xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “หมอโอ๊ค” รักแท้หรือกระแสโปรโมต “โอปอล์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้าเอ่ยชื่อ “หมอโอ๊ค-นายแพทย์สมิทธิ์ อารยะสกุล” นายแพทย์หนุ่ม และนักร้องเสียงดี มาดเนี๊ยบ นาทีนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของกระแสข่าวล่าสุดที่เขาเปิดตัวคบหาเป็นแฟนกับสาว “โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ” สร้างความเซอร์ไพรส์ให้แก่เพื่อนๆ ทั้งในวงการบันเทิง และคนรอบข้าง บ้างก็มองว่าเป็นคู่รักสร้างเรื่องโปรโมต ทั้งยังมีเพื่อนหมอโอ๊คสมัยเรียนได้ออกมาโพสต์ลงอินเทอร์เน็ต แฉพฤติกรรมของหมอโอ๊คสมัยเรียนว่าไม่ชอบสุงสิงกับกลุ่มผู้ชาย ชอบทำตัวเรียบร้อยแอ๊บ...แมน

วันนี้หมอหนุ่มหน้าใสยอมเปิดใจกับ M-Open ถึงทุกประเด็นอย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งเผยแง่มุมดีๆ ในชีวิต ทั้งเรื่องการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืน มุมธรรมะ และหลักทำความดีที่ยึดถือมาตั้งแต่เด็ก พร้อมเผยตัวตนซึ่งเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ใช้ชีวิตอย่างมีสาระ โดยยึดหลักของเหตุและผล

“หมอ” คือชีวิต
บทบาทนายแพทย์คือบทบาทที่จะติดตัวเขาไปตลอด เพราะเป็นสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำหน้าที่นี้ไปตลอดชีวิต ส่วนบทบาทอื่นๆ ทั้งงานในวงการ งานพิธีกร และงานร้องเพลงก็ล้วนเป็นโอกาสสำคัญในชีวิต ซึ่งเขาทำทุกอย่างโดยยึดหลักขององค์ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ

“ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือองค์ความรู้ ผมยึดถือในเรื่องนี้ เราทำในสิ่งที่เรารู้เท่านั้น อะไรที่ผมไม่รู้ผมไม่ทำ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปทำทุกอย่างให้เป็นกระแส อย่าไปทำทุกอย่างให้เป็นการกอบโกย ในที่สุดแล้วสิ่งที่ยั่งยืนที่สุดก็คือประสบการณ์ และความรู้

อย่างงานแพทย์แน่นอนว่าต้องมีหลักการ ต้องมีหลักจริยธรรม ต้องมีความรู้ที่แน่ชัด อะไรที่เราไม่แน่ใจเราไปทดลองกับคนไข้ไม่ได้ มันไม่มีคำว่าเอาไปลองก่อน มันต้องเป็นสิ่งที่เราแน่ใจแล้วเท่านั้น

ส่วนงานในวงการบันเทิงมันคือความชอบของเรา อย่างเรื่องการร้องเพลงผมถือว่ามันเป็นศิลปะ ผมยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปิน เราก็คือนักร้องคนหนึ่งเท่านั้นเอง งานเพลงเป็นสิ่งที่เราสนใจและเรารัก เราไปเรียนมาเพิ่มเติม ก็เลยอยากจะใช้ความสามารถทางด้านนี้ เราอยากจะถ่ายทอดอะไร

อีกชิ้นงานหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าต้องใช้พลังเยอะและใช้ทักษะเยอะมาก คืองานพิธีกร ตอนแรกไม่มั่นใจเลย รู้สึกว่าเราไม่น่าทำได้ เพราะเราเป็นคนพูดไม่เก่ง เราไม่เคยฝึกหัดมาทางการพูดกับคนเยอะๆ อาจจะพูดเล่นได้ ธรรมดา แต่พอมาพูดกับคนเยอะๆ ต้องมีบทยาวมากๆ เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว ตอนแรกเป็นจุดอ่อนมากเลย แต่หลังๆ มาก็สังเกตว่าโดยเนื้อแท้ของเราแล้ว จริงๆ เวลาดูโทรทัศน์ นอกจากฟังเพลง ดูข่าวทั่วไป ผมเป็นคนชอบดูรายการทอล์กโชว์ ทั้งไทยและต่างประเทศ เวลาดูเราก็รู้สึกว่าชอบคนโน้นคนนี้ เราก็คิดว่าเราก็มีแรงบันดาลใจทางด้านนี้เหมือนกัน ก็เริ่มฝึกฝน

งานที่เราทำเป็นงานที่ดีมาก เราโชคดีมากที่ได้ทำอย่างที่ฝันไว้ทั้ง 3 อย่างเลย ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จังหวะชีวิตด้วย ผู้สนับสนุนด้วย อยากขอบคุณทุกๆ คนเลย

