รอยยิ้มของหญิงสาวผู้นี้ ทำให้หัวใจดวงน้อยของหลายต่อหลายคนต้องตกอยู่ในเกิดอาการ ตกหลุมรัก ‘เต้ย - จรินทร์พร จุนเกียรติ’ บวกกับความน่ารักสดใสที่เปล่งประกายในทุกอิริยาบท คงไม่แปลกเลยหากเผลอมอบใจให้เธอเพียงชั่วพริบตา
แต่!!! ดูเหมือนความน่ารักเวอร์สไตล์หมวยผมยาวจะต้องชงักลง เพราะลุคใหม่ที่ทำเอาหลายคนเกิดอาการงุนงงเกาหัวดังแกรกๆ พร้อมคำถามที่ว่า 'เต้ย..ตัดผมทำไม?' หรือแม้เสียงตัดพ้อ 'ไม่น่าตัดผมเลย!' แต่ดูๆ ไปลุคสาวผมสั้นก็กิ๊บเก๋ไม่หยอก เพิ่มดีกรีความเปรี้ยวเข็ดขัดขึ้นมาถนัดตา
แม้สาวคนนี้จะโลดแล่นในวงการมาในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ถือเป็นดาวดวงใหม่ที่เปล่งแสงสุกสกาวดึงดูดทุกคู่สายตา ผ่านผลงานละครและภาพยนตร์, งานถ่ายแบบ, งานพรีเซ็นเตอร์โฆษณา ฯลฯ แน่นอนเธอขึ้นแท่นนักแสดงวัยรุ่นที่ได้การยอมรับมากที่สุดในวงการคนหนึ่งเลย
เพราะมันเป็นเรื่องของ 'เต้ย'
เป็นคำถามคาใจหลายๆ คนแน่นอน ว่าอยู่ดีๆ ทำไมสาวหมวยผมยาว อย่างเต้ยถึงได้หั่นผมสั้นเสียขนาดนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้ไปฟังจากปากเธอกัน
“จริงๆ ใช้เวลาในการตัดสินใจไม่นานเลยคะ เพราะว่าอยากตัดอยู่แล้ว มูลเหตุก็คือต้องเล่นหนัง( เดอะ เคาท์ดาวน์ ของ GTH) แล้วพอเข้าไปบทเขาก็บอกเรื่องนี้ต้องตัดผมสั้นนะ เต้ยตอบ.. ได้คะ อยากตัดแล้วจริงๆ ซึ่งมีนักข่าวมาถามว่าได้เงินเท่าไหร่ในการตัดผม ปกติเขามีกันด้วยหรอ(หัวเราะ)”
เต้ยเปิดใจว่าถ้าไม่เกี่ยวกับงานแสดงก็คงตัดสินใจตัดผมสั้นเหมือนกัน แต่จะเป็นในรูปแบบที่ค่อยๆ ตัดเล็มไล่ขึ้นมาไม่ได้สั้นขนาดนี้
แน่นอนครู่แรกที่ใครหลายคนได้เห็นลุคใหม่ของเธอก็ต่างอุทานกันเสียงหลง ‘ไม่น่าตัดเลย’
“ตอนแรกก็รู้สึกว่าไม่ค่อยชินเหมือนกัน แต่งตัวไปไม่เป็นเลย งงมาก เพราะว่าใส่กระโปรงผูกโบว์เหมือนตุ๊ดเด็กเลย(หัวเราะ) แต่พอสักพักก็ชอบนะ แล้วเวลาตื่นตอนเช้าหัวเป็นเหมือนลูกไก่ รู้สึกตลกดีไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน สบายหัวมาก ตอนนี้ไม่อยากไว้ผมยาวเลย แต่อนาคตจะยังไงไม่รู้”
ตกกะไดพลอยโจน
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนเธอก็ได้ปรากฏขึ้นในคอมมูนิตี้ออนไลน์หลายๆ แห่ง กลายเป็นเน็ตไอดอลขวัญใจมหาชนในขณะไปเลย จะว่าไปอาจเป็นโชคชะตาที่กำหนดให้เข้ามามีที่ยืนในวงการมายาเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าซอกแซงถึงเรื่องราวในการเริ่มเข้าวงการนั้นเรียกได้ว่าตกกะไดพลอยโจนดีๆ นี่เอง เต้ยค่อยๆ เล่าถึงการเริ่มต้นในวงการนี้
