“ไอ้พวกฝรั่งโรคจิต” “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กับพระกับเจ้ายังเอามาเล่น” “ทำอย่างนี้ได้ต้องไม่ใช่ชาวพุทธแหงๆ จิตใจตกต่ำจริงๆ” “ขอให้กรรมตามสนองมัน” และอีกสารพันคำด่าสาดเสียเทเสียบนโลกออนไลน์เมื่อภาพ “แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป” ถูกส่งต่อจนกลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อต้นเดือนแล้ว ในตอนที่ข่าวนี้ยังเป็นที่สนใจของสื่อทุกแห่ง ผู้เกี่ยวข้องต่างทำงานตัวเป็นเกลียว ติดตามเสาะหาคนผิดอยู่พักหนึ่ง แต่ท้ายสุดเรื่องก็เงียบไปตามระเบียบ...
ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “ชาวพุทธ” และไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อการย่ำยีพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกขณะนี้ได้ นั่นแสดงว่าวันที่ 24 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ คุณมีนัดเสียแล้ว!
ดึงพระพุทธองค์ลงที่ต่ำ
เก่าเกินไปแล้วที่จะมานั่งพูดถึงแค่ “แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป” ซึ่งเคยเป็นประเด็นร้อน ชักชวนให้ผู้คนเข้ามาด่าทอ หาตัวคนปั้นกันให้ว่อนเน็ต เพราะเดี๋ยวนี้พฤติกรรมล้อเลียนพระพุทธศาสนามีให้เห็นตื่นตาตื่นใจกันยิ่งกว่านั้นอีก เรียกได้ว่ายิ่งเสิร์ชยิ่งเจอ ยิ่งอยู่เมืองนอกยิ่งเห็น แถมยังทำกันเป็นธุรกิจ อัปเดตอยู่ตลอดจนตามความเคลื่อนไหวกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะถูกนำมาประดับลงบนของใช้ กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านไปเสียได้ ทั้งยังขายดิบขายดีในตลาดสากลจนน่าใจหายอีกด้วย
เริ่มตั้งแต่ส่วนเศียรของพระพุทธรูปที่ได้รับความนิยมในธุรกิจแฟชั่นอย่างมาก พระพักตร์ที่ชาวพุทธมองว่าน่าเคารพนับถือกลับกลายเป็นลายเส้นทรงเสน่ห์ ดึงดูดให้นักออกแบบเลือกมาใช้เป็นลายผ้า สกรีนลงบนเสื้อ กางเกง กระโปรง ย่าม หนักข้อไปจนถึงถุงเท้า รองเท้า เสื่อมถึงขนาดถูกนำไปใช้บนกางเกงในจีสตริง!
“เราได้รับร้องเรียนเรื่องการนำเอาสัญลักษณ์พระพุทธเจ้าไปเป็นเครื่องหมายสินค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นระยะ ตั้งแต่ปี 2549 ฝรั่งเศสเอารูปเศียรพระไปประดับเครื่องนอน ปี 2550 สหรัฐอเมริกานำพระพุทธรูปไปประดับบาร์และเครื่องหมายสินค้าบนกางเกงในจีสตริง ต่อมาสวีเดนนำไปเป็นเครื่องหมายสินค้าสำหรับเด็ก สาธารณรัฐเช็กนำไปเป็นเครื่องหมายร้านนวดแผนไทย และถูกใช้เป็นเครื่องหมายประดับรองเท้าด้วย” อภิวัฒน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง รักษาการผู้อำนวยการกองประมวลและวิเคราะห์ข่าว กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้
ด้วยข้อจำกัดเรื่องกฎหมายข้ามชาติจึงทำให้ประเทศไทยไม่สามารถจัดการกับมารศาสนาในต่างแดนได้อย่างที่ใจคิด สุดท้ายผู้กระทำผิดก็ยังคงลอยนวลรับทรัพย์จากการเหยียบย่ำความเชื่อของชาวพุทธกันต่อไป เมื่ออดทนต่อสภาพที่เป็นอยู่ไม่ไหว จึงเกิดการรวมพลังตั้งองค์กร “Knowing Buddha” ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้ ป้องกัน และยับยั้งการกระทำย่ำยีพระศาสนาโดยเฉพาะ ล่าสุดได้สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมครั้งใหญ่จากการเปิดเผยข้อมูลที่คนไทยอาจไม่เคยรู้
