xs
xsm
sm
md
lg

“เกตุ-ธัญญา” ดังได้เพราะหน้าแปลก!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นังหน้าหนอน, หน้าปลาบู่, นังหน้าปลวก... สารพัดคำด่าเรื่องหน้าตาที่กลายมาเป็นฉายาติดตัวเธอ ถึงแม้แต่ละชื่อจะฟังดูรุนแรง ชวนให้สะทือนใจอยู่ไม่น้อย แต่ดาราตลกดาวรุ่งในนาทีนี้อย่าง “เกตุ-ธัญญา รัตนมาลากุล” บอกคำเดียวว่าไม่อาจทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจได้อีกต่อไป ทั้งยังยืดอกยอมรับอีกว่า “ถึงหน้าตาจะเป็นแบบนี้ แต่หนูก็ดังได้เพราะหน้าตานี่แหละค่ะ”


 
 

หน้าแปลกพารวย
แน่นอนค่ะ หนูใช้หน้าตาทำมาหากินนะ ใช้หน้าตาทำมาหากินมากกว่านางเอกอีก (หัวเราะก๊าก) ต้องยอมรับค่ะว่าที่ได้โอกาสมาทำงานในวงการ ส่วนหนึ่งเพราะหน้าตาทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง แล้วก็โชคดีที่จบการแสดงมาด้วย (คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เอกการแสดง) เลยยิ่งช่วยเสริมเข้าไปอีก คนเลยโอเคกับผลงานเรา แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ถึงกับมีงานเข้ามามากมายนะคะ อาจจะต้องฝากให้เขียนบอกเขา ให้ติดต่อหนูเข้ามาเถอะ (น้ำเสียงอ้อนวอน) ตอนนี้แค่เริ่มๆ มีคนรู้จักมากขึ้นแค่นั้นเอง ยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างอะไรมาก
 

เคยมีข่าวเขียนว่าหนูเกิดมาเพื่อฆ่าพี่ตุ๊กกี้ อันนี้หนูตกใจมาก เพราะเราไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย แล้วก็คิดว่าตัวเองคงไม่เก่งขนาดจะไปทำแบบนั้นได้ พี่ตุ๊กกี้เขาเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการตลกไปแล้วค่ะ แต่หนูเพิ่งเข้ามา แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปด้านนั้นด้วย หนูอยากเน้นไปที่งานแสดงมากกว่าค่ะ คือเวลาแสดงหนูจะเล่นเต็ม แสดงตลกก็จะพยายามตลกให้สุด แต่ตัวจริงเราอาจจะไม่ได้เป็นคนตลกขนาดพี่ๆ ตลกอีกหลายๆ คน ไม่ได้มีมุกเยอะเหมือนพี่เขา หนูยังไม่เก่งขนาดนั้นค่ะ

เวลาคนดูเห็นหน้าเราปุ๊บจะชอบเหมารวมไปว่าคนนี้เป็นตลก คิดว่าหนูจะมาทางพี่เอ๊ดดี้ผีน่ารักตลอด (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วหนูก็อยากเล่นได้หลายๆ บทบาทนะ ไม่ใช่บทตลกอย่างเดียว แต่ช่วงแรกๆ นี้คงเน้นบทตลกเป็นหลักก่อน ต้องยอมรับค่ะว่าเป็นบทที่มีงานเยอะมาก พี่ๆ ตลกหลายคนที่ดังๆ แล้ว เห็นเขามีงานเข้ามาเยอะกว่าพระเอกนางเอกอีกนะ คือตัวเอกเขาอาจจะเล่นได้แค่เรื่องสองเรื่องต่อปี แต่เราสามารถไปแจมได้เยอะมาก ก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเป็นนักแสดงตลกค่ะ แต่ตอนนี้หนูก็ยังไม่ได้คิวทองแบบคนอื่นๆ เขานะ อันนี้ต้องย้ำ เผื่อใครสนใจจะได้เรียกหนูไปแจม (ยิ้มแป้น)