“เริ่มจากการที่ไปนั่งแคสงานเป็นเพื่อนเพื่อน คือเต้ยก็ไปนั่งรอแล้วก็มีคนมาบอกให้ไปถ่ายรูปเก็บไว้ ทีนี้ก็ได้เล่นละครเป็นนักแสดงรับเชิญในเรื่องกลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ แล้วก็เริ่มมีติดต่อมาให้ไปถ่ายหนังสือ ไปแคสโฆษณา”
เป็นธรรมดาของเด็กวัยรุ่นเมื่อโอกาสมาถึงก็เลือกที่จะคว้าไว้ ตอนนี้เต้ยก็มีความคิดแบบเด็กๆ รับงานก็เพราะว่าต้องการมีเงินไว้ใช้จ่ายซื้อของเองไม่ต้องรบกวนขอคุณพ่อคุณแม่ ในเวลาไม่นานเด็กสาวร่างเล็กก็กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนเวลากว่า 5 ปีในวงการนี้ได้สอนให้เต้ยได้เรียนรู้ในเรื่องการจัดสรรค์รายได้ก้อนโตที่เข้ามาโดยมีคุณแม่เป็นคนคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ
“โอกาสมันก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่ทำงานในอาชีพนี้ การได้รับโอกาสหรือจังหวะอะไรในชีวิตที่จะได้เจอ แต่ว่าแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน”
งานภายใต้แสงสีของวงการมายาอาจร่ายมนต์ให้ผู้ที่หลงเข้าไหลจนชีวิตเสียศูนย์ แต่สำหรับเต้ยการใช้ชีวิตโดยมีคำว่ามายากำกับอยู่คนที่เข้ามาในแวดวงนี้ต้องรู้จักควบคุมวินัยของตนเองไม่ให้หลงไปกับเงาของชื่อเสียงเงินทอง ยิ่งพอได้เข้ามหาวิทยาลัยศึกษาในศาสตร์ของการแสดงก็ทำให้เธอได้รู้จักในวิชาชีพนี้มากขึ้น
“ตอนแรกคิดว่านักแสดงคือแสดงบทบาทที่ตัวเองได้รับ แต่ว่ามันมีอะไรมากกว่ากับการที่เราแสดง ตอนแรกเรายิ้มดีใจมีความสุขออกไป แต่ว่าตอนนี้ในทุกๆ คำพูดของตัวละครที่เล่น แสดงออกไป เราต้องทำเสนอความเป็นคนของตัวละครนั้นออกมา ไม่ใช่สักแต่จะพูดๆ
“คำว่ามายาถ้าจะมองว่ามันแย่ก็แย่นะ อยู่ที่มุมมองของคน อย่างการแสดงก็เรียกว่ามายา สมมุติเราแสดงบทบาทออกมาได้คนดูก็ได้ข้อคิดจากการที่เขาแสดงเป็นตัวละครตัวนั้นอยู่ดี แล้วแต่ว่าคนที่อยู่แล้วจะเป็นมายากับมันหรือมองว่านี้เป็นงานเป็นอาชีพ”
ความประทับใจเล็กๆ ในวงการ
สำหรับสาวน้อยคนนี้การได้ไปเยือนยังสถานที่ต่างๆ นั้นกลายเป็นความประทับใจที่ไม่รู้ลืมของการได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งถ้าไม่ได้มีโอกาสมาอยู่ ณ จุดนี้ ความทรงจำดีๆ กับสถานที่ต่างๆ ก็คงไม่มีวันได้เกิดขึ้น
“โชคดีมาก ถ้าเต้ยไม่ได้ทำงานตรงนี้คงได้ไปแค่ฮ่องกง แต่นี่เต้ยไปยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ก็เพราะไปถ่ายหนัง ซานฟานฯ เวกัส แอลเอ ก็เพราะไปกับรายการเวคคลับ ไปขึ้นเหนือล่องใต้ก็เพราะรายการแฮงโอเวอร์ ไปนิวยอร์คก็ไปถ่ายหนัง ไปญี่ปุ่นไปถ่ายรายการ เป็นโชคดีมาก”