“เราไปเจอการค้าขายของต่างชาติที่หมิ่นศาสนาอย่างมากเลย มีทั้งลูกอมรูปเศียรพระพุทธเจ้า, บริษัท “The Dog Buddha” ที่จงใจเอาชื่อพระพุทธเจ้าไปล้อเลียน แถมยังใช้เป็นสัญลักษณ์ธุรกิจของเขา เอาหัวหมามาใส่ไว้ในตัวพระพุทธรูป, หนังเรื่อง “Hollywood Buddha” ที่ใช้รูปโปรโมตน่าตกใจมาก ให้คนขึ้นไปขี่บนเศียรพระพุทธเจ้า คิดดูสิ! มันใช่ที่นั่งแล้วเหรอ ไม่รู้ว่าใช้อวัยวะส่วนไหนไปคิดออกมาได้ หรือแม้แต่หนังของ Disney เรื่อง “Snow Buddies” ที่ตั้งชื่อสุนัขว่า Buddha แถมยังฉายให้เด็กๆ ดูกันในวงกว้างด้วย”
“อันนี้สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องใช้หมามาสอนเรื่องสมาธิด้วย หมาเป็นสัตว์เดียรัจฉานนะคะ ถ้าจะบอกว่ามันน่ารักดี น่าจะเข้ากับเด็กๆ ได้ ก็ต้องถามว่าเขาไม่มีตัวเลือกอย่างอื่นแล้วเหรอ มันเป็นความบันเทิง เน้นความสนุกสนานก็จริง คนทำน่ะสนุก แต่คุณรู้ไหมว่ากำลังย่ำยีหัวใจของคนนับถือพุทธศาสนาทั่วโลก หรืออย่างการเอาเศียรพระพุทธเจ้ามาทำเป็นลายเสื้อผ้า เราเองก็พยายามจะมองให้เป็นเรื่องของศิลปะ มองให้เห็นเป็นแค่ภาพวาด ภาพสกรีน ให้ตัดขาดจากการเอ่ยถึงพระพุทธเจ้า แต่มันไม่ได้จริงๆ แค่ตอนซักผ้าแล้วซักปนกันก็กลายเป็นของต่ำไปแล้ว” ดร.จุฬานี เกตุศร ผู้ดูแลสื่อต่างประเทศ องค์กร Knowing Buddha พูดอย่างตรงไปตรงมา
ตัวเป็นพระ หัวเป็นหมา
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขอย่าง Alanna Cha Sin หยิบเอาพระพุทธเจ้าและสุนัขมารวมกันได้ ทั้งๆ ที่ดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง Snow Buddies ของดิสนีย์ที่ตั้งชื่อสุนัขตัวหนึ่งในเรื่องว่า Buddha ไม่ว่าจะพยายามมองมุมไหน ความหมายที่สื่อออกมาก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ The Dog Buddha แปลตามตัวก็คือ “หมาพระพุทธเจ้า” หรือ “พระพุทธเจ้าเป็นหมา” นั่นเอง
“เห็นชัดๆ เลยว่าเขามีเจตนาจะลบหลู่ อยู่ดีๆ เขาจะดึงเอาสัตว์มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทำไมถ้าไม่ได้มีเจตนาย่ำยีศาสนาของเรา ยกตัวอย่างในทำนองเดียวกัน สมมติว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับศาสนาอิสลาม นำพระอัลเลาะห์มาล้อเลียนชื่อหมา เรียกว่า The Dog อัลเลาะห์ ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือตั้งชื่อหมาเป็นเยซู คิดว่าชาวคริสต์ทั้งหลายจะทำอย่างไรกับบริษัทนี้ แต่เผอิญเขาทำกับพระพุทธเจ้าได้เพราะว่าพวกเราชาวพุทธอ่อนแอไงคะ”
“เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เราคงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าพระพุทธองค์ไม่ใช่ของเล่นที่ใครจะมาย่ำยีได้ ไม่ใช่ว่าจะเอาหัวหมามาใส่ไว้ในตัวพระพุทธเจ้ายังไงก็ได้ตามใจ ลองคิดดูว่าถ้าเกิดเป็นตัวคุณเองล่ะ ถ้ามีใครปั้นหุ่นเป็นรูปหน้าคุณแล้วเอาไปใส่ไว้ในตัวหมา คุณจะรู้สึกยังไง แล้วก็ตั้งชื่อคุณเป็นแบบเจ้าตัวนั้นเลย ยังจะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่น่ารักน่าให้อภัยอยู่อีกไหม ไม่ว่าคุณจะมีเจตนาไปในทางไหน ดีหรือไม่ก็ตาม แต่ในเมื่อมีชาวพุทธออกมาป่าวประกาศ แสดงเจตนารมณ์ต่อต้านสิ่งที่คุณทำว่ามันไม่ดีนะ คุณก็ควรจะหันกลับมามองแล้วล่ะว่าตัวเองทำไม่ดีจริงหรือเปล่า” ดร.จุฬานี เลขาธิการมูลนิธิโรงเรียนแห่งชีวิต ยังคงบอกเล่าด้วยน้ำเสียงประชดประชันอย่างที่เป็นมาตลอดการสนทนา
