขึ้นรถ โจ้ไปนั่งที่คนขับ ประนอมกับดำออกมายืนดู จรูญศรียังไม่วายเปิดกระจกออกมา
“พวกแกเฝ้าบ้านให้ดีๆนะ เดี๋ยวฉันจะกลับมาชำระความกับแกต่อ”
โจ้ออกรถไป ดำถอนใจ
“ยังไม่วายอีกนะคุณนาย เฮ้อ...”

ดนัยธรเข้ามากอดเดือนไว้อย่างดีใจ
“เก่งมากลูก เดือนลูกพ่อ”
“ต่อไปถ้าชนะ เดือนจะได้ออกอัลบั้ม เป็นนักร้องจริงๆด้วยนะคะคุณพ่อ คุณยาย”
ดนัยธรหน้าตาเปลี่ยนเป็นกังวล
“แต่พ่อเป็นห่วงนะ กลัวลูกจะเสียการเรียน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ สมัยนี้พวกดารานักร้องเรียนไปทำงานไปออกเยอะแยะ”
ขจิตขัดขึ้น
“แต่บ้านเราก็ไม่ได้เดือดร้อนขนาดต้องไปเต้นกินรำกินไม่ใช่เรอะ”
“เดือนแบ่งเวลาได้ค่ะ คุณพ่อคุณยายไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ...แล้วคุณแม่ก็จะเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เดือนด้วยใช่ไหมคะ”
เขมวรรณลูบผมเดือนอย่างเอ็นดู
“จ้ะ แม่คอยจัดคิวให้หนูเอง”
“ยังไม่ทันไรมีผู้จัดการส่วนตัวแล้วเหรอลูก”
“ใช่ค่ะ คุณแม่จะได้มาดูแลเดือนใกล้ชิด”
“แล้วพ่อล่ะ”
“คุณพ่อเป็นผู้อนุมัติก็พอ อ้อ...แล้วก็เป็นสปอนเซอร์ด้วยค่ะ เริ่มตั้งแต่ครั้งนี้เลย ต้องมีรางวัลใหญ่ให้เดือนนะคะ”
“รางวัลใหญ่เหรอ ได้เลย…”
ดนัยธรเข้าไปหอมเดือนฟอดใหญ่ เดือนโวยวาย
“หืม...คุณพ่อขี้โกงอ่ะค่ะ อย่างนี้หนูขอคุณแม่กับคุณยายก็ได้”
“โอเคๆ เสาร์นี้พ่อจะพาไปเลี้ยงมื้อใหญ่ แล้วก็...กระเป๋าใบใหม่ดีมั้ย”
“แค่มื้อใหญ่ก็พอค่ะ ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
เดือนเข้าไปกอดซบพ่อ ดนัยธรโอบลูกสาวไว้แน่นแล้วหอมอีก เขมวรรณยิ้มชื่นใจไปด้วยเพราะอยู่ในอารมณ์ดีใจ ในขณะที่ขจิตมองอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก

ดำแอบมองผ่านประตูห้องที่แง้มอยู่ เห็นจิ๋มนั่งซึมอยู่ที่เตียง มือกำผ้าปูเตียงแน่น เสียงจรูญศรีร้องไห้คร่ำครวญดังออกมา
“ทำไมถึงเป็นยังงี้ ทำไมลูกจิ๋มถึงเป็นยังงี้ ยัยจ้อยคนนึงแล้ว ยังมาลูกจิ๋มอีกแล้วนี่จะทำยังไง จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“แม่เลิกด่าจิ๋มซะทีได้มั้ย บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ จิ๋มไม่ได้ตั้งใจ มันพลาดไปแล้ว”
จิ๋มปิดหู แล้วล้มตัวลงบนเตียง จรูญศรีตีอกชกหัวตัวเอง
“งั้นบอกแม่มาสิ ไอ้พ่อของเด็กมันเป็นใคร แม่จะให้มันมารับผิดชอบ”
จิ๋มส่ายหน้า
“ไม่มีประโยชน์หรอกแม่ จิ๋มบอกมันแล้ว แต่มันบอกให้ไปเอาออก”
“ลูกไม่ใช่ผู้หญิงข้างถนนนะยัยจิ๋ม ไอ้คนทำมันต้องรับผิดชอบ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนจิ๋มก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น บางคนสองรอบสามรอบแล้ว”
จรูญศรียกมือทาบอกตัวเองเหมือนจะเป็นลม
“โอ๊ย...ไม่ได้นะลูกจิ๋ม ลูกบอกแม่มาดีกว่า มันเป็นใคร แม่จะไปคุยกับพ่อแม่มันเอง...”
“จิ๋มบอกไม่ได้อ่ะแม่ แล้วจิ๋มก็ไม่อยากเอาไว้ด้วย”
“โธ่...ยัยจิ๋ม...”
จรูญศรีเหลือบเห็นดำ ก็ตวาดแหวใส่
“ใครบอกให้ขึ้นมาแอบฟัง...หา นังดำ ลงไป ลงไปเดี๋ยวนี้นะ สาระแนดีนักนังนี่ ไป๊”
ดำรีบวิ่งออกไป จรูญศรีด่าไล่หลัง
“อย่าสะเออะขึ้นมาอีกล่ะ ถ้าไม่เรียกก็ไม่ต้องสาระแนขึ้นมาเข้าใจมั้ย”
จรูญศรีปิดประตูปัง แล้วล็อคอีกชั้น

ดำลงมาหาประนอมที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ด้านล่าง
“คุณนายเขาไล่ หนีลงมาเกือบไม่ทันแน่ะ พี่นอม โอ๊ย...เขาร้องไห้ทุบอกตัวเองผางๆ ใหญ่เลย น่ากลัวคุณจิ๋มจะเป็นอย่างที่พี่นอมว่าจริงน่ะแหละ”
“คุณนายนี่อาภัพนะ มีลูกไม่ดีสักคน ลูกสาวคนโตที่ไปเรียนเมืองนอกก็ท้องกับผัวฝรั่ง จะพาผัวกลับเมืองไทย”
ประนอมครุ่นคิดอย่างหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