แต่เธอก็ค้นพบสัจธรรมอย่างหนึ่ง ถึงสถานที่นั้นๆจะสวยงามมากแค่ไหนแต่ถ้าความรู้สึกภายในหมองก็จะไม่สามารถซึบซับกำไรชีวิตครั้งนั้นได้เลย
“การที่เราจะไปไหนก็ตามถึงแม้ที่จะสวยแค่ไหนถ้าใจเราไม่แฮปปี้ที่นั้นก็ไม่สวยเท่าที่ควรจะเป็นแต่ ที่ไหนถ้าใจเรามีความสุขทุกก็สวยงามได้”
เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
สำหรับอาชีพนักแสดง การทำงานไปพร้อมๆ กับการเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเท่าไหร่นัก เพราะในเรื่องของเวลางานกับเวลาเรียนที่อาจตรงกันจนต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
“ถามว่าตั้งใจเรียนไหม..ก็ไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น คือถ้าอาจารย์พูดไม่ค่อยได้ฟัง จะนั่งคุยเล่นกับเพื่อน แต่ว่าพาร์ทปฏิบัติจะตั้งใจ คือถ้าเป็นทฤษฎีจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่จะบอกว่าเป็นคนไม่สนใจก็ไม่ได้เพราะไม่อย่างนั้นเต้ยคงไม่จบพร้อมเพื่อน คือเต้ยไม่ทิ้งเรื่องเรียน ก็ทำหน้าที่นี้ให้จบพร้อมเพื่อน”
อย่างในช่วงทำทีสิสจบเต้ยจะไม่รับงานเลย เพราะต้องทุ่มเทให้กับการเรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้วเธอสามารถแบ่งเวลาเรียนและเวลาทำงานได้ดี
“ทีสิสของเต้ยเป็นการเล่นละครเวที แล้วเต้ยไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเล่นละครเวทีมันหนักขนาดนี้มันต้องซ้อมตลอด เราต้องอยู่ตรงนั้นแล้วเราทำงานกับเพื่อนที่ต้องเป็นคนหมู่มาก ถ้าเต้ยหายไปคนหนึ่งแล้วใครจะมาแทนเต้ย มันต้องอยู่ต้องไปด้วยกัน ตอนเล่นทีสิสเต้ยไม่รับงานเลย ไปไม่ได้จริงๆ แล้วต้องแสดงบทบาทค่อนข้างจะเครียด เล่นออก 7 ฉาก มีความสุข 1 ฉาก นอกนั้นร้องไห้”
ในที่สุดเธอก็กำลังจะเป็นบัณฑิตใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดง ในเร็วๆ นี้ เต้ยเปิดเผยว่าถึงตัวเองจะรู้สึกภูมิใจว่าสามารถจบพร้อมเพื่อนได้ แต่คนที่ภูมิใจว่าแน่นอนจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากพ่อและแม่ ที่สำคัญต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือจากเพื่อนและอาจารย์
“เต้ยรู้สึกว่าก่อนหน้านี้น่าจะมาอยู่กับมหาลัยเยอะๆ ที่นี่น่ารักมาก เพื่อน ครู น่ารักมาก เต้ยน่าจะได้มาใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ เต้ยเสียดายเวลาตรงนั้นที่เต้ยไม่ได้เอ็นจอยกับเขา ทำงานตรงนี้มันก้ได้อย่างเสียอย่าง แต่ถ้ามองจริงๆ คนที่ได้ก็คือเต้ยนะ เพราะว่าเต้ยออกมาทำงานตรงนี้ เพื่อนยังช่วยเต้ย เหมือนเพื่อนก็เข้าใจว่าเต้ยทำงานตรงนี้ เพื่อนพยายามช่วยเหลือเรา แล้วเราออกมาทำงานตรงนี้ เราได้ชัดๆ เลย”