หากลองมองในแง่ดีแสนดีสักครั้ง ธุรกิจดังกล่าวอาจนำทางลูกค้าของพวกเขาให้มาสนใจในพระพุทธศาสนาก็เป็นได้ เริ่มจากความสงสัยในรูปลักษณ์แปลกๆ ของผลิตภัณฑ์ สืบค้นหาข้อมูลต่ออีกสักหน่อยก็จะรู้ว่ามีที่มาและอาจก่อเกิดเป็นความศรัทธาขึ้นมาได้ แต่โอกาสที่พูดถึงคงมีสิทธิเกิดขึ้นได้แค่ 1 ในล้านหรือไม่เกิดขึ้นเลยมากกว่า
“ส่วนมากพอซื้อไปแล้วก็สนใจแค่เรื่องราคากับสถานที่ซื้อแหละ แต่ถ้ามีคนอยากรู้จักพระพุทธศาสนาจากสินค้าพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ โลกเราทุกวันนี้มันคงไม่เสื่อมเท่านี้หรอกค่ะ สิ่งที่พยายามทำอยู่ตอนนี้คือออกมาแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องพระศาสดาของเรา ทำให้ชาวต่างชาติรู้ว่า เอ้อ! ไม่ได้แล้วนะ มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาปกป้องพระพุทธศาสนาแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวังดีๆ ส่วนคนที่ทำผิดอยู่ก็น่าจะช่วยให้เขาหยุดแล้วก็ถอยออกมามองว่าจะทำยังไงต่อไปดี เราตั้งใจจะประกาศให้เขารู้ไปเลยว่าเราจะไม่หยุดจนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงการกระทำของคุณซะ!”
ดื้อด้านไม่แก้ไข
ก่อนที่จะตัดสินว่ากลุ่มธุรกิจที่ถูกอ้างถึง จงใจเหยียบย่ำพระพุทธศาสนาของเรา ทางองค์กรเคยวางจุดยืนให้เป็นคนคิดบวกเอาไว้ก่อนเสมอ คือพยายามคิดว่าส่วนใหญ่ทำผิดไปด้วยความไม่เข้าใจ เนื่องจากวัฒนธรรมและศาสนาแตกต่างกัน แต่หลังจากส่งจดหมายไปชี้แจงต่อผู้ต้องสงสัยทั้งหมด จึงเป็นอันคอนเฟิร์มว่าน่าจะเกิดจากพฤติกรรมของคนที่รู้แต่ยังทำมากกว่า
“อย่างบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขบนหน้าเฟซบุ๊ก พอเราส่งข้อความไปเตือน เขาบล็อกเราทันทีเลย ตอนหลังก็บล็อกทุก user ที่มาจากประเทศไทยด้วย มีคนต่างชาติที่ได้มาอ่านเว็บไซต์ knowingbuddha.org ของเราแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาก็ช่วยกันส่งจดหมาย ส่งคอมเมนต์ไปถึงบริษัทนี้ ปรากฏว่าถูกบล็อกเหมือนกัน แสดงว่าเจ้าของบริษัทไม่สนใจคำชี้แจงของเราแล้วล่ะ"
"ตอนหลัง อ.พิมพ์พิษา ติณพาฤทธิ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรลองโทร.ไปคุยกับเขา ตอนแรกคุยกันเรื่องงานปั้นก็คุยดี พอเข้าเรื่องพระเศียรพระพุทธเจ้า เธอวางหูใส่ทันทีเลย แสดงว่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองทำอะไรอยู่แต่ไม่คิดจะแก้ไข ส่วนบริษัทที่ทำอมยิ้มรูปพระเศียร ตอนนี้เขาเอาภาพออกจากเว็บขายของแล้ว แต่เชื่อว่าน่าจะยังผลิตอยู่ เพราะไม่มีการตอบรับอะไรกลับมาเลย”