ถูกเรียกว่า “นังหน้าหนอน”
ดีใจนะ จริงๆ! หนูเป็นคนไม่คิดอะไรมากกับเรื่องหน้าอยู่แล้วค่ะ เพราะเราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว (หัวเราะ) ถือว่าเขาจำเราได้ เขาเลยเรียกเราด้วยความชื่นชมเอ็นดูมากกว่า ถ้าจู่ๆ คนเดินเข้ามาด่าว่านังหน้าหนอน เราอาจจะโกรธ แต่นี่พอเข้าใจได้เพราะมันเป็นชื่อในละครเรื่อง “รักออกอากาศ” ที่เพิ่งจบไปค่ะ จริงๆ ตัวละครชื่อแทยัยนะ แต่คนไม่เรียก เรียกแต่ “นังหน้าหนอน” ตลอดเพราะเป็นคำที่คนอื่นเขาด่าเราในเรื่อง เดินๆ อยู่ก็มีคนตะโกนเรียกเสียงดังมาก ขนาดนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่ยังมีคนบีบแตรเรียกเลย เราถึงรู้ว่า เอ้อ! ละครภาคค่ำมีอิทธิพลต่อคนทั้งประเทศจริงๆ หนูก็ทำงานในวงการมา 2 ปีแล้ว ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเลย แต่พอมาเล่นละครหลังข่าว ไปที่ไหนคนก็จำได้ รู้เลยว่าคนดูกันทั้งประเทศจริงๆ
 

แต่พี่ๆ ดาราจะไม่ค่อยเรียกชื่อนี้กันเท่าไหร่นะคะ จะเรียกหนูว่า “ปลวก” กันมากกว่า เวลาไปถ่ายรายการต่างๆ จะโดนแซวว่ามาแทะไม้เหรอนังหน้าปลวกหรืออะไรทำนองนี้ จริงๆ หนูก็ไม่รู้หรอกว่าปลวกมันหน้าตาเป็นยังไง (อมยิ้ม) คือเราอาจจะหน้าไม่เหมือนปลวกก็ได้ แต่เขาคงไม่รู้จะแซวอะไรเพราะหน้าเราแปลก ก็เลยแซวว่าปลวกกันไป ซึ่งมันก็ดีนะคะ หนูว่ามันช่วยให้คนจำเราได้มากขึ้น ทุกวันนี้หนูยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าเรามีคาแร็กเตอร์อะไรที่คนจำได้บ้าง ถ้าเทียบกับพี่ๆ ตลกรุ่นเก่าๆ อย่างพี่เอ๊ดดี้ เขาก็จะมีคาแร็กเตอร์ชัดเจนมาก จะมีประโยคที่คนจำได้ว่าเป็นเขาเลยคือ “หะ...ไม่สบาย” ถ้าเป็นพี่โหน่ง (ชะชะช่า) ก็ “มาแว้ววว” หรืออย่างพี่หนู-เชิญยิ้มต้องเดินโน้มตัวไปข้างหน้า แต่หนูยังไม่มีอะไรโดดเด่นขนาดนั้นเลย ก็ต้องหากันต่อไป

ทุกวันนี้หนูแค่เล่นไปตามบทและเล่นให้เต็มที่ อาจจะเอาความเป็นตัวเองผสมเข้าไปกับตัวละครที่ได้รับบ้าง แต่ยังไม่เคยมานั่งคิดว่าคาแร็กเตอร์จริงๆ ที่เด่นๆ ในตัวเราเป็นยังไง ยังไม่เคยเอาตัวจริงออกไปให้คนรู้จักเยอะขนาดนั้น ตอนนี้คนเลยจำได้แค่ภาพเราในละคร แต่ยังไม่ค่อยได้รู้จักตัวจริงเท่าไหร่ ปกติแล้วหนูเป็นคนเบลอๆ โก๊ะๆ จริงๆ แล้วหนูไม่ใช่คนตลกนะ แต่ด้วยความงงๆ นี่แหละ คนอื่นเลยอาจจะมองว่ามันตลกไปเอง






มีมุมสวยๆ เหมือนกันนะ
ตัวจริงของเกตุ
เป็นคนเต็มที่ค่ะ เวลาหนูแสดงหนูจะเล่นใหญ่ตลอด ไม่ห่วงหน้าเลยว่าจะไม่สวยเพราะไม่มีอะไรจะเสียจริงๆ ถูกสอนมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่ะว่าให้ “เต็มที่แบบนิเทศศาสตร์” ก็เลยพยายามเป็นแบบนั้นมาตลอด คนในกองก็จะแซวว่าเกตุจ้างร้อยมาพัน (ยิ้ม) คือตอนอยู่นอกฉากหนูเป็นคนนิ่งมาก จะซุกตัวนอนชาร์จแบตตลอด ใครชวนคุยก็ค่อยคุย ไม่ได้บ้าพลังตลอดเวลา แต่พอเข้าฉากปุ๊บคนอื่นก็จะตกใจ อ้าว! ทำไมตัวจริงกับเวลาแสดงคนละโหมดกันเลยวะ เลยกลายเป็นว่าพอแสดงก็แรง! จัดเต็มตลอด แต่พอสั่งคัตปั๊บก็กลับมานิ่งเหมือนเดิม
 

อันนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ แต่จริงๆ แล้วหนูเป็นคนจริงจังมากๆ นะ เป็นคนเครียดง่ายมาก แต่พอดีว่าเรามาทำงานในวงการบันเทิง พอเราเต็มที่กับการตลกมันเลยยิ่งตลก ก็เลยดูไม่เครียด แต่หนูว่าถ้าหนูเลือกไปเส้นทางอื่น หนูคงเป็นคนเครียดมาก จริงจังกับชีวิตมาก ถ้าใครทำงานกับหนูจะรู้เลย
หนูจะเกลียดมากคนที่ขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบแล้วก็ไม่ตรงต่อเวลา คือเวลาพบเจอใคร หนูจะไม่มานั่งสงสัยว่าไอ้คนนี้ หน้าตาเป็นแบบนี้ เกิดมาได้ยังไงวะ หนูไม่เคยดูถูกเรื่องหน้าตาใครเลย เรื่องเดียวที่หนูจะสงสัยและดูถูกคือ ทำไมคนนี้เกิดมาแล้วไม่มีความรับผิดชอบขนาดนี้วะ คนแบบนี้โตมาได้ยังไงเนี่ย ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ทำไมถึงได้ขี้เกียจขนาดนี้ หนูรับไม่ได้เลยคนที่ทำงานด้วยความชิล ไม่เข้าใจว่าเขาชิลกันขนาดนั้นได้ยังไง

คงเพราะหนูไม่ใช่คนหน้าตาดีด้วยมั้งคะเลยทำให้หนูพยายามเต็มที่กับทุกเรื่อง หนูไม่อยากให้คนมองว่าที่ดังได้ก็แค่หน้าแปลกแต่ไม่มีความสามารถอะไรเลย เล่นอะไรไม่เห็นตลกเลย หนูว่าการอยู่ตรงนี้เราต้องแบกความคาดหวังเอาไว้กับตัวเยอะอยู่เหมือนกันเพราะเราไม่อยากทำให้ใครสักคนผิดหวัง ถึงแม้ความจริงจะไม่มีใครคาดหวังกับหนูก็ตาม (หัวเราะ) แต่หนูก็จะพยายามทำเต็มที่ค่ะ ยิ่งทุกวันนี้เริ่มมีคนมาชอบ มาเป็นแฟนคลับ ก็ยิ่งอยากทำให้เขารักเราไปแบบนี้ไปอีกนานๆ








ศัลยกรรมไปก็เท่านั้น
เห็นแสดงแต่บทแรงๆ แบบนี้นะ แต่เชื่อไหมหนูเป็นคนไม่เซลฟ์เลย ความมั่นใจในตัวเองอยู่ในระดับต่ำกว่าคนอื่นมากๆ เป็นคนขี้อายตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ทุกครั้งที่ต้องออกไปแสดงอะไร จะคิดตลอดว่าทำไมฉันต้องออกไปแล้วก็สั่นอยู่ต่อหน้าคนอื่นด้วยวะ รู้สึกเครียดมาก ไม่มีความสุขเลย ตลอด 4 ปีที่แสดงละครเวทีของคณะก็ไม่เคยมั่นใจเลยค่ะ เป็นเพราะบทที่ได้เล่นมันเปลี่ยนไปตลอด
 

มีอยู่ปีหนึ่งได้แสดงเป็นโสเภณีด้วย ทั้งเรื่องเป็นดรามาจัดเลย โดนผู้กำกับสั่งว่าห้ามเผยความตลกออกมาเด็ดขาด มุกก็ห้ามปล่อย ซึ่งมันยากมาก พอเสร็จก็ไม่รู้ว่าเราแสดงดีไม่ดี จะให้เดินไปถามคนดูว่าหนูแสดงเป็นยังไงบ้างคะมันก็คงไม่ใช่ จนมาทำงานในวงการนี่แหละค่ะถึงได้มีกำลังใจมากขึ้น เพราะฟีดแบ็กมันกลับมาทันที มีทีมงานแนะนำ มีคนที่ชอบเราจริงๆ ก็เลยทำให้เริ่มรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมาบ้าง
 