เพื่อน ความสุขที่ขาดไม่ได้
ว่ากันว่าเต้ยเป็นคนหนึ่งที่ติดเพื่อนเอาเสียมาก ในช่วงชีวิตวัยรุ่นอาจกล่าวได้ว่าถ้าคบเพื่อนไม่ดีก็อาจพากันดิ่งลงเหวไปเลย เต้ย เล่าถึงเพื่อนของเธอ
“เชื่อว่าคนทุกคนบนโลกนี้ขาดเพื่อนไม่ได้ สำหรับเต้ยไม่ได้ต้องการคบเพื่อนที่ปริมาณ เพื่อนแท้มีแค่คนสองคนก็พอแล้ว เต้ยก็จะมีแก๊งค์ที่อยู่ด้วยกันตลอดรู้จักกันในทุกๆ แง่มุม แล้วไปไหนทำอะไรด้วยกันตลอด ก็มีเป็นเพื่อนที่สมัยมัธยม เพื่อนมหาวิทยาลัย คือโชคดีอย่างหนึ่งเวลาเอาพวกเขามารวมกันแล้วเขาอยู่ด้วยกันได้(ยิ้ม)
“เต้ยจะมีทฤษฎีของตัวเองเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อนหรือคนที่เข้ามาในชีวิต เป็นเหมือนคนที่อยู่ในวงกลม เป็นวงกลมที่ไม่ต้องใหญ่ที่สามารถไปด้วยกัน เต้ยจะไปอยู่ส่วนไหนในวงกลมก็ได้แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”
เพื่อนสำหรับเธอเปรียบดั่งธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลไม่สามารถตัดขาดกันได้ จะว่าไปแล้วในช่วงชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงนั้นเป็นช่วงกอบโกยความสุขความสนุก ซึ่งในช่วงหนึ่งเต้ยก็ร่วมงานปาร์ตี้บ่อยๆ แต่เมื่อผ่านจุดนั้นมาแล้วชีวิตก็ค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างสมดุล
“ก่อนหน้านี้จะไปเยอะหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ได้ไปในลักษณะปาร์ตี้ตอนกลางคืนจะเป็นแบบไปนั่งชิว ไปนั่งกินข้าวกัน แล้วจบที่บ้านใครสักคนหนึ่ง อย่างมาบ้านเต้ยก็ได้มานั่งคุยเล่น คือเพื่อนจะน่ารักมากเขาเข้ากับครอบครัวเต้ยได้ดีมาก จนเพื่อนเรากลายเป็นเพื่อนแม่ไปด้วยบางทีกลับบ้านเพื่อนไปนอนอยู่กับแม่ แล้วเต้ยนอนอยู่คนเดียว(ยิ้ม)”
ครอบครัวสำคัญอันดับหนึ่ง
“พ่อแม่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา ถ้าใครปฎิบัติดีกับพ่อแม่ ผลที่ตามมาในชีวิตเรามันก็ต้องดี”
ก่อนหน้านี้เตยก็เป็นเหมือนวัยรุ่นจำนวนมากที่รักครอบครัวมาก แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา แต่เธอก็ได้พบกับจุดเปลี่ยนทางความคิดและหันกลับมาแสดงออกซึ่งความรักและเอาใส่ใจครอบครัว