สาเหตุที่เจ้าของธุรกิจทุกรายใช้กลยุทธ์นิ่งไว้ก่อนและไม่แก้ไขอะไรเลย อาจเป็นเพราะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ที่สร้างขึ้นจนติดตลาดอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าลองตัดเรื่องผลประโยชน์ออกไปแล้วมองด้วยสายตาที่เป็นธรรมสักนิด จะรู้ว่าการค้าที่เหยียบย่ำอยู่บนความรู้สึกของผู้อื่น นอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้ว มีแต่จะสร้างศัตรูให้มีมากขึ้นด้วย และไม่ว่าจะถลำลึกไปไกลสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ารู้จักยอมรับผิด ก็พร้อมมีคนให้อภัยเสมอ อย่างที่ทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Hollywood Buddha ได้รับมาแล้ว
“เขาเขียนจดหมายกลับมาขอโทษพวกเราเลย แต่จะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน ต้องคอยดูกันต่อไป ตอนนี้เราก็มีคนช่วยเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นเยอะมาก มีคนต่างชาติหลายคนบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเศียรพระพุทธรูปที่วางประดับอยู่ในร้านอาหาร ทางเท้า ห้องน้ำ หรือทำเป็นที่วางหมวก หลายสิ่งที่เขาเคยเห็นเป็นการย่ำยีหรือดูถูกพระพุทธเจ้า แต่หลังจากเข้าไปอ่านข้อมูลและรู้แล้ว เขาตกใจมากนะ หลังจากนั้นก็ช่วยกันออกมาปกป้อง บางคนเดินเข้าไปบอกร้านอาหารร้านนั้นเลย ช่วยเขียนจดหมายชี้แจง ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เราทั้งๆ ที่ตัวเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ก็หวังว่าจะมีคนแบบนี้อีกเยอะๆ ที่จะเข้ามาช่วยเรา”
อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มมองว่าการออกมาต่อต้านแบบนี้เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะสุดท้ายแล้วแก่นของศาสนาจริงๆ ก็อยู่ที่หลักธรรมคำสอน เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรเดือดเนื้อร้อนใจไปกับพระพุทธรูปซึ่งถือเป็นวัตถุ เป็นเพียงรูปธรรม มีความหมายแค่เปลือกเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ “ปล่อยวาง” เสียก็สิ้นเรื่อง แต่ตัวแทนองค์กรต่อต้านการย่ำยีพระพุทธศาสนายังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อย่างนั้นคงไม่ได้หรอกค่ะ อย่าลืมสิว่าเขามาย่ำยีพระพุทธศาสนาของเรา”
“อันนี้เป็นเรื่องจริงตั้งแต่สมัยพุทธกาลเลย มีพราหมณ์องค์หนึ่งเดินไปเจอกับพระพุทธเจ้า ชี้หน้าด่าเลยว่า “คนถ่อย” ทั้งที่พระพุทธเจ้าก็สอนพวกเราว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น ให้ปล่อยวาง แต่ทำไมพระพุทธองค์จึงย้อนกลับไปหาพราหมณ์คนนี้แล้วทรงอธิบายให้ฟังว่า อาตมาไม่ใช่คนถ่อยนะ คนถ่อยคือคนผิดศีลนะ แต่อาตมาไม่ใช่อย่างนั้น พราหมณ์คนนั้นตะลึงเลยแล้วก็ขอโทษขอโพย"
"คิดดูว่าพระพุทธเจ้าท่านยังปกป้องตัวท่านเองในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่าท่านปกป้องด้วยการให้ความรู้กับเขา ให้เขาได้คิด ใช้สติไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจ พราหมณ์คนนั้นถึงได้เลิกคิดผิดๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากพระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้แล้วมีคนมาเรียกท่านว่า The Dog Buddha หรือตั้งชื่อหมาว่า Buddha ท่านก็ต้องออกมาเทศนาตักเตือนเหมือนกัน”
เรื่องนี้ถึงกรมศาสนาแน่!