เขมวรรณเข้ามาเปิดตู้เย็นในครัว หยิบน้ำออกมา ขจิตตามมา
“แม่ว่าตัวออกจะปล่อยยัยเดือนเกินไปสักหน่อย ยังไงๆ ก็ต้องคอยดึงคอยรั้งเอาไว้บ้าง ถ้าเป็นลูกของตัวเองแท้ๆ ก็จะไม่ว่าอะไร แต่นี่ถ้าปล่อยมากๆ วันนึงรั้งไม่อยู่จะบินปร๋อไปเสีย”
“ยัยเดือนไม่ใช่คนเหลวไหลหรอกค่ะ เข็มรู้จักนิสัยลูกดี”
“ถึงจะเลี้ยงมาแต่เล็กๆ ความผูกพันมันก็ไม่เหมือนที่มีกับพ่อแม่จริงๆ พอขัดใจเข้าเราอาจตัดเขาไม่ขาด แต่เขาตัดเราขาด แล้วตัวนั่นแหละจะต้องเสียใจ จะหาว่าไม่เตือน”
“หนูไม่ชอบให้คุณแม่พูดอะไรเกี่ยวกับยัยเดือนแบบนี้เลย ไม่อยากให้มีอะไรคอยสะกิดว่าแกไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเรา นี่ถ้านัยได้ยินเข้า เขาโกรธแย่ เขายิ่งรักลูกสาวของเขาอยู่ด้วย”
“โอ๊ย...รู้แล้วล่ะจ้ะ รู้ว่าทั้งรักทั้งหวง”
“ห่วงต่างหากล่ะคะคุณแม่ ก็เหมือนพ่อทั่วไปส่วนมากน่ะแหละ คุณพ่อเองก็เคยหวงหนูมาแล้ว คุณแม่จำไม่ได้เหรอคะ”
“ก็นั่นเขาพ่อแท้ๆ...”
เขมวรรณหน้าเครียด
“คุณแม่...หนูรู้ว่าคุณแม่กำลังคิดยังไง แต่ขอเสียทีเถอะค่ะ อย่าคิดอกุศลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย...”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงเดือนดังขึ้น
“คุยอะไรกันอยู่คะคุณแม่คุณยาย”
เขมวรรณกับขจิตชะงักทันที เดือนเข้ามากอดทั้งสองไว้คนละข้าง
“หน้าตาซีเรียสเชียว จะไปงานกุศลที่ไหนเหรอคะ”
เขมวรรณรีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
ขจิตกับเดือน
“คุยกันเรื่องของเธอน่ะแหละยัยเดือน”
“เรื่องของหนู”
เขมวรรณใช้สายตาปรามขจิตไม่ให้พูดอะไรมากกว่านี้ แล้วรีบพูดเอง
“คุณยายท่านเป็นห่วงหนู เหมือนคุณพ่อนั่นแหละ”
เดือนหันไปหาขจิต
“คุณยายขา ไม่ต้องห่วงนะคะ เดือนจะรับผิดชอบตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ คุณยายตามไปช่วยคุณแม่คุมเดือนด้วยก็ได้นะคะ”
“โอ๊ย...ยายคงตามไปคุมไม่ไหวหรอก ให้แม่ของเธอคุมเองน่ะดีแล้ว ยายกลัว เดี๋ยวไปพูดไปทำอะไรเข้มงวดเกินไปไม่ถูกใจเสียเปล่าๆ”
“แหม...คุณยายอย่าน้อยใจสิคะ เดือนโตขึ้นมาเป็นเดือนแบบนี้ได้ ก็เพราะมี คุณยายคอยตีกรอบคอยตักเตือน เดือนอยากให้คุณยายคอยสอนบ่อยๆ จะได้ไม่หลงออกนอกลู่นอกทางเหมือนเด็กอื่นๆ น่ะค่ะ”
“ฉลาดพูดนะเราน่ะ งั้นยายจะคอยสอนบ่อยๆ อย่ารำคาญก็แล้วกัน”
“ไม่หรอกค่ะคุณยาย เดือนต้องขอบคุณคุณยายมากๆต่างหากล่ะคะ”

เดือนเข้าไปกอดขจิตไว้ เขมวรรณมองแอบเครียด

ตอนสายของวันรุ่งขึ้น ศักดิ์เถียงจรูญศรีหน้าดำคร่ำเครียด

“ลูกสาวของคุณนายไปทำอะไรมั่ง ผมจะไปรู้เรอะ...บอกให้ผมหยุดส่งผมก็หยุด จะมาโทษผมได้ยังไง”
“แต่ฉันบอกให้แกไปรับไปส่งที่โรงเรียน แกมันเห็นแก่เงินของเด็ก แกระยำมากรู้มั้ย ไอ้ศักดิ์”
“ก็คงน้อยกว่าลูกสาวคุณนาย เพราะผมไม่ได้เป็นต้นคิดให้ลูกคุณนายหนีโรงเรียน”
จรูญศรีสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ชี้หน้าศักดิ์
“แก...แก...”
ศักดิ์ยักไหล่กวนๆ
“ลูกสาวคุณนายสมัครใจไปมั่วผู้ชายเอง”
“แก...ออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันไล่แกออก จะไปไหนก็ไป ไปให้พ้น”
ศักดิ์เดินออกไป จรูญศรีมองตามโกรธจนตัวสั่น
“ไป๊”
ประนอมเข้ามาประกาศ
“งั้นหนูก็จะไปด้วย”
จรูญศรีอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่อารมณ์โกรธก็พลุ่งขึ้นมากลบ
“เออ...จะออกก็ออกไปซะที ออกไปกันให้หมดเลย ฉันรู้หรอกว่าแกเล่นหูเล่นตากับไอ้ศักดิ์มานานแล้ว เอ๊อ...ออกไปไม่นานมันก็เตะทิ้ง จะคอยดูน้ำหน้ามัน”
“ไม่ต้องมาคอยดูคนอื่นหรอก ดูลูกสาวตัวเองเถอะ”
ประนอมเดินออกไป ดำรีบตามไป