“ก่อนหน้านี้ก็จะไม่ค่อยแสดงออกนะ เต้ยก็จะแบบตามสไตล์ไม่ค่อยกล้าพูดไม่ค่อยกล้าแสดงออกแต่ประมาณ 2 ปีมานี้ มีโอกาสได้เข้าวัด แล้วหลวงพ่อท่านสอนดีมาก ท่านสอนให้รู้จักกตัญญูกับบุพการี เต้ยก็รักเขาอยู่แล้วแหละแต่ยังคิดไม่ได้มากพอว่าควรแสดงออก พอกลับมาจากวัดก็ค่อยๆ ลองทำทีละอย่าง เริ่มตั้งแต่แบบกราบเขา หอมแก้ม บอกว่ารักแม่กับพ่อนะ เริ่มให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่เป็นแบบวัยรุ่นแตกไม่สนใจเป็นแบบตัวเองมาที่หนึ่งพอเข้าวัดปุ๊บหลายอย่างมันก็เปลี่ยนไป จากที่ครอบครัวมันมีความห่างกัน แต่ตอนนี้มันก็เริ่มดีขึ้นเยอะเลย”
ถามว่าสนิทกับใครเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่ลูกสาวจะต้องสนิทกับคุณแม่ ซึ่งนอกจากท่าจะคอยดูแลคนในครอบครัวยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เต้ยด้วย
“แม่จะดูแลทุกอย่างของบ้านแม่เต้ยเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมาก แม่เป็นคนที่เสียสละชีวิตทุกอย่างถึงเขาจะอยู่บ้านก็จริงนะคือคนจะมองว่าแม่สบาย แต่จริงแล้วไม่ใช่แม่ต้องดูแลทุกอย่างเลย แม่ดูแลครอบครัว เรื่องราวภายในบ้าน แม่จะคิดถึงคนอื่นยิ่งกว่าตัวเอง ซึ่งเต้ยอยากให้แม่คิดถึงตัวเองมากๆ ถ้าเต้ยได้ความอดทนครึ่งหนึ่งของแม่มาก็ดีใจแล้ว”
ไม่นานมานี้เต้ยก็ได้มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวที่ประเทศฮ่องกงเป็นครั้งแรก เพราะเป็นจังหวะที่ทุกคนว่างตรงกันซึ่งหาได้ยากมาก
“คิดนานแล้วมันเหมือนจังหวะมันได้ตอนนี้ เต้ยให้พวกเขาเลือกว่าจะไปที่ไหน คุณพ่อก็เลือก เป็นทริปอยู่ดีกินดี คือพ่อเต้ยชอบกินและถ่ายรูปอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ทุกมื้อเวลาอาหารมาก่อนกินจะต้องถ่ายรูป เขาทำบล๊อคจริงจังเลย ถ้าพาไปแบบเรื่องกินเขาคงแฮปปี้มาก”
นอกจากจะเป็นลูกที่ดี เต้ยยังทำหน้าที่เป็นที่พี่สาวที่แสนดีของน้องชายสุดหล่ออีกต่างหาก
แม่บอกว่ามีหัวนักธุรกิจแต่เด็ก
จริงแล้วงานในวงการบันเทิงนั้นไม่ใช้งานแรกเธอ ย้อนกลับไปในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 2 เต้ยและเพื่อนๆ ก็สวมบทบาทแม่ค้าลงพื้นที่ขายของในตลาดนัดกันมาแล้ว ต้องบอกก่อนว่างานนี้อยู่ภายใต้แรงสนับสนุนของคุณพ่อคุณแม่ด้วยเพราะวิธีการปลูกฝังให้ลูกสาวรู้จักบริหารเงินจึงจุดประกายแนวคิดธุรกิจขนาดเล็กนี้ขึ้นมา
“ตอนเด็กๆ เต้ยเคยเอาเสื้อผ้าที่ทางบ้านไม่ได้ใส่แล้ว เอาไปขายตรงบิ๊กซี บางนา ตอนนั้นไปไกลเลยกลัวเพื่อนเห็น อายมากๆ(หัวเราะ) เป็นเต็นท์ตั้ง เอาเสื่อ แล้วเอาเสื้อผ้าที่มีอยู่เทๆ ลงไป แล้วเขียนใส่กระดาษ 60 บาททุกตัว คนก็มาซื้อเต็มเลย ได้เงินมา 6,000-7,000”
คุณแม่จะเล่าให้ฟังว่าชอบคิดโปรเจ็คตลอดเลย ถ้าเต้ยไม่ได้เข้ามาในวงการป่านนี้ก็อาจเป็นเจ้าของธุรกิจบางอย่างอยู่แน่ๆ