“ถ้าคุณเป็นชาวพุทธจริงๆ ลองไปเปิดหน้าเว็บแล้วเห็นการย่ำยีที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดทุกวันนี้แล้วคุณจะรู้สึกเสียใจ” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ดร.จุฬานีและผู้ร่วมอุดมการณ์ทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ต้องคอยเติมเชื้อไฟในเรื่องนี้ในคุกรุ่นอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าแรงส่งในประเทศไทยเองจะใกล้มอด แทบหมดสิ้นความหวังเต็มทีแล้วก็ตาม
“เห็นหนทางริบหรี่มากสำหรับคนไทยเอง ทั้งที่อยู่ในไทยและที่อยู่เมืองนอกเลย แต่เราก็ไม่ได้ถึงกับหมดหวังนะคะ ยังพยายามสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นและต้องเตรียมรับมือยังไงในฐานะชาวพุทธด้วยกัน ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ไม่ใช่ชาวพุทธเทียมหรือเป็นชาวพุทธแค่ในกระดาษ แค่ประกาศเอาไว้ในประวัติทางราชการว่าพ่อแม่ฉันเป็นพุทธ ฉันก็เป็นพุทธ โดยอาจจะไม่เคยใส่ใจอะไรเลยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา คือถ้าอย่างน้อยๆ ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธตัวจริง ต้องให้เขารู้ว่าเขาก็มีหน้าที่ในการปกป้องศาสนาพุทธด้วยเหมือนกัน”
อาจเป็นเพราะพุทธศาสนิกชนชาวไทยไม่เคยชินกับหน้าที่ปกป้องศาสนา ส่วนใหญ่โตมากับพิธีกรรม เข้าวัด ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ โดยไม่เคยสนใจว่าหน้าที่ที่แท้จริงของชาวพุทธคืออะไร พอมีปัญหา ก็หันหน้าเข้าพึ่งศาสนา ขอให้ร่ำรวย ให้พ้นเคราะห์ ขอให้มีความสุข แต่พอศาสนาต้องการที่พึ่งบ้าง เรากลับเดินหนี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ใช่เรื่องของฉัน และอาจเป็นเพราะหลายคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัว แต่จริงๆ แล้วแค่เสียงเสียงเดียวจากทุกคนก็มีความหมาย ทุกคนช่วยกันได้เสมอถ้าคิดจะทำ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขายในประเทศไทยเองที่ควรกระตุ้นจิตสำนึกในตัวให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
“เริ่มที่พ่อค้าแม่ค้าคนไทยในถนนข้าวสารก็ได้ เสื้อสกรีนลายพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปวางแบกะดินที่คุณเอามาขาย มันทำให้ชาวต่างชาติที่มาเดินดูเขาคิดว่าเราไม่ถือ สามารถเอาไปประดับตกแต่งได้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ความรู้แก่คนทำธุรกิจตรงนี้ ให้เขาคิดได้ว่ามันไม่เหมาะสมนะ ถ้าเกิดมีฝรั่งมาขอให้สกรีนเสื้อลายเศียรพระพุทธเจ้าให้หน่อย อยากให้เขาปฏิเสธและอธิบายว่าทำไม่ได้นะ เพราะอะไร ถ้าทำได้อย่างนี้ก็แสดงว่าการปลูกฝังเรื่องจิตสำนึกเป็นผลสำเร็จแล้วล่ะ คือเลือกความถูกต้องเหมาะสมเป็นที่ตั้งก่อนเรื่องเงินเรื่องทอง”
“พออธิบายให้ชาวต่างชาติฟัง ก็ต้องไม่ลืมที่จะอธิบายให้คนไทยด้วยกันเองฟังด้วย จริงๆ แล้วเริ่มจากคนไทยก่อนนี่แหละดี ถ้าเราสามารถพูดให้คนบ้านเราตื่นตัวขึ้นมาได้ มันจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมบางอย่างในสังคมขึ้นมาแน่นอน อย่างวลีที่ว่า “เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่” ทำไมคนพูดกันได้เป็นหมื่นเป็นแสนคน เดือดร้อนแทนเด็กแทนครูอังคณากันทั้งประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน มีคนมาย่ำยีศาสนาของเรา ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนบอกต่อบ้างเลย บอกบ้างสิว่า “เรื่องนี้ถึงสำนักสงฆ์แน่” หรือ “เรื่องนี้ถึงกรมศาสนาแน่” แต่นี่ไม่มีเลย” ดร.จุฬานี ไม่ลืมยกตัวอย่างตามเทรนด์