งานแต่ละอย่างผมว่ามันเป็นแง่มุมที่ต่างกัน งานแพทย์นี่มันเหนือกว่างานแล้ว มันคือชีวิตไปแล้ว เพราะเราทุ่มกับมันมาตลอดชีวิตแล้ว ไปไหนทุกคนก็เรียกหมอ ส่วนงานบันเทิงงานพิธีกร งานร้องเพลงผมถือว่าเป็นกำไรชีวิต มันเป็นเวทีที่ให้เราแสดงอะไรหลายอย่าง มันเป็นทางที่ให้เราได้พูดในสิ่งที่เราอยากพูด ทำให้เราได้ทำงานสร้างสรรค์ในสิ่งที่เราอยากทำ ผมมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะพูด อยากจะบอก คิดว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราได้แชร์”

ความคิดสร้างสรรค์ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญในการทำงาน “งานเดี๋ยวนี้ถ้าเกิดไม่สร้างสรรค์ ทุกอย่างมันก็คงหยุดนิ่ง อย่างงานแพทย์นี่ก็เหมือนกันนะ เราก็ต้องมีการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา แล้วก็ต้องคิดสร้างสรรค์ในแง่ที่เราจะทำยังไงให้คนเข้าใจในสิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา

สมัยนี้การแพทย์ต่างไปจากแต่ก่อนมากนะครับ สมัยก่อนวิชาแพทย์ค่อนข้างจะเคร่งขรึมและหยุดนิ่ง ประชาชนต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหา และหลังๆ นี่ผมมองว่าบุคลากรแพทย์นี่แหละต้องมีหน้าที่ในการเผยแพร่ความรู้ออกไปสู่ประชาชน เพราะผู้ที่ดูแลตัวเขาได้ดีที่สุดคือตัวเขาเอง ไม่ใช่พวกเรา หนึ่งสัปดาห์คุณมาเจอได้ประมาณ 1-2 ครั้ง ครั้งหนึ่งก็อาจจะชั่วโมงหนึ่งอย่างมาก เวลาที่เหลือกว่า 20 ชั่วโมงที่คุณอยู่กับตัวเองต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นการที่คุณมีความรู้ มีทักษะ มีการดูแลสุขภาพที่ดี ผมถือว่าเป็นหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน

ด้วยความที่เทคโนโลยีเข้าถึงง่าย ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ผิด ข้อมูลที่เป็นโฆษณาแอบแฝง อันนี้ผมก็เป็นห่วง อยากจะไขข้อข้องใจ รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง โดยยึดเอาหลักการที่ถูกต้องและปลอดภัยเป็นหลัก

กระแสสุขภาพเป็นสิ่งที่ดี เป็นกระแสที่แสดงถึงว่าคนเรารักตัวเองมากขึ้น รู้จักการเอาใจใส่ดูแลตัวเอง คนเราต้องรักตัวเองก่อน ดูแลตัวเองก่อนถึงจะดูแลผู้อื่นได้ แต่ทีนี้กระแสที่มากเกินไป มันล้น มันกลายเป็นการค้า กลายเป็นกระแสนิยม มันมีคนฉลาดที่เอาเรื่องนี้มาเล่น” หมอโอ๊คแนะนำด้วยความเป็นห่วง

“ในอนาคต 10-20 ปี ผมคงไม่หางานเพิ่ม เพราะงานผมเป็นอะไรที่ค่อนข้างยั่งยืน อีกส่วนคือคิดที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ต่อไป เด็กรุ่นใหม่เก่งขึ้น เขามีความเข้าใจในเทคโนโลยี มีแขนขา หน้าที่เราคือต้องส่งต่อ เพราะคนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ตลอดไป ยังไงเราต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี ต้องส่งต่อไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม”

“สร้างภาพ...สร้างกระส” อยู่ไม่นาน
“ผมถือว่าผมเป็นตัวของตัวเองทุกครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ยิ่งงานบันเทิงถ้าไม่เป็นตัวของตัวเอง คนเดี๋ยวนี้ฉลาด เขาจับได้ว่าเราสร้างคาแรกเตอร์ใหม่ขึ้น ผมว่ามันไม่จำเป็นเลย และเราเชื่อว่าถ้าเราตรงไปตรงมานี่แหละดีที่สุด ผมก็เป็นแบบของผมนี่แหละ

ผมเป็นคนที่ไม่อิงกับกระแสอะไรทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าผมมีความมั่นใจในตัวเองมาก แล้วก็เข้าใจว่าเราต้องการอะไร