“อาจจะขายของทางอินเตอร์เน็ต เปิดร้านเสื้อผ้า ทำอะไรแบบนี้เลย ซึ่งตอนนี้เรียนจบแล้วก็อยากจะทำอะไรบางอย่าง แต่มันยังอยู่ในช่วงของการคิด อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งนานแล้ว แต่มันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างเมื่อก่อนอยากมี ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้านนวด”
เชื่อไหม..ธรรมเปลี่ยนชีวิต
เป็นเรื่องชวนฉงนอยู่ไม่น้อยเลยว่าหญิงสาวรุ่นใหม่มีมั่นใจในตัวเองแบบนี้จะดำเนินชีวิตโดยมีธรรมมะเป็นเครื่องนำทาง ก็ดูเหมือนว่าการปฏิบัติธรรมที่ วัดเขาอิติสุคโต อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในครั้งนั้นก็ก่อร่างความศรัทธาในพุทธศาสนาและค่อยๆ ปรับวิถีชีวิตของเธอให้ดีขึ้น
“ตอนแรกไปกับพี่คนหนึ่ง รู้สึกว่าตรงนี้เป็นความสุขของเต้ยอย่างหนึ่งที่ได้ไป การได้อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องแต่งหน้าเลย ครีมอะไรก็ไม่ทา อยู่ก็ไปกวาดลานวัด เช็ดองค์พระ ไปทำความสะอาด ล้างห้องน้ำ ให้อาหารควาย ให้อาหารไก่มันสนุกมาก หลังๆ ก็ไปกันกับเพื่อน แต่ไม่เคยอยู่เกินได้ 4 วันเพราะมันมีธุระต้องกลับมาตลอด”
เป็นการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่สร้างความสุขใจเต้ยเอาเสียมากๆ นอกจากการกิจวัตรประจำวันจะเปลี่ยน ในเรื่องทัศนคติในการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปด้วย
“เมื่อก่อนเต้ยเป็นคนคิดมากๆ เลย เป็นคนคิดมากและก็คิดเยอะ ปรุงแต่งเยอะมาก และพอได้เข้าวัดได้พบหลวงพ่อ มันเหมือนเส้นบางๆ อย่างแค่เราบอกรักพ่อแม่หรือกอดเขาครั้งหนึ่งเขามีความสุขมากเลยทำไมเราทำ แต่พอข้ามเส้นนี้ไปได้แล้วทำทุกวันเขาก็มีความสุขมากขึ้นทุกวันมันก็แบบเป็นสิ่งที่ดีมาก”
เช่นเดียวกัน ธรรมมะนั้นทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น ราวกับว่าแค่เปลี่ยนวิธีคิดความสุขก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ถ้าเราทุกข์มันก็ที่ใจเราเอง ใจเราเองที่กำหนดทุกอย่างในชีวิตเราได้ สำหรับเต้ยรู้สึกว่าความเข้าใจในทุกเรื่อง เข้าใจเหตุและผลของทุกอย่าง มันจะทำให้เข้าใจคนอื่น มันจะทำให้เรารู้ว่าทำไมเขาแสดงพฤติกรรมแบบนี้กับเรา ซึ่งถ้าเราเข้าใจเราก็จะไม่โกรธ มันทำให้ปล่อยอะไรได้มากขึ้น”
เจ้าของตากลมเปล่งประกายค่อยๆ เล่าขึ้นว่าในจุที่ตัวเองอยู่นั้นยังเป็นส่วนของทางโลกเอามากๆ ซึ่งในส่วนทางธรรมที่สนใจนั้นถึงจะยังห่างอยู่มากแต่ก็พยายามนำหลักธรรมคำสอนมาปรับใช้กับชีวิตซึ่งมันสามารถใช้ได้ในทุกเรื่องจริงๆ