ประนอมเข้ามาเก็บของในห้อง จรูญศรีตามมา
“รื้อของออกมาดูก่อน ต้องตรวจว่าเอาอะไรไปบ้าง”
ประนอมกระแทกกระเป๋า จับปากกระเป๋าแหวกออกอย่างประชด จรูญรื้อๆ ของออกมาดูอย่างไม่เกรงใจ จนเสื้อผ้าที่ประนอมพับอย่างดียับยู่ยี่
“ไสหัวไปซะเร็วๆ”
“เงินเดือนหนูละคะคุณนาย”
“เงินเดือนอะไร วันนี้ยังไม่ถึงสิ้นเดือน จะเอาเงินเดือนอะไร”
“แต่นี่วันที่ยี่สิบแล้ว น่าจะให้หนูครึ่งเดือน ครึ่งเดือนหนูยังขาดทุนด้วยซ้ำไป”
“เรื่องอะไรฉันจะให้ แกทำให้ฉันไม่ครบเดือนสักหน่อย”
“งั้นคุณนายก็โกงหนู”
“อย่ามาว่าข้าโกงนะ นังนอม”
“ถ้าคุณนายไม่ให้เงินเดือนหนู หนูจะฟ้องตำรวจ”
“ไปซี่ ไปฟ้องเลย หน้าอย่างแกจะดีกว่าคุณนายจรูญศรีให้มันรู้ไป ไปซิไปฟ้องเดี๋ยวนี้เลยนังนอม”
“ไม่ต้องท้าหรอกค่ะคุณนาย”
ประนอมสะบัดหน้าออกไป จรูญศรีมองตาม...ประนอมออกมาพลางบ่นกับศักดิ์
“มีเงินเยอะแยะ กะอีเงินไม่กี่พันยังโกงคนจนๆ อย่างเรา แม่จะเผาพริกเผาเกลือแช่งทุกวันคอยดู เพราะงี้ซิลูกสาวถึงได้ท้องไม่มีพ่อ”
ดำวิ่งตามประนอมออกมา
“พี่นอมจะไปอยู่ไหนน่ะ”
“ไปอยู่แถวๆ ฝั่งธนโน่น แล้วจะมาหา กลับเข้าบ้านไปดำ”
“พี่นอม ฉันไปอยู่ด้วยคนสิ”
ประนอมสบตากับศักดิ์ ลำบากใจ
“ไปไม่ได้ บ้านพี่ศักดิ์มันแคบ แกอย่าตามไปดีกว่า”
“พี่นอมไม่อยู่แล้ว ฉันจะทำยังไง”
“แกต้องอยู่ได้ดำ แกอยู่มานานแล้วไม่เห็นเป็นไรเลย อยู่ไปก่อนนะ ถ้าฉันรับแกไปอยู่ด้วยได้เมื่อไร จะโทรมาบอกแกทันที อดทนไปก่อนฉันไปละ”
ประนอมออกไปกับศักดิ์ ดำได้แต่มองตามตาละห้อย

ดำเปิดประตูเข้ามาในห้อง มองไปรอบๆ ที่เคยมีข้าวของของประนอมอยู่ ตอนนี้มีแต่เศษของที่ถูกรื้อ ดำรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาจับใจ
“ใครๆ ก็ทิ้งฉันไปหมด ทั้งแม่ ทั้งลุงหวัด ทั้งพี่นอม ไม่มีใครต้องการฉันเลย”
ดำดึงทึ้งผมตัวเองอย่างเจ็บใจ
“เพราะแกคนเดียว นังเดือน แกมีความสุข แต่ฉันสิไม่มีใครรัก ทำไมๆๆ”
ดำปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาด้วยความคับแค้นและขมขื่น

ในห้องนั่งเล่น ทีวีเป็นภาพไตเติ้ลรายการประกวดร้องเพลง เดือนที่นั่งรออย่างจดจ่อตะโกนเรียก
”รายการประกวดของเดือนมาแล้วค่ะ คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ขา”
ดนัยธรรีบเข้ามาคนแรก
“มาแล้ว พาคุณแม่มาดูเร็วๆ เข็ม”
ดนัยธรเข้ามานั่งดูข้างๆเดือนอย่างตื่นเต้น เขมวรรณประคองขจิตเข้ามา

ดำกำลังทำความสะอาดบ้าน จรูญศรีคอยจ้ำจี้จำไช ในขณะที่โจ้นั่งดูทีวีอยู่
“ตรงนั้นไงนังดำ”
“หนูเช็ดแล้วนี่คะ”
“เช็ดภาษาอะไรยังดำเหมือนผิวแกอยู่เลย เช็ดให้มันสะอาดหน่อยสิ”
เสียงโจ้โวยวายดังลั่น
“แม่ๆ มาดูนี่สิ”
“อะไรฮะโจ้ โวยวายซะดัง”
“นั่นไงแม่ เดือนไขแสง ดาวมหาลัยโจ้”
จรูญศรีเพ่งมอง
“อุ๊ยตาย...ลูกสาวอธิบดีดนัยธรนี่ เคยเห็นตอนเด็กๆ โตขึ้นสวยไม่เบา”
ดำมองตามด้วยความริษยา นัยน์ตาจ้องเขม็ง
“แม่รู้จักด้วยเหรอ”
“รู้จักสิ เวลาไปวัดแม่ก็เจอคุณเข็ม แม่ของเด็กคนนี้บ่อยๆ”
“งั้นแม่ก็เข้าทางพ่อแม่ของเดือนให้ผมด้วยสิ”
“สบายมาก แต่มีคนเขาเมาท์ว่าเป็นเด็กที่ขอมาเลี้ยง หน้าตาเลยไม่เหมือนพ่อแม่”
“จริงเหรอแม่”
“น่าจะจริง พ่อแม่เขาไม่ยอมรับหรอกนะ แต่ที่รู้ก็จากญาติๆ เขานั่นแหละ”
“มิน่า...โจ้ก็ว่าทำไมหน้าตาเหมือนลูกครึ่ง ทั้งที่พ่อแม่เป็นคนไทย”
“แต่เขาก็รักเหมือนลูกนะ แถมเป็นลูกคนเดียว อีกหน่อยสมบัติอะไรๆก็คงยกให้หมดนั่นแหละ”
“งั้นโจ้จีบเลยนะ แล้วแม่ก็ช่วยโจ้ด้วย”
“แกจีบเลย แม่ช่วยแกเต็มที่ แกต้องกู้หน้าแม่แทนยัยจ้อยกับยัยจิ๋มให้ได้”
ดำได้แต่มองภาพเดือนอย่างชิงชัง หัวใจเต้นแรง ถ้าเอาค้อนทุบทีวีได้คงทำไปแล้ว