สิ่งที่เป็นกระแส หลายๆ ครั้งผมมองว่าทำให้สังคมเดินไปในทางที่ผิดบ่อยๆ ผมเลยค่อนข้างต่อต้านกระแสที่ทุกคนเฮโลกัน อย่างบางคนต้องซื้อรถแบบนี้ ทุกคนคิดว่าถ้าทำงานแบบนี้ต้องซื้อรถแบบนี้หมด ทำไมเราไม่เลือกสิ่งที่เหมาะกับเรามากที่สุด เดี๋ยวนี้ตัวเลือกมีออกมามากมาย เราคิดว่าอย่าเลือกอะไรที่มันเป็นแฟชัน ที่มันเป็นกระแสมากเกินไป เลือกจากเหตุผล จากตัวเราดีกว่า”

ด้วยความที่ดูเป็นผู้ชายสุภาพ แต่งตัวเนี๊ยบ จึงถูกมองว่าเขาเป็นผู้ชายแบบเมโทรเซ็กชวล “ผมว่าคนก็คือคนนะ ผมไม่ชอบการแบ่งกลุ่ม ไม่ใช่ว่าคนนั้นต้องเป็นกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ทุกวันนี้มันแตกแยกพอแล้ว (หัวเราะ) ไม่จำเป็นต้องแบ่ง แต่ละคนก็เป็นตัวเอง ถามว่าเมโทรฯ ไหม ผมก็ไม่ได้เป็นคนเนี๊ยบขนาดนั้นนะ เป็นคนที่ตามเทคโนโลยี ตามกระแสความสมัยใหม่ ไม่ได้เป็นคนที่หยุดอยู่นิ่งอยู่เฉยๆ ผมเป็นคนสบายๆ นะครับ มียึดหลักการเป็นหลัก (หัวเราะ) ผมไม่ชอบอะไรที่ไม่มีเหตุไม่มีผล แม้แต่ดีไซน์หรือการเลือกของ ผมขอเลือกอะไรที่มีความฉลาดในการทำ อะไรที่เป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ ทุกอย่างในชีวิตผมเลือกจากความพิเศษ

บางคนเข้าใจผิด ผมมองคำว่าเมโทรฯ มีทั้งบวกและลบ มันอาจจะแสดงว่าเป็นคนหลงตัวเองมากๆ หรือวันๆ เอาใจใส่แต่เรื่องของตัวเอง ผมบอกได้เลยว่าผมไม่ใช่คนอย่างนั้น

ผมค่อนข้างจะยึดถือมากในเรื่องความสุภาพกับผู้อื่น ผมไม่เคยทะเลาะกับใคร พูดได้เต็มปากผมไม่เคยโกรธใครจริงๆ หรือเกลียดใคร ผมว่าชีวิตและเวลามันมีค่าเกินกว่าที่จะไปนั่งโกรธเกลียดใคร

สิ่งสำคัญในชีวิตผมว่าอยู่ที่คุณค่า ตั้งแต่เด็กมาเราจะมีช่วงวัย ตอนเด็กหน้าที่คือเรียนรู้ เป็นวัยรุ่นหน้าที่คือรู้จักตัวเอง โตเป็นผู้ใหญ่คือทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เลี้ยงดูครอบครัว สุดท้ายแล้วเราต้องมอบอะไรคืนให้แก่ผู้อื่นก่อนที่จะลาจากโลกนี้ไป ผมว่าถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เราจะให้อะไรแก่ผู้อื่นได้อีกเยอะแยะเลย อย่าไปมัวกระเสือกกระสนหาอะไรเพื่อมาประโคมตัวเองเลย

มนุษย์ทุกคนก็มีความอยาก แต่สิ่งสุดท้ายที่คนจะจำคือเรามีคุณค่าต่อคนรอบข้างหรือเปล่า ไม่ใช่ร่ำรวยมหาศาลแต่ไม่มีคุณประโยชน์อะไรเลย เหมือนอาหารอร่อยแต่ไม่มีประโยชน์ ในที่สุดก็ไม่มีคุณค่าอะไรให้จำ”

จัดตารางชีวิต พิชิตโรค
เห็นภายนอกดูเป็นหนุ่มหน้าใส หุ่นเฟิร์ม สุขภาพดีแบบนี้ หมอโอ๊คบอกว่าจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เขาเป็นคนไม่ค่อยดูแลสุขภาพ เพราะทำงานหนัก ไม่มีเวลาพักผ่อน จนมีปัญหาสุขภาพเป็นโรคฮิตของคนเมืองอย่างที่ตอนนี้หลายคนเป็นกัน ทั้งปวดหลัง เป็นภูมิแพ้ ถึงขนาดทำงานไม่ได้ จึงเริ่มหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจัดตารางชีวิตใหม่

“ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยออกกำลังกายนะ เป็นเด็กเรียนมากเลย เพราะว่าช่วงหนึ่งทำงานเยอะไม่ดูแลตัวเอง นอนน้อยด้วยแล้ว ร่างกายมันก็เลยสู้ไม่ไหว ผมเป็นคนไม่สบายบ่อยมาก แล้วเวลาเป็นทีเป็นหนัก เวลาเป็นหวัดทีหนึ่ง ไอเป็นเดือนแล้วไม่หายสักที ไอจนเป็นหอบเลย มันก็กระทบกับงานหมด ทั้งเป็นหวัด ท้องเสีย เป็นไข้ พอหายอีกแป๊บหนึ่งก็เป็นใหม่อีกแล้ว

ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราสนุกกับการทำงาน เพิ่งเข้าวงการบันเทิง ก็อยากจะทำให้ดีที่สุด คลีนิกก็เพิ่งเปิด ก็ลุยแต่งาน รู้สึกว่าต้องทำให้ได้มากที่สุด ปรากฎว่าสิ่งที่ตามมาคือเราป่วย พอเราป่วยทุกอย่างมันพังเป็นโดมิโนเลย ตารางที่เราวางเอาไว้ทั้งหมดเสียเลย เราไม่สามารถที่จะเดินตามนั้นได้ ต้องพักอย่างเดียว หลังจากนั้นก็ตั้งใจเลยว่าปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะไม่ใช่แค่ผลเสียกับเราคนเดียว ทีมงาน สต๊าฟ โรงพยาบาล คนไข้ ทุกคนเขาก็รอเรา

ตอนนั้นรู้ก็รู้นะ แต่รู้สึกว่าเรายังไหว ด้วยความที่อาจจะยังเด็ก ก็เลยไม่ได้ประมาณตัวเองว่าจริงๆ แล้วร่างกายก็ต้องการการดูแล แต่ก็ไม่ได้เหมือนกับเปิดสวิตซ์ เราก็ค่อยๆ ปรับทีละอย่าง โชคดีที่จัดตารางให้ตัวเองได้ ตารางชีวิตที่เราควบคุมได้ ผมเพิ่งจะมาดูแลสุขภาพตัวเองจริงจังประมาณ 1-2 ปีนี้เอง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เริ่มจากกินวิตามินเสริมบ้าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดอยู่ที่ตัวเราเอง เริ่มจากการนอน การเลือกรับประทานอาหาร

ผมเป็นคนที่พยายามปรับวินัยในเรื่องของการออกกำลังกายตลอด สัปดาห์หนึ่งอย่างน้อยให้ได้ 4 วัน ผมจะพยายามทำให้หลากหลาย เพราะว่าเราทำงานด้านสุขภาพ เราก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องสุขภาพ เน้นไปที่การวิ่ง ขี่จักรยาน ปีนหน้าผา มีว่ายน้ำบ้างสลับ ที่เป็นโปรแกรมเลยคือเล่นฟิตเนส มีครูฝึกส่วนตัวที่เขาจะจัดโปรแกรมให้ฝึก”

ถึงจะเป็นผู้ชายตัวเล็ก แต่ก็แอบเห็นกล้ามบึ๊กอยู่ภายใต้เสื้อยืดพอดีตัว “ผมไม่ได้เน้นอยากมีกล้ามนะ แต่เน้นเพื่อสุขภาพมากกว่าเพราะผมเป็นคนทำงานนั่งโต๊ะตลอด ผมก็มีปัญหาเรื่องปวดเมื่อย ปวดหลัง ซึ่งการออกกำลังกายมันช่วยได้จริงๆ นะครับ เล่นฟิตเนสมันไม่ได้ช่วยให้รูปร่างดีอย่างเดียว มันทำให้เรามีความแข็งแรงมากขึ้น มีการทรงตัวที่ดีขึ้น หลังๆ ผมก็มีเล่นฟิตเนสอื่นๆ เล่นโยคะ พิลาทิส เพื่อฝึกให้ร่างกายเรามีสมดุล มีความพร้อมที่จะลุยงาน รู้สึกสุขภาพดีขึ้นเยอะเลยครับ รวมถึงโรคภูมิแพ้ด้วย

ส่วนเรื่องอาหารก็ต้องเลือกกินนิดหนึ่งด้วยความที่เราเป็นแพทย์ เราก็จะเลือกกินในสิ่งที่ดี เป็นตัวอย่างให้คนไข้ด้วย และเราก็ศึกษา มันก็เลยกลายเป็นชีวิตประจำวันโดยที่เราไม่รู้ตัว

พอทำอาหารเองได้นิดหน่อยแต่ไม่เก่ง (หัวเราะ) ผมก็จะชอบทำอาหารง่ายๆ อย่างสลัดผัก เนื้อเสต๊ก หรือปลา ที่มันอบ อาหารทอดจะกินน้อยลง ผมไม่ค่อยชอบกินข้าว”