จริงๆ แล้วเต้ยเป็นคนที่ชอบทำบุญทำทานมาก อย่างในช่วงปลานปี 2554 กเกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ เธอก็ไปร่วมกับหน่วยงานวัดที่ศรัทธาลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย นอกยังนี้เป็นสะพานบุญเชื้อเชิญพี่น้องพ้องเพื่อนร่วมลงขันจัดทำหนังสือสวดมนต์เพื่อนแจกจ่ายเป็นวิทยาทานอีก
โชคชะตา กับความโชคดี
ซึ่งถ้ามองกันตามความเป็นจริง ถึงจะเป็นเด็กสาวหน้าตาดีมีความสามารถ แต่น้อยคนนักที่เข้ามามีที่ยื่นและเติบโตในวงการนี้ “เต้ยว่าชีวิตเต้ยโชคดีมากในหลายๆ เรื่อง”
“ตอนแรกจะบอกว่าอึดอัดมากเลยนะ รู้สึกไม่ชอบ ทำไมเราต้องมาเป็นคนอื่นทำไมเราต้องมาคนที่ไม่ใช่ตัวเอง แต่เวลามันผ่านไปเรื่อยๆ เต้ยรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้เข้ามาอยุ่ตรงนี้ แต่ความโชคร้ายมันมีแต่ไมได้มองว่ามันโชคร้าย มันเป็นบทเรียนสอนเรามากกว่า อย่างเช่น ทำไมเต้ยถึงต้องโดนคนที่ไม่รู้จักมาวิจารณ์ ทำไมต้องมายืนเป็นเป้านิ่งให้เขายิ่งด้วย แต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้คือเต้ยเอง ไม่โกรธจริงๆ เต้ยรู้สึกว่าโชคดีที่มีครอบครัว และเพื่อนที่ดีมาก คนรอบข้าง ครู เต้ยโชคดีมาก ชีวิตที่แวดล้อมทุกอย่างมันมีคุณค่ามากเลย”
ภาพโดย : ธัชกร กิจไชยภณ
และขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
.................................................
#ประวัติส่วนตัว#
ชื่อจริง : จรินทร์พร จุนเกียรติ (เต้ย)
วันเกิด : 29 มกราคม พ.ศ. 2533
น้ำหนัก - ส่วนสูง : 40 กก./ 160 ซม.
การศึกษา : ระดับมัธยมโรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี), ระดับปริญญาตรีคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผลงานโฆษณา : Utip freshy beauty, โฆษณาโซฟี, โฆษณาน้ำส้มเดลี่ซี, โฆษณาคาลพิส แลคโตะ, โฆษณาโตโยต้า วีออส ฯลฯ
ผลงานมิวสิควิดีโอ : เพลงช่วยรับที ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์, เพลงอะไรก็ได้ ของโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร, เพลงเคลิ้ม ของ Basketband ฯลฯ
ผลงานละคร : อุบัติรักข้ามขอบฟ้า, ชิงชัง, ช็อกโกแลต 5 ฤดู, สามหนุ่มเนื้อทอง, คุณชายรณพีร์ ฯลฯ
ผลงานภาพยนต์ : หนีตามกาลิเลโอ, เดอะ เคาท์ดาวน์
รางวัลที่ได้รับ : Utaitip Freshy Idol 2007, ดาวรุ่งมาแรงหญิง สยามดารา สตาร์ ปาร์ตี้ 2009, นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ของชมรมวิจารณ์บันเทิง
________________________________________
ผลงานเพลง : เพลง ชอบที่เธอยิ้มมา อัลบั้ม LOVE STATUS