ภาพในโทรทัศน์ หลังจากพิธีกรประกาศผลผ่านเข้ารอบแล้ว เดือน เขมวรรณ ดนัยธร และขจิต นั่งดูรายการด้วยกันอย่างชื่นมื่น
“เดือนเก่งมากลูก ไม่นึกเลยว่าลูกจะร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ สมกับเป็นลูกพ่อจริงๆ” ดนัยธรชมเดือนไม่ขาดปาก
ในทีวี เห็นเดือนเข้ามาหลังเวที เข้าไปกอดกับเขมวรรณ ขจิตเอ่ยชม
“ยัยเข็ม กับยัยเดือนออกโทรทัศน์แล้วขึ้นกล้องทั้งคู่เลย”
“ก็เราแม่ลูกกันนี่คะ...จริงมั้ยคะนัย”
เขมวรรณหันไปยิ้มด้วย แต่ชะงัก เพราะเห็นสีหน้าดนัยธรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง ไม่พอใจ
“ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร”
เขมวรรณกับเดือนและขจิตหันไปมองดนัยธรอย่างงุนงง
“คนไหนคะ”
“คนที่เข้าไปกอดยัยเดือนเมื่อกี้ไง”
“อ๋อ...ไว เป็นเพื่อนเรียนที่เดียวกับยัยเดือนค่ะ”
ดนัยธรหันไปทางเดือน หน้าเครียด
“ลูกมีแฟนแล้วเหรอเดือน”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่นะคะคุณพ่อ”
“แล้วทำไมถึงกอดกันกลมขนาดนั้น”
“เปล่านี่คะ”
“ยังจะมาปฏิเสธอีก พ่อเห็นอยู่ชัดๆ”
เดือนอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไง เขมวรรณเข้ามาช่วย
“สมัยนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาแล้วนะคะ เพื่อนลูกเข้ามาแสดงความยินดีก็กอดกันเป็นธรรมดา”
“คุณเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมไม่ แค่เป็นเพื่อนก็กอดกันแล้ว ถ้าเป็นแฟนกันจะไปถึงไหนต่อไหน”
“คุณคิดมากไปแล้วค่ะนัย ลูกคงไม่คิดถึงขนาดนั้นหรอก”
“ผมว่าผมคงไม่คิดมากไปกว่าเด็กสมัยนี้หรอกนะ”
ขจิตขัดขึ้น
“ทำไมตานัยต้องโมโหโทโสขนาดนี้ด้วย แม่ไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน”
“ผมรับไม่ได้นี่ครับ ใครรับได้ก็รับไปแล้วกัน”
ดนัยธรลุกออกไป ทุกคนสบตากันหน้าเสีย
“เดือนคุยกับคุณพ่อเองค่ะ”
เดือนรีบตามไป

ดนัยธรยืนสงบสติอารมณ์ เดือนเข้ามา
“คุณพ่อขา”
ดนัยธรเหลือบมองเดือนแว่บหนึ่ง แล้วเมินไป
“เดือนขอโทษถ้าทำให้คุณพ่อไม่สบายใจ คุณพ่ออย่าโกรธเดือนเลยนะคะ”
“พ่อไม่ได้โกรธ แต่พ่อเป็นห่วงลูกมากกว่า ทำไมลูกถึงทำตัวเป็นผู้หญิงข้างถนน นึกจะกอดใครก็กอด มันน่าเกลียดรู้มั้ย”
เดือนน้ำตาคลอเบ้า เพราะไม่เคยถูกดุรุนแรงขนาดนี้
“เดือนไม่ได้ตั้งใจ...ไม่นึก...ว่าคุณพ่อจะโกรธ”
เดือนพูดไม่ออก ได้แต่สะอื้นฮักๆ ดนัยธรหันมามองลูกอย่างนึกไม่ถึง ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“เดือน...พ่อก็ไม่ตั้งใจจะโกรธหนู พ่อบอกแล้วว่าพ่อเป็นห่วง ไม่อยากให้ลูกออกนอกลู่นอกทาง”
“ต่อไปเดือนจะระวังตัวให้มากกว่านี้ จะไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ผิดหวังอีกค่ะ เดือนสัญญา”
ดนัยธรดึงเดือนเข้ามากอดไว้
“ถอนตัวออกจากการประกวดซะเถอะนะเดือน พ่อจะได้สบายใจ”
เดือนเสียใจและลำบากใจ