เชื่อในธรรมะแบบวิทยาศาสตร์
แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นผู้ชายทันสมัย มีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง ชอบติดตามข่าวสาร และเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่สิ่งที่หมอโอ๊คยึดเป็นหลักในดำเนินชีวิตมาตลอดก็คือหลักธรรม โดยเฉพาะเรื่องของอริยสัจ 4 ซึ่งฟังดูอาจจะรู้สึกเขาเป็นคนธรรมะจ๋า แต่เขายืนยันว่าหลักธรรมมันสามารถใช้ได้กับทุกเรื่องจริงๆ

“ที่บ้านจะสอดแทรกเรื่องของธรรมะ มีหลักธรรมที่สอนตลอดมาตั้งแต่เด็ก เราต้องรู้จักละอายใจในการทำผิด ศีล 5 เป็นพื้นฐานเลยที่จะเรียนรู้ และเป็นหลักที่ดี จนเราสามารถที่จะก้าวสู่ศีลอื่นๆ ต่อไปได้อีก

ผมเป็นคนวิทยาศาสตร์ แต่ก็ศึกษาในเรื่องหลักธรรม จริงๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่วิทยาศาสตร์มากๆ หลักการคิดที่เป็นอริยะสัจ 4 มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดแล้ว ผมเชื่อในหลักการนี้มากว่าทุกเรื่องต้องมีทางแก้ของมัน เพราะฉะนั้นทุกปัญหาที่เข้าในชีวิตใช้อริยสัจ 4 ได้หมดเลย อาจจะดูว่าเป็นคนธรรมะมาก แต่ว่ามันใช้ได้จริงๆ”

หมอโอ๊คยกตัวอย่าง “เร็วๆ นี้เพิ่งทำกุญแจรถหาย แทนที่จะนั่งตีโพยตีพายว่ามันหายไปไหน ใครเอาไป ก็มานั่งคิดว่ากุญแจรถหายก็ต้องมีสาเหตุ เราไปลืมที่ไหน มีคนขโมยไปคงยากเพราะเราเพิ่งเห็น เราไปลืมที่ไหนบ้างก็ตามหา สาเหตุคือเราไม่มีสติ ลืมเอาวางไว้ วิธีแก้คือต่อไปนี้เราต้องมีสติมากขึ้น ต่อไปนี้เราต้องมีที่วางกุญแจรถที่เป็นที่ประจำ ทำให้เราเคยชินว่าต้องวางตรงนี้ พอแก้แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่ลืมอีกเลย

อีกอย่างหนึ่งคือเวลาผมเลือกคบเพื่อนและคนใกล้ชิด ผมไม่เคยมองว่าเขายิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือทำให้เราดูดีได้ขนาดไหน ผมคิดแค่ว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า และเป็นคนที่เข้าใจในหลักการเดียวกันคือหลักการทางพุทธศาสนา”

คนรอบข้างมาก่อนตัวเอง
ความใส่ใจคนรอบข้างที่เห็นได้ชัดๆ ของหนุ่มคนนี้อีกช่องทางหนึ่งการใช้โซเชียลมีเดียติดต่อพุดคุยกับแฟนคลับอย่างเป็นกันเองและตอบปัญหา ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพให้แก่แฟนคลับอยู่ตลอด โดยใช้ชื่อ @oak_smith ที่มีคนติดตามกว่า 1 แสนคน และ @Doctorsmithtv อัปเดตข่าวเกี่ยวกับรายการ “Dr.Smith” (ดอกเตอร์ สมิทธิ์..พบหมอโอ๊ค) ออกอากาศทางช่อง 5 ซึ่งทำร่วมกับโอปอล์แฟนสาว

“ผมรู้สึกดีมาก รู้สึกว่าโลกใบนี้เล็กลง และถ้าใช้ให้เป็นประโยชน์นะ มันทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะในประเทศนะ ทั่วโลกเลย เพราะทุกคนมีหน่วยเท่ากันในทวิตเตอร์ เรามีสิทธ์ที่จะแชร์เท่ากันหมด ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร

แฟนคลับมีหลากหลายเลยครับ วัยรุ่นก็เยอะ วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็ให้ความใส่ใจกับตัวเองมากขึ้นและปฏิเสธไม่ได้ว่าวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่ใช้โซเชียลมีเดียเยอะ เพราะเป็นเจนเนอร์เรชันของเขา

อัปเดต ส่วนใหญ่เรื่องสุขภาพนี่แน่นอน ตั้งแต่เรื่องโรคทั่วไป ปวดหัวตัวร้อน ไม่แน่ใจคำวินิจฉัยของแพทย์ มีปัญหาอยากบ่น ไปพบแพทย์ที่ไหนดี เราก็จะตอบว่าให้ไปคุยกับหมอประจำตัวคุณก่อน จริงๆ แล้วต้องการอะไรกันแน่ บางโรคก็ไม่ได้หาย แล้วก็มีแนะนำวิธีดูแลตัวเองเท่าที่เรารู้ บางทีก็มีการติดต่อถึงคุณหมอที่รู้มากกว่าก็จะส่งต่อ