ถามว่าเป็นเพราะหน้าเราเป็นแบบนี้หรือเปล่าเลยทำให้ไม่เซลฟ์เหมือนคนอื่น หนูว่ามันก็ไม่เกี่ยวนะ เพราะถึงเราไม่ได้หน้าตาดี แต่ถ้าเรามั่นใจว่าสามารถทำให้คนตลกชัวร์ ยังไงเราก็เซลฟ์ได้ หนูไม่เคยมองว่าเรื่องหน้าตาสำคัญขนาดนั้นค่ะ ไม่เคยคิดว่าต้องหาทางออกด้วยการทำศัลยกรรมหรืออะไร ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าถูกผู้ใหญ่สั่งไม่ให้ทำนะ ถึงเขาจะเคยเตือนจริงๆ ก็เถอะ (ยิ้ม) บอกว่าอย่าไปทำศัลยกรรมนะ ถ้าไปทำแล้วหน้าเปลี่ยนเดี๋ยวไม่มีใครจ้าง แต่ตัวหนูเอง หนูไม่เคยมองมุมนั้นเลยค่ะ คิดแค่ว่าถึงทำไปมันก็ไม่ใช่ตัวเรา ศัลยกรรมไปเราก็รู้ว่าหน้าจริงๆ ของเรามันเป็นยังไง ภาพมันติดอยู่ในหัวอยู่แล้ว ถ้าส่องกระจกทุกวันแล้วรู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่มันไม่ใช่ มันปลอม มันก็... (เธอทิ้งท้ายให้เติมช่องว่างเอาเอง)
 

หนูไม่ได้แอนตี้เรื่องศัลยกรรมนะ บางทีเวลาถูกคนอื่นยุเข้ามากๆ ก็มีแวบเข้ามาในหัวเหมือนกันว่าหรือจะไปทำนิดหนึ่งล่ะ ถ้าทำจมูกและดัดฟันหน่อยก็อาจจะโอเคขึ้น ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ (ยิ้มขี้เล่น) แต่ตอนนี้หนูยังไม่อยากมองเห็นตัวเองในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นค่ะ แต่ถ้าวันหนึ่งออกจากวงการปุ๊บ หาสามีไม่ได้จริงๆ อาจจะทำนิดหนึ่งก็ได้ (หัวเราะลั่น) ยังรู้หรอกค่ะ อนาคตยังอีกไกล ไม่รู้ว่าจะมีใครมาเปลี่ยนทัศนคติหนูได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้หนูยังไม่อยากทำค่ะ

รู้สึกว่าถ้าใครจะมารักก็มารักที่เป็นเราสิ เพราะถึงศัลยกรรมไป เดี๋ยวมันก็เบื่อหน้าเราอยู่ดี คนอื่นๆ ที่สวยๆ ก็มีอีกตั้งเยอะแยะ หนูว่าจะคบกันได้นานๆ ต้องดูที่นิสัยมากกว่า ซึ่งหนูยังไม่เจอคนที่จะมาเห็นเลยนะ (หัวเราะในตาเศร้า)





เปิดใจคุยอย่างออกรส
หน้าตาผ่าเหล่า ไม่เหมือนครอบครัว
หลั่งน้ำตาให้ปมด้อย
ถูกล้อเรื่องหน้าตามาทั้งชีวิตเลยค่ะ แต่เพิ่งมารู้ตัวจริงๆ ตอนป.3 จำได้แม่นเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ร้องไห้เลย ตอนนั้นเราใส่ที่คาดผมไปเรียนแล้วหัวเหม่งมาก พอเดินเข้ามาในห้อง เพื่อนคนที่เราแอบชอบหัวเราะก๊ากๆ เลย รู้เลยว่าเราเหม่งสะท้านโลกมาก หนูนั่งร้องไห้เลย เสียใจมาก แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวนะว่าเราไม่มีดั้ง ยังไม่รู้ตัวว่าเราไม่ใช่คนหน้าตาดี (ยิ้มมุมปาก) จริงๆ นะ
 