ขจิตมองผ่านกระจก เห็นเดือนเข้าไปกอดดนัยธร ดนัยธรโอบไว้แนบชิด
“ยิ่งลูกเป็นสาว พ่อนัยก็ดูเหมือนจะยิ่งหวงมากขึ้นทุกวัน ยัยเดือนมันก็ยิ่งสวยขึ้นทุกวันเหมือนกัน”
เขมวรรณมองขจิตอย่างไม่แน่ใจในความหมายที่แฝงในคำพูด
“คุณแม่...หนูรู้ว่าคุณแม่กำลังคิดยังไง แต่ขอเสียทีเถอะค่ะ อย่าได้คิดอกุศลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย”
“ใครไปคิดอะไร ก็พูดกันตามประสาแม่ๆลูกๆ เท่านั้นเอง ตัวใจบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์ไปซี่ คนอื่นเขามีสิทธิ์ที่จะสงสัยในบางเรื่องเหมือนกันนี่”
เขมวรรณหงุดหงิด
“อย่ามาสงสัยอะไรเกี่ยวกับหนู กับนัย หรือยัยเดือนหน่อยเลยค่ะ มันไม่มีอะไรอย่างที่คุณแม่คิดหรอก”
“ลูกน่ะเป็นโรคไม่ยอมรับความจริง แม่เข็ม ทั้งลูกทั้งนัยพยายามคิดว่ายัยเดือนเป็นลูกแท้ๆ แต่ที่จริงแล้ว ความรู้สึกที่ว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ มันแอบแฝงอยู่ในใจตลอดเวลานั่นแหละ เพราะยังงั้นเมื่อตอนเด็กๆ จะตีจะดุด่าอะไร ก็ไม่กล้า กลัวจะกระทบกระเทือนใจ นัยเองก็เหมือนกัน ถ้าเป็นลูกแท้ๆ ก็คงไม่หวงอย่างกับไข่ในหินขนาดนี้”
“หนูว่าคุณแม่อย่าพูดอะไรดีกว่า ดีไม่ดีนัยเขาได้ยินเข้ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าใครฟังคุณแม่พูด ก็ต้องคิดไปในแง่ไม่สวยสำหรับนัยทั้งนั้น”
“ที่แม่เตือนก็เพราะหวังดีนะยัยเข็ม อยากให้ลูกคอยระวังเอาไว้”
“ระวังมากไปมันก็จะกลายเป็นระแวง ไม่สบายใจเปล่าๆค่ะ เข็มไม่อยากได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้อีกแล้ว”

เขมวรรณเดินหนีอย่างฉุนเฉียว ขจิตส่ายหน้าอย่างรู้สึกขัดใจ

ข้าวนอกนา ตอนที่ 4 (ต่อ)

ในงานเผาศพลุงหวัดบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า...ดำเสิร์ฟน้ำให้แขกที่ทยอยเข้ามาในงาน สมพันธุ์กับครอบครัวต้อนรับแขกอยู่มุมหนึ่ง สายตาใครบางคน แอบมองดำอยู่เงียบๆ

ดำรู้สึกตัว หันมามอง คิดว่าแขกต้องการน้ำ จึงเอาน้ำเข้าไปเสิร์ฟ มือใครคนนั้นเข้ามาหยิบน้ำ
“ขอบคุณครับ”
จอร์จยิ้มมองดำอย่างสนใจ ดำจะหันเอาน้ำไปเสิร์ฟคนอื่นๆ
“คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า” จอร์จถามขึ้น
ดำชะงัก หันมามองอย่างไม่พอใจ
“ถามทำไม ฉันก็เป็นคนไทยน่ะสิ แล้วคุณล่ะ”
สมพันธุ์เข้ามาได้ยินพอดีจึงปรามๆ
“ดำ...”
สมพันธุ์ผายมือแนะนำให้ดำรู้จัก
“นี่ครูจอร์จ ครูสอนภาษาอังกฤษของพี่”
ดำอึ้งไป ยกมือไหว้ จอร์จยิ้ม พลางยกมือรับไหว้ ดำสงบปากสงบคำ
“ครูจอร์จเป็นคนช่วยแปลเพลงที่ดำร้องให้ด้วย”
ดำชะงักนึกไม่ถึง
“งั้นเหรอ”
“ดำนี่เองเหรอที่จะประกวดร้องเพลง”
“ใช่ครับ”
“คงไม่ได้ประกวดแล้วละ”
“ไม่เป็นไร โอกาสยังมีอีกมาก ตอนนี้ฝึกภาษาให้คล่องก่อน ผมสอนอยู่ที่มูลนิธิด้วย ถ้าสนใจคุณก็ไปเรียนได้นะ”
ดำสนใจทันที
“จริงเหรอครู เรียนฟรีหรือเปล่า”
“ฟรีครับ หนังสือก็แจกฟรี”
“งั้นหนูขอไปเรียนด้วย วันนี้เลยได้มั้ย”
จอร์จยิ้มพอใจและขำกับความตรงไปตรงมาของดำ

เย็นนั้น...ดำมาเรียนภาษากับจอร์จที่มูลนิธิ จอร์จเขียนประโยค “What do you do?” บนกระดาน ดำนั่งจดลงสมุดอย่างช้าๆแต่ตั้งใจ จอร์จหันมาถาม
“ถ้ามีคนถามเราว่า What do you do? คุณจะตอบว่าอะไรครับ”
ใจหวานซึ่งนั่งอยู่ข้างๆดำยกมือ
“ครับคุณใจหวาน”
ใจหวานตอบ
“I’m a singer.”
ดำหันไปมองใจหวานอย่างสนใจ
“ถูกต้องครับ”
จอร์จหันไปเขียนกระดานต่อ ดำหันมาชมใจหวาน
“ทำไมพี่เก่งจังเลย พูดก็เก่ง อ่านก็ออกหมด”
“ก็ฉันเรียนมาตั้งเกือบปีแล้ว แล้วครูจอร์จก็สอนเก่งด้วย”
“เมื่อกี้ที่ครูถามพี่แปลว่าอะไร”
“ครูถามว่าทำอาชีพอะไร ก็ตอบไปว่าเป็นนักร้อง”
ดำตื่นเต้น
“พี่ใจหวานเป็นนักร้องด้วยเหรอ”
“ใช่ เรียกหวานเฉยๆก็ได้ เธอชื่อดำใช่มั้ย”
“พี่รู้ได้ยังไง อ๋อ...เห็นสีผิวก็รู้เลยสิ”
“เปล่า ฉันได้ยินครูจอร์จเรียกตอนพาเธอมาไงล่ะ”
จอร์จเขียนบนกระดานเสร็จ หันมาถามนักเรียน
“I... go home tomorrow. ประโยคนี้ควรเติมอะไรครับ”
ใจหวานรีบยกมือตอบคำถาม
“Will ค่ะ I will go home tomorrow”
“ถูกต้องครับคุณใจหวาน”
ดำมองใจหวานอย่างรู้สึกทึ่งและถูกชะตา