มีถามเรื่องโรคแปลกๆ ก็เยอะ บางคนพาลไปถึงปัญหาชีวิต พ่อแม่ทะเลาะกันทำยังไง หนีออกจากบ้าน เราก็พยายามบอกให้เขาเย็นลง ผมรู้สึกว่าถ้าเขาเป็นคนไม่ฟังอะไรเลยเขาคงไม่พิมพ์มา เราตอบไปเขาคงรู้สึกดีขึ้น

ผมจะพยายามตอบ แต่อาจจะไม่หมดทุกท่าน บางเรื่องซ้ำๆ กันก็จะตอบรวม ผมคิดว่าถ้าเขาไม่มีปัญหาจริงๆ เขาคงไม่เสียเวลาพิมพ์ ผมว่าเป็นโอกาสที่ดีมากในชีวิต การที่เราเป็นจุดสนใจและสามารถถ่ายทอดอะไรได้ สามารถนำพาไปสู่ผู้รู้ท่านอื่นๆ ได้ ผมว่าเป็นบุญมหาศาล”

ผมเป็นคนที่ค่อนข้างคิดว่าคนรอบข้างมาก่อนตัวเอง เพราะฉะนั้นรายละเอียดปลีกย่อยผมไม่ค่อยสนใจ เราชอบอันนี้เราก็ทำเท่านั้นเอง ผมมองว่าคนเราเข้าใจยาก คนที่ไม่ใช่ตัวเรา แม้แต่ตัวเราเองบางทีเรายังไม่เข้าใจเลย การที่เราเอาใจใส่คนอื่นมันสะท้อนถึงว่าเราแคร์เขาว่าจริงๆ แล้วเขาคิดอะไรอยู่ ถ้าเราไม่เอาใจใส่คนอื่นรอบข้างตัวเราเนี่ย สิ่งที่ดำเนินต่อไปมันคงเป็นไปไม่ได้ เราคงพูดคุยกันไม่ได้ คงต่อเนื่องกันไม่ได้ ทุกอย่างเลยนะครับไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรู้จัก หรือใครก็ตาม

โดยเฉพาะคนไข้ เขาให้ความไว้วางใจกับเรา บางคนตีความผมผิดไปไกลมาก จะถามผมบ่อยมากว่าอย่างนี้แฟนคลับมาหาผมบ่อยเลยสิ ร่ำรวย บอกได้เลยว่าเรื่องของแพทย์และผู้ป่วยมันมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ การที่เราไว้วางใจให้คนๆ หนึ่งรักษา มันเป็นการให้ใจเลยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก็ตั้งใจที่สุดที่จะแก้ปัญหานั้น ผมถือว่าเป็นงานที่สำคัญ”

เวลาว่างผมค่อนข้างทำอะไรเรียบง่ายนะ เป็นคนที่ค่อนข้างมีความสุขง่าย คนเรามักจะหาข้ออ้างให้ตัวเอง ผมก็เคยเป็น ทำงานเหนื่อยจังเลย เดี๋ยวรอนะ ว่างสักวันหนึ่งจะทำนู่นทำนี่ แล้วพอถึงวันนั้นจริงๆ มันไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด จริงๆ มันไม่ต้องไขว่คว้า ทำงานทุกวันอย่างมีความสุขได้ อย่าไปตั้งกฎเกณฑ์ไปตั้งแง่ตั้งแต่แรกว่าทำงาน 8 โมงเช้า เดี๋ยวเลิกงานไปเที่ยวให้สะบัดดีกว่า เราสนุกกับทุกนาทีของชีวิตเราดีกว่า

คนเราอายุสั้นนะผมว่า ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ก็ทำให้ทุกวันมีความสุขดีกว่า

แต่ก่อนผมเป็นคนที่ค่อนข้างเครียด แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว ผมไม่ใช่จะทำให้ดีที่สุดแค่ตัวเรา แต่อยากจะทำดีที่สุดสำหรับทุกคน แล้วก็ได้เรียนรู้นะครับว่าคนทุกคนคาดหวังต่างกัน เราไม่สามารถเอาใจคนทุกคนบนโลกนี้ได้ เพราะฉะนั้นทำดีที่สุดตามหลักการและเหตุผลของเรา ก็โอเคที่สุดแล้ว

ผมชอบความสงบ ชอบอะไรที่สบายๆ ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย กฎระเบียบเยอะแยะ การใช้อารมณ์ใส่กัน ผมว่าการพูดคุยกัน ต้องพูดคุยกันในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่สร้างสรรค์มันถึงจะนำพาไปสู่งานที่ดีได้ รวมถึงเพื่อน รวมถึงสังคมด้วย การคุยกันด้วยอารมณ์เนี่ย ไม่เคยพาอะไรที่ดีมาเลย ผมเป็นคนต่อต้านเรื่องนี้”