เวลาส่องกระจกเราก็มองเห็นจมูกของเรา ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นหาว่าเราไม่มีดั้งวะ อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยส่องกระจกแบบหันข้างมั้งคะ ส่องกระจกหน้าตรงตลอด มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งเดินมาทักว่า “เฮ้ย! หายใจออกหรือเปล่า” (หน้าเหวอ) เป็นประโยคที่ช็อกมาก ร้องไห้เลยค่ะ เป็นครั้งแรกที่ทำให้คิดได้ว่าหน้าเราคงแปลกกว่าชาวบ้านเขาจริงๆ มีหนูคนเดียวในบ้านที่หน้าไม่เหมือนคนอื่น หนูเป็นยีนผ่าเหล่าผ่ากออยู่คนเดียว พี่ๆ คนอื่นเขามีดั้งสวยๆ กันทั้งนั้นนะ
 

ตอนเด็กๆ ถูกญาติๆ ล้อประจำ จำได้ว่าผู้ใหญ่เขาจะไม่ค่อยรักเรา รู้สึกว่าเขารักเด็กคนอื่นที่น่ารักกว่า แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเพราะอะไร เด็กคนอื่นเขาน่ารักกว่าเราตรงไหนวะ เสียใจมาก ไปแอบนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่คนเดียวตลอดเลย เหมือนกับเราเกิดคำถามในใจมาตั้งแต่เด็กว่าทำไมๆๆ จนเริ่มโตขึ้นถึงได้รู้ว่าเพราะหน้ามันเป็นอย่างนี้ไง มันเริ่มแปลกขึ้นทุกวันแล้วว่ะ (หัวเราะ)
 

ขนาดตอนยังไม่ได้เป็นดารา เวลาไปที่ไหนพอคนเขาเห็นหน้าเราแล้วหัวเราะเลยนะ พอยิ่งเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย มานั่งคุยๆ กับเพื่อนกับรุ่นพี่ ยิ่งรู้ความคิดของคนอื่นว่าเขาอึ้งกันจริงๆ ว่ามีคนหน้าแบบนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยเหรอวะ แต่เราไม่รู้ไง เราชินกับหน้าเรา (ยิ้ม) ถามคนที่บ้านว่าหน้าเราแปลกไหม เขาก็บอกไม่แปลก ชินกันแล้ว กว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ก็เกือบแย่เหมือนกันนะ ต้องต่อสู้กับความรู้สึกเฟลเยอะมากๆ
 

คิดดูว่าเวลาไปที่ไหน ใครเห็นหน้าก็หัวเราะ เป็นใคร ใครจะรู้สึกดี ถูกไหมคะ ฉันไม่ใช่ดารา ฉันไม่ใช่ตลก จู่ๆ มาหัวเราะเราทำไม อยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีไปเลย แต่พอวันหนึ่งเรามาเจอทางของเราว่าหน้าเราสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ ชีวิตเปลี่ยนเลยค่ะ ปมหายไปเลยนะ มีความสุขกับชีวิตขึ้นมาเลย เอ้อ! หน้าเราทำให้คนอื่นมีความสุขได้มากกว่าคนหน้าตาดีบางคนเสียอีก คนรักเรามากกว่าคนที่หน้าตาดีด้วยซ้ำ ผู้หญิงสวยๆ ด้วยกัน เพื่อนๆ ในห้องหมั่นไส้ แต่คนทั้งโรงเรียนกลับรักเรา (ยิ้มปลื้มใจ)

มาถึงทุกวันนี้ เวลามีคนมองหน้าแล้วหัวเราะ หนูไม่โกรธแล้วค่ะ เพราะเรารู้สึกพอใจกับตัวเองแล้ว แล้วเดี๋ยวนี้คนอื่นเจอเราก็ไม่ได้บอกว่าขี้เหร่นะ แต่จะชมว่าน่ารัก แล้วเราก็เชื่อด้วย (หัวเราะร่วน)