เดือนกับโจ้นั่งคุยกันที่ใต้ตึกเรียนที่มหาวิทยาลัย...ไวภพถามเดือนอย่างแปลกใจ
“ทำไมเดือนถอนตัวจากการประกวดละครับ”
“คุณพ่อไม่อยากให้เดือนเสียการเรียนค่ะ”
“ผมไม่เห็นว่ามันเสียการเรียนตรงไหนเลย”
“เดือนรับปากกับคุณพ่อไปแล้ว ว่าเดือนจะถอนตัว แล้วก็แจ้งทางรายการไปแล้วด้วย”
“น่าเสียดายนะครับ ใครๆก็บอกว่าเดือนต้องได้เข้ารอบลึกๆแน่”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดือนคงมีโอกาสทำตามความฝันอีก รอให้ผ่านปีแรกๆไปก่อน คุณพ่อคงวางใจมากขึ้น”
เดือนเศร้าไป ไวภพทำท่าจะแตะไหล่ปลอบเดือน แต่โจ้เข้ามาแทรกกลางระหว่างเดือนกับไวภพเสียก่อน
“น้องเดือนครับ วันนี้พี่ๆที่ชมรมอยากจะชวนเดือนไปฉลองที่สร้างชื่อเสียงให้ชมรมของเรา เดือนไปด้วยกันนะครับ”
“แต่วันนี้เรามีซ้อมเชียร์ไม่ใช่เหรอคะ”
“วันนี้งดครับ เพราะคณะอื่นมาขอใช้สถานที่ซ้อมละคร”
เดือนอึกอัก โจ้หาทางหว่านล้อม
“ไปด้วยกันนะครับเดือน ถ้าเดือนไม่ไปงานยกเลิกแน่”
“งั้นก็ได้ค่ะ...ไวไปด้วยกันนะคะ”
โจ้รีบขัด
“ไวอยู่คนละชมรม คงไม่เหมาะมั้งครับ”
“ไม่เป็นไรครับ...แล้วเจอกันครับเดือน”
โจ้ทำเป็นตบบ่าไว
“พี่ไปก่อนนะน้อง”
โจ้พาเดือนออกไป แล้วแอบยักคิ้วเป็นเชิงเยาะเย้ยไวภพ ไวภพมองตามอย่างหวงๆ เดือน

จอร์จบอกกับนักเรียนในห้อง
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะครับ เจอกันอีกทีวันจันทร์หน้าครับ”
“Thank you teacher.”
นักเรียนต่างยกมือไหว้แล้วแยกย้าย ใจหวานเข้าไปหาจอร์จที่กำลังลบกระดานอยู่
“ครูจอร์จ วันนี้ติดรถหวานกลับบ้านมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณใจหวานมาก วันนี้ผมจะไปสอนพิเศษเด็กที่วัดอีก”
“แหม...ครูจอร์จใจบุญจริงๆ ระวังนะคะจะรวยบุญจนไม่มีที่เก็บ”
ดำแซว
“ชาติหน้าครูจะได้เกิดมาหล่อๆ รวยๆ กว่านี้อีก”
จอร์จหัวเราะๆ
“ครูไม่ได้หวังไปถึงชาติหน้าหรอก ชาตินี้ครูทำแล้วสบายใจก็พอ”
“แหม...ครูมักน้อยจริง ถ้าเป็นหนูนะจะขอให้รวยทั้งชาตินี้ชาติหน้า แต่ชาติหน้า ขอให้เกิดมาขาวๆสวยๆ เหมือนคนอื่นเขาบ้าง”
ใจหวานหัวเราะๆ
“ทำบุญอย่าไปหวังผล เดี๋ยวจะไม่ได้บุญจริงๆ”
“หนูก็ขอหวังบ้างสิพี่หวาน เพราะคนอย่างหนูไม่มีเงินไปทำบุญเรื่อยเปื่อย หนูทำอะไรก็ต้องหวังว่ามันสำเร็จถึงจะทำ”
ใจหวานถามยิ้มๆ
“แล้วที่มาเรียนนี่หวังจะได้อะไรล่ะ”
“หวังจะได้เป็นนักร้องร้องเพลงฝรั่งได้เพราะๆ”
จอร์จหันมาถามดำ
“วันนี้ดำได้อะไรจากการเรียนบ้างมั้ยล่ะ”
“ภาษาอังกฤษหนูแค่ ป.6 เลยตามไม่ค่อยทันค่ะ แต่ดีได้พี่หวานคอยช่วย ก็พอรู้เรื่องบ้าง”
“ดีแล้ว ตั้งใจเรียนนะดำ ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามครู” จอร์จดูนาฬิกา “ครูต้องขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวไปสอนไม่ทัน”
จอร์จเก็บหนังสือแล้วเดินออกไป ใจหวานมองตามแบบคนแอบหลงรัก
“คนอะไรทั้งหล่อทั้งใจบุญ”
ดำถามตรงๆ
“พี่หวานชอบครูจอร์จเหรอ”
“ถามอะไรก็ไม่รู้ นังเด็กแก่แดดนี่”
ใจหวานเดินออกไป ดำตามไปติดๆ