คู่รักช็อกวงการฯ
สำหรับเรื่องความรักระหว่างคุณหมอหนุ่มเจ้าสำอางกับพิธีกรสาวผิวเข้ม เปรี้ยวจี๊ด ก็เป็นที่ถูกจับตามอง และเป็นประเด็น เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อยู่พอสมควร

พอถามเรื่องความรัก หมอโอ๊คก็ตอบแบบเขินๆ เพราะเกรงใจแฟนสาวซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างนัก “ความรักเป็นสิ่งที่ดี ผมว่าอย่าไปตั้งเงื่อนไขอะไรมากมาย ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลกแล้ว ถ้ามีคนที่เข้าใจ แชร์อะไรกับเราได้ ทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่ตัวคนเดียวบนโลก

ผมก้าวข้ามผ่านสเปกทั้งหมดมาแล้ว ผมว่าสำคัญที่ความคิดว่าจูนกันติดไหม สำหรับโอปอล์ ผมว่าเขาเป็นคนดีครับ เขามีความคิดที่ให้เกียรติคนอื่น ผมเห็นวิธีการที่เขาปฏิบัติกับคนที่ด้อยกว่า หรือชีวิตประจำวันที่เขาใช้ บางคนเหมือนนางฟ้าเลย แต่ 5 นาทีเราก็ไม่อยากอยู่ใกล้เขาแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากกว่าที่เขาจะเข้าใจ สำหรับผมไม่นานที่จะรู้ว่าใครคือคนที่ใช่ ผมมีวิธีของผม (หัวเราะ)”

อีกอย่างที่ทำให้ช็อกวงการฯ เพราะหมอโอ๊คไม่เคยเปิดตัวเป็นแฟนกับสาวคนไหนมาก่อน “ผมไม่ชอบเป็นข่าว พูดจริงๆ ผมไม่ชอบเปิดตัว ผมไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาล้อเล่น ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาสร้างอะไรให้ตัวเองเลย พยายามอยู่อย่างเงียบๆ มากกว่า จะเห็นว่ามีข่าวอะไรมา กระแสรุนแรงผมก็จะตอบแบบธรรมดาไปหมด ยิ่งเรื่องบ้อบอ เรื่องที่มันไม่จริงทั้งหลาย ผมก็นิ่งกับมันนะ

จริงๆ ไม่ตั้งใจจะเปิดตัวอะไรนะ เรารู้จักคบกันมานานแล้ว เราเข้าวงการฯ มาพร้อมกัน จริงๆ รู้จักกันมานาน 4-5 ปีแล้ว ตอนแรกที่เป็นข่าวก็ตกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องเป็นข่าวขนาดนี้ เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่มีเรื่องอะไรเลย ทำไมต้องตื่นตะลึงอะไรกันขนาดนี้ แล้วก็มีกระแสตามเรื่องตามราวของวงการบันเทิง

ผมว่าที่คนเซอร์ไพรส์เพราะเราไม่ค่อยมีข่าวไง เหมือนเราสองคนมาจากคนละทิศคนละทาง ทำงานคนละด้าน โอปอล์อาจจะไปทางศิลปะ เรียนนิเทศ ทำงานการแสดง เขาจะอาร์ตมาก ส่วนผมก็จะไปทางวิทยาศาสตร์ เราดูไม่เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วเราเหมือนกัน แต่เราโตมาย่านเดียวกัน เราเดินสวนกันไปกันมาตั้งแต่เด็ก เราเป็นคนที่รักครอบครัวเหมือนกัน เป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างเหมือนกัน มีแนวคิดในการดำเนินชีวิตเหมือนกัน ไม่ได้คาดหวัง ละโมบโลภมาก ใช้ชีวิตให้มีความสุข

ผมมองว่าผู้หญิงทุกคนสวย ผมว่าเพศหญิงเป็นเพศที่สวยงาม เพศชายเป็นเพศที่ทื่อๆ เหมือนๆ กันหมด ผมก็เป็นแบบนี้ ผมไม่เคยมองตัวเองว่าหล่ออะไรเลยนะ ผมว่ามันเป็นกระแส แต่เพศหญิงโดนสร้างมาให้เป็นเพศที่สวยงาม มีรูปร่างที่สวยงาม มีใบหน้าที่สวยงาม มีผมที่สวยงาม เป็นธรรมชาติของผู้หญิง ที่ทำให้เขามีลักษณะเฉพาะของเพศหญิง มีความรักสวยรักงาม ขึ้นอยู่กับว่าผู้หญิงคนนั้นรู้หรือเปล่าว่าเขามีความสวยงาม