ตอนนี้ทางองค์กร Knowing Buddha ได้วางแผนให้เรื่องนี้ถึงสื่อต่างประเทศเอาไว้แล้ว มีทั้ง CNN หนังสือพิมพ์ Time และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอีกหลายหัว เพื่อประกาศจุดยืนในการปกป้องพระพุทธศาสนาอีกครั้งวันที่ 24 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ โดยวิธีเดินขบวนธรรมยาตราจากราชประสงค์ถึงสยามสแควร์ แล้วนั่งบีทีเอสไปลงสวนจตุจักร สุดท้ายไปจบที่ถนนข้าวสาร แหล่งรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ส่วนความเคลื่อนไหวในต่างแดนนั้น อาจเริ่มติดต่อทางลอสแองเจลิสซึ่งมีชาวอเมริกันที่นับถือศาสนาพุทธอยู่จำนวนมากก่อน ต่อด้วยแคนาดา ญี่ปุ่น แม็กซิโก สเปน ฯลฯ ถ้ายิ่งสามารถรวมเอากลุ่มคนที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศต่างๆ ให้ออกมาต่อต้านการกระทำย่ำยีศาสนามากขึ้นเท่าไหร่ เชื่อว่าจุดยืนที่ต้องการจะสื่อสารออกไปจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
“คงไม่ต้องถึงขั้นเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรอกค่ะ แค่รู้สึกรักและเคารพในศาสนาของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธก็พอ แค่ออกมาแสดงตัวให้ชัดเจนเรื่องการปกป้อง เพราะถ้าเราไม่ช่วยกันก็คงไม่มีใครช่วยแล้ว จะมานั่งเฉยปล่อยให้คนอื่นย่ำยีศาสนาเรา ทนได้เหรอ ก็เหมือนเวลามีคนมาด่าพ่อแม่เรา ด่าในหลวงของเรา ถ้าเรานั่งทำตาปริบๆ ก็แสดงว่าเราไม่ได้รักท่านจริงแล้วล่ะ ก็ทำนองเดียวกันค่ะ ถ้าเรารักพระพุทธเจ้าจริงก็ต้องออกมา!”
---ล้อมกรอบ---
อย่าทำ!
- ห้ามไม่ให้ประพฤติดูหมิ่นหรือกระทำไม่ดีใดๆ ต่อพระพุทธเจ้า
- ไม่วางหรือนำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในที่ๆ ไม่สมควร เช่น ไปสกรีนไว้ในผ้าเช็ดหน้า,ผ้าเช็ดปาก,ผ้าขนหนู, พรมเช็ดเท้า, พรมต่างๆ, หรือในอุปกรณ์การทำความสะอาดทั้งหลาย รวมถึงของเล่น, เฟอร์นิเจอร์ และไม่นำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในส่วนล่างของร่างกาย เช่น กางเกง,กระโปรง, รองเท้า ฯลฯ เพราะชาวพุทธที่แท้จริงจะรู้สึกทุกข์ใจและไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากเห็นผู้ใดกระทำย่ำยีต่อพระรูปของพระศาสดาเช่นนี้
- ไม่วางพระพุทธรูป หรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งเฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่ง เช่น ไม่เอาพระพุทธรูปหรือรูปปั้น ไปวางไว้ที่โต๊ะกลางของชุดเฟอร์นิเจอร์ ไม่วางไว้ในห้องน้ำ, ในบาร์ หรือร้านอาหาร ประดุจพระพุทธรูปเป็นเพียงของตกแต่ง
- ไม่ปฏิบัติต่อพระพุทธรูปหรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งสินค้า หากมีการซื้อขาย ให้เป็นไปเพื่อบูชาที่บ้านหรือในสถานที่อันควร
- ไม่นำชื่อพระพุทธเจ้าไปใช้อย่างดูถูกดูหมิ่น เช่น การตั้งชื่อร้านไอศกรีมว่า Buddhi Belly
- ไม่ล้อเลียนพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องอื่นใด เช่น การทำภาพโปสเตอร์โดยมีผู้ชายนั่งอยู่บนไหล่ของพระพุทธรูป
- ไม่นำรูปพระพุทธเจ้าหรืออื่นใดที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ มาเป็นรอยสักตามร่างกาย
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพจาก องค์กร Knowing Buddha (knowingbuddha.org)