ดำตามใจหวานออกมาถึงรถที่จอดอยู่หน้ามูลนิธิ
“พี่หวานเป็นนักร้องเหรอ หนูไปฝึกร้องเพลงกับพี่บ้างได้มั้ย”
“แกอยากเป็นนักร้องเหรอดำ”
“ใช่” ดำอวดๆแบบใส่ไข่ “หนูเคยไปร้องเพลงประกวดแล้วชนะด้วย”
ใจหวานเดินถึงรถแล้วหันกลับมาหัวเราะ
“โธ่เอ๊ย...หน้าตาอย่างแกจะไปเป็นนักร้องได้ยังไง พอโผล่ออกมา คนฟังเขาก็กินข้าวไม่ลงแล้ว”
ดำหน้าง้ำอย่างน้อยใจ แต่ก็ไม่โกรธใจหวาน
“หนูขอไปฝึกร้องเพลงกับพี่หวานนะ”
“ไม่ได้หรอก ฉันไม่รับลูกศิษย์”
“ไม่เป็นลูกศิษย์ก็ได้ แต่ขอไปช่วยงานที่บ้าน แล้วหนูจะอาศัยถามพี่หวานจนร้องเก่งเอง”
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ซี่ เดี๋ยวพ่อแม่แกมาว่าฉัน”
“หนูไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว”
ใจหวานอึ้งๆ หันมามองดำอย่างสงสาร
“แล้วตอนนี้อยู่กับใคร”
“คุณนายเอาหนูมาเลี้ยง แต่ให้ทำงานเหมือนคนใช้เขานั่นแหละ”
“ฉันก็เอาแกมาอยู่ด้วยไม่ได้อยู่ดี เดี๋ยวคุณนายแกว่าเอา”
ใจหวานเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ดำตะโกนเข้าไป
“หนูไม่อยู่ฟรีหรอก แต่หนูทำงานให้พี่ฟรีๆเลย”
ใจหวานโบกมือให้ดำกลับไป แล้วสตาร์ทรถ ดำยังไม่ละความพยายาม ตะโกนเข้าไป
“หนูทำได้หลายอย่างนะ ทั้งซักผ้า ถูบ้าน รีดผ้า ทำกับข้าว...”
ใจหวานเปลี่ยนเกียร์ออกรถ
“หนูไม่อยากอยู่กับคุณนายแล้ว เขาทำเหมือนหนูเป็นทาส หนูทนไม่ไหว ถึงพี่
หวานไม่ให้ไปอยู่ด้วย หนูก็จะหนีไปอยู่ที่อื่น...”
ใจหวานชะงักเหยียบเบรกตัวโก่ง เปิดกระจกรถ หันมามองหน้าดำอย่างชั่งใจ ดำยิ้มออกมาอย่างดีใจ

ในร้านอาหารหรู...เดือนนั่งมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางร้อนใจและกระสับกระส่าย โจ้คุยมือถือกับใครบางคน
“ว่าไงนะ ไม่มาแล้วเหรอ”
โจ้วางสายอย่างหงุดหงิด
“คนอื่นว่ายังไงบ้างคะ”
“เป้บอกว่าติดทำรายงาน จูดี้พ่อไม่สบาย ต้องรีบกลับไปดู ส่วนไอ้พู่นี่พี่ติดต่อไม่ได้เลย”
เดือนถอนใจเซ็งๆ
“ไม่เป็นไรนะครับ ก็ถือว่าเรามาทานข้าวกัน เดี๋ยวพี่เลี้ยงเดือนเอง”
เดือนยิ้มรับตามมารยาท
“ขอบคุณค่ะ แต่เสียดายจังนะคะ ถ้าคนอื่นมาคงจะสนุกกว่านี้”
“ทำไมครับ มากับพี่ไม่สนุกหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เดือนหมายความว่า มากันหลายๆ คนสนุกดีค่ะ”
“เดี๋ยวเราทานข้าวกันไปคุยกันไป มันก็สนุกเอง” โจ้ตักกับข้าวให้ “ลองจานนี้นะครับ เมนูแนะนำของเขาเลย”
โจ้แอบมองเดือนยิ้มกริ่ม

จรูญศรีนั่งดูทีวีอยู่ ดำหิ้วกระเป๋าเข้ามา
“นั่นแกจะไปไหนน่ะนังดำ”
“หนูจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
“ใครอนุญาต”
“หนูนี่แหละอนุญาตเอง หนูขอลาออกค่ะ” ดำยกมือไหว้ “ขอบคุณคุณนายที่เลี้ยงดูหนูมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่หนูขอไปเป็นอิสระซะที”
“แกจะบ้าเหรอ ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จู่ๆจะมาหนีไปอย่างนี้ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง”
“แล้วคุณนายจะให้หนูทำยังไง ต้องเป็นทาสคุณนายไปตลอดชีวิตหรือยังไง”
“ถ้าฉันไม่เอาแกออกมาจากสลัม ป่านนี้แกติดยาบ้าหรือไม่ก็ขายตัวไปแล้ว ไม่สำนึกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนบ้างเลยเหรอ”
“ก็เพราะหนูสำนึกไงคะ ถึงได้ทนให้คุณนายโขกสับมาเป็นสิบปี หนูตอบแทนคุณนายพอแล้ว หนูขอไปจากที่นี่ซะที”
“แกห้ามไปไหนเด็ดขาดนะ ฉันไม่ยอม”
ดำไม่สนใจ เดินออกไปโดยไม่ฟังเสียง
“กลับมาก่อนนังดำ กลับม้า”

ดำไม่กลับและไม่เหลียวหลังกลับมา จรูญศรีรีบตามไป

ส่วนโจ้เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีเข้ามา

“เฮ้ยดำ เอาน้ำเย็นๆ มาให้แก้ว”
“หัดทำเองบ้างสิ”
โจ้มองดำงงๆ กึ่งไม่พอใจ
“กำแหงนักนะอีดำ เดี๋ยวตบกะโหลกยุบเลย”
“ก็ลองตบซี่ แม่จะเตะผ่าหมากให้หน้าเขียว”
“อีดำ...”
จรูญศรีตะโกนบอก
“โจ้! จับตัวมันไว้”
โจ้มองดำกับจรูญศรีงงๆ
“อย่ามายุ่ง หลีกไป”
โจ้ลังเล ไม่อยากถูกตัวดำ
“โจ้ไม่อยากโดนตัวมัน”
“งั้นขวางมันไว้ก่อน มันขโมยของ”
โจ้เข้าไปกางแขนขวางดำ แต่ดำเลี่ยงไปอีกทาง โจ้มาขวางอีก ดำผลักโจ้อย่างแรงจนโจ้เซไป จรูญศรีเข้ามาจับตัวดำไว้
“จะหนีไปไหน นังดำ”
ดำดิ้นพราด โจ้เข้ามาช่วยจรูญศรีจับตัวดำ
“ปล่อยนะ คุณนาย คุณโจ้”
ดำถีบโจ้ แล้วสะบัดตัวออก รีบเดินออกไป
“อย่าไปไหนนะนังดำ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจับแก”
ดำสวน
“เก่งจริงเรียกมาเลย หนูก็จะบอกตำรวจว่าคุณนายใช้งานหนูฟรีมาสิบปี หนูจะเรียกร้องค่าเสียหาย”
จรูญศรีโกรธ
“หนอย นังดำ นังเด็กอกตัญญู นังเนรคุณ แกต้องตกนรกหมกไหม้”
“หนูอยู่บ้านคุณนายยิ่งกว่าตกนรกซะอีก”
ดำวิ่งออกไป จรูญศรีตามไป