ผมว่าการที่เราเป็นคนที่เห็นคุณค่าของผู้อื่น ไม่ได้มองว่าเราเลิศลอยเหนือคนทุกคน ทำอะไรก็ได้ไม่ผิด ถ้าเราอยู่ในกรอบที่ถูกต้องมันก็เป็นสิ่งที่ดี”

เปิดใจกับ “กระแสข่าวเกย์”
อีกหนึ่งกระแสข่าวของหมอโอ๊ค ซึ่งมีมานานและมีมาตลอดคงหนีไม่พ้นกระแสข่าวเกย์ ซึ่งเขาก็เปิดใจตอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา “ผมเป็นข่าวแบบนี้มานานแล้วครับ ผมก็ขำกับมันนะ มันไม่มีมูลอะไรเลย ผมไม่ได้รู้จักกับเขาเลย ทางนั้นก็บอกว่าไม่ได้รู้จักกับผม

ผมว่าวงการบันเทิงเนี่ย กำหนดบทบาทให้แต่ละคน บทบาทในการเป็นข่าว แล้วก็พิพากษาไปแล้ว พอเรามีกระแสอะไรขึ้นมา คนก็มาปะติดปะต่อจากไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้ที่มาที่ไป ผมไม่สามารถตอบได้จริงๆ ผมไม่รู้มาจากไหน มันก็เกิดข่าวนี้ขึ้นมา แต่พอเราโดนข่าวนี้ไปแล้ว มันก็ไม่แปลก เพราะเหมือนเราถูกกำหนดบทบาทไปแล้ว มันก็มีเรื่องราวแบบนี้ แล้วก็ล้อเลียน ตอนแรกๆ ก็งง นะ มันอะไรกัน เพื่ออะไร

คำถามแรกคือเพื่ออะไร ใครทำ แต่หลังๆ มา ก็ไม่ซีเรียสนะครับ รู้สึกว่าข่าวบันเทิงมันก็อ่านเพื่อความบันเทิง ผมเคยเจอแรงกว่านี้เยอะ มันไม่มีที่มาที่ไป คนรอบข้างรู้ว่าเราเป็นยังไง มันตลกมากกว่า

ผมอยากฝากถึงคนอ่าน บางครั้งคอมเมนต์รุนแรงมาก ไปกันใหญ่เลยว่าเราวางแผง นู่นนี่นั่น อยากบอกว่าอย่าคิดเยอะเลยครับ เราไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอก (หัวเราะ) ผมทำอะไรไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอก ผมเป็นคนตรงไปตรงมากับชีวิต ไม่เคยเอาเรื่องอย่างนี้มาล้อเล่น และทุกครั้งที่ตอบคำถาม ผมบอกได้เลยว่าเชื่อได้ทุกเรื่อง ผมไม่เคยสร้างภาพ ไม่เคยปั่นกระแส ไม่เคยอะไรเลย ถ้าใครทำงานกับผมจะทราบดี อาจจะเป็นเพราะเขาไม่รู้จักเรามากกว่าก็เลยเกิดความคิดอะไรต่างๆ ขึ้นมา

หลายคนรู้สึกโมโหกับสังคมมากไป ไม่ได้มองว่ามีอะไรดีเลย จริงๆ โลกมันสวยงาม ผมไม่ใช่คนประเภทโลกสวยนะ แต่ผมอยากจะช่วยให้โลกมันสวยขึ้น เท่านั้นเอง ข่าวบันเทิงมันก็คือความบันเทิง มีสีสัน ปะติดปะต่อ ไปย้อนดูดีๆ มันก็มีแต่อักษรย่อ เพราะเขาไม่กล้ามาเจาะจงอะไร จริงๆ อ่านเพื่อนความสนุกสนานแล้วกัน อย่าไปโกรธแค้นอะไรกับโลกนี้ อย่าไปทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มันไม่น่าไว้ใจเลย ต่อไปฉันจะไปเชื่อใจใครได้ มีแต่สิ่งที่หลอกลวง ถ้าคุณอินขนาดนั้นเนี่ย กลับมาตั้งสติกับตัวเอง แล้วก็เสพข่าวบันเทิงเพื่อความสนุกสนานดีกว่า

แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกคือผมไม่โกรธแน่ๆ บอกได้เลยเต็มปาก มันเหนือคำว่าชิน มันเป็นความเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องอย่างนี้ มันเป็นความสนุก เป็นสีสันก็โอเค ไม่ได้ทุกข์ใจและไม่ยอมเด็ดขาดให้มันเกี่ยวกับชีวิตจริงของเรา”

ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน









เป็นข่าวกับ ไก่-ภาษิต โดยที่เจ้าตัวบอกว่าไม่รู้จักกัน





กำลังโหลดความคิดเห็น