“นังหน้าหนอน” ในรักออกอากาศ

อย่าดูถูกเรื่องหน้าตา!
อย่างที่บอกค่ะว่าหนูเป็นคนมีปม (ยิ้ม) หนูเลยจะเซ็นซิทีฟมากกับเรื่องหน้าตา จะโกรธมากเวลาเห็นคนดูถูกกันเรื่องหน้าตา บางคนชอบพูดว่าคนนี้หน้าตาแย่แล้วยังนิสัยไม่ดีอีก คือถ้าจะด่ากันเรื่องนิสัยหนูไม่ว่าเลยนะ แต่อย่าด่ากันเรื่องหน้าตาได้ไหม มันทำให้คนอื่นตั้งคำถามกลับมาที่ตัวคุณว่า แล้วคุณล่ะ หน้าตาดีกว่าเขามากนักเหรอ หนูจะโกรธมากเวลาไม่มีเรื่องอะไรจะด่า แล้วมาด่าเรื่องหน้าตากันเนี่ย มันเป็นเรื่องที่เลือกเกิดไม่ได้หรือเปล่าวะ ถ้าด่าเรื่องพฤติกรรม วิถีชีวิตว่าทำไมนิสัยแย่อย่างนี้ยังว่าไปอย่าง
 

ขนาดพ่อแม่หนูดูทีวีแล้วหัวเราะก๊ากๆ ว่าทำไมคนนี้หน้าตาแย่จัง หนูยังสอนพ่อแม่เลยนะ บอกว่าช่วยคอมเมนต์เรื่องการแสดงได้ไหม อย่าคอมเมนต์เรื่องอื่นเลย หนูเป็นคนอย่างนี้จริงๆ ค่ะ เพราะหนูมีปม (หัวเราะ) อยากให้วัดคุณค่าของคนที่ความสามารถกันจริงๆ มากกว่า ดูว่าเขาใช้ชีวิตยังไง เขามีประโยชน์กับคนอื่นยังไงดีกว่า อย่าตัดสินแค่หน้าตาอย่างเดียว
 

หนูเชื่อว่าลึกๆ แล้วไม่มีใครคิดว่าตัวเองขี้เหร่หรอก เวลาส่องกระจกออกจากบ้าน ถ้าไม่มั่นใจคงไม่มีใครเดินออกมาแน่ๆ (ยิ้ม) ทุกคนต้องมั่นใจว่าตัวเองดูดีระดับหนึ่งถึงได้เดินออกมานะ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปเอาความคิดของคนอื่นที่บอกว่าเราขี้เหร่มาใส่ในหัว หนูเชื่อว่าทุกคนสวยค่ะ เพียงแต่เราอยู่ในโลกของสื่อและค่านิยมของสังคมที่กำหนดว่าคนดั้งเป๊ะอย่างนี้ หน้ารูปทรงนี้ถึงจะเรียกว่าสวยงาม ไม่แน่หรอกค่ะ ถ้าถึงอีกยุคหนึ่งข้างหน้า ใครจะรู้ว่าดั้งแหมบ ฟันยื่น คนอาจจะมองว่าสวยมากก็ได้ มันเปลี่ยนไปตามยุคจริงๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นก็อย่าไปมองว่าเราขี้เหร่ให้เสียใจ แค่คิดว่าเราไม่ได้สวยแบบที่คนยุคนี้เขาสวยกันก็พอ (หัวเราะร่วน)
 

ส่วนคนที่รู้สึกน้อยใจกับหน้าตาของตัวเองอย่างที่หนูเคยเป็น เราต้องหาจุดยืนของตัวเองให้เจอค่ะ อย่างหนู หนูก็อยู่กับความรู้สึกไม่มั่นใจแล้วก็ร้องไห้กับเรื่องนี้มานานเหมือนกันนะ อยากจะบอกว่าถ้าวันหนึ่งเราเจอสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ามากกว่าเรื่องหน้าตา แค่นั้นชีวิตก็สว่างขึ้นมาทันทีเลย

ทุกวันนี้สิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือหนูหาเงินเลี้ยงพ่อแม่ได้ พอเข้าวงการ มีเงินเป็นก้อนปุ๊บ หนูบอกพ่อแม่เลยว่าไม่ต้องทำงานแล้ว ก็ไม่ได้มีเงินมากมายนะคะ แค่มีเงินจ่ายแทนเงินเดือนที่เขาสองคนเคยได้ อย่างแม่หนูขายราดหน้าที่โรงเรียน มีพ่อเป็นผู้ช่วย วันๆ ต้องตื่นแต่เช้าไปซื้อของ เหนื่อยมาก เงินก็ไม่เห็นจะคุ้มเลย หนูต้องขอเขาว่าให้เราช่วยดีกว่า หลังๆ เขาก็ยอม เราก็ภูมิใจที่ดูแลเขาได้ เขาไม่ต้องลำบากอีกแล้ว ตัวหนูเองหนูก็ภูมิใจในตัวเองที่ถึงเราจะไม่สวย แต่เราก็ใช้ความสามารถจนมาถึงขั้นนี้ได้