ดำวิ่งขึ้นรถใจหวาน
“ออกรถเลยพี่หวาน”
จรูญศรีวิ่งออกมาขวางหน้ารถ
“ห้ามออกนะ ไม่งั้นถือว่าขโมยของของฉัน”
ดำเถียง
“หนูไม่ใช่ของของคุณนาย”
ใจหวานเหยียบเร่งเครื่องส่งเสียงบรึ้นๆ แล้วตะโกน
“หลีกไปคุณนาย อยากตายหรือไง”
จรูญศรียังยืนขวาง หน้าตาถมึงทึง ใจหวานตัดสินใจถอยรถอย่างเร็ว จรูญศรียืนมองงงๆ ใจหวานขับกลับมาแล้วเบี่ยงรถอย่างเร็วเพื่อเลี่ยงจรูญศรี แต่เฉียดตัวจรูญศรีไปนิดเดียวถึงกับเซไปจนล้มลง
“กลับมานะนังดำ กลับมาเดี๋ยวนี้”
จรูญศรีได้แต่โบกมือหยอยๆ แต่ดำไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมาอีก

เดือนค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาในบ้าน มองซ้ายมองขวา แล้วย่องเข้าบ้านอย่างเงียบกริบ ทันใดนั้นเสียงเขมวรรณดังขึ้น
“เดือน”
เดือนสะดุ้ง พอหันไปก็โล่งใจ เขมวรรณมองเดือนอย่างตำหนิ
“กลับดึกอีกแล้วนะลูก”
“คือ...วันนี้รุ่นพี่ที่ชมรมจัดงานค่ะ เดือนก็เลยต้องอยู่ด้วย”
“แม่น่ะไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าหนูมีเหตุผล แต่ขี้เกียจเถียงกับคุณพ่ออีก”
“คุณพ่อละคะ”
“วันนี้ติดงานเลี้ยงที่กระทรวงเหมือนกันจ้ะ”
“งั้นคุณแม่อย่าบอกคุณพ่อนะคะ”
“คราวนี้คงได้ แต่คราวหน้าแม่ไม่รับปากนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
เดือนโล่งใจ แต่เขมวรรณแอบเป็นกังวลลึกๆ

ใจหวานเดินนำดำเข้ามาในบ้าน ดำมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
“โอ้โฮ...บ้านพี่หวานสวยจัง เป็นนักร้องนี่คงรายได้ดีเนอะ พี่หวานถึงได้มีบ้านใหญ่ๆแบบนี้”
ใจหวานอึกอัก ตอบไม่เต็มปาก แต่ก็กลบเกลื่อนด้วยท่าทางร่าเริง
“กว่าจะสบายอย่างนี้ โอ๊ย...พี่ลำบากมาเลือดตาแทบกระเด็น ไอ้ดำเอ๊ย...ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็ได้เป็นนักร้องขึ้นมาเฉยๆอย่างนี้หรอก”
“หนูก็ลำบากอย่างพี่หวานเหมือนกัน พี่หวานยังดีกว่าหนู หนู...พ่อแม่ก็ไม่มี แล้วหน้าตาก็...” ดำกลืนน้ำลายฝืดคอ “ดำปิ๊ดปี๋ สวยก็ไม่สวย พี่หวานยังได้กำไรตรงหน้าตาดี”
ใจหวานแค่นยิ้ม
“เชอะ...กำไรเหรอดำ ก่อนจะได้กำไรไอ้ที่ขาดทุนมาแล้วป่นปี้ ทำไมไม่พูดบ้างล่ะ ถ้าไม่สวยซะอย่าง เขาก็คงไม่เอาไปเป็นนางงามจนเสียผู้เสียคนหรอก”
ดำไม่เข้าใจ
“เสียผู้เสียคนอะไรกัน เงินก็มีใช้เยอะแยะ”
“ไม่สวยอย่างแกน่ะดีแล้ว ไม่มีใครเขามายุ่งด้วย อยู่เฉยๆ ก้มหน้าทำงานไป วันนึงอาจจะเจอเนื้อคู่ก็ได้”
“ไม่สวยน่ะเหรอดี” ดำเบะปาก “จ้างหนูก็ไม่เชื่อ เกิดมาเป็นผู้หญิงสวยมันก็ต้องดีกว่าไม่สวยวันยังค่ำน่ะแหละ ไม่งั้นหนูจะมาเป็นยังงี้เหรอ”
ใจหวานมองดำอย่างเห็นใจ

สายวันใหม่...ดำรดน้ำต้นไม้อย่างอารมณ์ดี แต่แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นอะไรบางอย่าง เธอเห็นเดือนจูงลิลลี่เดินผ่านหน้ารั้วบ้านไป ดำรีบทิ้งสายยาง แล้วตามเดือนไปทันที

ดำตามเดือนมาบนถนนในหมู่บ้านแล้วตะโกน
“เดือน...เดือน”
เดือนหันมามองดำ แปลกใจ ยังจำไม่ได้
“นั่นเดือนใช่มั้ย”
คนอื่นๆ ก็หันมามองเดือนเป็นตาเดียวกัน เดือนส่ายหน้าดิก
“จำฉันไม่ได้เหรอ เดือน”
เดือนมองหน้าดำ หน้าตาไม่แน่ใจ พยายามนึก
“ฉันดำไง จำน้องสาวตัวเองไม่ได้เหรอ”
เดือนนึกออก แต่แทนที่จะดีใจกลับมองไปรอบๆ อย่างรู้สึกอายสายตาคนอื่นที่กำลังจับจ้อง จึงรีบจูงลิลลี่เดินหนีไปอีกทาง ดำมองตามตะลึง
“เดี๋ยวสิ เดือน จะไปไหนน่ะ เดือน”

ดำรีบตามเดือนไปอย่างร้อนใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น