---ล้อมกรอบ---
เคยเป็น “ปลาบู่” มาก่อน “ปลวก”
กว่าจะมาเป็น “นังหน้าหนอน” หรือ “น้องปลวก” ให้ผู้ชมได้เรียกอย่างรักใคร่แกมเอ็นดูอย่างทุกวันนี้ มีคนอยู่เบื้องหลังช่วยผลักดันให้เกตุเดินบนเส้นทางบันเทิงหลายคนมากๆ เริ่มตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ เธอเติบโตมากับโทรทัศน์ ถึงแม้คุณแม่จะไม่ได้สนับสนุนทางตรง แต่การปล่อยให้ลูกโตมากับละครก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ซึมซับการแสดงเอาไว้กับตัวได้มากพอสมควร
 

“หนูเติบโตมากับทีวีจริงๆ ดูมาตั้งแต่ 2 ขวบ จำได้ทุกเรื่อง แม่ปล่อยให้ดูถึง 4-5 ทุ่มเลย ตอนดูก็จะชอบเลียนแบบ พอนางเอกร้องไห้แล้วต้องนั่งท่านี้ เราก็ทำตามเขา พอเห็นนางร้ายกรี๊ดๆ เราก็กรี๊ดตาม แม่ก็มองว่า เออ มันทำอะไรของมันวะ ทุกวันนี้ทุกคนยังงงๆ อยู่เลยว่ามาเป็นดาราได้ยังไง ญาติๆ คนอื่นเขาขายของขายเหล็กกัน มีหนูผ่าเหล่าผ่ากออยู่คนเดียว”
 

คนที่ผลักดันคนต่อไปคือเพื่อนสมัยมัธยมต้น “เวลาออกไปรายงานหน้าชั้น เราชอบคิดวิธีแปลกๆ เขียนละครผูกเรื่องให้เพื่อนๆ เล่น เพื่อนเลยบอกให้เรียนนิเทศฯ ดู ก็เลยเชื่อเพื่อน พอดีกับว่าเราอยากหาหนทางหลุดพ้นจากความเครียดด้วย อันนี้ไม่ได้อยากชมตัวเองนะ แต่ตอนเด็กๆ หนูเป็นคนเรียนเก่งเวอร์ (หัวเราะ) ได้ 4.00 ตลอดจนทุกคนคิดว่าเราต้องเรียนหมอแน่ๆ แต่หนูรู้ตัวว่าถ้าหนูไปทางนั้น สักวันหนูคงเครียดมากจนกระโดดตึกตายแน่ๆ เลย ก็เลยปฏิวัติตัวเองเลือกศิลป์-ฝรั่งเศสแล้วต่อด้วยเอ็นท์เข้านิเทศฯ เลยค่ะ”
 

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนี่แหละคือจุดพลิกผันที่แท้จริงในชีวิตเกตุ ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นทำให้รุ่นพี่เล็งเห็นว่าเธอน่าจะเหมาะกับการแสดง พอเรียกไปแคสต์เพื่อรับบทในละครเวทีเล็กๆ ของคณะ เกตุก็สร้างความประทับใจ เป็นที่จดจำจนได้รับฉายา “เกตุปลาบู่” ไม่มีใครในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ยุคนั้นไม่รู้จักเธอคนนี้

“รุ่นพี่เขาแค่เห็นหน้าเราก็ตลกแล้ว เลยจับเรามาเล่นละครเวทีเรื่องแรกช่วงรับน้องของคณะ เป็นเรื่องที่เอาตัวละครจากวอสท์ดิสนีย์หลายๆ ตัวมารวมกัน หนูได้แสดงเป็นนางเงือกค่ะ เป็นลิตเติ้ลเมอเมด แต่หน้าเราไม่ให้ เขาดูไม่ออกว่าเราเล่นเป็นอะไร คิดว่าแสดงเป็นปลาบู่ ทุเรศมาก (ส่ายหน้า) ก็เลยถูกเรียกว่า “เกตุปลาบู่” เป็นฉายาที่เรียกกันในคณะตั้งแต่ตอนนั้นมา”

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร
กำลังโหลดความคิดเห็น